30 days for youสามสิบวันของผมกับนายเจ้าหนี้ตัวร้าย

10.0

เขียนโดย enzang2660

วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.42 น.

  16 บท
  3 วิจารณ์
  19.85K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 10.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทนำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทนำ

 

               ครืด~

 

                   ตุ้บ!

 

                   ลังกระดาษหนักอึ่งตกกระแทกพื้นอย่างแรง  โชคดีที่ “ยู” ชักขาหลบทัน  ไม่อย่างนั้นกระดูกเท้าเขาคงแหลกไม่มีชิ้นดีเหมือนกับจิ้งจกผู้เคราะห์ร้ายตัวนี้

                   “กรรม โทษนะๆ อโหสิให้ด้วย”

                   ยูประนมมือสำนึกผิด  เพราะกล่องมันหนักเกินไปยิ่งยกลงจากที่จึงเป็นเรื่องยากลำบาก

                   “ถ้าจะอาฆาตแค้นก็ไปอาฆาตแม่นะ  ถ้าแม่ไม่ให้ฉันทำความสะอาดห้องล่ะก็...แกคงไม่ตาย”

                   พูดอาลัยอาวรณ์พลางสวดส่งดวงวิญญาณจิ้งจกน้อยไปสู่สรวงสรรค์

                   “บ่นอะไรหือ? ยู รีบๆเก็บเข้าแล้วเอาขยะไปวางหน้าบ้านได้แล้ว  รถขนขยะจะมาแล้ว”

                   ผู้เป็นแม่ยืนเท้าเอวมองลูกชายจอมอืดอาดของตน  กลอกตามองไปรอบห้องนอนก็แทบจะปาดน้ำตาด้วยความปลื้มปิติที่ลูกชายเปลี่ยนโกดังขยะให้กลับมาเป็นห้องนอนเสียที

                   “อย่าให้รกแบบนี้อีกนะ”

                   “ครับ~”

                   “เอาขยะไปทิ้งเสร็จก็มากวาดห้อง ถูห้องให้เรียบร้อยนะ”

                   “โอ่! ถูห้องด้วยหรอ!”

                   ยูร้องอวดครวญ  เกลียดที่สุดก็ตอนบิดผ้าถูพื้นเนี่ยแหละ!

                   “อะไร! แค่นี้เอง  ห้องแกไม่ใช่หรอหรือจะให้แม่ทำ!”

                   “แม่ทำให้ยูหน่อยสิครับ~ นะๆ”

                   “โตเป็นควายแล้วยังต้องใช้แม่อีกหรอหะ!”

                   “เพราะแม่แช่งผมแบบนี้ไงผมถึงได้โตเป็นควายจริง ๆ”

                   ติดตรงที่ไถนาไม่ได้แค่นั้น  แต่สมงสมอง...อ้า ไม่อยากจะเอาสมองขี้เลื่อยไร้คุณค่าของตัวเองไปเปรียบกับควายเลย  สงสารควาย..

                   “จัดการให้เรียบร้อย  เดี๋ยวแม่จะมาดูใหม่”

                   พูดจบคุณแม่ก็ละออกจากห้องไป  ยูกุมขมับสรุปเขาต้องถูเองจริงๆสินะ แม่นะแม่หมดรักลูกชายแสนน่ารักคนนี้เสียแล้วหรือไร  เขาสะบัดหัวไปมาอย่างน้อยใจ  หอบลังกระดาษเดินไปวางที่หน้าบ้านตนเอง 

                   “ดี”

                   เสียงเอ่ยทักเรียบๆดังมาจากข้าง ๆ เมื่อวางกล่องเสร็จเขาก็ไม่คิดจะสนคนที่เอ่ยทัก  ก็รู้อยู่แล้วว่าคนทักน่ะเป็นใคร  ก็คนนั้น ๆ คือเพื่อนบ้านที่ “เคย” เป็นเพื่อนของเขาน่ะสิ  ยูเดินเชิดหน้าเข้าบ้านตัวเองเขาไม่อยากเจอ “ธัน” อีกแล้ว  ไม่พบกันซะตั้งแต่แรกเกิดเลยดีกว่า!!

 

                   ธันลอบมองตามแผ่นหลังที่หายเข้าบ้านไป  เดิมทีความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่นแฟ้นเหมือนกับเชือกป่าน  ต่อให้ใครมาจับแยกออกจากกันก็ยังเกาะติดกันเป็นแตงเมเหมือนเดิม  แต่จู่ความสัมพันธ์ก็กลายเป็นเพียงกระดาษแก้วธรรมดา  ที่บางเบาและเบาะบาง  สุดท้ายมันก็ขาดออกจากกันในที่สุด 

                   ...ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ยูหมางเมินเขา...         

                  

                   พรุ่บ!

 

                   แผ่นกระดาษสีลายตารางแบบเรียนสีขุ่นปลิวตกอยู่ข้างขาเขา  เขาหยิบมันขึ้นมาอ่านลายมือยึกยือตามฉบับเด็กประถม  ตัวอักษรสีเทาดูลางเลือนแต่พอจับใจความเนื้อหาที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้นได้   ธันขยับยิ้มมีเลศนัยก่อนเก็บกระดาษแผ่นเก่านั้นลงในกระเป๋าเสื้อตัวเอง

                  

 

                   เจออีกแล้ว! อ่อ! ลืมไปมันกับผมอยู่บ้านติดกันก็ต้องเจอกันเป็นธรรมดาสินะ  ลืมอีก! ผมชื่อยูครับ   แนะนำแค่นี้น่าจะพอนะ  วันนี้ทั้งวันผมวันเวียนอยู่กับห้องตัวเองเดี๋ยวกวาดเดี๋ยวถู  ถูไม่ดีแม่ขึ้นมาด่า  เดินเสียงดังแม่ก็ขึ้นมาด่า บ่นเบา ๆ กับตัวเองดูสิ แม่ผมก็ยังได้ยินเลยขึ้นมาด่า! เฮ้อ วันนี้หูชาแน่ 

                   “ยูเอาเนื้อกระป๋องให้เปากินหน่อยสิลูก”

                   ผมพยักหน้ารับคำสั่งแม่อย่างเหนื่อย ๆ นี่ผมต้องมาเป็นคนรับใช้หมาอีก  หมาผู้ดีด้วยกินแพงกว่าผมซะอีก

                   “กินประหยัด ๆ หน่อยนะ อ้วนจนคอหายหมดแล้ว”

                   ผมแซวเจ้าหมาหน้าย่นตัวสั้นป้อม  หรือมันไม่มีคอตั้งแต่แรก  มันฉลาดนะครับรู้ว่าโดนแซวมันก็งับขากางเกงผม

                   “อ๊าก! ไอ้ซาลาเปา!”

                   น้ำลายหรือน้ำราดหน้าวะเนี่ย  เวรกรรม ๆ

                   “ยูหยิบน้ำแดงให้แม่หน่อย”

                   “ครับ”

                   ผมลำดับคำสั่งใหม่แล้วเดินไปหยิบน้ำแดง  เจ้าซาลาเปาก็เดินตามผมต้อย ๆ ผมเลยแงะกระป๋องอาหารวางไว้ให้มันกินที่พื้นแล้วค่อยหยิบน้ำแดงไปให้แม่

                   “แม่ครับน้ำแดง”

                   “ไม่เอาล่ะ เออ ยูแม่ไปข้างนอกก่อนนะ”

                   แม่ลุกพรวดหูยังคาโทรศัพท์  ผมเลยอดสงสัยไม่ได้ว่ามันมีอะไรสำคัญหรือเปล่า

                   “แม่ไปไหน!” ผมถามเหมือนเด็กอนุบาล

                   “ลิลลี่ที่เอามาให้เจ้าเปาทับคราวที่แล้วคลอดลูกแล้ว!”

                   แม่พูดด้วยน้ำเสียงดีใจ  ยิ่งกว่าตอนผมบอกว่าสอบได้เกรด 3.5 เสียอีก

                   “แม่รีบไปก่อนนะ  ฝากบ้านด้วยล่ะ”

                   ผมพยักหน้ารับ  เดินออกไปยืนส่งแม่ขับรถออกไป  ทีวันประชุมผู้ปกครองแม่ผมยังไม่ค่อยจะไปเลย  นี่หมาคลอดลูกแม่ไปทันทีเลย  เฮ้อ  ยูเอ้ยแพ้แม้แต่หมาชีวิต....

                   “นี่ลูกพี่จะเป็นพ่อหมาแล้วนะครับ” ผมเอ่ยกับเจ้าเปา

                   พวกแกคงไม่ยกโขยงครอบครัวมาแย่งความรักจากแม่ฉันไปอีกใช่ไหม  แค่นี้ฉันก็หมาหัวเน่า ๆ จนหนอนขึ้นแล้วเนี่ย อิจฉาหมาเว้ย!

 

                   ติ๊งหน่อง!

 

                   ใครมากดออด  ผมชะโงกดูแต่ก็ไม่เห็นเลยตัดสินใจเดินไปที่หน้าประตูรั้วเพื่อเปิดต้อนรับใครบางคน 

                   “ดี”

                   ผมมองใบหน้าหล่ออย่างกับดาราหลุดออกมาจากนิตยาสาร  โครงหน้าค่อนไปทางตะวันออกรับกับปาก หู จมูก ตาที่ฟ้าสรรค์สร้างมาให้อย่างพอดี  เพื่อเกิดมาเป็นศัตรูกับมนุษย์เพศชายทุกคนบนโลกนี้

                   “ฉันมีเรื่อง...”

                   ไม่รอให้เจ้านั่นพูดจบผมก็ปิดประตูกระแทกหน้าแขกทันที

                  

                   ครืด~

 

                   มือใหญ่ถือวิสาสะเลื่อนบานประตูออกแล้วดึงไหล่ผมให้พลิกตัวไปเผชิญหน้ากับเขา   ผมนิ่วหน้าประหนึ่งกลั้นตดอยู่  ถามออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ว่า

                   “มีไร!”

                  

                   พรึ่บ!

 

                   กระดาษแผ่นเหลือง ๆ ถูกยื่นมาจ่อหน้าผมแทนคำตอบ  ผมอ่านลายมือตัวเต็มบรรทัดสีจางอย่างช้า ๆ

/.............สัญญายืมเงิน 10 บาท………..

ผู้ให้ยืม ลงชื่อ ด.ช.ธันวา ธนะสุขสวัสดิ์

ผู้ยืม ลงชื่อ ด.ช. ยุรนัน  อนันต์ไพศาล

ลงวันที่ XX/XX/XX

*ดอกวันละ 10 บาท/

                   นี่มันสัญญากู้ยืมเงินสมัยตอนป.1นี่!!  ตอนนั้นผมอ่านไม่ออกว่ามันคืออะไร  ธันมันบอกให้ผมเขียนชื่อลงไปถ้าจะยืมเงินมันไปซื้อยำยำช้างน้อย

                   “เอามาให้ดูทำไม” ผมถาม

                   “นายติดเงินฉัน นายต้องจ่ายคืน”

                   “เออ ๆ 10 บาทเอง  ไปเอาตังค์ก่อน”

                   “อ่านบรรทัดสุดท้ายดี ๆ สิ”

                   “ดอกวันละ 10 บาท”

                   หือ?  วันล่ะ 10 เลยหรอ  เฮ้ย! นี่มันผ่านมา 1...2...3   12 ปีได้แล้วนะ  คูณ 365 วันเข้าไป  ผมนี่นั่งกับพื้นเอาถ่านมาเขียนกับพื้นเลย  มันเท่าไหร่กันวะเนี่ย

                   “44,420 บาท ณ วันนี้ ฉันใจดีปัดเหลือ 44,000 แล้วกัน”

                   “ใจดีอะไรของแก!”

                   ผมโยนถ่านทิ้ง  เงินมันเยอะขนาดนั้นใครจะไปมีปัญญาหามาจ่ายวะ!  เออ.... แล้วทำไมผมต้องจ่ายล่ะ  ไม่เป็นจำเป็นเลยสัญญากิ๊กก๊อกแบบนั้น

                   “โทษที  แต่ฉันไม่จ่าย  จบไหม!”

                   “แต่นายติดหนี้ฉัน”

                   “แล้วไง  นายจะฟ้องร้องฉันด้วยไอ้เศษกระดาษนั่นหรอ”

                   ผมยักคิ้วอย่างท้าทาย  มันคงไม่บ้าเอากระดาษนั่นไปยื่นฟ้องผมฐานเบี้ยวชำระเงินหรอกนะ  ขำตายเลย

                   “อะไรที่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ใช้เป็นหลักฐานได้ทั้งนั้น  นายลงชื่อเองกับมือ”

                   “ไม่สน! ของแบบนี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก  แล้วนึกไงถึงมาไถ่เงินชาวบ้านเขาเนี่ยห๊ะ!”

                   ผมรู้ว่ามันเป็นพวกหัวหมอ ก็มันเรียนกฎหมายนี่  ยังไม่ทันทำมาหากินเลยเอากฎหมายมาใช้ขูดรีดประชาชนคนหน้าตาดีอย่างผมเสียแล้ว!

                   “จะไม่จ่ายใช่ไหม”

                   ผมเลิกคิ้ว  แคะหู แงะขี้เล็บทำท่าทางเป็นผู้ฟังที่ดี  หมอนั่นทำหน้าเหมือนเอือมผม  แล้วไงล่ะครับผมไม่แคร์มันหรอก เชอะ!

                   “ไม่จ่าย ยังไงก็ไม่จ่าย! อย่าหวังว่าฉันจะให้แม้แต่แดงเดียวเลย!”

                   ผมสะบัดก้นจ้ำเท้าเข้าบ้านอย่างไม่ใยดี  สักพักก็ได้ยินเสียงตัวเองดังขึ้นมาจากด้านหลัง

                   ~ไม่จ่าย ยังไงก็ไม่จ่าย! อย่าหวังว่าฉันจะให้แม้แต่แดงเดียวเลย!~

                   ผมหันควับ  มันจะอัดเสียงไว้ทำไม  อย่าบอกนะว่าจะเอาไปฟ้องจริง ๆ

                   “เฮ้ย! ทำอะไรของแกวะ!”

                   “เก็บหลักฐานไง  นายกำลังบ่ายเบี่ยงที่จะไม่ชดใช้เงินให้ฉันเองนะ  เอาล่ะวันนี้ฉันหมดธุระแล้ว เจอกันที่ศาลนะ”

                   ใบหน้าหล่อเลิกคิ้วกวนโทสะผมก่อนโบกมืออำลา เฮ้ย! เอาจริงดิ! แค่ยืมเงินสิบบาทเนี่ยนะจะขึ้นศาลเลยหรอ

                   “เรื่องแค่นี้อ่ะนะจะขึ้นศาล!”

                   “ใช่ ทำไมหรอ เอ๊ะ! หรือเกิดกลัวขึ้นมาว่าฉันจะฟ้องนาย”

                   ผมกัดปากจ้องมันอย่างเคือง ๆ ยิ่งมันทำหน้าระรื่นมานี่อยากถอดรองเท้าปาใส่หน้ามันจริง ๆ ถึงผมจะโง่ระดับสมองทาก  แต่เรื่องกฎหมายผมก็เคยเรียนมาบ้างตอนม.ปลาย  แล้วมันก็มีอยู่คดีนึงที่คล้ายกับตัวผมในขนาดนี้มาก ฝ่ายเจ้าหนี้เขียนจดหมายท้วงเงินลูกหนี้ทุกวันๆ จนลูกหนี้รำคาญเลยเขียนกลับว่าไม่จ่ายเว้ย นั่นแหละครับเจ้าหนี้ก็เอาจดหมายฉบับนั้นไปขึ้นฟ้องศาลเลย

                   “ผ่อนได้ไหม”

                   “จะเอาเดี๋ยวนี้”

                   “จะบ้าหรอ! เงินตั้งสี่หมื่นกว่าบาทจะไปหาจากไหน!”

                   ต่อให้ผมขายตับไตไส้พุงจนหมดก็ใช่ว่าจะได้สี่หมื่นเสียหน่อย  ขายแถมสมองยังไม่รู้จะมีคนเอาหรือเปล่า  แต่สภาพสดใหม่แกะกล่องมากนะจะบอกให้เพราะผมไม่ค่อยได้ใช้...

                   จริงสิ! แต่ถ้าไม่มีสัญญาฉบับนั้นมันก็ไม่มีหลักฐานอะไรไปฟ้องเอาเงินจากผมได้นี่  โอ้ย! ยูเอ้ย! ทำไมเกิดมาฉลาดแบบนี้ ฮ่าๆ

                   “ขอดูสัญญาหน่อย ฉันต้องดูให้แน่ใจว่านายไม่ได้ปลอม”

                   “ได้ เอาตัวก็อบปี๊ไป”

                   “เอาของจริงดิ!”

                   “คิดว่าฉันโง่หรอ  เอาไปนายก็ฉีกน่ะสิ”

                   อะไรกันจะให้ผมคนนี้ฉลาดกว่าเด็กนิติบ้างไม่ได้หรอ โว้ย! หมดหนทางแล้ว แย่งเอาแล้วกัน!

                   “บอกก่อนนะ ถ้าคิดจะแย่งไปจากมือฉัน ฉันเตะก้านคอนายแน่”

                   มันพูดอย่างกับอ่านใจผมได้  คำว่าก้านคอที่มันจงใจเน้นทำเอามือผมไม่มีเรี่ยวมีแรงขยับขึ้นมาทันที  เหอะ ๆ อย่าคิดว่าคาราเต้สายดำแล้วผมจะกลัวนะ .....โคตรกลัวเลยต่างหาก อย่าทำเค้าเลยนะ เค้าตัวเล็กแค่นี้เตะไปก็เสียแรงเปล่า  สองทีก็กระอักเลือดแล้ว

                   “ทำไมต้องใจร้ายกับฉันนัก ห๊ะ!”

                   “อย่ามาดราม่า ไม่สงสารหรอก”

                   “ไม่ได้ดราม่าเว้ย!”

                   “อยากผ่อนใช่ไหม”

                   “อืม วันละสิบบาทได้ไหมล่ะ”

                   “งั้นนายคงได้เป็นหนี้ฉันทั้งชาติเลยล่ะ”

                   “แล้วจะให้ทำไงล่ะ ฉันไม่ได้รวยนะเว้ย!”

                   แล้วแกรวยอยู่แล้วจะมาไถเงินเพื่อนบ้านตาดำ ๆ อย่างฉันทำไมวะ!

                   “เห็นว่าเรารู้จักกันมานาน”

                   ผมล่ะอยากจะสวนกลับว่า “หรอ?” ก็ต้องยั้งปากไว้  อย่าโพล่งออกไปเชียวเดี๋ยวมันได้ก้านคอผมสลบแน่

                   “ฉันไม่เอาเงินนายแล้ว”

                   “หล่อโคตร”

                   ชมมันเข้าไว้ ๆ มันจะได้ไม่เปลี่ยนใจทีหลัง

                   “แต่นายต้องมาเป็นแฟน”

                   คำพูดนั้นทำให้ผมปิดประตูรั้วดังปั้ง! และในไม่กี่วินาทีต่อมาลูกถีบจากคนหน้าประตูก็ช่วยเปิดประตูผมออกอีก

                   “มึงจะถีบทำไม!”

                   ผมร้องเสียงหลง มันก้าวเท้าเข้ามาในอาณาเขตบ้านของผมด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์  ผมรีบถอยกรูด  มันเองก็สาวเท้าเข้ามาหาผมติด ๆ

                   “บุกรุก ๆ กูแจ้งตำรวจจับมึงนะเว้ย! ”

                   “ไม่มีมารยาทเอาซะเลยนะ กล้าปิดประตูใส่หน้าฉันหรอ”

                   “ก็ใครใช้ให้มึงเสนออะไรบ้าๆแบบนั้นล่ะ!”

                   “โอเค เจอกันที่ศาล”

                   “ม่ายยยยยย”

                   ผมดึงชายเสื้อคนที่กำลังหันหลังจะกลับบ้านตัวเอง  โอ้ย! หลายปีที่ไม่ได้คุยกันไม่คิดว่ารสนิยมมันจะเปลี่ยนไปขนาดนี้  ไม่เห็นแก่ใบหน้าหล่อๆของตัวเอง ก็เห็นแก่ทรัพยากรผู้ชายที่มีอยู่อย่างจำจัดเถอะ แกจะหันมากินผู้ชายกันเองทำไม

                   “รั้งไว้นี่จะเอาใช่ไหม”

                   “เอาอะไร!”

                   อย่ามาพูดจาสองแง่สองง่ามสิวะ ไอ้บ้านี่!

                   “เป็นแฟนฉัน”

                   “นี่เรียนมาจนสมองเพี้ยนไปแล้วหรือไง”

                   “งั้นขึ้นศาล!”

                   “เฮ้ย! ไม่เอา”

                   “งั้นขึ้นเตียง!”

                   “เออ”

                   โล่งอกไปทีไม่ต้องขึ้นศาล  ดีนะแค่ขึ้นเตียง  เฮ้อ...

                   “อ่ะ! ไอ้บ้า! ขึ้นเตียงอะไร ไม่เว้ย!”

                   โน! ก้นผมกำลังมีอันตราย ไม่นะ ใครก็ได้เอามันไปถ่วงอ่าวไทยที

                   “จ่ายสี่หมื่นกว่า กับเป็นแฟนฉัน 30 วัน จะเลือกอะไร”

                   มันทำหน้าจริงจังพลางยื่นเข้ามาหาผม  ผมนี่ถอยหลังไปสามเมตรเลย  เอาไงดีวะ  ทางไหนก็มีแต่เสียกับเสีย  เป็นตัวเลือกที่ตัดสินใจยากจริง ๆ เลย

                   “แค่ 30 วันใช่ไหม”

                   “ถ้าพอใจจะเป็นนานกว่านั้นก็ได้”

                   “ไม่เป็นไร แค่สูดอากาศร่วมกับแก ระบบในร่างกายฉันก็แปรปรวนไปหมดแล้ว”

                   “ขึ้นศาล!”

                   “พอ! เป็นๆ จบไหม!”

                   เอะอะขึ้นศาล! ถ้าอยากจะไปเยี่ยมพ่อแกที่เป็นอัยการแกก็ไปคนเดียวสิวะ  โอ้ย! ปวดประสาท!

                   “ตกลงแล้วนะ”

                   “เออ”

                   “ฉันไม่ได้บังคับนายนะ”

                   ไม่ได้บังคับแต่โคตรฝืนใจเลยหว่ะ! ผมได้แต่กัดฟันลอกหินปูนในปากออก  ส่วนมันก็ยิ้มกรุ่มกริ่มคงพอใจในคำตอบแล้วล่ะมั้ง

                   “เจอกันพรุ่งนี้”

                   “ไสหัวไปได้แล้ว”

                   “ครับคุณแฟน”

                   มันพูดเสียงเรียบแต่ยกคิ้วสูงเป็นเชิงท้าทายอำนาจร็อกไวเลอร์ในปากผม  เย็นไว้ๆ เขาบอกยิ่งโมโหหน้ายิ่งแก่เร็ว

                   “แกมีสิทธิเรียกฉันได้แค่ 30 วันเท่านั้นแหละ”

                   พอหลังจากนั้นแกกับฉันก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม  และ 30 วันแห่งการใช้หนี้ของผมกับนายตัวร้ายก็เริ่มขึ้น  หวังว่าพรุ่งนี้มันคงไม่คิดแกล้งอะไรผมนะ.....คงจะเป็นไปได้หรอกเนอะ เหอะๆ

 

 

 

                  

                  

 

 ************************************

ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ  หวังว่าจะมีคนเข้ามาอ่านนะ><

ติชมได้นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา