30 days for youสามสิบวันของผมกับนายเจ้าหนี้ตัวร้าย

10.0

เขียนโดย enzang2660

วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.42 น.

  16 บท
  3 วิจารณ์
  20.10K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 10.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) บทที่ 9 พูดคุย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 9

พูดคุย

 

                   พอก้าวเท้าพ้นประตูร้านมา  ผมก็หันกลับไปมองชื่อป้ายร้านสีทองบนพื้นสีแดง  มือก็กำถุงกระดาษสีน้ำตาลซองใหญ่ไว้แน่น  ขากลับวันนี้คงต้องพึ่งแท็กซี่เสียแล้วล่ะ  ถ้าแม่รู้ว่าผมเอารถมอไซค์มาจำนำไว้ แม่ต้องด่าไม่ก็...ไล่ออกจากบ้านเลยก็ได้

                   ...แต่ยังไงผมก็ตัดสินใจแล้ว...

                   ผมจะเอาเงินไปใช้หนี้มันซะ ที่นี่ก็หมดพันธะผูกพันกันแล้ว...ล่ะมั้ง?

                   มันก็ต้องใช่สิ! ผมเอาซองใส่เงินตบหน้าตัวเองเรียกสติ  คิดมากไปได้นะเรา  เวลานี้ควรจะยิ้มออกมาสิ  จะได้เป็นอิสระอยู่แล้วนะ ไม่ต้องยุ่งกันอีกแบบนี้สบายใจดีออก

 

 

                   รถแท็กซี่เคลื่อนมาจอดอยู่หน้าบ้าน  ผมจ่ายเงินเสร็จก็เปิดประตูลง  ที่หน้าบ้านผมที่ร่างของใครบางคนที่ผมไม่อยากเจอยืนคุยอะไรบางอย่างกับแม่อยู่  ได้ยินเสียงแว่วตามลมมาเบา ๆ ว่า

                   “ยูยังไม่กลับอีกหรอครับ”

                   ผู้ชายคนนั้นถามขึ้น  ถามหาผมจากแม่หรอ

                   “กลับมาแล้ว!”

                   ผมตะโกนแทรกขึ้นมา แม่และคนข้างบ้านที่ไม่อยากเจอหน้าต่างหันมาที่ผม  ผมเดินก้าวฉับ ๆ เข้าไปหาคนตัวสูงกว่าก่อนจะปาซองสีน้ำตาลปะทะอกมันจัง ๆ

                   “ฉันใช้หนี้นายหมดแล้ว! กลับไปซะแล้วไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีก!”

                   ผมตะโกนใส่หน้ามันดังลั่นพลางชี้นี้ให้มันไสหัวกลับไปหาแม่มันซะ  ส่วนแม่ผมออกอากาศตกใจรีบดึงไม้ดึงมือผมลง

                   “ยังไม่ไปอีก! ได้แล้วก็กลับไป!”

                   ร่างนั้นยังคงปักหลักยืนนิ่งมองหน้าผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย จะเรียกว่ามองก็ไม่ถูกเพราะมันไม่ละสายตาจากผมเลยซะกะติ๊ดเดียว

                   “ยูพอได้แล้ว...”

                   “ไม่ไปใช่ไหม!”

                   ไม่ได้ก็ต้องลากแล้วล่ะ! คิดได้แบบนั้นผมก็คว้าแขนของไอ้ธันแล้วลากไปทางบ้านมัน ซึ่งมันก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี

                   “เข้ามาในบ้านฉันก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

                   หลังจากเงียบมานานมันก็เปิดปากพูด  ผมไม่สนเลยสะบัดบ็อบใส่  มันจับแขนผมไว้บ้างแล้วเริ่มดึงให้ตามมันไป

                   “ปล่อย!!”

                   ถ้าให้เข้าไปตอนนี้ล่ะก็...! แกก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไงว่าแม่แกเกลียดขี้หน้าฉันก็ยังจะให้เข้าไปอีก!

                   “ใจเย็น ๆ นะทั้งสองคน!” แม่รีบเข้ามาดู

                   “คุณน้าครับ ผมเชิญคุณน้ามาทานข้าวเย็นด้วยกันตอนนี้เลยครับ”

                   ไอ้ธันบอก เหอะ! ทานข้าวเย็นด้วยกันหรอ  คงจะอร่อยน่าดูเลยนะ

                   “ปล่อยเว้ย!! ฉันไม่เข้าได้ยินไหม! แม่แกเกลียดฉันแล้วจะให้ฉันเข้าไปทำไปทำไม! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!!”

                   ผมดึงแขนตัวเองออกแรง ๆ พอหลุดมันเลยเปลี่ยนมาคว้าไหล่ผมแทนก่อนกระชากตัวให้ก้าวข้ามรั้วบ้าน  เมื่อกลางวันยังมึนไม่หายตกเย็นมาเจอกระชากอีกผมอยากจะล้มหัวพาดพื้นจริง ๆ

                   “เข้ามาก่อนสิ...ยู”

                   เสียงโทนเรียบไร้ซึ่งอารมณ์แผ่วออกมาจากริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงแกมม่วง  ผมหยุดกริยาดื้อดึงลงครู่หนึ่ง  มันเหมือนคำสาป... ทุกครั้งที่ผมเห็นร่างผอมบางของผู้หญิงคนนี้พร้อมกับเสียงนี้  ในใจผมมันเต็มไปด้วยความอึดอัด กระอักระอ่วนจนอยากจะหนีออกไปให้พ้นจากสายตาคู่นั้น 

                   ผมรู้ว่าเขาเกลียดผม และผมกำลังจะไปแล้วล่ะ..

                   “ปล่อยเถอะ..”

                   ผมบอกเสียงสั่นเครือ  เงยหน้าสบดวงตาสีนิลเจ้าของมือแกร่งอย่างอ้อนวอน  ไม่รู้ว่าเขาจะมาด่าว่าอะไรผมอีก  ผมดูเป็นคนผิดในสายตาเขามาตลอดเลย

                   “ฉันเคยปล่อยยูไปแล้ว...ครั้งนี้ฉันจะไม่ปล่อยอีกเด็ดขาด”

                   เสียงเข้มย้ำหนักแน่นพลางกระชับไหล่ผมไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง

                   “นี่เป็นโอกาสที่จะได้ปรับความเข้าใจกันนะยู  ฉันไม่อยากให้แม่และยูต้องผิดใจกันอีกแล้ว  การที่แม่ฉันออกปากชวนแบบนี้  ฉันเชื่อว่าแม่เองคงยอมจะคุยกับยู..เกี่ยวกับเรื่องนั้น”

                   “ฉันไม่อยากคุย! เราก็แค่ไม่ต้องเจอกันแบบเดิมแค่นั้น!”

                   “แค่นั้นหรอ!!”

                   ธันขึ้นเสียงจนผมสะดุ้ง  ผมไม่เคยเห็นใบหน้าของมันขึ้นสีแดงกร่ำแบบคนโกรธจัดแบบนี้เลย 

                   “กล้าหน่อยสิยู! นายจะกลัวอะไร!”

                   “ไม่รู้! แต่กูไม่ชอบการถูกกดดันเว้ย!”

                   เกลียดสายตาคู่นั้น  ถึงจะผ่านมาหลายปีแต่ผมยังไม่เคยลืมสายตาที่มองมายังผมอย่างแค้นเคือง  มันน่ากลัวจนผมถึงกับร้องไห้ออกมา  คำพูดกรอกหูที่ว่าผมเป็นคนผิดมันตอกย้ำว่าผมเคยทำให้ใครคนนึงเกือบตาย...มันเพราะผม

                   “ยู  มันไม่มีอะไรหรอกแม่ก็อยู่นี่แล้วไง”

                   มือนุ่มละมุนวางลงบนไหล่ผม  เสียงปลอบโยนคุ้นหูดังเข้าโสตประสาทผม 

                   ผมรู้ว่าแม่อยู่ข้างผมเสมอ..ตลอดมา  ทุกครั้งที่ผมรู้สึกไม่ดีและทุกครั้งที่ผมต้องเจอกับผู้หญิงคนนั้น

                   แม่โอบเอวผมพาเดินข้ามผ่านประตูรั้วเข้าไปจนถึงด้านในบ้าน  ผมมองไปยังผู้หญิงคนนั้นที่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้  แม่กดตัวผมให้นั่งลงตรงข้ามกับเธอคนนั้น

                   ผมลืมตัวชั่วขณะก็ลืมหายใจทุกที  เวลาผมรู้สึกดดันหรือเครียดมาก  ผมมักจะแน่นอกทุกทีเลย

                   “ธันตักข้าวสิลูก”

                   เธอสั่งลูกชาย  ธันโค้งเล็กน้อยก่อนเดินถือทัพพีตักข้าวใส่จานให้คนบนโต๊ะ

                   “วันนี้มีแต่ของชอบของยูนะ”

                   คนตัดข้าวแอบกระซิบข้างหูผม  พอไล่มองบนโต๊ะอาหาร  กับข้าวทุกอย่างล้วนดูน่ากินและอย่างที่มันบอก กับข้าวเหล่านี้เป็นของโปรดผมทั้งนั้น

                   “ไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานานแล้วนะคะ”

                   แม่ผมเป็นคนพูด  เหมือนจะเปิดประเด็นดีแต่ทั้งโต๊ะพากันเงียบกริบ  ผมมองหน้าแม่ส่งสายตาบอกความรู้สึกว่าผมน่ะอยากจะออกไปจากที่นี่แล้วล่ะ...

                   “ครับ  ไว้โอกาสหน้าผมจะเชิญมาบ่อย ๆ นะครับ”

                   “ไม่ต้องลำบากหรอก ขอบใจ”

                   ผมพูดตัดบทไอ้ธันอย่างไร้เยื่อใย  แม่ผมรีบฟาดมือลงบนแขนผมข้อหาปากไม่ดี เหอะ! จะให้มาอะไรกันบ่อย ๆ ผมไม่ได้ชอบที่นี่ซะหน่อยอึดอัดจะตาย!

                   “ทางนั้นคงจะลำบากใจที่ต้องมาร่วมโต๊ะอาหารที่บ้านนี้  มันอาจจะไม่อร่อยเท่าฝีมือคุณแม่ของยู  ต้องขอประทานโทษด้วยนะคะ”

                   “เอ่อ...ขอโทษแทนลูกชายด้วยนะคะคุณอมิตตา”

                   ดูเธอพูดเข้าสิ  อาหารรสชาติกร่อยลงไปเยอะเลย  ไม่อยากแตะเลยแหะอดใจกลับไปกินที่บ้านสบายใจกว่ากันเยอะ

                   “ทานเถอะครับ เดี๋ยวแกงจะหายร้อนเสียก่อน”

                   บอกแบบนั้นแต่คนมันไม่อยากกินนี่หว่า  คนอื่นเริ่มลงมือตักแกงใส่จาน  คงทีเพียงผมที่ยังนั่งนิ่งไม่ไหวติงจนกระทั่งหมูเด้งพร้อมน้ำซุปใสหอมถูกตักใส่จานผม

                   “กินสิยู”

                   ธันยิ้มให้ผม  แววตาฉายแววบางอย่าง...มันคือความผิดหวังเล็ก ๆ ซึ่งผมอยากจะเมินดวงตานั้นซะ  หึ ฉันทำอะไรให้นายผิดหวังหรอ ฉันจะไม่กินมันก็สิทธิของฉันนี่

                   “ยู เลิกทำหน้าไม่รับแขกแบบนนั้นได้แล้วนะ  ทำตัวดี ๆ สิ” แม่เริ่มดุผม

                   “ผมเหนื่อย  อยากไปนอนแล้ว”

                   อันที่จริงผมแค่ไม่อยากอยู่ที่นี่ 

                   “แม่บอกแล้วธัน  การทานอาหารร่วมกันมันไม่ทำให้อะไรดีขึ้น”

                   เธอหันมาสบตาผมก่อนเมินไปทางลูกชาย  ธันวางช้อนในมือลงพลางมองผมด้วยสายตาเรียบเฉย

                   “ยู ฉันขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”

                   “ฉันไม่อยากคุย”

                   “ถ้าไม่คุยกับฉัน งั้นก็คุยกับคุณแม่..”

                   “ทำไมชอบบังคับฉันนักห๊ะ!!”

                   ผมลุกพรวดตบโต๊ะดังปึ้ง  รำคาญ!! หงุดหงิด!! ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วพอซะที! เหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูกน่ะแหละ! พอกันทั้งคู่เลย!

                   “คนโน่นสั่งอย่าง! คนนี้สั่งอย่าง! ฉันก็ทำให้แล้วไงไม่พอใจอะไรกันอีกเล่า! บอกให้เลิกยุ่งกับไอ้ธัน! ก็เลิกยุ่งแล้วนี้ไง! พอมาวันนี้จะให้มาคุย! คุยอะไรล่ะ! จะย้ำอีกใช่ไหมว่าไม่ต้องมายุ่งกับลูกชายฉัน! ก็บอกแล้วว่าไม่ยุ่ง!! ถ้าเกลียดขี้หน้ากันมากนักก็ไม่ต้อง...!”

                  

                   ซ่า~

 

                   น้ำเย็นเฉียบถูกสาดใส่หน้าผมประหนึ่งมือนั้นได้ตบลงบนหน้าผม  ทุกคนต่างหยุดนิ่งไร้เสียงอืออึ้งใด ๆ ผมปราดมองมือขาวบางของผู้หญิงคนนั้นที่สั่นเกร็งกำแก้วไว้ราวกับจะบดละเอียดมันซะ  ผมจ้องเขม็งมายังผมด้วยดวงตาอาบน้ำอันไหลรินลงมาจากดวงตาของเธอเอง

                   “ต้องให้ฉันทำยังไง...ให้ฉันทำยังไง! ให้ฉันกราบขอโทษเธอใช่ไหมยู  เธอถึงจะยอมคุยกับฉันดี ๆ ได้”

                   เสียงสั่นเครือพูดผ่านริมฝีปากของเธอ  ผมสะอึกอยู่ในใจ  เมื่อได้มองดวงตาอันปราศจากความน่ากลัว  มันกลายเป็นดวงตาอันเจ็บปวด  น้ำตาเธอหลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย  ยิ่งทำร้ายจิตใจผม  ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้...ไม่ต้องการให้มากรอบขอโทษผมเสียหน่อย

                   “ฉันรู้ว่าฉันทำเรื่องเลวร้ายกับเธอ  แต่ที่ฉันทำไปฉันเป็นห่วงลูก...ฉันมีธันแค่คนเดียวที่เป็นครอบครัวที่เหลือของฉัน  ฉันยอมรับ...ฮึก..ว่าฉันมันบ้ามากเกินไปจนประสาทเสีย  ฉันคิดทบทวนว่าเมื่อไหร่ฉันจะให้อภัยเธอได้เสียที...แต่ความจริงฉันควรจะหาคำตอบว่า เมื่อไหร่เธอจะให้อภัยฉันเสียที  ฉันพยายาม....ฮือ...จะคุยดี ๆ กับเธอ  แต่สุดท้ายทิฐิของฉัน..ก็ทำลายตัวฉันและลูกฉัน... ฉันไม่กล้าจะพูดขอโทษเด็กอย่างเธอ..แต่วันนี้”

                   สองมือบอบบางยกขึ้นคู่กัน  เธอโน้มศีรษะลงกระนั้นผมจึงรีบวิ่งไปเก็บมือนั่นซะ  ผมไม่ได้ต้องการให้เขาทำถึงขั้นนี้เสียหน่อย!!

                   “พอ! พอเถอะครับ! ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้!”

                   มือสั่นรัวคู่นั้นจับไหล่ผมไว้  จ้องมองแววตาผมที่เคล้าคลอไปด้วยหยาดน้ำเม็ดใส  เธอยกมือลูบเส้นผมสีเข้มของผมไปมาไล้ลงไปที่ใบหน้าก่อนจะประคองหน้าผมไว้

                   “ฉันขอโทษ...ฮึก  ขอโทษ..ถึงเธอจะไม่ให้ภัยฉัน..แต่อย่าเกลียดธันได้ไหม ฮือ..ฉันขอร้องล่ะ อย่าเกลียดลูกฉันเลย!”

                   เธอเว้าวอนผมด้วยเสียงอันน่าสงสาร  ผมชักเริ่มเกลียดตัวเองขึ้นมาดื้อ ๆ มันรู้สึกไม่ดีเลยนะที่มีคนอายุมากว่ามาอ้อนวอนคร่ำครวญใส่แบบนี้

                   ธันเข้ามาประคองแม่ตัวเองไว้ไม่ให้เธอล้มพับ  ผมมองตามร่างสูงซึ่งอีกฝ่ายก็สบตากับผมพอดี

                   ...ผมเกลียดธันหรอ  ไม่รู้สิ ผมเริ่มสับสนตัวเองไปหมดแล้ว...

                   “อย่าโกรธ...อย่าเกลียดแม่ฉันเลยนะยู” ธันพูดกับผม

                   “....ฉัน..ฉันไม่โกรธหรอก  ฉันเองก็ต้องขอโทษทั้งนายแล้วก็แม่ของนายด้วย”

                   ขอโทษที่ทำให้แม่นายต้องมาร้องไห้เพราะฉันนะ  ฉันคงกลายเป็นคนบาปหนาไปแล้วล่ะ

                   “ไม่เป็นไรนะยู ไม่ต้องร้องลูก”

                   แม่เดินมาดึงผมไปกอด  น้ำตาที่ผมพยายามกลั้นไว้ก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้  ผมได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นพร่ำขอโทษไม่ขาดปาก  ผมหวังว่าพรุ่งนี้เราคงไม่กลับมาบาดหมางหรือเคลือบแคลงใจอะไรกันอีกนะ...ผมขอล่ะ ขอให้พรุ่งนี้เป็นการเริ่มใหม่ที่ดีของสองบ้านนี้นะ

 

 

                   ก๊อก ๆ

 

                   เสียงเคาะบานประตูกระจกตรงระเบียงดังขึ้น  เงาของใครบางคนปรากฏอยู่บนผ้าม่านสีอ่อนในห้องผม  คงเป็นใครไปไม่ได้

                   “มีอะไร”

                   พอเปิดประตูออกผมก็ถามร่างสูงใหญ่ที่ระเบียงทันที  ธันถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องก่อนนั่งลงบนเตียงยับยู่ยี่ของผม  ใบหน้าใสอมยิ้มเล็กน้อยอย่างมีความสุข...จะระรื่นเกินไปแล้ว

                   “จะนอนแล้วหรอ”

                   “เออ แต่มีโจรบุกเข้าห้องซะได้”

                   “ถ้าเป็นคนอื่นจะเปิดประตูรับไหม”

                   “รับหมดล่ะ”

                   มันลุกขึ้นรั้งเอวผมลงไปนั่งซ้อนบนหน้าตักมันทันทีที่ผมพูดจบ  ผมเบิกตาโตเกร็งตัว  เฮ้ย! นั่งตักผู้ชายมันไม่น่าขนลุกไปหน่อยหรอวะ!

                   “ไอ้ธัน!!”

                   มันทิ้งหัวลงพาดบนไหล่ของผมพลางเอียงใบหน้าคลอเคลียอยู่ข้างใบหู  ผมหลับตาปี๋ลงข้างหนึ่ง  อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาบหวิวไปทั้งร่าง  เมื่อลมหายใจอุ่นรดลงข้างหูอย่างจงใจ  ท่อนแขนกำยำรั้งร่างผมเข้าไปชิดอีกราวกับจะบีบให้ร่างทั้งสองรวมกันให้สนิท

                   “มึง...กูจั๊กจี๋”

                   “ฉันดีใจนะที่ยูกับแม่เข้าใจกันแล้ว”

                   ถ้าไม่มีคนประสานคอยช่วยล่ะก็  มันอาจจะไม่มีวันนี้ก็ได้

                   “...อีกอย่าง ยูไม่เกลียดฉันแล้วใช่ไหม”

                   ดวงตารียาวจ้องลึกลงมาในดวงตาของผม  ผมขยับตัวเล็กน้อย ไอ้บ้านี่มันกอดซะแน่นขนาดนี้กระดูกผมป่นเป็นพริกไทยพอดี

                   “กะ...ก็..ไม่ได้เกลียด”

                   ผมตอบเสียงเบา  ไม่ได้เกลียดแต่ก็ไม่ได้แปลว่าชอบนะเว้ย

                   คนฟังกระตุกยิ้มชวนฝันหล่อกระชากจนผมที่เป็นผู้ชายก็แอบใจละลายไป1/8  หล่อเชี่ยยย! รอบนี้กูยอมแพ้

                   “เกลียดตรงข้ามกับคำว่ารักนะรู้ไหม”

                   “รู้อะไร..อั่ก!”

                   มือใหญ่กดไหล่ผมลงแทบกับเตียงนุ่มอย่างรวดเร็วก่อนพลิกตัวขึ้นคร่อมบนร่างผมด้วยความว่องไว  ครันจะลุกหนีมือหนาก็ดึงแขนผมกดไว้เหนือศีรษะ 

                   ไม่ใช่ว่าผมยอมนะ! แต่ด้วยเรื่องทำเลและสรีระ ผมด้อยกว่ามันจริง ๆ ถ้ามันหน้ามืดปล้ำขึ้นมาจริง ๆ มีหวังเหมืองทองผมโดนปล้นแน่!

                   “จะทำอะไร!”

                   ปลายจมูกซุกซนกดลงบนแก้มผมจบยุบยวบลงไป  ก่อนลากไปตามข้างผิวสีอ่อนไล่ไปขบเม้มหยอกเย้าติ่งหู  ดูดกลืนเข้าไปก่อนใช้ลิ้นโลมเลียมันราวกับเป็นของอร่อย  อ๊ากกก สยิวเว้ย!!

                  

                   ~จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอมเธอคือความสุขของฉัน ถ้าเธอไม่รับมัน ให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม~

 

                   ริงโทนเข้ากับบรรยากาศชิบหาย  ไม่รู้สึกโกรธคนโทรเลยนะแบบว่า ได้จังหวะพอดีผมไม่โดนขุดเหมืองทองแน่

                   “รับดิ” ผมบอก

                   มันเลิกคิ้วทำหน้าเซ็ง  ส่วนผมก็หายใจโล่งไปเปราะหนึ่งที่มันยอมลุกไปนั่งบนเตียงแทน

                  

                   ~หากสุดท้ายเธอไม่เปลี่ยนใจ ไม่เป็นไรใจฉันก็ไม่ยอมถ้ารอให้ฉันหยุดหัวใจ~

                  

                   เสียงเพลงหยุดไปพร้อมกับร่างสูงที่เคลื่อนเข้ามาใกล้...ใกล้จนใบหน้านั่นลอยห่างอยู่แค่คืบ  ผมไม่กล้าจะสบดวงตาสีเข้มนั่นโดยตรงจึงได้แต่หลบตามองไปยังริมฝีปากได้รูปแทน  กลายเป็นว่าการกระทำนั้นเป็นการยั่วยวนให้อีกฝ่ายคืบคลานเข้ามาครอบครองริมฝีปากผมอย่างง่ายดาย

                   เพียงไม่กี่วินาทีริมฝีปากนุ่มก็ละออกไปอย่างแผ่วเบา  จึงเริ่มร่ายมนต์สะกดผมให้หัวใจผมเต้นแรงด้วยการร้องท่อนที่เหลือต่อให้จบ

                   “....คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน....”

                  

                  

                  

               ปลายสายตัดสายทิ้งสร้างความร้อนใจให้คนโทร  ไม่ว่าจะอย่างไรธันไม่เคยตัดสายเธอทิ้งแต่ครั้งนี้มันแปลกประหลาดกว่าเคย  และเวลาต่อมาข้อความเฉลยข้อสงสัยก็ถูกส่งมาให้เธอ  เธอไล่อ่านมันพลางขมวดคิ้วเรียวสวยเข้าหากัน

                   /ฉันอยู่กับยู ถ้ามีอะไรไลน์มาแล้วกัน/

                   มือสวยกำมือถือไว้แน่น  เธอยากจะร้องกรี๊ดดัง ๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยธันจะออกอาการหลงผู้ชายหน้าตาจืดชืดแบบนั้น

                   “ยูนี่นายอยากลองดีกับฉันใช่ไหม!”ั

 

 

++++++++++++++++++++++++++++++++

ลงวันนี้นะคะ พรุ่งนี้ไม่อยู่อ่า ฮ่าๆ ไม่อยากดราม่านาน ฮืออ

เอาเป็นแนวหวานไปแทนแล้วกันนะคะ><

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา