Eternal Night The second of heartbeat.

7.7

เขียนโดย Rafael

วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 02.50 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  14.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 02.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) HEART BEAT second 09

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

HEART BEAT second 09

Raf Rafael

หลังจากได้รับอนุญาตให้สั่งอาหารได้ตามใจ ฉันหันเหความสนใจกลับมาที่เมนูอาหารในจอทัชสกรีนอีกครั้ง บลัดชะโงกหน้าเข้ามาอ่านเมนูบนจอตรงหน้าฉันด้วย

            “อันนี้น่ากิน” เขาไม่ว่าเปล่าชี้นิ้วลงมาที่รูปสปาเก็ตตี้จานหนึ่ง ฉันพยักหน้าเห็นด้วย

            พอหันไปอีกฟากหนึ่งของโต๊ะ เรย์กำลังให้ความสนใจกับเมนูเครื่องดื่มบนหน้าจอ เขากดสั่งเครื่องดื่มอย่างชำนาญ หลังจากนั้นเขาก็หันมาถามคนในโต๊ะอย่างเผื่อแผ่

            “มีใครจะดื่มด้วยกันปะ” ฉันกวาดสายตามองหนุ่มๆภายในโต๊ะ ทุกคนส่ายหน้าให้เรย์แทนคำตอบ ส่วนบลัดไม่ได้หันไปสนใจเพื่อนด้วยซ้ำ เขายังให้ความสนใจกับเมนูอาหารบนหน้าจออยู่

            “ดื่มคนเดียวก็ได้...ชิ!” เรย์ยื่นริมฝีปากออกมาอย่างแง่งอนแลดูน่าสงสารเพราะไม่มีใครหันไปสนใจเขาเลยสักคน ลูคัสหัวเราะเบาๆให้เรย์ ก่อนจะยกแก้วของเขาขึ้นโชว์

            “ดื่มด้วยกันนี่ไงครับ” เรย์ส่งสายตาวิ้งวับมาให้ลุค ราวกับเจอเพื่อนหัวอกเดียวกัน หลังจากนั้นหนุ่มทั้งสองก็กอดคอกันคุยกันเรื่องนู้นเรื่องนี้อย่างถูกคอ ถึงแม้ส่วนใหญ่ลุคจะพูดแค่ ครับ...หรอครับ ที่เหลือเรย์เป็นคนพูดอยู่ฝ่ายเดียวก็เถอะ

            บลัดกดสั่งอาหารบ้าง เขาหันมาถามฉันด้วยว่าอยากทานอะไรรึเปล่า ฉันเลยกดสั่งเพิ่มเมนูอาหารลงในบิลของโต๊ะ ไม่นานนักรายการอาหารในบิลของโต๊ะเราก็ยาวเป็นหางว่าว

            ระหว่างที่นั่งรออาหารมาเติมท้อง ฉันหันไปมองหนุ่มข้างตัว เขาหันมาสบตาพลางส่งยิ้มมาให้ ทำไมเมื่อได้มองใกล้ๆแบบนี้รอยยิ้มของเขาถึงอบอุ่นนะ แต่พอเขาส่งยิ้มลงมาจากเวทีกลับให้ความรู้สึกดุดัน เย้ายวนอย่างประหลาด คนที่อยู่ไกลเกินระยะแขนเมื่อครู่ ตอนนี้เขานั่งอยู่ข้างๆใกล้เพียงเอื้อมมือ ใกล้จนฉันได้กลิ่นน้ำหอมผสมกับกลิ่นเหงื่อลอยมาจางๆ

            ระหว่างที่เราทานอาหารกันอยู่ฉันเห็นเคลนทานไปพร้อมพิมพ์อะไรบางอย่างลงในโทรศัพท์ ฉันจ้องมองเคลนอย่างอยากรู้ แต่รสชาติอาหารตรงหน้าดึงความสนใจกลับมาจนหมด

ขอบอกว่ารสชาติอาหารสุดยอด พอฟัดพอเหวี่ยงกับภัตตาคารใหญ่ได้สบาย หลังจากพวกเราทานกันจนอิ่มก็พร้อมจะเดินทางกลับ

            ขามาเรย์เป็นคนขับ แต่ขากลับยูเป็นคนขับ เอาละ! ฉันรัดเข็มขัดนิรภัยให้แน่นหนาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เตรียมพร้อมเต็มที่ ครั้งนี้จะไม่ยอมหัวทิ่มหัวตำไปข้างหน้าทุกครั้งที่ขาพวกเขาแตะเบรก แต่กลับผิดคาด ยูขับรถนิ่มมากจนสามารถทอดสายตามองวิวนอกหน้าต่างได้อย่างสบายอารมณ์

            เสียงภายในรถดังคึกคักมาตลอดทางเพราะเรย์กำลังคุยกับลุคอย่างออกรสออกชาติอยู่ที่เบาะกลาง เคลนจึงหนีไปนั่งข้างคนขับอย่างรู้ทัน ฉันรู้สึกเหมือนเบาะตรงกลางคันรถเนี่ย กำลังจับเข่าคุยกันตามประสาคนเมารึเปล่า

ลุคน่ะ ดูไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่แต่เรย์เนี่ย ฉันว่าเขาเริ่มจะเมากริ่มๆ ดูจากใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีกับลักษณะการพูดไม่หยุด อืม...แต่เรื่องพูดไม่หยุดเนี่ยน่าจะไม่เกี่ยวกับเมานะ

            ส่วนสมาชิกที่เหลืออีกคนน่ะหรอ...เขานั่งอยู่ข้างฉันนี่ไง บลัดทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างอีกด้านหนึ่ง ฉันเลยมองผ่านกระจกออกไปบ้าง แต่ก็อดเหลือบมองเขาเป็นระยะไม่ได้ เขาดูเท่ดีนะ

            ‘ตึง!’ เอ๊ะ! ฉันนึกว่ารถมีปัญหาอะไรซะอีก ทันทีที่เสียงดังขึ้นเรย์ก็หันขวับมองมาที่เบาะหลัง

            “หลับอีกแล้วหรอวะ” แล้วเรย์ก็ขำเอิ๊กอ๊าคอยู่คนเดียวทั้งคันรถ พอฉันหันไปมองหนุ่มข้างตัวถึงได้เข้าใจ บลัดปรือตาขึ้นมาอย่างสลึมสลือ ก่อนจะตวัดสายตาใส่เรย์อย่างคาดโทษ เขายกมือขึ้นมาคลึงหน้าผากอยู่ครู่หนึ่ง

            ฉันอดหัวเราะคิกคักไม่ได้ นี่นาย เอาหัวไปโขกกระจกทำไม พอเขาได้ยินเสียงฉันหัวเราะ บลัดเหลือบสายตามองมาพักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างตามเดิม ไม่รู้ว่าเขาโกรธ หรือ เขินกันแน่นะ

            ฉันเหม่อมองแสงสีภายนอกรถที่วิ่งผ่านตาอย่างรวดเร็ว อยู่ๆฉันก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักที่ทิ้งลงมาบนไหล่ กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยลอยมากระทบปลายจมูก เคล้ามาพร้อมกับกลิ่นแชมพูอ่อนๆ พอฉันเบนสายตามองไหล่ของตัวเอง เรือนผมสีเงินก็สะท้อนเข้ามาในแก้วตา เขาทิ้งตัวลงมาพิงไว้อย่างไม่เกรงใจ

            ฉันชะเง้อหน้าลงไปมองใกล้ๆ เขาหลับตาพริ้มไปแล้ว ลมหายใจก็ดูเป็นจังหวะสม่ำเสมอ หรือว่าหลับไปแล้วนะ ฉันอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือข้างหนึ่งไปปัดผมที่ปรกใบหน้าของเขาออกอย่างเบามือ พอเขาหลับตาลงใบหน้าก็ดูเป็นมิตรดีนะ ฉันลอบหัวเราะกับตัวเอง ผิวของบลัดเนียนจัง ขนตาก็หนา จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากมีสีเลือดฝาดด้วย พอได้มองดูใกล้ๆแบบนี้ เขาก็หล่อดีเหมือนกันนะ

            ฉันเอื้อมมือไปลูบแก้มเขาอย่างลืมตัว แต่เมื่อร่างของฉันขยับ บลัดก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ ฉันนั่งตัวเกร็งทันที ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปมากกว่านั้น พยายามนั่งนิ่งๆจนเหน็บชาไปหลายรอบ กว่าจะมาถึงสตูดิโอ รู้สึกเหมือนเส้นเอ็นยึดไปทั้งร่าง

            “บลัด...ถึงแล้วนะ” ฉันส่งเสียงเรียกเขา แต่เขาขมวดคิ้วตอบมาเท่านั้น เหตุการณ์แบบนี้คล้ายจะเคยเจอมาก่อน

            “บลัด!” ฉันเอื้อมมือไปเขย่าตัวเขาเบาๆ บลัดถึงได้ยอมลืมตาขึ้น แต่เขายังทำท่าทางสลึมสลือไม่ยอมลุกออกไปจากไหล่สักที

            “เฮ้ย! ลงมาเลยนะ คุณลีดเดอร์ เผลอไม่ได้เลยแกเนี่ย ฉันจองเรนก่อนนะว้อย” เรย์แผดเสียงแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเต็มที่ แต่ก่อนที่ฉันจะได้เถียงอะไรออกไป ลุคก็เดินเข้ามาบีบไหล่ของเรย์ไว้

            “จองเจิง อะไรกันครับพี่เรย์ นั่นพี่สาวผมนะ” ลุคพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แต่ใบหน้าไม่ได้หัวเราะตามน้ำเสียง เรย์ผงะถอยออกไปหลายก้าว ลุคจึงโผล่หน้าเข้ามาแทน

            “พี่บลัด ถึงแล้วครับ” พูดกับบลัดละยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะ ตกลงนายเปิดไฟเขียวให้เขาจริงๆหรอลูคัส หลังจากนั้นไม่นานบลัดถึงได้ตื่นเต็มตา พอเขาดึงร่างตัวเองออกจากบ่าของฉันไป ตัวเบาราวกับจะบินได้ แต่ว่า...ฉันนั่งเกร็งอยู่ตั้งนานตอนนี้เลยขยับไม่ได้ เพียงแต่เขยื้อนตัวก็เจ็บแปลบไปหมด

            บลัดก้าวลงจากรถไปแล้ว แต่พอเห็นฉันไม่ลงมาสักทีเขาถึงโผล่หน้าเข้ามามอง พลางกระพริบนัยน์ตาสีแดงพินิจพิเคราะห์

            “ไม่กลับบ้านหรอ”

            “เป็นเหน็บชา ขอพักแป๊บนะ” ฉันส่งยิ้มเจื่อนๆไปให้ บลัดเลยก้มมองสำรวจร่างกายของฉัน ก่อนจะส่งมือมาให้

            “ลงมาสิ นั่งอยู่แบบนั้นจะยิ่งเจ็บนะ” จริงอย่างเขาว่า ฉันเลยพยายามประคองร่างลุกขึ้นพลางเอื้อมมือไปจับมือเขาไว้ บลัดกุมมือฉันไว้แน่น ก่อนจะค่อยๆเบียดร่างสูงเข้ามา ใช้ร่างของเขาประคองฉันไว้ ฉันค่อยๆก้าวลงมาจากรถอย่างทุลักทุเล ความเจ็บปวดแล่นปราดจนน้ำตาแทบไหลลงอาบแก้ม

            “เดินไหวมั้ย”

            “อื้อ” ฉันพยายามก้าวขาไปข้างหน้า แต่พอขยับขาปุ๊บก็แทบจะล้มคะมำ ยังดีที่ไม่ได้เอาหน้าไปวัดความแข็งกับพื้น แขนแกร่งของเขารองรับร่างที่ซวนเซไว้ในอ้อมแขน ฉันใช้แขนข้างหนึ่งเกาะแขนของบลัดไว้แน่น ใช้ร่างของเขายึดเหนี่ยวกายไว้ไม่ให้ล้มลง

ยิ่งพยายามขยับ มันก็ยิ่งเจ็บจี๊ด ลูคัสทอดสายตามองอยู่ไกลๆ ตอนแรกก็เหมือนจะเป็นห่วง แต่พอเห็นบลัดเป็นคนประคองฉันไว้ นัยน์ตาของเขาก็ไหวระริก ส่วนหนุ่มคนอื่นๆ น่าจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนแล้ว แม้แต่กีตาร์กับเบสหลังรถเคลนก็ยกออกไปแล้วเรียบร้อย

            หลังจากความเจ็บบรรเทาลง ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพยายามก้าวขาใหม่อีกครั้ง แต่แทนที่ปลายเท้าจะได้แตะลงกับพื้นมันกลับลอยหวือขึ้นมาจากพื้นแทน ฉันปล่อยให้เขาช้อนร่างขึ้น พลางกระชับร่างเล็กเข้ากับอกของเขาก่อนออกก้าวเดิน

            ฉันอึ้งค้างสมองงุนงงไปชั่วขณะ ฉันเป็นเหน็บชาเฉยๆเดี๋ยวก็หาย นายไม่ต้องลงทุนขนาดนี้ก็ได้นะ เขาไม่สะทกสะท้านกับน้ำหนักของฉันในอ้อมแขนสักนิด เสียงลูคัสผิวปากเบาๆอย่างชอบใจลอยเข้ามากระทบใบหู

            บลัดก้าวเดินอย่างมั่นคงขึ้นไปที่ห้องซ้อมชั้นสาม พอเปิดประตูเข้าไปปุ๊บ สายตาของสามหนุ่มด้านในก็หันขวับมามองเป็นตาเดียว บลัดไม่สนใจสายตาของเพื่อนเท่าไหร่ เขาเดินเข้าไปวางร่างฉันลงที่โซฟาอย่างนุ่มนวล ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งชันเข่ากับพื้นหน้าโซฟา เพียงแค่ช้อนสายตาขึ้นใบหน้าของเราก็อยู่ในระดับเดียวกัน

นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นจ้องมองตรงมา ก่อนหลุบลงราวกับกำลังหลบสายตา ไม่นานนักเสียงทุ้มนุ่มก็ดังขึ้น

            “ยังเจ็บอยู่มั้ย”

            “นิดหน่อย” ฉันเหลือบสายตามองเขา นัยน์ตาสีแดงก้มมองพื้นพยายามเบนสายตาหนีพร้อมแก้มทั้งสองข้างที่ขึ้นสีแดงเรื่อ เขากำลัง...เขิน

            “ไม่เป็นไรแล้วละ ขอบคุณนะ” ฉันก้มตัวลงไปนวดขาตัวเองเบาๆ อาการเหน็บชาทุเลาลงจนเกือบกลับมาเป็นปกติแล้ว บลัดเบนสายตามองตามมือของฉัน หลังจากขยับขาให้ดูเป็นหลักฐานว่าหายแล้ว เขาถึงได้ผละออกไป พอเขาเดินออกไปไม่นาน ลูคัสวิ่งปราดเข้ามาทิ้งตัวนั่งลงข้างกายทันที

            “เป็นไงจ๊ะ สาวน้อย” ลุคส่งเสียงล้อเลียน ฉันหันไปมองหน้าน้องชาย สายตาปะทะเข้ากับรอยยิ้มกรุ่มกริ่มของลูคัส ดูจะมีความสุขเสียเต็มประดา

            “ไม่เป็นอะไรนี่” ฉันทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ยืนขึ้นขยับร่างกายให้ลุคดูเป็นหลักฐาน

            “จ้าๆ ไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นอะไร” ในแววตาของลุคยังฉายแวววิบวับ ฉันมุ่ยหน้าให้ลุคอย่างไม่สบอารมณ์ ท่าทางชอบอกชอบใจ ยิ้มอย่างมีความสุขราวกับวางใจที่พี่สาวกำลังจะขายออก โดยไม่หันไปถามคนซื้อสักคำว่าอยากได้รึเปล่า

ฉันนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่ ระหว่างที่ร่างอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง ร่างบอบบางแนบไปกับอกของเขา เป็นครั้งแรกที่ได้กลิ่นน้ำหอมของเขาแบบจะๆ มันส่งกลิ่นยั่วยวนจนลืมเจ็บไปชั่วขณะ รู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่แข็งแรงจากร่างของเขา

            ไม่เคยมีใครอุ้มแบบนี้มาก่อน ไม่นับสมัยเด็กๆนะ ไม่น่าเชื่อว่า...มันจะรู้สึกดีเหมือนกันนะ

            “จะยกเบสกลับบ้านรึเปล่า เคลน” เสียงของบลัดดังขึ้นที่ประตู เขาลงไปเปลี่ยนชุดกลับมาอยู่ในเสื้อเชิ้ตตามปกติแล้ว เคลนหันไปตอบพี่ชายทันที

            “ไว้นี่แหละพี่ พรุ่งนี้ต้องแวะมาที่นี่ก่อนอยู่แล้ว” พอไม่ต้องเข้ามายกของบลัดก็ไม่ได้ก้าวเข้ามาในห้อง เขาหันมองฉันกับลุคก่อนจะกล่าวออกมาว่า

            “กลับคอนโดกันเถอะ ง่วงแล้ว” นั่นสิ ฉันก็ง่วงเหมือนกัน

 

 

            วันนี้มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นจนผมยังรู้สึกงุนงงกับตัวเอง พยายามทบทวนความทรงจำทั้งหมดโดยการเหม่อมองออกไปข้างนอกหน้าต่างจากเบาะด้านข้างคนขับ ตอนนี้พวกเรากำลังตรงกลับคอนโดด้วยรถแท็กซี่ สมาชิกอีกสามคนด้านหลังกำลังนั่งสัปหงกเพราะความเหนื่อยล้า

            ผมประคองถุงของขวัญที่ได้รับมาไว้บนตัก เพียงแค่ลูบถุงเบาๆ มุมปากก็ยกตัวขึ้นสูงไม่สามารถหุบยิ้มลงได้เลย ยิ่งเหลือบสายตาไปมองสาวน้อยที่นั่งด้านหลังแล้วรอยยิ้มยิ่งฉีกกว้าง

            ได้กอดเธอตั้งสองครั้ง ผมนี่...หน้าไม่อายชะมัด หอมแก้มเธอด้วย แอบอุ้มเธออีก แต่ตอนอุ้มนี่ไม่ได้ตั้งใจนะ ผมหวังดีจริงๆแต่ประสงค์ร้ายไหม อีกเรื่องละนะ

            หลังจากลงจากรถแล้ว พวกเราเดินสะโหลสะเหลกลับมาที่ห้อง เคลนเปิดประตูห้องเข้าไปอย่างไม่รีรอ ดูท่าตามันแทบจะปิดลงมาได้ทุกเมื่อ

            “ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่เคลน พี่บลัด” ลูคัสโบกมือลาด้วยสีหน้าอิดโรย ดูท่าจะเหนื่อยเอาการเพราะนั่งฟังเรย์พล่ามมาตลอดทาง เวลาเรย์พูดไม่หยุดแม้แต่ผมยังรู้สึกว่าการนั่งฟังมันใช้พลังงานสูงมาก ผมพยักหน้ารับคำลุคพลางส่งสายตาเห็นใจไปให้

            “ราตรีสวัสดิ์”

            “ราตรีสวัสดิ์นะ” เรนหันมาส่งยิ้มให้ มือหนึ่งของเรนจับขอบประตูไว้เพื่อไม่ให้มันปิดลงส่วนลุคเดินเข้าไปข้างในแล้วเรียบร้อย ผมหันไปส่งยิ้มให้เธอพลางพยักหน้าตอบกลับ

            “วันนี้นายเท่มาก!” คำชมของเรนทำให้หัวใจเต้นตึกตักขึ้นมา ผมเอื้อมมือไปลูบผมเธอพลางใช้แรงกดศีรษะกลมมนจนใบหน้าของเรนก้มลงนิดหน่อย เธอจะได้ไม่ต้องเห็นใบหน้าของผมที่กำลังขึ้นสีแดงเรื่อ

            “ของขวัญ...” ผมขยับเข้าไปใกล้เธออีกนิด ฝ่ามือยังวางไว้บนศีรษะเธอไม่ได้ปล่อย

            “ขอบคุณครับ” ผมค้อมตัวลงกดปลายจมูกลงไปบนแก้มเรนอีกครั้ง หลังจากหอมไปอีกฟอด ผมก็ใช้คีย์การ์ดเปิดประตูห้องตัวเองพลางแทรกร่างเข้าไปอย่างรวดเร็วที่สุด

            หลังจากเข้ามายืนตั้งสติอยู่พักใหญ่ อยู่ๆร่างทั้งร่างก็ไร้เรี่ยวแรงทรุดตัวนั่งลงหน้าประตู หัวใจเต้นแรงจนอกสั่นไหว ใบหน้าร้อนผ่าว รอยยิ้มฉีกกว้าง รู้สึกสมองโล่ง โล่งจนไม่เหลืออะไรอยู่ในนั้นเลย สิ่งเดียวที่จำได้ คือสัมผัสนุ่มๆของแก้มสีชมพูระเรื่อ กับกลิ่นหอมๆที่เริ่มคุ้นจมูกของสาวข้างห้องนี่เอง

 

            เมื่อคืนเสียงพลังงานไปเยอะ ผมหลับไปตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลย ยังดีที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงไม่ได้ไปหลับอยู่ตามพื้นห้อง รู้สึกได้เลยว่าการลืมตาขึ้นมันยากลำบากมากกว่าปกติ คืนนี้ยังต้องลุยงานที่คลับอีก ชักจะปวดหัวขึ้นมานิดๆ

            เฮ่อ...อยากจะโดดเรียนขึ้นมาแล้วสิ ผมยังนอนอิดออดอยู่บนเตียง จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

            “บลัดตื่นรึยัง” เสียงเรน ยังไม่ตื่นได้ไหม ผมซุกตัวลงกับผ้าห่ม ใช้สองแขนกอดตุ๊กตาไว้แน่นก่อนจะซุกหน้าลงนอนกับหมอนอีกครั้ง

            “บลัด...ยังไม่ตื่นเดี๋ยวจะสายนะ” ฉันไม่ไปได้ไหม เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกสองสามครั้งพร้อมกับเสียงเรนที่พยายามปลุก

            “บลัดยังไม่ยอมตื่น ฉันจะเข้าไปแล้วนะ” ผมหลับตาลง ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

            “บลัดเทีย! จะสายแล้วนะ” ในที่สุดเธอก็เปิดประตูเข้ามาจนได้ เรนหยุดยืนอยู่ข้างเตียง แต่ผมไม่อยากจะขยับตัวจริงๆ

            “บลัด! ไปอาบน้ำได้แล้ว” เรนสะกิดตัวผมเบาๆ ไม่เอา ฉันยังไม่อยากลุกนี่

            “บลัด ไม่ตื่นจะสายแล้วนะ” เธอนี่...พยายามดีนะ ผมขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็ยังไม่ยอมเบิกดวงตาขึ้นอยู่ดี

            “บลัด ตื่นเดี๋ยวนี้นะ” เธอเขย่าตัวของผมจนร่างโยกไปมา ผมส่งเสียงครางในลำคอออกไปอย่างงัวเงีย ได้ยินเสียงเรนถอนหายใจอย่างยอมแพ้แต่เธอก็ยังไม่ละความพยายาม

            “บลัด! ถ้ายังไม่ตื่นอย่าหาว่าฉันใจร้ายนะ!” เอาเถอะๆ วันนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปเรียน แล้วบ่ายๆค่อยไปที่ร้านเบเกอรี่แล้วกัน เมื่อปักใจจะโดดเรียน ผมก็ทิ้งสติทั้งหมดลงไปที่เตียงเตรียมเข้าสู่ภวังค์อีกครั้ง

            “อั๊ก!!” ผมจุกจนต้องลืมตาโพลง เรนทิ้งตัวลงมากระแทกใส่ร่างอย่างจัง น้ำหนักทั้งหมดของเธอโถมใส่เข้ามาในคราเดียว ดีนะที่ตัวเรนเล็กนิดเดียวไม่งั้นคงช้ำในแน่ๆ

            “เล่นอะไรเนี่ย!” ผมเหวใส่เธอ เรนกลับหัวเราะชอบใจยกใหญ่ เธอกลิ้งไปกลิ้งมาบนร่างของผมด้วย เจ็บนะ! เธอนี่มัน...

            “บอกแล้วนี่ นายไม่ยอมตื่นเองจะมาว่าฉันไม่ได้นะ” เธอมุ่ยปากพลางทำหน้าใสซื่อเสียเต็มประดา ผมถอนหายใจก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าหนีเข้ากำแพง เรนจึงทิ้งตัวนั่งข้างเตียงแทน

            “บลัด สายแล้วนะ” เธอยังมีความพยายามที่จะลากผมขึ้นมาจากเตียงให้ได้ ผมหลับตาลงก่อนจะอ้าปากตอบ

            “วันนี้ฉันไม่ไป”

            “นายไม่ไปแล้วฉันจะไปยังไงเล่า ตื่นเลยนะ!” เธอเอื้อมมือมาเขย่าร่างจนโงนเงนอีกครั้ง ผมขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ

ฉันง่วงนะ เรน

            “บลัด ตื่นได้แล้ววว” ผมถอนหายใจกับตัวเอง บางครั้งบางคราวมีคนคอยปลุกก็ดีหรอก แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะลุกจริงๆ ให้ตายเถอะ!

            “ฉันง่วง”

            “ไม่ได้! ลุกเลยนะ เมื่อวานฉันก็ไปกับนายมา ยังตื่นได้เลย ลุกเดี๋ยวนี้นะ บลัดเทีย” เก่งจ้า เก่งจัง ตื่นได้ด้วย แต่ขอฉันนอนเถอะ!

            “บลัด!!” เหมือนเธอจะเริ่มมีน้ำโห ผมเลยบอกปัดไปว่า

            “หอมปลุกสิ เดี๋ยวตื่นเลย” แล้วผมก็นอนต่อไปทั้งแบบนั้น สงบสุขได้แล้วละนะ ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว กระชับตุ๊กตาในอ้อมแขน กำลังจะเคลิ้มหลับในอีกไม่กี่อึดใจ

            จนรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ข้างตัว ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจที่เป่ารดข้างแก้ม ผมรีบลืมตาขึ้นหันมองสาวข้างตัว ใบหน้าเรนอยู่ใกล้จนปลายจมูกเราแทบจะชนกัน ผมอึกอักระคนตกใจ สายตาเบนไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลอย่างไม่ได้ตั้งใจ

เอ่อ...เรนฉันล้อเล่น

ใบหน้าของสาวน้อยโน้มลงมาใกล้กว่าเก่า เสียงลมหายใจร้อนปะทะผิวหน้า เรนกดปลายจมูกลงกับแก้ม ตามคำท้าของผมจริงๆ

            “ไปอาบน้ำเลย” เรนผละออกไปพร้อมกับส่งเสียงหยอกล้อ ผมจ้องมองเธอนิ่งๆ ก่อนจะเด้งตัวขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว คว้าผ้าเช็ดตัวได้ก็วิ่งเข้าห้องน้ำทันที

            หะ...หัวใจ ตึกตักจน...อ้า! ใครจะไปคิดว่าเรนจะบ้าจี้จริงๆ ผมยกมือขึ้นลูบแก้มของตัวเอง ใบหน้าร้อนฉ่าเลย ผมอาบน้ำไปยิ้มไปอย่างกับคนบ้า แม้แต่ตอนแปรงฟันยังควบคุมรอยยิ้มไม่ได้ จนเดินออกมาจากห้องน้ำก็ยังยิ้มไม่หุบ

            หลังจากแต่งตัวเสร็จสายตาหันไปสบเข้ากับถุงของขวัญที่เรนให้มาเมื่อวาน เมื่อคืนพอกลับถึงห้องก็เหนื่อยสุดๆ ยังไม่ทันได้แกะดูของด้านใน ผมแกะสติ๊กเกอร์ที่ปิดปากถุงไว้อย่างระมัดระวังก่อนจะหยิบกล่องขนาดพอดีมือด้านในถุงออกมา มันถูกห่อไว้ด้วยกระดาษสีขาวเงา พร้อมกับการ์ดใบเล็กๆแนบมาด้วย

            ผมคลี่การ์ดออกมาดู ลายมือเหมือนเด็กประถมเลย ผมหัวเราะคิก เรนเพิ่งจะหัดเขียนภาษาญี่ปุ่นได้ไม่นาน เธอถือว่าเรียนรู้เร็วมากแต่อาจจะต้องพัฒนาลายมือกันอีกยาว ผมไล่สายตาอ่านตัวอักษรในการ์ดใบเล็ก

            ‘เหนื่อยหน่อยนะ’ พร้อมกับตัวหนังสือเล็กๆที่มุมการ์ดว่า ‘ลอเรน’

            ผมหรี่นัยน์ตามองการ์ดใบเล็ก รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างปิดไม่มิดในอกกำลังรู้สึกถึงความอบอุ่น ผมหันมาหยิบกล่องสีขาวขึ้นมาบ้าง สีของกระดาษห่อของขวัญทำให้นึกถึงสีผมของตัวเองขึ้นมาเลย ผมค่อยๆแกะกระดาษออกอย่างเบามือเพราะไม่อยากทำให้มันบอบช้ำ เมื่อกระดาษค่อยๆหลุดออกก็เผยให้เห็นกล่องสีน้ำเงินเข้ม ผ้าที่ใช้บุกล่องไว้เป็นผ้าขนเตียนนุ่มมือ ผมแง้มฝากล่องเปิดออก เป็นนาฬิกาเรือนที่เธอลองให้กับมือ ยังไม่ทันจะได้ตื้นตันไปมากกว่านั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

            “บลัดเสร็จรึยัง เดี๋ยวทานข้าวไม่ทันนะ”

            “เรน เข้ามาหน่อยสิ” ผมส่งเสียงตอบเธอกลับไป ประตูห้องถึงค่อยๆแง้มเปิดออก เรนก้าวเข้ามาอย่างฉงน ผมจึงยกกล่องนาฬิกาให้สูงในระดับสายตาของเธอพอดี

            “ใส่ให้หน่อยได้มั้ย” ผมคลี่ยิ้มส่งไปให้เธอ ใบหน้าสดใสของเรนคลี่ยิ้มออกกว้างจนตาพร่ามัว นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลหรี่ลง แก้มสีชมพูระเรื่อกำลังเร่งสีอย่างน่ารัก

            เรนเดินเข้ามา รับกล่องนาฬิกาไปจากมือก่อนจะค่อยๆปลดมันออกจากกล่องอย่างเบามือ หลังจากนั้นผมถึงยื่นข้อมือไปให้

            “เรียบร้อย!” พอล็อกนาฬิกาเรือนใหม่ลงกับข้อมือของผมแล้ว เธอหันมายิ้มให้อย่างอารมณ์ดี ผมชักข้อมือกลับแต่กับยื่นใบหน้าไปประทับปลายจมูกลงบนแก้มของเธอแทน

            “ขอบคุณครับ” ผมกระซิบบอกเธอที่ข้างหู ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนอน เธอเดินตามออกมาก็จริง แต่เรนกำลังก้มหน้าพลางหัวเราะคิกคักกับฝ่ามือของตัวเอง พวงแก้มขึ้นสีแดงชัดจนไม่ต้องสังเกตก็สามารถมองเห็น

            เสียงหัวเราะใส กำลังดึงรอยยิ้มของผมกลับมาอีกครั้ง ท่าทางเขินอายของสาวคนนี้ กำลังทำให้ผมมองตามเธอไม่วางตา เธอนี่...น่ารักดีนะ

 

            หลังจากมาถึงห้องเรียน เรนเดินเข้าไปนั่งโต๊ะประจำด้านข้างโซระ ส่วนผมก็เดินขึ้นไปที่โต๊ะเดิมเช่นกัน แต่พอเดินผ่านเรน เธอกลับรั้งผมไว้ซะก่อน

            “ฉันเอาขนมมาให้นายด้วยนะ” ขนม?

ผมสงสัยอยู่นานจนเรนหันไปหยิบกล่องช็อคโกแลตออกมาจากกระเป๋า ผมถึงได้ร้อง‘อ๋อ’

ช็อคโกแลตที่ผมอ้างกับเธอว่าอยากจะซื้อเมื่อวันก่อน ยังอุส่าห์เอามาให้นะ ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาเพื่อที่จะจ่ายค่าขนมให้เธอ เรนก็เอ่ยห้ามไว้ซะก่อน

            “ไม่ต้องหรอก หม่ำด้วยกันนะ” เธอจะทานในห้องเรียน ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะ

เมื่อเรนเอ่ยชวนมา ผมเลยมองหาที่นั่งใกล้ๆเธอ ที่นั่งข้างเรนว่างอยู่ที่หนึ่งติดกับทางเดินกลาง ตอนแรกผมคิดว่าจะนั่งตรงนี้ แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นใบหน้าของโซระที่กำลังส่งยิ้มกรุ่มกริ่มมาให้ ผมเลยเปลี่ยนใจเดินไปนั่งชั้นบนด้านหลังเรนแทน อย่างน้อยโซระก็มองผมได้ยากขึ้นอีกหน่อย

            พอทิ้งตัวนั่งลงด้านหลัง เรนก็หันขวับขึ้นมามองพร้อมยื่นกล่องขนมมาให้

            “ขอบคุณ” ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ เรนส่งยิ้มตอบมา ผมเลยไม่เกรงใจหยิบกล่องขนมมาแกะออก พลางหยิบขนมด้านในใส่ปากเป็นที่เรียบร้อย

            ระหว่างเรียน ผมก็หยิบขนมใส่ปากไปด้วย เรนหันมาหยิบไปทานบ้างเป็นครั้งคราว บางทีเธอก็ยื่นให้โซระทานด้วยกัน แต่พอขนมหมดนี่สิ ความง่วงก็พุ่งเข้ามาปะทะอย่างจัง ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะ หลุบนัยน์ตาสีแดงลงเตรียมจะหลับเต็มที่

            “บลัด” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเรนเริ่มจะปลุกอีกแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างรึไงนะเธอเนี่ย

            “ของีบแป๊บเดียว” ผมตอบเธอไปเสียงอู้อี้โดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา

            “นายเนี่ยน้า~” น้ำเสียงฟังดูไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง แต่เธอก็ยอมปล่อยให้ผมนอนแต่โดยดี เมื่อไม่มีคนขัดขวางก็ไม่จำเป็นต้องครองสติต่อไป ปล่อยตัวลงสู่ภวังค์ เคลิ้มหลับไปอย่างรวดเร็ว

 

            ก็ว่าจะงีบเดี๋ยวเดียวจริงๆนะ ผมกลับลืมตาขึ้นมาพร้อมเสียงออดหมดคาบเรียน เหล่าสมาชิกในห้องกำลังจับกลุ่มกันพักกลางวัน เวลาเราหลับเนี่ย ราวกับเปิดวาปไปอนาคตได้เลยจริงๆ ผมยืดตัวเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่เมื่อยล้า ก่อนจะลุกขึ้นพลางออกก้าวเดินตามเรนกับโซระไปที่โรงอาหาร

            หลังจากยกถาดอาหารมานั่งกันที่โต๊ะมุมหนึ่ง ทุกสายตาเหมือนจะจับจ้องมาที่โต๊ะเรา ผมพยายามจะไม่สนใจเสียงที่ดังจ๊อกแจ๊กจอแจอยู่ด้านหลัง บางคนก็วี้ดว้ายกันดังจนได้ยินเรื่องที่ซุบซิบกันอย่างชัดเจน

            “ดูสิๆ ฮิเมะ กับคิงมาด้วยกันอีกแล้วละ”

            อะไรนะ...‘ฮิเมะ’ เหมือนจะได้ยินคำว่า ‘คิง’ แว่วๆด้วยนะ

            “ฮิเมะ กับคิงจริงๆด้วยละ!” แล้วก็มีเสียงกรี๊ดของสาวน้อยคนอื่นช่วยกันผสมโรง ฉายาแบบนี้ผมเคยได้ยินมาก่อน เหมือนจะได้ยินมาตั้งแต่สมัยอยู่มัธยม เป็นฉายาที่ชวนให้นึกถึงความทรงจำที่ไม่น่าจดจำ

ท่าทางเรนจะได้ยินที่พวกเธอพูดไม่ต่างกัน เธอถึงได้หันไปส่งยิ้มให้เหล่าสาวน้อยสาวใหญ่รอบตัว เสียงกรี๊ดดังขึ้นจนผมชักจะรู้สึกว่ามันไม่สนุกซะแล้วสิ แบบนี้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยคงได้ย้อนรอยกลับไปเหมือนตอนอยู่มัธยมแน่ๆ

ขอเถอะเลิกมองกันซะทีจะได้ไหม คนจะกินข้าวมันกลืนไม่ลง

            “คิงกำลังทานเซตเอแหละ ฉันทานบ้างดีมั้ยน้า” เดินมากินด้วยกันเลยไหมล่ะ

            “นั่นสิ น่าทานจังเลยเนอะ~” แล้วก็มีเสียงวี้ดว้ายดังขึ้นอีกรอบ ขอร้องเถอะ เวลาเป็นเป้าสายตาแบบนี้มันลำบากใจ จะเดินไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก เป็นที่จับจ้องอยู่ตลอดแบบนี้ ผมรู้สึกอึดอัดอย่างที่สุด

            “นี่...เดี๋ยวนี้พวกเธอชื่อกระฉ่อนไปทั่วมหา’ลัยแล้วนะเนี่ย” โซระส่งเสียงขึ้นมากลางวง ทั้งผมและเรนเลยเบนสายตาไปมองเธอ

            “แถมตั้งฉายา พร้อมคลับกันแล้ว เรียบร้อย!” โซระยื่นโทรศัพท์ของเธอให้พวกเราดู มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ มีเพจแฟนคลับกันแล้ว ทั้งฮิเมะแฟนคลับ และ คิงแฟนคลับ บางรูปที่โพสอยู่ในนั้น ผมยังงงอยู่เลยว่าไปถ่ายกันมาตอนไหน ให้ตาย! ชีวิตในมหาวิทยาลัย ไม่สงบสุขแล้วละ ถ้ายังไม่อยากโดนคุกคามมากไปกว่านี้ละก็ จงเก็บเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ให้ดี ไม่งั้นชีวิตจะไร้ความสงบไปตลอดกาล!

 

            หลังจากเลิกเรียนในคาบบ่ายผมตั้งใจจะตรงไปที่ร้านเบเกอรี่ทันที ไหนจะงานที่ไนท์คลับ แล้วต้องมาระวังพวกสตอล์กเกอร์ในมหา’ลัยอีก ในไม่ช้าเนี่ยละ...คงต้องเตรียมตัวพกแว่นหรือหมวกไว้บ้างแล้ว

            “ไม่น่าเชื่อว่า ฉันจะมีแฟนคลับกับเขาด้วยเนอะ” ดูเหมือนเรนจะไม่ค่อยรู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องนี้เท่าไหร่ มันก็น่าดีใจหรอก ถ้าหากไม่โดนรบกวนชีวิตส่วนตัวละก็นะ

            “ระวังห้ามให้เมลหรือเบอร์โทรศัพท์มั่วซั่วเด็ดขาดนะ” ผมปรามเธอไว้ก่อน ความรู้สึกตอนสมัยมัธยมยังฝังแน่นอยู่ในอก เวลาที่เสียงอีเมลหรือเสียงเรียกสายโทรศัพท์ดังจนไม่ต้องหลับต้องนอน มันทรมานแบบหาที่เปรียบไม่ได้ จนสุดท้ายผมก็ต้องเปลี่ยนทั้งเบอร์ทั้งเมล แถมมันไม่ได้เป็นปัญหาแค่ผม พวกเราสมาชิก Eternal Night ทั้งสี่คน ต่างรับรสความรู้สึกอย่างเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งมาด้วยกัน

            “อื้อ ตอนอยู่ที่นู่นฉันต้องเปลี่ยนเบอร์ตั้งสามเบอร์ในเทอมเดียวเลยนะ” ยินดีด้วยนะที่เธอผ่านจุดนั้นมาได้แล้ว

            “ระวังตัวด้วยล่ะ” ผมเอื้อมมือไปลูบเรือนผมสีวอลนัทเบาๆ นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลหรี่ลงส่งยิ้มให้พลางพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย

            “ฉันไปทำงานก่อนนะ” ผมกล่าวลาเธอเมื่อพวกเราเดินมาถึงหน้าสถานีเดิม

            “ไปดีมาดีนะ” เรนโบกมือให้ผมก่อนจะหมุนตัวออกเดินกลับคอนโด ผมยืนมองเธอจนร่างของเรนเดินไปไกล เธอยังหันกลับมาโบกมือให้อีกครั้ง พอโบกมือตอบกลับไปเธอถึงยอมออกเดินต่อไป จนร่างของเธอลับสายตาไป ผมถึงได้ออกก้าวเดินไปทางร้านเบเกอรี่บ้าง

 

 


 

เนื่องจากพื้นหลังเรื่องนี้อยู่ในประเทศญี่ปุ่นครับ เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆไว้สำหรับให้ผู้อ่านทุกคนสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นครับ ส่วนใหญ่เกร็ดความรู้จะเขียนมาจากประสบการณ์ตรงของไรเตอร์เอง อาจจะมีข้อมูลบางส่วนที่อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ของประเทศนะครับ

- สตอล์กเกอร์  = ใช้เรียกบุคคลที่มินิสัย ชอบสะกดรอยบุคคลที่ตนชื่นชอบครับ อาจจะเหมารวมถึงขั้นสอดส่องชีวิตประจำวัน ตามติดทุกฝีก้าว หรืออาจไปดักรอในที่ๆเขาชอบไปหรือต้องเดินผ่าน เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลร้ายทั้งคนตาม และคนโดนตามไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะครับ

กลับมาครั้งนี้อัพ 3 ตอนรวดเลยครับ//หัวเราะ

แล้วจะพยายามทยอยอัพเรื่อยๆครับผม //โค้งสวยๆ

Raf Rafael

(58/08/16)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา