30 days for youสามสิบวันของผมกับนายเจ้าหนี้ตัวร้าย
10.0
เขียนโดย enzang2660
วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.42 น.
16 บท
3 วิจารณ์
19.91K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 10.49 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) บทที่ 13 เดท(ครึ่งหลัง)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 13
เดท(ครึ่งหลัง)
ผู้คนร่วมร้อยเดินขวักไขว่อยู่ในบริเวณงานวัด แสงสีจากเวทีและเสียงดนตรีลูกทุ่งดังกระหึ่มเรียกเหล่าผู้ชมให้มุ่งตรงไปยังเวทีเพื่อนชมการร้องเพลงของนักร้องชื่อดัง ถึงนักร้องจะดังเพียงไหนก็ไม่สามารถเบนความสนใจของยูไปได้ เขาเลือกจะฉวยจังหวะตอนคนไปมุงเวทีรีบซื้อกระเพาะปลาเจ้าเด็ดมาไว้ในมือ ช่างโชคดีจริง ๆ ที่ไม่ต้องต่อแถวยาวแถมยังมีคนออกเงินให้อีกต่างหาก
“กินไหม” พูดพลางยื่นถ้วยกระเพาะปลาควันหอมฉุยไปตรงหน้าชายหนุ่มข้างตัว แลเห็นว่าอีกฝ่ายออกอาการน้ำลายสอจึงอมยิ้มก่อนดึงถ้วยกลับมาเองกินเสียอย่างนั้น
“ป้อนหน่อยสิ” คนไม่ได้กินออกปาก
“ไปซื้อเองดิ” คนหิวตอบอย่างใจดำ ถึงจะสั่งแบบพิเศษก็ไม่สามารถยัดกระเพาะเขาเต็มได้หรอก ถ้าเขาไม่อิ่มก็อย่าหวังว่าใครจะได้กิน
“ไปซื้อไข่นกกระทากินก็ได้”
“เฮ้ย ๆ ซื้อให้ด้วยดิ” ในปากยังเต็มไปด้วยเนื้อกระเพาะปลานุ่มนิ่มก็อยากจะกินอย่างอื่นด้วย ธันทำเป็นไม่ได้ยินก่อนตอบกลับไปอย่างทำร้ายจิตใจยูว่า “ไปซื้อเองสิ” ทำเอายูถึงกับหน้ามุ่ยเดินนำลิ่วไม่คอยเขาเลย
“จะรีบไปไหน” รีบเดินตามอีกฝ่ายไปแล้วเรียก
“กลับบ้าน!”
“งอนหรือไง”
“ไม่งอนหรอกของแค่นี้ซื้อเองก็ได้เว้ย!”
งอนอยู่ชัด ๆ ธันคิดในใจก่อนเอาแขนเกี่ยวคอยูเอาไว้ นั่นทำให้ยูสำลักของในปากไอค่อกแค่กหน้าแดงหน้าดำ
“เป็นไงเดินไปกินไป..”
“ล็อคคอทำไมวะไอ้เวรนี่!”
เพื่อเป็นการไถ่โทษธันยอมควักเงินซื้อน้ำปั่น ไข่นกกระทาและของที่ยูอยากกินอีกหลายรายการ เมื่อเห็นยูมีความสุขกับการกินธันเองก็พลอยยิ้มปากฉีกไปด้วย....กระเป๋าก็เช่นกัน
“ยิงปืนกัน!”
ยูชี้ไปที่ร้านยิงตุ๊กตา ไม่ใช่ว่าเขาอยากได้ของรางวัลหรอกแค่อยากประลองฝีมือเท่านั้นเอง ยูจึงเดินเข้าไปจ่ายเงินแลกปืนยาวมาสองกระบอก ถือไว้เองกระบอกหนึ่งอีกกระบอกยื่นให้ธัน
“แข่งกันใครยิงเป้าล้มได้เยอะกว่าคนนั้นชนะ” ยูบอกกติกา
“ชนะแล้วได้อะไร?” ธันถามอย่างมีเลศนัย
“ถีบได้หนึ่งที”
“ฉันไม่กล้าถีบยูหรอก เปลี่ยนเป็นจูบแทนได้ไหม”
คำพูดทีเล่นทีจริงทำเอาหน้ายูร้อนวูบจึงเบนความคิดตัวเองโดยการหันไปใส่จุกยางที่ปากกระบอกปืนแทน
“ได้ แต่ถ้าแกชนะฉันจะให้แกจูบทีนึง แต่ถ้าฉันชนะฉันจะทั้งเตะทั้งถีบแกชั่วโมงนึงตกลงไหม!”
“ตกลง”
ทั้งสองเริ่มการประลองโดยเล็งไปที่เป้าใกล้ตัวที่สุด ยูโน้มตัวพาดไม้กั้นให้เข้าใกล้เป้าหมายอย่างสุดตัวแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ยิงโดนเป้าแต่อย่างใดในเมื่อยูสายตาสั้นและเอียงจนเล็งไม่ถูก ธันเห็นดังนั้นก็หันไปยิงเป้าที่ยูยิงพลาดอย่างจงใจเย้ยหยันแถมยิงเป้าถัดไปล้มอีก
“ต่อให้ก่อนหรอกนะ!”
พูดไปมือก็แอบริบจุกยางในจานของอีกฝ่ายมาสองอัน ธันเหลือจุกยางแค่อันเดียวก็ไม่ได้แสดงอาการสะทกสะท้านใดออกมา เขารู้อยู่แล้วว่าต่อให้ยูมีจุกยางเป็นสิบ ๆ อัน โอกาสที่จะถูกยังมีไม่ถึงหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
ปุ้บ! ปุ้บ!
หากเปลี่ยนเป็นใครยิงโดนผ้าด้านหลังได้มากกว่ากันยูอาจจะชนะได้นานแล้วก็ได้ ยูเริ่มตระหนักว่าตนคิดผิดเสียแล้วที่ออกปากไปแบบนั้น เมื่อเห็นธันยิงนัดสุดท้ายชนเป้าล้มอีกยูก็เริ่มเหงื่อตกทำให้ยิงพลาดเข้าไปอีก ทันใดนั้นเข้าก็คิดว่าเปลี่ยนเป็นเอาปืนฟาดเป้าเสียยังจะง่ายกว่า
“น้องครับอย่าพิงเดี๋ยวที่กั้นล้ม”
คนของร้านเตือน ยูจำใจต้องยิงลูกที่เหลือให้หมดแทนเคราะห์ดีที่อย่างน้อยเขาก็ยิงโดนล้มไปหนึ่งเป้า....ดีกับผีน่ะสิ สกอร์ 3:1 ดูยังไงเขาก็เป็นคนแพ้ชัด ๆ
“อีกรอบ! เอาใหม่เมื่อกี้ลองเฉย ๆ” เรื่องอะไรจะโดนจูบกันเล่า!
“แพ้ก็คือแพ้”
“ซ้อมมือเฉย ๆ คราวนี้เอาจริงแล้ว!”
ยูจ่ายเงินอีกรอบสุดท้ายผลก็ออกมาไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ถึงแม้จะริบจุกยางมารวบกับของตัวเองได้เป็น 9 จุก ธันเหลือแค่จุกเดียว ยูก็ยังแพ้ไปด้วยคะแนน 1: 0 อยู่ดี
“มีอะไรที่มึงทำไม่ได้มั่งเนี่ย!” ยูปรี๊ดขึ้นมา
“มี”
“อะไร”
“ไม่บอก” ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาเพราะเขาได้แสดงมันออกมาทุกอย่างแล้วเพียงแต่ยูยังไม่รู้เองว่ามันคืออะไร ธันลอบมองยูที่พรึมพรำบ่นกับตัวเองอันที่จริงก็ด่าเขาอยู่น่ะแหละ เขาอยากอยู่กับยูแบบนี้ อยู่ข้างกันแบบนี้ตลอดไป
“จ้องจนกูท้องไปหลายรอบแล้วนะ” ยังคงไว้ซึ่งคำหยาบคายแสดงว่ายูยังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ธันไม่ปริปากตอบเพียงแต่กระตุกยิ้มมุมปาก
“มึงมันบ้า! มีอย่างที่ไหนโดนด่าแล้วยิ้ม ไอ้บ้า!” ยูเห็นดังนั้นก็หมั่นไส้เดินด่าธันไปตลอดทาง
มือหนาดึงขนมสายไหมยัดเข้าปากขณะเดียวกันก็มีเสียงวี๊ดยาวจบด้วยเสียงปัง ปรากฏดวงไฟสีเขียวขนาดใหญ่กระจายอยู่บนท้องฟ้า งานครื้นเครงแบบนี้ไม่แปลกหรือที่จะมีการจุดพลุ ยูยืนมองพลุหลากสีอยู่ครู่หนึ่งเขาพยายามเอียงคอให้มองเห็นพลุได้ชัดเจนแต่ติดตรงที่หลังคาโบสถ์บังน่ะสิ
ธันคว้าข้อมือยูลากให้เดินตามไป เขาพายูไปที่ลานจอดรถนอกกำแพงวัด ที่ลานนั้นกว้างขวางและไร้สีบดบังทัศนียภาพบนท้องฟ้าจึงสามารถชมพลุไฟได้อย่างเต็มดวง
“ตรงนี้ดีหว่ะ เห็นชัดดี”
“อะไรนะ”
เสียงพลุดังกระหึ่มอาจะเพราะใกล้บริเวณที่จุดมากเกินไป ทำให้ธันไม่ได้ยินสิ่งที่ยูพูด ทั้งสองยืนชมพลุจนกระทั่งเสียงพลุหายไปจนหมด
บริเวณนี้ก็ปราศจากผู้คนมันคงเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้พูดคุยอะไรบางอย่างกับยู ธันจับไหล่ยูไว้สองข้างพลางโน้มหน้าลงเล็กน้อย
“ยู...ฉัน”
มันเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วและเขาจะไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือไป เขาเองยังไม่แน่ใจว่าความคิดของยูตอนนี้จะตรงกับเขาหรือไม่ หรือมีความคิดเพียงเศษเสี้ยวที่เหมือนกับว่า...รักเขาบ้างไหม การได้จูบยูครั้งนั้นทำให้หัวใจเขาพองโตและมีความหวังผุดขึ้นมา
..แค่ยูรักฉันเพียงสักนิดก็พอแล้ว...
ที่ผ่านมาเขาก็แอบกลัวอยู่ลึก ๆ หากเขาบอกรักยูไปแล้วยูจะยอมรับมันหรือเปล่า เขาพยายามอย่างสุดตัวที่จะแสดงความรักอย่างตรงไปตรงมาแต่ยูกลับซื่อเกินไป หากไม่พูดออกไปคนซื่อ
บื้อแบบยูคงจะไม่รู้ตัวเสียที
“จะ...จะจูบหรอ วัดอยู่ข้างๆเองนะเว้ย เกรงใจหน่อย” ยูพูดเสียงเบา
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือน ก่อนอื่นฉันอยากจะบอกยู...เรื่องหนี้”
“จะไม่ปลดหนี้ให้กูหรอ!”
“ไม่ใช่ยู คือ... หนี้มันเป็นโมฆะ”
“ไม่ต้องจ่ายหรอ?”
“อือ ดอกเบี้ยเกินต้นไปเป็นพันๆเท่าแบบนั้นมันไม่มีหรอก...ฉันหลอกยู”
ยูถึงกับนิ่งเงียบไป ที่บอกเรื่องนี้เพราะเขาต้องการจะตัดข้อผูกพันเรื่องหนี้ที่รั้งยูไว้ให้อยู่กับเขา เขาต้องการฟังความรู้สึกที่แท้จริงของยู แม้ตอนนี้จะทำให้ยูอารมณ์เดือดแล้วก็ตาม
“ดีจริงๆเลยนะมึง! ตลกมากหรอ! เห็นกูเป็นอะไรห๊ะ!”
“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นนะยู ฟังก่อนสิ!”
“ปล่อยเลย!”
ยูกันแขนของธันออกแต่อีกฝ่ายไม่ยอม เขาไม่ยอมให้ยูเดินจากไปทั้งแบบนี้หรอก
“ถ้าฉันไม่หลอกยูแบบนี้! ยูจะยอมคบกับฉันหรอ!”
มือใหญ่กำหัวไหล่คนเตี้ยกว่าไว้แน่น
“แล้วจะให้กูเป็นแฟนกับมึงทำไมเล่า!”
“ก็ฉันรักยู!”
ธันตะโกนออกมาสุดเสียง โล่งไปเลยความรู้สึกหนักในหัวมันลอยหายไปพร้อมกับคำนี้ สติของยูเองก็ดูจะหลุดลอยไปเพราะคำนี้เช่นกัน ดวงตากลมค้างเติ่งจ้องมองใบหน้าหล่อของธัน เขาไม่ได้หูฝาดใช่ไหม
“ยูล่ะ....รักฉันบ้างไหม”
สมองของยูรวนเหมือนคอมโดนไวรัสเล่นงานมันประมวลผลตีกันยุ่งไปหมด เขาไม่อาจสบดวงตาสีเข้มนั่นได้อีกแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังโน้มใบหน้าเขามาหาเข้าเรื่อย ๆ
ตุ้บ!
ยูผลักด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนธันผละถอยล้มไปนั่งอยู่กับพื้นจากนั้นยูรีบฉวยโอกาสวิ่งหนี ธันได้แต่มองแผ่นหลังของคนรักที่ไกลออกไปจนหายลับไป เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดมิดไร้สิ้นแสงนำทาง ความเจ็บปวดที่ได้รับนี้ก็สาสมแล้วกับความเห็นแก่ตัวของเขา อยากได้ตัวเขามาจงใช้วิธีสกปรกแต่วิธีนั้นคงไม่สามารถทำให้ได้ใจยูมาได้ เขาควรเลิกหลอกตัวเองและตื่นจากฝันเสียที
...ยูอาจจะไม่มีใจให้เลยสักนิดเดียว เลิกเข้าข้างตัวเองได้แล้ว...
ธันหอบหัวใจอันบอบช้ำเดินกลับบ้าน กว่าจะมาถึงเขาเผลอเดินหลงไปทางอื่นเสียหลายหน ในหัวเขามัวแต่คิดถึงเรื่องยู ตอนนี้เขาช่างเหมือนคนไร้สติแค่กลับบ้านยังกลับแทบไม่ถูกเลย
“กลับมาดึกจังลูก”
อมิตตาทักลูกชายโดยสายตายังไม่ละจากจอโน้ตบุ๊ค
“แม่ไปดูคอนโดแถวที่ทำงานแม่มาแล้วนะลูก รถติดหน่อยแต่ทำเลดีทีเดียว”
อมิตตายิ้มไปพูดไป ระยะทางจากที่นี่ไปถึงที่ทำงานนับว่าไม่ไกลหากย่นระยะด้วยการขึ้นทางด่วน แต่ขึ้นหลายต่อหลายรอบต่อวันก็เปลืองเงินไปไม่น้อย หากย้ายไปอยู่ใกล้ที่ทำงานคงจะสะดวกขึ้นมาก
“แม่จะย้ายจริง ๆ ใช่ไหมครับ” ธันถามขึ้น
“แม่ตามใจลูก แล้วแต่ลูกเลย”
อมิตตาเงยหน้ามองลูกชาย เธอย่นคิ้วเล็กน้อยมีมองดวงตาเลื่อนลอยของลูกชาย
“ธันเป็นอะไรลูก ไม่สบายหรือเปล่า ขึ้นไปนอนไปเดี๋ยวแม่เอายาขึ้นไปให้”
พูดพลางลุกจากเก้าอี้ไปพาลูกชายคนเดียวขึ้นบันไดอย่างเป็นห่วง ธันเดินไปสะดุดไปเหมือนคนไม่มีสติอยู่กับตัว เขากำลังคิดไปเรื่อยเปื่อยและเขาก็คิดว่า
“...ถ้าจะย้ายก็ย้ายสิครับ..”
++++++++++++++++++++++++
ฝนตกเน็ตหาย อาจจะอัพไม่ตรงวันเท่าไหร่นะคะ
เดท(ครึ่งหลัง)
ผู้คนร่วมร้อยเดินขวักไขว่อยู่ในบริเวณงานวัด แสงสีจากเวทีและเสียงดนตรีลูกทุ่งดังกระหึ่มเรียกเหล่าผู้ชมให้มุ่งตรงไปยังเวทีเพื่อนชมการร้องเพลงของนักร้องชื่อดัง ถึงนักร้องจะดังเพียงไหนก็ไม่สามารถเบนความสนใจของยูไปได้ เขาเลือกจะฉวยจังหวะตอนคนไปมุงเวทีรีบซื้อกระเพาะปลาเจ้าเด็ดมาไว้ในมือ ช่างโชคดีจริง ๆ ที่ไม่ต้องต่อแถวยาวแถมยังมีคนออกเงินให้อีกต่างหาก
“กินไหม” พูดพลางยื่นถ้วยกระเพาะปลาควันหอมฉุยไปตรงหน้าชายหนุ่มข้างตัว แลเห็นว่าอีกฝ่ายออกอาการน้ำลายสอจึงอมยิ้มก่อนดึงถ้วยกลับมาเองกินเสียอย่างนั้น
“ป้อนหน่อยสิ” คนไม่ได้กินออกปาก
“ไปซื้อเองดิ” คนหิวตอบอย่างใจดำ ถึงจะสั่งแบบพิเศษก็ไม่สามารถยัดกระเพาะเขาเต็มได้หรอก ถ้าเขาไม่อิ่มก็อย่าหวังว่าใครจะได้กิน
“ไปซื้อไข่นกกระทากินก็ได้”
“เฮ้ย ๆ ซื้อให้ด้วยดิ” ในปากยังเต็มไปด้วยเนื้อกระเพาะปลานุ่มนิ่มก็อยากจะกินอย่างอื่นด้วย ธันทำเป็นไม่ได้ยินก่อนตอบกลับไปอย่างทำร้ายจิตใจยูว่า “ไปซื้อเองสิ” ทำเอายูถึงกับหน้ามุ่ยเดินนำลิ่วไม่คอยเขาเลย
“จะรีบไปไหน” รีบเดินตามอีกฝ่ายไปแล้วเรียก
“กลับบ้าน!”
“งอนหรือไง”
“ไม่งอนหรอกของแค่นี้ซื้อเองก็ได้เว้ย!”
งอนอยู่ชัด ๆ ธันคิดในใจก่อนเอาแขนเกี่ยวคอยูเอาไว้ นั่นทำให้ยูสำลักของในปากไอค่อกแค่กหน้าแดงหน้าดำ
“เป็นไงเดินไปกินไป..”
“ล็อคคอทำไมวะไอ้เวรนี่!”
เพื่อเป็นการไถ่โทษธันยอมควักเงินซื้อน้ำปั่น ไข่นกกระทาและของที่ยูอยากกินอีกหลายรายการ เมื่อเห็นยูมีความสุขกับการกินธันเองก็พลอยยิ้มปากฉีกไปด้วย....กระเป๋าก็เช่นกัน
“ยิงปืนกัน!”
ยูชี้ไปที่ร้านยิงตุ๊กตา ไม่ใช่ว่าเขาอยากได้ของรางวัลหรอกแค่อยากประลองฝีมือเท่านั้นเอง ยูจึงเดินเข้าไปจ่ายเงินแลกปืนยาวมาสองกระบอก ถือไว้เองกระบอกหนึ่งอีกกระบอกยื่นให้ธัน
“แข่งกันใครยิงเป้าล้มได้เยอะกว่าคนนั้นชนะ” ยูบอกกติกา
“ชนะแล้วได้อะไร?” ธันถามอย่างมีเลศนัย
“ถีบได้หนึ่งที”
“ฉันไม่กล้าถีบยูหรอก เปลี่ยนเป็นจูบแทนได้ไหม”
คำพูดทีเล่นทีจริงทำเอาหน้ายูร้อนวูบจึงเบนความคิดตัวเองโดยการหันไปใส่จุกยางที่ปากกระบอกปืนแทน
“ได้ แต่ถ้าแกชนะฉันจะให้แกจูบทีนึง แต่ถ้าฉันชนะฉันจะทั้งเตะทั้งถีบแกชั่วโมงนึงตกลงไหม!”
“ตกลง”
ทั้งสองเริ่มการประลองโดยเล็งไปที่เป้าใกล้ตัวที่สุด ยูโน้มตัวพาดไม้กั้นให้เข้าใกล้เป้าหมายอย่างสุดตัวแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ยิงโดนเป้าแต่อย่างใดในเมื่อยูสายตาสั้นและเอียงจนเล็งไม่ถูก ธันเห็นดังนั้นก็หันไปยิงเป้าที่ยูยิงพลาดอย่างจงใจเย้ยหยันแถมยิงเป้าถัดไปล้มอีก
“ต่อให้ก่อนหรอกนะ!”
พูดไปมือก็แอบริบจุกยางในจานของอีกฝ่ายมาสองอัน ธันเหลือจุกยางแค่อันเดียวก็ไม่ได้แสดงอาการสะทกสะท้านใดออกมา เขารู้อยู่แล้วว่าต่อให้ยูมีจุกยางเป็นสิบ ๆ อัน โอกาสที่จะถูกยังมีไม่ถึงหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
ปุ้บ! ปุ้บ!
หากเปลี่ยนเป็นใครยิงโดนผ้าด้านหลังได้มากกว่ากันยูอาจจะชนะได้นานแล้วก็ได้ ยูเริ่มตระหนักว่าตนคิดผิดเสียแล้วที่ออกปากไปแบบนั้น เมื่อเห็นธันยิงนัดสุดท้ายชนเป้าล้มอีกยูก็เริ่มเหงื่อตกทำให้ยิงพลาดเข้าไปอีก ทันใดนั้นเข้าก็คิดว่าเปลี่ยนเป็นเอาปืนฟาดเป้าเสียยังจะง่ายกว่า
“น้องครับอย่าพิงเดี๋ยวที่กั้นล้ม”
คนของร้านเตือน ยูจำใจต้องยิงลูกที่เหลือให้หมดแทนเคราะห์ดีที่อย่างน้อยเขาก็ยิงโดนล้มไปหนึ่งเป้า....ดีกับผีน่ะสิ สกอร์ 3:1 ดูยังไงเขาก็เป็นคนแพ้ชัด ๆ
“อีกรอบ! เอาใหม่เมื่อกี้ลองเฉย ๆ” เรื่องอะไรจะโดนจูบกันเล่า!
“แพ้ก็คือแพ้”
“ซ้อมมือเฉย ๆ คราวนี้เอาจริงแล้ว!”
ยูจ่ายเงินอีกรอบสุดท้ายผลก็ออกมาไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ถึงแม้จะริบจุกยางมารวบกับของตัวเองได้เป็น 9 จุก ธันเหลือแค่จุกเดียว ยูก็ยังแพ้ไปด้วยคะแนน 1: 0 อยู่ดี
“มีอะไรที่มึงทำไม่ได้มั่งเนี่ย!” ยูปรี๊ดขึ้นมา
“มี”
“อะไร”
“ไม่บอก” ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาเพราะเขาได้แสดงมันออกมาทุกอย่างแล้วเพียงแต่ยูยังไม่รู้เองว่ามันคืออะไร ธันลอบมองยูที่พรึมพรำบ่นกับตัวเองอันที่จริงก็ด่าเขาอยู่น่ะแหละ เขาอยากอยู่กับยูแบบนี้ อยู่ข้างกันแบบนี้ตลอดไป
“จ้องจนกูท้องไปหลายรอบแล้วนะ” ยังคงไว้ซึ่งคำหยาบคายแสดงว่ายูยังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ธันไม่ปริปากตอบเพียงแต่กระตุกยิ้มมุมปาก
“มึงมันบ้า! มีอย่างที่ไหนโดนด่าแล้วยิ้ม ไอ้บ้า!” ยูเห็นดังนั้นก็หมั่นไส้เดินด่าธันไปตลอดทาง
มือหนาดึงขนมสายไหมยัดเข้าปากขณะเดียวกันก็มีเสียงวี๊ดยาวจบด้วยเสียงปัง ปรากฏดวงไฟสีเขียวขนาดใหญ่กระจายอยู่บนท้องฟ้า งานครื้นเครงแบบนี้ไม่แปลกหรือที่จะมีการจุดพลุ ยูยืนมองพลุหลากสีอยู่ครู่หนึ่งเขาพยายามเอียงคอให้มองเห็นพลุได้ชัดเจนแต่ติดตรงที่หลังคาโบสถ์บังน่ะสิ
ธันคว้าข้อมือยูลากให้เดินตามไป เขาพายูไปที่ลานจอดรถนอกกำแพงวัด ที่ลานนั้นกว้างขวางและไร้สีบดบังทัศนียภาพบนท้องฟ้าจึงสามารถชมพลุไฟได้อย่างเต็มดวง
“ตรงนี้ดีหว่ะ เห็นชัดดี”
“อะไรนะ”
เสียงพลุดังกระหึ่มอาจะเพราะใกล้บริเวณที่จุดมากเกินไป ทำให้ธันไม่ได้ยินสิ่งที่ยูพูด ทั้งสองยืนชมพลุจนกระทั่งเสียงพลุหายไปจนหมด
บริเวณนี้ก็ปราศจากผู้คนมันคงเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้พูดคุยอะไรบางอย่างกับยู ธันจับไหล่ยูไว้สองข้างพลางโน้มหน้าลงเล็กน้อย
“ยู...ฉัน”
มันเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วและเขาจะไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือไป เขาเองยังไม่แน่ใจว่าความคิดของยูตอนนี้จะตรงกับเขาหรือไม่ หรือมีความคิดเพียงเศษเสี้ยวที่เหมือนกับว่า...รักเขาบ้างไหม การได้จูบยูครั้งนั้นทำให้หัวใจเขาพองโตและมีความหวังผุดขึ้นมา
..แค่ยูรักฉันเพียงสักนิดก็พอแล้ว...
ที่ผ่านมาเขาก็แอบกลัวอยู่ลึก ๆ หากเขาบอกรักยูไปแล้วยูจะยอมรับมันหรือเปล่า เขาพยายามอย่างสุดตัวที่จะแสดงความรักอย่างตรงไปตรงมาแต่ยูกลับซื่อเกินไป หากไม่พูดออกไปคนซื่อ
บื้อแบบยูคงจะไม่รู้ตัวเสียที
“จะ...จะจูบหรอ วัดอยู่ข้างๆเองนะเว้ย เกรงใจหน่อย” ยูพูดเสียงเบา
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือน ก่อนอื่นฉันอยากจะบอกยู...เรื่องหนี้”
“จะไม่ปลดหนี้ให้กูหรอ!”
“ไม่ใช่ยู คือ... หนี้มันเป็นโมฆะ”
“ไม่ต้องจ่ายหรอ?”
“อือ ดอกเบี้ยเกินต้นไปเป็นพันๆเท่าแบบนั้นมันไม่มีหรอก...ฉันหลอกยู”
ยูถึงกับนิ่งเงียบไป ที่บอกเรื่องนี้เพราะเขาต้องการจะตัดข้อผูกพันเรื่องหนี้ที่รั้งยูไว้ให้อยู่กับเขา เขาต้องการฟังความรู้สึกที่แท้จริงของยู แม้ตอนนี้จะทำให้ยูอารมณ์เดือดแล้วก็ตาม
“ดีจริงๆเลยนะมึง! ตลกมากหรอ! เห็นกูเป็นอะไรห๊ะ!”
“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นนะยู ฟังก่อนสิ!”
“ปล่อยเลย!”
ยูกันแขนของธันออกแต่อีกฝ่ายไม่ยอม เขาไม่ยอมให้ยูเดินจากไปทั้งแบบนี้หรอก
“ถ้าฉันไม่หลอกยูแบบนี้! ยูจะยอมคบกับฉันหรอ!”
มือใหญ่กำหัวไหล่คนเตี้ยกว่าไว้แน่น
“แล้วจะให้กูเป็นแฟนกับมึงทำไมเล่า!”
“ก็ฉันรักยู!”
ธันตะโกนออกมาสุดเสียง โล่งไปเลยความรู้สึกหนักในหัวมันลอยหายไปพร้อมกับคำนี้ สติของยูเองก็ดูจะหลุดลอยไปเพราะคำนี้เช่นกัน ดวงตากลมค้างเติ่งจ้องมองใบหน้าหล่อของธัน เขาไม่ได้หูฝาดใช่ไหม
“ยูล่ะ....รักฉันบ้างไหม”
สมองของยูรวนเหมือนคอมโดนไวรัสเล่นงานมันประมวลผลตีกันยุ่งไปหมด เขาไม่อาจสบดวงตาสีเข้มนั่นได้อีกแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังโน้มใบหน้าเขามาหาเข้าเรื่อย ๆ
ตุ้บ!
ยูผลักด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนธันผละถอยล้มไปนั่งอยู่กับพื้นจากนั้นยูรีบฉวยโอกาสวิ่งหนี ธันได้แต่มองแผ่นหลังของคนรักที่ไกลออกไปจนหายลับไป เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดมิดไร้สิ้นแสงนำทาง ความเจ็บปวดที่ได้รับนี้ก็สาสมแล้วกับความเห็นแก่ตัวของเขา อยากได้ตัวเขามาจงใช้วิธีสกปรกแต่วิธีนั้นคงไม่สามารถทำให้ได้ใจยูมาได้ เขาควรเลิกหลอกตัวเองและตื่นจากฝันเสียที
...ยูอาจจะไม่มีใจให้เลยสักนิดเดียว เลิกเข้าข้างตัวเองได้แล้ว...
ธันหอบหัวใจอันบอบช้ำเดินกลับบ้าน กว่าจะมาถึงเขาเผลอเดินหลงไปทางอื่นเสียหลายหน ในหัวเขามัวแต่คิดถึงเรื่องยู ตอนนี้เขาช่างเหมือนคนไร้สติแค่กลับบ้านยังกลับแทบไม่ถูกเลย
“กลับมาดึกจังลูก”
อมิตตาทักลูกชายโดยสายตายังไม่ละจากจอโน้ตบุ๊ค
“แม่ไปดูคอนโดแถวที่ทำงานแม่มาแล้วนะลูก รถติดหน่อยแต่ทำเลดีทีเดียว”
อมิตตายิ้มไปพูดไป ระยะทางจากที่นี่ไปถึงที่ทำงานนับว่าไม่ไกลหากย่นระยะด้วยการขึ้นทางด่วน แต่ขึ้นหลายต่อหลายรอบต่อวันก็เปลืองเงินไปไม่น้อย หากย้ายไปอยู่ใกล้ที่ทำงานคงจะสะดวกขึ้นมาก
“แม่จะย้ายจริง ๆ ใช่ไหมครับ” ธันถามขึ้น
“แม่ตามใจลูก แล้วแต่ลูกเลย”
อมิตตาเงยหน้ามองลูกชาย เธอย่นคิ้วเล็กน้อยมีมองดวงตาเลื่อนลอยของลูกชาย
“ธันเป็นอะไรลูก ไม่สบายหรือเปล่า ขึ้นไปนอนไปเดี๋ยวแม่เอายาขึ้นไปให้”
พูดพลางลุกจากเก้าอี้ไปพาลูกชายคนเดียวขึ้นบันไดอย่างเป็นห่วง ธันเดินไปสะดุดไปเหมือนคนไม่มีสติอยู่กับตัว เขากำลังคิดไปเรื่อยเปื่อยและเขาก็คิดว่า
“...ถ้าจะย้ายก็ย้ายสิครับ..”
++++++++++++++++++++++++
ฝนตกเน็ตหาย อาจจะอัพไม่ตรงวันเท่าไหร่นะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ