รักนะติวเตอร์
9.5
เขียนโดย ธาริน
วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 12.12 น.
7 ตอน
0 วิจารณ์
9,509 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 12.20 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) ขอบใจนะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ วันนี้เป็นวันหยุดของฉันแท้ๆแต่ไม่ได้พักผ่อนเลยสักนิด ผ้าก็พึ่งจะได้ซักจะแห้งไหมก็ไม่รู้ ถ้าไม่แห้งพรุ่งนี้ฉันต้องได้ใส่ชุดเดิมแน่ๆ ฉันแหงนหน้ามองฟ้าที่ตอนนี้ก้อนเมฆกำลังจับกลุ่มกันเป็นก้อนสีเทาๆ ตั้งเค้าจะตกแล้วสินะ TT ก่อนหน้านี้ทำไมไม่ตกมาตกอะไรวันฉันซักผ้า ตากผ้าไปบ่นไป นี่ฉันแก่จนต้องมานั่งบ่นแล้วเหรอเนี่ย
ตากผ้าเสร็จฉันก็เข้าไปดูทีวี ใกล้จะสอบคัดเลือกแล้วแท้ๆแต่ฉันก็ยังทำตัวประหนึ่งสอบชาติหน้า ฉันเหลือบมองกองหนังสือตรงหน้าที่ขนมาตั้งไว้ก่อนจะไปตากผ้า ตั้งใจไว้ว่าตากผ้าเสร็จจะเข้ามาอ่านแต่ผ่านไปสิบนาทีแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่ามือของฉันมันจะยื่นไปหยิบมาเปิดดูเนื้อหาข้างในสักเล่ม - - ทีวีที่เปิดไว้ก็ยังทำหน้าที่ของมันได้ดีเสียงเจื้อยแจ้วประหนึ่งนกแก้วนกขุนทองกำลังท่องบทอาขยาน หรือบางทีฉันควรปิดนะเผื่อสมาธิฉันจะกลับมาสถิตที่ตัวบ้าง
พรึบบบบ!!!
ฉันตัดสินใจปิดทีวีแล้วหันไปหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอย่างจริงๆจังๆสักที ขืนมัวแต่รอตานั่นคงไม่ไปไหนมาไหนแน่ จะพึ่งได้จริงไหมก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น อตฺตาหิ อตฺตาโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน สู้ๆขิงน้อย เย่!!
TENSE 12 ประการ...Present Simple Tense Present Continuous Tense ...
พรึ่บบบ!!
ไม่ใช่เสียงฉันปิดหนังสือแต่อย่างใด ไฟดับบบบบบบบ!!
ดีจริงๆดับวันฉันอยู่คนเดียวเนี่ย ไหนจะเวลาโพล้เพล้แบบนี้อีก หยึยยย ไฟฉายก็อยู่บนห้อง งือออ หนูกลัวความมืดดดดดดด แม่จ๋าพ่อจ๋า TT ฉันใช้มือควานหาโทรศัพท์ที่จำได้ว่าวางไว้ข้างๆอย่างเต็มที่โดยไม่คิดจะลืมตาที่หลับไปพร้อมๆกับตอนที่ไฟดับ อยู่ไหนอ่ะทำไมหาไม่เจอสักที จะร้องจริงๆแล้วนะ TT
กริ๊งงงงงงงงงง!!
พระเจ้า!! ขอบคุณที่แกรู้ว่าฉันกำลังตามหาเลยส่งสัญญาณมา ไม่สิ!? มีคนโทรเข้าต่างหาก - - ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะดูหน้าจอว่าใครโทรมา
‘ฟินิกซ์’
หมอนั่นโทรมาทำไม?
“ว่าไง”
(นั่นเป็นคำทักทายของคนที่ยังไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันหรือไง)
“หึ ไม่รู้จักมักคุ้นแต่ชวนไปเลือกของแถมยังกินข้าวด้วยกันมื้อนึงเนี่ยนะ อีกอย่างคำทักทายนี่ก็ดูจะเหมาะกับนายดีออก”
(อืม ช่างเถอะขี้เกียจต่อปากต่อคำ)
“ขี้เกียจต่อปากต่อคำ แล้วก่อนหน้านี้ใครเริ่มมิทราบ”
(อืมนั่นล่ะ แล้วนี่ทำอะไรอยู่?)
“คุยโทรศัพท์กับนายไง”
จริงด้วยเกือบลืมไปเลย ฉันจะขึ้นไปเอาไฟฉายนี่นา ฉันดึงโทรศัพท์ออกจากหูก่อนจะเปิดลำโพงแล้วใช้ไฟที่หน้าจอทำหน้าที่เป็นไฟฉายชั่วคราว ขึ้นไปตอนที่ยังคุยกับตานี่อยู่น่าจะดีกว่าขึ้นไปเงียบๆคนเดียวนะ การที่หมอนั่นชวนคุยอาจทำให้ฉันหายกลัวไปบ้างก็ได้
ช่วยได้มาก - - ไฟจากหน้าจอช่วยได้มาก ไม่ได้สว่างมากกว่าเดิมเลยแต่ก็ดีกว่าไม่มี หวังว่าความเคยชินที่อยู่บ้านหลังนี้มาห้าหกปีคงช่วยได้น่ะนะ ฉันค่อยๆเดินออกจากห้องนั่งเล่นเพื่อขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง...
โอ๊ะ!!!! โอยยยยย
(นี่! เป็นอะไร ขิงๆ ได้ยินฉันไหมขิง ขิงๆๆๆ)
โอยยยย เจ็บชิบ ฉันนิ่วหน้าเพราะความเจ็บที่เท้า ถลอกไหมก็ไม่รู้ งืออออ ร้องไห้มันเลยดีไหมล่ะ
(ขิงได้ยินฉันไหม ตอบสิ)
“ได้ยินดิ ตะโกนลั่นซะขนาดนั้น”
เปาะแปะๆๆ เอ๊ะเสียงอะไรอย่าบอกนะว่า...ฝนตก!? ซ่า!! อยู่คนเดียว ไฟดับ เท้าชนบันได ฝนตกตอนมืดๆ มีอะไรจะให้ขิงน้อยคนนี้อีกไหมคะ ฉันไปทำความชั่วอะไรไว้เหรอ? ทำไมชีวิตฉันต้องมาเผชิญอะไรแบบนี้ตอนอยู่คนเดียวววว ฮืออออ TTT_TTT
(แล้วตอนแรกทำไมไม่ตอบ)
“เจ็บอยู่ไม่มีอารมณ์ นายมีอะไรไหมถ้าไม่มีเดี๋ยวจะได้วาง”
(ไม่มี...อยู่บ้านคนเดียวใช่ไหม)
ไม่มีแต่ถามต่อนี่คือ?
“ไม่ใช่ธุระของนาย”
(แล้วประตูใหญ่ที่หน้าบ้านได้ล็อกไหม)
นี่คือไม่มีอะไร - -
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ธุระ แค่นี้นะ”
ติ๊ด!! บอกตรงๆตอนแรกก็กะจะให้คุยเป็นเพื่อนน่ะนะ แต่มันไม่ไหวจริงๆ
ฉันเปิดแฟลชข้างหลังโทรศัพท์เป็นไฟส่องทางเพื่อขึ้นไปบนห้อง แผลที่เท้าฉันไม่ดูหรอกตอนนี้มันไม่ค่อยเจ็บเท่าตอนแรกเท่าไหร่คงไม่ใช่แผลใหญ่อะไร และอีกอย่างถ้าจะให้ดูตอนนี้ก็ยังทำใจไม่ได้ กลัวเลือดตัวเอง ปกติเป็นแผลทีไรฉันก็วิ่งแจ้นไปหาแม่ตลอดแต่ตอนนี้แม่ไม่อยู่ก็ปล่อยมันไว้แบบนี้ล่ะ
พอเริ่มก้าวขึ้นเท่านั้นล่ะฉันถึงได้รู้ว่ามันไม่ได้ทุเลาจากตอนแรกที่ชนเลย เจ็บทุกย่างก้าวด้วยซ้ำ ฉันพยายามเดินขึ้นบันไดมาอย่างทุลักทุเลเจ็บจนอยากร้องไห้ ดีนะที่ห้องไม่ไกลจากบันได พอมาถึงห้องฉันคิดว่าฉันจะไม่ลงไปข้างล่างแล้วล่ะ เจ็บ TT
“ขิง!! ขิง”
ใครเรียก? ...แต่ฝนตกแบบนี้ใครจะมากัน พ่อกับแม่กลับมาแล้วเหรอ? ฉันชะเง้อมองนอกหน้าต่างมองออกไปที่โรงรถก็ไม่มีรถนี่นา แล้วใครกันล่ะ บ้านก็ล็อกประตูใหญ่แล้วนี่นา หรือว่า...
“ขิง ขิง !!”
ฉันเริ่มกระถดตัวไปที่หัวเตียง เตรียมดึงผ้าห่มมาคลุมโปง แต่...เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นก่อน
กริ๊งงงงงงง!!
“นายมีอะไรอีก”
(เธออยู่ไหน?)
“บ้านสิถามได้ ฝนตกแบบนี้จะให้ออกไปเดินเล่นสวนสาธารณะหรือไงกัน”
(หยุดกวนได้ไหม แล้วอยู่ส่วนไหนของบ้าน)
“จะอยู่ส่วนไหนมันก็เรื่องของฉันไหม?”
เดี๋ยวๆ เสียงเมื่อกี้กับเสียงนี้มัน... ไม่ใช่หรอกมั้ง อาจจะบังเอิญแต่เสียงหายไปแล้วนะ
(บนห้องใช่ไหม?)
“ถามจริงเป็นอะไรของนาย ตั้งแต่เมื่อกี้นี้ละ ถามนู่นถามนี่ยังกะเป็นห่วงฉันงั้นแหละ”
(ไม่ได้เป็นอะไร ใคร...ใครเป็นห่วง อย่ามาขี้ตู่น่า ว่าแต่เป็นอะไรมากไหมที่ร้องลั่นเมื่อกี้)
“ไม่มีอะไรมากหรอกแค่สะดุดบันไดแค่นั้น”
(อาฮะ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แล้วจะบอกได้ยังว่าอยู่ส่วนไหนของบ้าน)
“แล้วทำไมฉันต้องบอกนาย”
(ฉันรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น)
“ฮะ!! ว่าไงนะห้องนั่งเล่น อย่ามาอำเล่นน่า”
(อำอะไรล่ะ เพื่อนเล่นหรือไงบอกมาว่าอยู่ไหน)
“นายนี่มันยังไงกัน เมื่อกี้เสียงนายเหรอ?”
(อืม จะบอกไหม ไม่บอกฉันขึ้นไปข้างบนนะ)
“เฮ้ยยย!! จะบ้าเหรอไม่ได้นายไม่ต้องขึ้นมาเดี๋ยวลงไปเอง”
ติ๊ด
ยึ่ยยยยย !! ฉันยู่หน้าใส่โทรศัพท์ บุกเข้ามาบ้านคนอื่นแล้วยังจะมาสั่งนู่นสั่งนี่อีก เห็นฉันเป็นนักโทษในควบคุมหรือไงกัน คิ้วฉันเริ่มขมวดเข้าหากันในขณะที่กำลังคิดว่าจะลงหรือไม่ลงดี ยิ่งมืดๆอยู่ด้วย ลง ไม่ลง ลง ไม่ลง ลง ไม่ลง ละ...
กริ๊งงงงงง!!
เอาอีกแล้วไง อะไรนักหนาเนี่ยฮะ!!
“จะลงไปแล้วๆ”
(ให้ไว)
“อืม”
ฉันหยิบไฟฉายในห้องเพื่อส่องทางลงไปข้างล่าง จังหวะที่ยืนขึ้นรู้สึกเจ็บหนึบที่ข้อเท้าเกือบลืมไปเลยว่าเป็นแผล ทำไมมันรู้สึกมันทั้งตึงทั้งเจ็บแบบนี้ล่ะ TT
ในที่สุดฉันก็หอบสังขารลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายจนได้ ฉันใช้โต๊ะ ตู้ที่ตั้งอยู่แถวๆนั้นเป็นราวเฉพาะกิจเพื่อเดินไปยังห้องนั่งเล่น ระหว่างที่ฉันกำลังจะเดินไปถึงไฟก็มาพอดี บังเอิญไปนะ - - ฉันอยู่บนห้องตั้งนานไม่ติดพึ่งมาติดอะไรตอนนี้ ฉันเกาะที่ขอบประตูห้องแล้วชะโงกหน้าเข้าไปดูว่ามีคนอยู่ในนั้นไหม บางทีหมอนั่นอาจจะล้อเล่นก็ได้ ค่ำมืดแบบนี้เขาจะมาบ้านฉันด้วยเหตุผลอะไรกัน อีกอย่างบ้านเขาอยู่แถวนี้เหรอ? หมอนั่นต้องล้อเล่นแน่ๆ ฉันก็ไม่น่าบ้าจี้เล่นด้วยเลยยิ่งเจ็บๆแผลอยู่
ทำไมห้องนั่งเล่นกลายเป็นสีขาวโพลนแบบนี้ล่ะ แล้วไอ้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆนี่มาจากไหนกัน จำได้ว่าในบ้านไม่มีใครใช้กลิ่นนี้นะ อีกแล้วเหรอ ความคิดที่ผุดขึ้นมาว่าอาจจะเป็นสิ่งนั้นน้ำในตาก็เริ่มเอ่อทันที TT
“จะมองอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”
สิ้นเสียงฟินิกซ์ฉันถึงกับสะดุ้งโหยง เกือบปล่อยมือจากขอบประตูไปแล้วไหมล่ะ ไอ้ที่ขาวโพลนเมื่อกี้นี้คือ...เสื้อหมอนี่นี่เอง
“แหะๆ” ฉันเงยหน้าขึ้นไปยิ้มแห้งๆให้เขา “นายมาจริงเหรอ?”
“เห็นเป็นวิญญาณหรือไงล่ะ แล้วขานั่นไม่คิดจะทำแผลหรือไง”
ฟินิกซ์ชี้มือไปที่ข้อเท้าของฉัน ซึ่งมันทำให้ฉันเผลอมองตามและก็เจอเข้ากับแผลที่มีเลือดซึมอยู่เต็มๆตา แม่จ๋า TT ฉันหลับตาปี๋ ในใจนี่แทบจะร้องออกมาไม่น่าลืมตัวมองตามมือหมอนั่นเลย
“ทำไมทำหน้าเหมือนจะร้องแบบนั้นล่ะ”
“ฉัน...ฉันกลัวเลือด” งืออออ ฉันตอบฟินิกซ์ทั้งที่ไม่ลืมตา
“เด็กน้อยยย โตจนป่านนี้แล้วยังไม่หายเหรอ?”
ใครเด็กกัน? ไม่ต้องมาทำเสียงแบบนั้นเลยยยย
“ถ้าได้กลัวแล้วโตจนแก่ฉันก็ไม่หายหรอก”
“ฮะๆมาเดี๋ยวทำแผลให้”
ฉันรู้สึกเหมือนฟินิกซ์จับแขนฉันอยู่นะ
“ลืมตาได้แล้ว จะเดินทั้งที่ไม่ลืมตาแบบนั้นหรือยังไง”
อะอ่อ ลืมตา ฉันค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นและก็สบตาเข้ากับตาคู่นั้นจังๆ ไหนจะยิ้มน้อยบนริมฝีปากนั้นอีก รู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว ขาแทบอ่อนเป็นอะไรไปนะ ไหนจะหัวใจที่เต้นโครมครามนี่อีก เกิดพิสวาสหมอนั่นขึ้นมาหรือไง หยึยยยยย ฉันส่ายหน้าสะบัดความคิดบ้าๆนั่นในขณะที่ฟินิกซ์ยังคงจ้องฉันอยู่
“เห็นเลือดตัวเองแล้วทำให้สติกระเจิงขนาดนี้เลยเหรอ”
ฟินิกซ์ถามกระเซ้าแหย่ ไม่เกี่ยวกับเลือดสักหน่อย นายนั่นล่ะตัวดี
“เปล่า แล้วนี่จะพาไปนั่งได้ยัง เมื่อไหร่จะได้ทำแผล”
ฉันแกล้งกลบเกลื่อนทวงเรื่องที่เขาจะทำแผลให้เพื่อจะได้พ้นจากสถานการณ์ตรงนี้เสียที ส่วนเรื่องทำแผลนั่นก็ไม่ได้อยากให้ทำให้เลยนะ เอามาอ้างไปงั้น - -
“ยื่นเท้ามา”
ฟินิกซ์ออกคำสั่งพลางยื่นมือมาจับที่ข้อเท้าฉัน
“เอาจริงเหรอ”
“เห็นเล่นขายของอยู่หรือไง”
แงงงงงงงง แผลฉันจะอักเสบกว่าเดิมเพราะเขาไหมเนี่ย
“กลัวเจ็บ นายทำแผลเป็นจริง?”
หน้าฉันตอนนี้แทบจะร้องออกมาอยู่แล้ว ทำไมวันนี้มันมีแต่เรื่องที่ทำให้อยากร้องไห้ออกมาให้ได้อย่างนี้นะ
“ไม่เป็นแล้วจะเสนอตัวทำไม ไม่ใช่พวกชอบโชว์ออฟต่อหน้าสาวสักหน่อย”
ฟินิกซ์พูดพร้อมกับหยิบยาในกล่องปฐมพยาบาลออกมา
“ถ้ากลัวเจ็บก็หลับตา ทำยังกับไม่เคยงั้นล่ะ ทำไมถึงได้สมองปลาทองนักก็ไม่รู้ ตั้งแต่เด็กจนโตใช่ว่าไม่เคยเล่นซนจนได้แผลแล้วต้องทำแผลสักหน่อย”
“กลัวเจ็บแล้วเกี่ยวไรกับสมองปลาทอง”
“ช่างเหอะ ไม่ได้อยากให้ได้ยินสักหน่อยแค่บ่นคนเดียว”
ฉันเห็นฟินิกซ์กำลังหยิบแอลกอฮอล์เทลงบนสำลี ไม่รอดแล้วล่ะ TT ก้มหน้ารับชะตากรรมเถอะนะขิงครั้นจะให้วิ่งหนีก็คงไม่ไหว
“ถ้าไม่อยากให้ได้ยินก็คิดในใจไหมล่ะ พูดทำไม”
เอาจริงๆนะ จุดประสงค์ตอนแรกที่ต่อปากต่อคำอยู่เนี่ยก็เพื่อถ่วงเวลา แต่ดูเหมือนมันไม่ได้ผลเลยสักนิด
“หลับตาแล้วก็เงียบไป”
ต้องหลับจริงๆเหรอ? ฉันยังคงลืมตาแป๋วจ้องหน้าเขาอยู่เหมือนเดิม
“งั้นก็ดูเลยไหมล่ะ”
ฟินิกซ์ยกเท้าฉันขึ้นสูงอีกนิด ตอนนั้นฉันรีบหลับตาปี๋กลัวว่าจะเห็นแผลตัวเองอีกรอบ
“ความรู้สึกคนอื่นควรเอามาเล่นไหมล่ะ ก็รู้อยู่ว่ากลัว”
หลังจากที่โดนแกล้งครั้งนี้หน้าฉันซีเรียสขึ้นมาทันที ปมด้อยคนอื่นไม่สนุกนะ
“ขอโทษๆ ถ้ากลัวก็หลับตาไปสิ ที่บอกให้หลับก็เพราะรู้ว่ากลัวไง จะยอมหลับได้ยัง”
ฉันยอมหลับตาอีกครั้ง ไม่นานฟินิกซ์ก็ทำแผลเสร็จ ฉันมองผ้าก๊อตที่พันปิดแผลเอาไว้ หมอนี่ทำเป็นจริงๆ? ไวไปนะบางที แต่ก็ถือว่าโอเค ดีกว่านานฉันอาจขาดใจตายก่อนเพราะกลัวเจ็บ
“ขอบใจนะ”
ฉันพูดในตอนที่ฟินิกซ์เอากล่องยาไปเก็บ เพราะถ้าให้พูดต่อหน้ามันดูเขินๆยังไงชอบกล กัดกันแทบจะทุกเวลาให้มาพูดแบบนี้มันขัดๆน่ะ
“ไม่เป็นไรหรอก ชินละ”
“ชินอะไร” ฉันขมวดคิ้วอีกครั้ง
“ช่วยจนชินละ”
“อะไรพึ่งครั้งแรกเองเหอะ”
“เรื่องติวไง”
“อ่ะ ครั้งที่สอง”
“เธอนี่มันสมองปลาทองจริงๆ”
ฟินิกซ์ส่ายหัวเบาๆก่อนจะนั่งลงโซฟาข้างๆฉัน
“คำก็ปลาทอง สองคำก็ปลาทอง รู้แล้วว่าไม่ฉลาดความจำไม่ดีไม่ต้องย้ำก็ได้ แล้วนี่...มาบ้านฉันทำไม มาได้ไง บ้านนายอยู่แถวนี้เหรอ?”
“ตอบคำถามไหนก่อนดี เยอะจัง”
ฟินิกซ์ตอบหน้ายิ้มระรื่น
“กวนส้นไหมล่ะ”
“หยาบคาย ไม่น่ารักเลยนี่ถ้าเป็นน้องนะจะจับตีก้นให้เข็ด”
“โอ้ยยยยย ฟินิกซ์!!”
ฉันยกมือขึ้นมากุมขมับสองข้าง เมื่อกี้ยังเป็นคนดีผู้ชายสุขุมทำแผลให้อยู่เลย แล้วแค่ชั่วข้ามวินาทีทำไมถึงได้กวนส้นแบบนี้
“เสียงดังทำไมอยู่กันแค่สองคน”
“แล้วจะกวนประสาทกันทำไม? ตอบมา!!”
“ฮะๆ ตอบแล้วก็ได้ ใจร้อนจังวัยรุ่น”
“ไม่ได้ชราเหมือนนาย”
“นี่จะตอบแล้วอย่าขัดดิ เอาคำถามแรกนะ ที่มาเพราะไฟดับ เห็นอยู่คนเดียวแถมยังสะดุดบันไดจนได้แผลอีก คำถามที่สองเดินมาน่ะใกล้ๆเอง ส่วนคำถามสุดท้ายบ้านฉันอยู่ข้างบ้านเธอไง”
คำตอบแต่ละอัน... ให้เลยสามคำ เล่น อะ ไร เดี่ยวนะ...ข้างบ้านงั้นเหรอ?
“ไม่เชื่อ?”
“ไม่รู้ดิ ขี้เกียจคิดละ ง่วง”
“ไหงเป็นงั้น แล้วจะให้ตอบทำไม”
“ชีวิตนายต้องมีเหตุผลทุกการกระทำเลยหรือไงกัน”
“ยังไม่พูดแบบนั้นสักหน่อย”
ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำละ
“เปิดทีวีให้หน่อย” ฟินิกซ์ชี้นิ้มมาที่ตัวเองเป็นเชิงถามว่าฉันเหรอ? ฉันคิดว่าอย่างนั้นน่ะนะ “เจ็บเท้าอยู่ไหมล่ะ ป่วย คนป่วยน่ะ”
ฟินิกซ์ยิ้มกรั้วหัวเราะ ก่อนจะเดินไปเปิดทีวีให้ พอดีเลย นี่ฉันเกือบลืมไปเลยนะว่าวันนี้มีรายการเพลงของอปป้า
“ชอบมาก?”
“หน้าตาแบบนี้เกลียดมั้ง” ดูก็รู้ทำไมต้องถาม ไม่ชอบก็บอกให้เปิดหนีแล้วดิ แล้วนั่นนั่งดูตาแป๋วยังกะเด็กสามขวบกำลังดูสารคดีสัตว์โลก ไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องหรือไง ดึกแล้วนะ
“กลับบ้านไหมล่ะ?”
ฉันมองหน้าฟินิกซ์ก่อนชี้ไปที่ประตู
“หมดประโยชน์แล้วก็ไล่”
รู้ตัวอีก
“แล้วจะอยู่ทำไม”
“ไม่มีเหตุผล”
“เอ๊ะ!! ไม่มีเหตุผลก็กลับไปเลยไปเลยยยยย”
“ก็จะอยู่อ่ะ”
“ฟินิกซ์ ขอร้องล่ะนะเลิกกวนประสาทได้ไหม เหนื่อย เหนื่อยมาก อยากพักผ่อนคนเดียว ง่วงแล้วจะนอน เข้าใจนะ”
ฟินิกซ์กับฉันยังจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น มาดูกันศึกนี้ใครจะชนะ
“อ่ะๆ กลับก็ได้” ฮ่าๆๆ ในที่สุดก็ชนะ “ล็อคบ้านดีๆอยู่คนเดียวอ่ะ”
“อืม รู้แล้วน่า”
ฉันโบกมือลาฟินิกซ์ก่อนที่หมอนั่นจะปิดประตูพร้อมล็อคลูกบิดจากข้างในให้ มีน้ำใจเหมือนกันนิ หลังจากนี้ฉันก็จะได้อยู่อย่างสงบสักที วินึงเหลือบไปเห็นกองหนังสือ เอ่ออออ ฉันกระพริบตาปริบๆ
ไว้วันหลังโน้ะ :)"
ตากผ้าเสร็จฉันก็เข้าไปดูทีวี ใกล้จะสอบคัดเลือกแล้วแท้ๆแต่ฉันก็ยังทำตัวประหนึ่งสอบชาติหน้า ฉันเหลือบมองกองหนังสือตรงหน้าที่ขนมาตั้งไว้ก่อนจะไปตากผ้า ตั้งใจไว้ว่าตากผ้าเสร็จจะเข้ามาอ่านแต่ผ่านไปสิบนาทีแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่ามือของฉันมันจะยื่นไปหยิบมาเปิดดูเนื้อหาข้างในสักเล่ม - - ทีวีที่เปิดไว้ก็ยังทำหน้าที่ของมันได้ดีเสียงเจื้อยแจ้วประหนึ่งนกแก้วนกขุนทองกำลังท่องบทอาขยาน หรือบางทีฉันควรปิดนะเผื่อสมาธิฉันจะกลับมาสถิตที่ตัวบ้าง
พรึบบบบ!!!
ฉันตัดสินใจปิดทีวีแล้วหันไปหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอย่างจริงๆจังๆสักที ขืนมัวแต่รอตานั่นคงไม่ไปไหนมาไหนแน่ จะพึ่งได้จริงไหมก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น อตฺตาหิ อตฺตาโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน สู้ๆขิงน้อย เย่!!
TENSE 12 ประการ...Present Simple Tense Present Continuous Tense ...
พรึ่บบบ!!
ไม่ใช่เสียงฉันปิดหนังสือแต่อย่างใด ไฟดับบบบบบบบ!!
ดีจริงๆดับวันฉันอยู่คนเดียวเนี่ย ไหนจะเวลาโพล้เพล้แบบนี้อีก หยึยยย ไฟฉายก็อยู่บนห้อง งือออ หนูกลัวความมืดดดดดดด แม่จ๋าพ่อจ๋า TT ฉันใช้มือควานหาโทรศัพท์ที่จำได้ว่าวางไว้ข้างๆอย่างเต็มที่โดยไม่คิดจะลืมตาที่หลับไปพร้อมๆกับตอนที่ไฟดับ อยู่ไหนอ่ะทำไมหาไม่เจอสักที จะร้องจริงๆแล้วนะ TT
กริ๊งงงงงงงงงง!!
พระเจ้า!! ขอบคุณที่แกรู้ว่าฉันกำลังตามหาเลยส่งสัญญาณมา ไม่สิ!? มีคนโทรเข้าต่างหาก - - ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะดูหน้าจอว่าใครโทรมา
‘ฟินิกซ์’
หมอนั่นโทรมาทำไม?
“ว่าไง”
(นั่นเป็นคำทักทายของคนที่ยังไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันหรือไง)
“หึ ไม่รู้จักมักคุ้นแต่ชวนไปเลือกของแถมยังกินข้าวด้วยกันมื้อนึงเนี่ยนะ อีกอย่างคำทักทายนี่ก็ดูจะเหมาะกับนายดีออก”
(อืม ช่างเถอะขี้เกียจต่อปากต่อคำ)
“ขี้เกียจต่อปากต่อคำ แล้วก่อนหน้านี้ใครเริ่มมิทราบ”
(อืมนั่นล่ะ แล้วนี่ทำอะไรอยู่?)
“คุยโทรศัพท์กับนายไง”
จริงด้วยเกือบลืมไปเลย ฉันจะขึ้นไปเอาไฟฉายนี่นา ฉันดึงโทรศัพท์ออกจากหูก่อนจะเปิดลำโพงแล้วใช้ไฟที่หน้าจอทำหน้าที่เป็นไฟฉายชั่วคราว ขึ้นไปตอนที่ยังคุยกับตานี่อยู่น่าจะดีกว่าขึ้นไปเงียบๆคนเดียวนะ การที่หมอนั่นชวนคุยอาจทำให้ฉันหายกลัวไปบ้างก็ได้
ช่วยได้มาก - - ไฟจากหน้าจอช่วยได้มาก ไม่ได้สว่างมากกว่าเดิมเลยแต่ก็ดีกว่าไม่มี หวังว่าความเคยชินที่อยู่บ้านหลังนี้มาห้าหกปีคงช่วยได้น่ะนะ ฉันค่อยๆเดินออกจากห้องนั่งเล่นเพื่อขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง...
โอ๊ะ!!!! โอยยยยย
(นี่! เป็นอะไร ขิงๆ ได้ยินฉันไหมขิง ขิงๆๆๆ)
โอยยยย เจ็บชิบ ฉันนิ่วหน้าเพราะความเจ็บที่เท้า ถลอกไหมก็ไม่รู้ งืออออ ร้องไห้มันเลยดีไหมล่ะ
(ขิงได้ยินฉันไหม ตอบสิ)
“ได้ยินดิ ตะโกนลั่นซะขนาดนั้น”
เปาะแปะๆๆ เอ๊ะเสียงอะไรอย่าบอกนะว่า...ฝนตก!? ซ่า!! อยู่คนเดียว ไฟดับ เท้าชนบันได ฝนตกตอนมืดๆ มีอะไรจะให้ขิงน้อยคนนี้อีกไหมคะ ฉันไปทำความชั่วอะไรไว้เหรอ? ทำไมชีวิตฉันต้องมาเผชิญอะไรแบบนี้ตอนอยู่คนเดียวววว ฮืออออ TTT_TTT
(แล้วตอนแรกทำไมไม่ตอบ)
“เจ็บอยู่ไม่มีอารมณ์ นายมีอะไรไหมถ้าไม่มีเดี๋ยวจะได้วาง”
(ไม่มี...อยู่บ้านคนเดียวใช่ไหม)
ไม่มีแต่ถามต่อนี่คือ?
“ไม่ใช่ธุระของนาย”
(แล้วประตูใหญ่ที่หน้าบ้านได้ล็อกไหม)
นี่คือไม่มีอะไร - -
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ธุระ แค่นี้นะ”
ติ๊ด!! บอกตรงๆตอนแรกก็กะจะให้คุยเป็นเพื่อนน่ะนะ แต่มันไม่ไหวจริงๆ
ฉันเปิดแฟลชข้างหลังโทรศัพท์เป็นไฟส่องทางเพื่อขึ้นไปบนห้อง แผลที่เท้าฉันไม่ดูหรอกตอนนี้มันไม่ค่อยเจ็บเท่าตอนแรกเท่าไหร่คงไม่ใช่แผลใหญ่อะไร และอีกอย่างถ้าจะให้ดูตอนนี้ก็ยังทำใจไม่ได้ กลัวเลือดตัวเอง ปกติเป็นแผลทีไรฉันก็วิ่งแจ้นไปหาแม่ตลอดแต่ตอนนี้แม่ไม่อยู่ก็ปล่อยมันไว้แบบนี้ล่ะ
พอเริ่มก้าวขึ้นเท่านั้นล่ะฉันถึงได้รู้ว่ามันไม่ได้ทุเลาจากตอนแรกที่ชนเลย เจ็บทุกย่างก้าวด้วยซ้ำ ฉันพยายามเดินขึ้นบันไดมาอย่างทุลักทุเลเจ็บจนอยากร้องไห้ ดีนะที่ห้องไม่ไกลจากบันได พอมาถึงห้องฉันคิดว่าฉันจะไม่ลงไปข้างล่างแล้วล่ะ เจ็บ TT
“ขิง!! ขิง”
ใครเรียก? ...แต่ฝนตกแบบนี้ใครจะมากัน พ่อกับแม่กลับมาแล้วเหรอ? ฉันชะเง้อมองนอกหน้าต่างมองออกไปที่โรงรถก็ไม่มีรถนี่นา แล้วใครกันล่ะ บ้านก็ล็อกประตูใหญ่แล้วนี่นา หรือว่า...
“ขิง ขิง !!”
ฉันเริ่มกระถดตัวไปที่หัวเตียง เตรียมดึงผ้าห่มมาคลุมโปง แต่...เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นก่อน
กริ๊งงงงงงง!!
“นายมีอะไรอีก”
(เธออยู่ไหน?)
“บ้านสิถามได้ ฝนตกแบบนี้จะให้ออกไปเดินเล่นสวนสาธารณะหรือไงกัน”
(หยุดกวนได้ไหม แล้วอยู่ส่วนไหนของบ้าน)
“จะอยู่ส่วนไหนมันก็เรื่องของฉันไหม?”
เดี๋ยวๆ เสียงเมื่อกี้กับเสียงนี้มัน... ไม่ใช่หรอกมั้ง อาจจะบังเอิญแต่เสียงหายไปแล้วนะ
(บนห้องใช่ไหม?)
“ถามจริงเป็นอะไรของนาย ตั้งแต่เมื่อกี้นี้ละ ถามนู่นถามนี่ยังกะเป็นห่วงฉันงั้นแหละ”
(ไม่ได้เป็นอะไร ใคร...ใครเป็นห่วง อย่ามาขี้ตู่น่า ว่าแต่เป็นอะไรมากไหมที่ร้องลั่นเมื่อกี้)
“ไม่มีอะไรมากหรอกแค่สะดุดบันไดแค่นั้น”
(อาฮะ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แล้วจะบอกได้ยังว่าอยู่ส่วนไหนของบ้าน)
“แล้วทำไมฉันต้องบอกนาย”
(ฉันรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น)
“ฮะ!! ว่าไงนะห้องนั่งเล่น อย่ามาอำเล่นน่า”
(อำอะไรล่ะ เพื่อนเล่นหรือไงบอกมาว่าอยู่ไหน)
“นายนี่มันยังไงกัน เมื่อกี้เสียงนายเหรอ?”
(อืม จะบอกไหม ไม่บอกฉันขึ้นไปข้างบนนะ)
“เฮ้ยยย!! จะบ้าเหรอไม่ได้นายไม่ต้องขึ้นมาเดี๋ยวลงไปเอง”
ติ๊ด
ยึ่ยยยยย !! ฉันยู่หน้าใส่โทรศัพท์ บุกเข้ามาบ้านคนอื่นแล้วยังจะมาสั่งนู่นสั่งนี่อีก เห็นฉันเป็นนักโทษในควบคุมหรือไงกัน คิ้วฉันเริ่มขมวดเข้าหากันในขณะที่กำลังคิดว่าจะลงหรือไม่ลงดี ยิ่งมืดๆอยู่ด้วย ลง ไม่ลง ลง ไม่ลง ลง ไม่ลง ละ...
กริ๊งงงงงง!!
เอาอีกแล้วไง อะไรนักหนาเนี่ยฮะ!!
“จะลงไปแล้วๆ”
(ให้ไว)
“อืม”
ฉันหยิบไฟฉายในห้องเพื่อส่องทางลงไปข้างล่าง จังหวะที่ยืนขึ้นรู้สึกเจ็บหนึบที่ข้อเท้าเกือบลืมไปเลยว่าเป็นแผล ทำไมมันรู้สึกมันทั้งตึงทั้งเจ็บแบบนี้ล่ะ TT
ในที่สุดฉันก็หอบสังขารลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายจนได้ ฉันใช้โต๊ะ ตู้ที่ตั้งอยู่แถวๆนั้นเป็นราวเฉพาะกิจเพื่อเดินไปยังห้องนั่งเล่น ระหว่างที่ฉันกำลังจะเดินไปถึงไฟก็มาพอดี บังเอิญไปนะ - - ฉันอยู่บนห้องตั้งนานไม่ติดพึ่งมาติดอะไรตอนนี้ ฉันเกาะที่ขอบประตูห้องแล้วชะโงกหน้าเข้าไปดูว่ามีคนอยู่ในนั้นไหม บางทีหมอนั่นอาจจะล้อเล่นก็ได้ ค่ำมืดแบบนี้เขาจะมาบ้านฉันด้วยเหตุผลอะไรกัน อีกอย่างบ้านเขาอยู่แถวนี้เหรอ? หมอนั่นต้องล้อเล่นแน่ๆ ฉันก็ไม่น่าบ้าจี้เล่นด้วยเลยยิ่งเจ็บๆแผลอยู่
ทำไมห้องนั่งเล่นกลายเป็นสีขาวโพลนแบบนี้ล่ะ แล้วไอ้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆนี่มาจากไหนกัน จำได้ว่าในบ้านไม่มีใครใช้กลิ่นนี้นะ อีกแล้วเหรอ ความคิดที่ผุดขึ้นมาว่าอาจจะเป็นสิ่งนั้นน้ำในตาก็เริ่มเอ่อทันที TT
“จะมองอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”
สิ้นเสียงฟินิกซ์ฉันถึงกับสะดุ้งโหยง เกือบปล่อยมือจากขอบประตูไปแล้วไหมล่ะ ไอ้ที่ขาวโพลนเมื่อกี้นี้คือ...เสื้อหมอนี่นี่เอง
“แหะๆ” ฉันเงยหน้าขึ้นไปยิ้มแห้งๆให้เขา “นายมาจริงเหรอ?”
“เห็นเป็นวิญญาณหรือไงล่ะ แล้วขานั่นไม่คิดจะทำแผลหรือไง”
ฟินิกซ์ชี้มือไปที่ข้อเท้าของฉัน ซึ่งมันทำให้ฉันเผลอมองตามและก็เจอเข้ากับแผลที่มีเลือดซึมอยู่เต็มๆตา แม่จ๋า TT ฉันหลับตาปี๋ ในใจนี่แทบจะร้องออกมาไม่น่าลืมตัวมองตามมือหมอนั่นเลย
“ทำไมทำหน้าเหมือนจะร้องแบบนั้นล่ะ”
“ฉัน...ฉันกลัวเลือด” งืออออ ฉันตอบฟินิกซ์ทั้งที่ไม่ลืมตา
“เด็กน้อยยย โตจนป่านนี้แล้วยังไม่หายเหรอ?”
ใครเด็กกัน? ไม่ต้องมาทำเสียงแบบนั้นเลยยยย
“ถ้าได้กลัวแล้วโตจนแก่ฉันก็ไม่หายหรอก”
“ฮะๆมาเดี๋ยวทำแผลให้”
ฉันรู้สึกเหมือนฟินิกซ์จับแขนฉันอยู่นะ
“ลืมตาได้แล้ว จะเดินทั้งที่ไม่ลืมตาแบบนั้นหรือยังไง”
อะอ่อ ลืมตา ฉันค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นและก็สบตาเข้ากับตาคู่นั้นจังๆ ไหนจะยิ้มน้อยบนริมฝีปากนั้นอีก รู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว ขาแทบอ่อนเป็นอะไรไปนะ ไหนจะหัวใจที่เต้นโครมครามนี่อีก เกิดพิสวาสหมอนั่นขึ้นมาหรือไง หยึยยยยย ฉันส่ายหน้าสะบัดความคิดบ้าๆนั่นในขณะที่ฟินิกซ์ยังคงจ้องฉันอยู่
“เห็นเลือดตัวเองแล้วทำให้สติกระเจิงขนาดนี้เลยเหรอ”
ฟินิกซ์ถามกระเซ้าแหย่ ไม่เกี่ยวกับเลือดสักหน่อย นายนั่นล่ะตัวดี
“เปล่า แล้วนี่จะพาไปนั่งได้ยัง เมื่อไหร่จะได้ทำแผล”
ฉันแกล้งกลบเกลื่อนทวงเรื่องที่เขาจะทำแผลให้เพื่อจะได้พ้นจากสถานการณ์ตรงนี้เสียที ส่วนเรื่องทำแผลนั่นก็ไม่ได้อยากให้ทำให้เลยนะ เอามาอ้างไปงั้น - -
“ยื่นเท้ามา”
ฟินิกซ์ออกคำสั่งพลางยื่นมือมาจับที่ข้อเท้าฉัน
“เอาจริงเหรอ”
“เห็นเล่นขายของอยู่หรือไง”
แงงงงงงงง แผลฉันจะอักเสบกว่าเดิมเพราะเขาไหมเนี่ย
“กลัวเจ็บ นายทำแผลเป็นจริง?”
หน้าฉันตอนนี้แทบจะร้องออกมาอยู่แล้ว ทำไมวันนี้มันมีแต่เรื่องที่ทำให้อยากร้องไห้ออกมาให้ได้อย่างนี้นะ
“ไม่เป็นแล้วจะเสนอตัวทำไม ไม่ใช่พวกชอบโชว์ออฟต่อหน้าสาวสักหน่อย”
ฟินิกซ์พูดพร้อมกับหยิบยาในกล่องปฐมพยาบาลออกมา
“ถ้ากลัวเจ็บก็หลับตา ทำยังกับไม่เคยงั้นล่ะ ทำไมถึงได้สมองปลาทองนักก็ไม่รู้ ตั้งแต่เด็กจนโตใช่ว่าไม่เคยเล่นซนจนได้แผลแล้วต้องทำแผลสักหน่อย”
“กลัวเจ็บแล้วเกี่ยวไรกับสมองปลาทอง”
“ช่างเหอะ ไม่ได้อยากให้ได้ยินสักหน่อยแค่บ่นคนเดียว”
ฉันเห็นฟินิกซ์กำลังหยิบแอลกอฮอล์เทลงบนสำลี ไม่รอดแล้วล่ะ TT ก้มหน้ารับชะตากรรมเถอะนะขิงครั้นจะให้วิ่งหนีก็คงไม่ไหว
“ถ้าไม่อยากให้ได้ยินก็คิดในใจไหมล่ะ พูดทำไม”
เอาจริงๆนะ จุดประสงค์ตอนแรกที่ต่อปากต่อคำอยู่เนี่ยก็เพื่อถ่วงเวลา แต่ดูเหมือนมันไม่ได้ผลเลยสักนิด
“หลับตาแล้วก็เงียบไป”
ต้องหลับจริงๆเหรอ? ฉันยังคงลืมตาแป๋วจ้องหน้าเขาอยู่เหมือนเดิม
“งั้นก็ดูเลยไหมล่ะ”
ฟินิกซ์ยกเท้าฉันขึ้นสูงอีกนิด ตอนนั้นฉันรีบหลับตาปี๋กลัวว่าจะเห็นแผลตัวเองอีกรอบ
“ความรู้สึกคนอื่นควรเอามาเล่นไหมล่ะ ก็รู้อยู่ว่ากลัว”
หลังจากที่โดนแกล้งครั้งนี้หน้าฉันซีเรียสขึ้นมาทันที ปมด้อยคนอื่นไม่สนุกนะ
“ขอโทษๆ ถ้ากลัวก็หลับตาไปสิ ที่บอกให้หลับก็เพราะรู้ว่ากลัวไง จะยอมหลับได้ยัง”
ฉันยอมหลับตาอีกครั้ง ไม่นานฟินิกซ์ก็ทำแผลเสร็จ ฉันมองผ้าก๊อตที่พันปิดแผลเอาไว้ หมอนี่ทำเป็นจริงๆ? ไวไปนะบางที แต่ก็ถือว่าโอเค ดีกว่านานฉันอาจขาดใจตายก่อนเพราะกลัวเจ็บ
“ขอบใจนะ”
ฉันพูดในตอนที่ฟินิกซ์เอากล่องยาไปเก็บ เพราะถ้าให้พูดต่อหน้ามันดูเขินๆยังไงชอบกล กัดกันแทบจะทุกเวลาให้มาพูดแบบนี้มันขัดๆน่ะ
“ไม่เป็นไรหรอก ชินละ”
“ชินอะไร” ฉันขมวดคิ้วอีกครั้ง
“ช่วยจนชินละ”
“อะไรพึ่งครั้งแรกเองเหอะ”
“เรื่องติวไง”
“อ่ะ ครั้งที่สอง”
“เธอนี่มันสมองปลาทองจริงๆ”
ฟินิกซ์ส่ายหัวเบาๆก่อนจะนั่งลงโซฟาข้างๆฉัน
“คำก็ปลาทอง สองคำก็ปลาทอง รู้แล้วว่าไม่ฉลาดความจำไม่ดีไม่ต้องย้ำก็ได้ แล้วนี่...มาบ้านฉันทำไม มาได้ไง บ้านนายอยู่แถวนี้เหรอ?”
“ตอบคำถามไหนก่อนดี เยอะจัง”
ฟินิกซ์ตอบหน้ายิ้มระรื่น
“กวนส้นไหมล่ะ”
“หยาบคาย ไม่น่ารักเลยนี่ถ้าเป็นน้องนะจะจับตีก้นให้เข็ด”
“โอ้ยยยยย ฟินิกซ์!!”
ฉันยกมือขึ้นมากุมขมับสองข้าง เมื่อกี้ยังเป็นคนดีผู้ชายสุขุมทำแผลให้อยู่เลย แล้วแค่ชั่วข้ามวินาทีทำไมถึงได้กวนส้นแบบนี้
“เสียงดังทำไมอยู่กันแค่สองคน”
“แล้วจะกวนประสาทกันทำไม? ตอบมา!!”
“ฮะๆ ตอบแล้วก็ได้ ใจร้อนจังวัยรุ่น”
“ไม่ได้ชราเหมือนนาย”
“นี่จะตอบแล้วอย่าขัดดิ เอาคำถามแรกนะ ที่มาเพราะไฟดับ เห็นอยู่คนเดียวแถมยังสะดุดบันไดจนได้แผลอีก คำถามที่สองเดินมาน่ะใกล้ๆเอง ส่วนคำถามสุดท้ายบ้านฉันอยู่ข้างบ้านเธอไง”
คำตอบแต่ละอัน... ให้เลยสามคำ เล่น อะ ไร เดี่ยวนะ...ข้างบ้านงั้นเหรอ?
“ไม่เชื่อ?”
“ไม่รู้ดิ ขี้เกียจคิดละ ง่วง”
“ไหงเป็นงั้น แล้วจะให้ตอบทำไม”
“ชีวิตนายต้องมีเหตุผลทุกการกระทำเลยหรือไงกัน”
“ยังไม่พูดแบบนั้นสักหน่อย”
ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำละ
“เปิดทีวีให้หน่อย” ฟินิกซ์ชี้นิ้มมาที่ตัวเองเป็นเชิงถามว่าฉันเหรอ? ฉันคิดว่าอย่างนั้นน่ะนะ “เจ็บเท้าอยู่ไหมล่ะ ป่วย คนป่วยน่ะ”
ฟินิกซ์ยิ้มกรั้วหัวเราะ ก่อนจะเดินไปเปิดทีวีให้ พอดีเลย นี่ฉันเกือบลืมไปเลยนะว่าวันนี้มีรายการเพลงของอปป้า
“ชอบมาก?”
“หน้าตาแบบนี้เกลียดมั้ง” ดูก็รู้ทำไมต้องถาม ไม่ชอบก็บอกให้เปิดหนีแล้วดิ แล้วนั่นนั่งดูตาแป๋วยังกะเด็กสามขวบกำลังดูสารคดีสัตว์โลก ไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องหรือไง ดึกแล้วนะ
“กลับบ้านไหมล่ะ?”
ฉันมองหน้าฟินิกซ์ก่อนชี้ไปที่ประตู
“หมดประโยชน์แล้วก็ไล่”
รู้ตัวอีก
“แล้วจะอยู่ทำไม”
“ไม่มีเหตุผล”
“เอ๊ะ!! ไม่มีเหตุผลก็กลับไปเลยไปเลยยยยย”
“ก็จะอยู่อ่ะ”
“ฟินิกซ์ ขอร้องล่ะนะเลิกกวนประสาทได้ไหม เหนื่อย เหนื่อยมาก อยากพักผ่อนคนเดียว ง่วงแล้วจะนอน เข้าใจนะ”
ฟินิกซ์กับฉันยังจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น มาดูกันศึกนี้ใครจะชนะ
“อ่ะๆ กลับก็ได้” ฮ่าๆๆ ในที่สุดก็ชนะ “ล็อคบ้านดีๆอยู่คนเดียวอ่ะ”
“อืม รู้แล้วน่า”
ฉันโบกมือลาฟินิกซ์ก่อนที่หมอนั่นจะปิดประตูพร้อมล็อคลูกบิดจากข้างในให้ มีน้ำใจเหมือนกันนิ หลังจากนี้ฉันก็จะได้อยู่อย่างสงบสักที วินึงเหลือบไปเห็นกองหนังสือ เอ่ออออ ฉันกระพริบตาปริบๆ
ไว้วันหลังโน้ะ :)"
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ