Eternal Night The second of heartbeat.
เขียนโดย Rafael
วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 02.50 น.
แก้ไขเมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 02.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) HEART BEAT second 02
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความHEART BEAT second 02
Raf Rafael
วันต่อมา ลุคลากฉันมาที่ห้องของสองหนุ่มตั้งแต่เช้า เขาบอกว่าเคลนจะแสดงฝีมือทำอาหารจานพิเศษให้ชิม เคลนน่ะไม่ว่าจะทำอะไรออกมาก็เป็นจานพิเศษสำหรับฉันอยู่แล้ว
เมื่อเข้ามานั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้อง 801 ลุคขอตัวไปช่วยเคลนในครัวอย่างกระตือรือร้น เขาดูตัวติดกับพี่ชายต่างสายเลือดคนนี้มากทีเดียว แต่ฉันดีใจนะ ตลอดเวลาที่เขามาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่นี่คงเป็นความทรงจำที่ดี ลุคมักจะมีเล่าเรื่องล้านแปดเกี่ยวกับพวกพี่ชายของเขามาเล่าให้ฟังอย่างไม่รู้จักเหนื่อย จนคนฟังรู้สึกราวกับได้รู้จักพวกเขาผ่านเรื่องเล่า
ฉันเหลือบมองน้องชายกับเคลนผ่านช่องเล็กๆที่เจาะเป็นเคาน์เตอร์ออกมาจากห้องครัว แต่มันมีกระจกใสกั้นอยู่จึงไม่มีกลิ่นอาหารเล็ดลอดเข้ามาด้านใน เคลนทำอาหารคล่องมาก เขาดูเป็นธรรมชาติสุดๆเวลาจับเครื่องครัว แถมดูไม่ขัดตาเลยเวลาเขาใส่ผ้ากันเปื้อน หรือฉันอาจจะชินตา ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง เขาก็แสดงฝีมือทำอาหารให้ทานเลย
ฉันกดเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ พลางเหลือบมองลุคที่อยู่ในครัวเป็นระยะ ฉันเพิ่งสังเกตว่ามีสมาชิกคนหนึ่งหายไป แต่เคลนก็ไม่ปล่อยให้ฉันได้สงสัยนานเมื่อเขาส่งเสียงลอดมาจากห้องครัวว่า
“ลอเรนจัง ช่วยไปปลุกพี่บลัดให้หน่อยได้มั้ย” เคลนโผล่หน้ามาจากช่องเล็กๆตรงเคาน์เตอร์ เขาเลื่อนบานกระจกใสออกไปด้านข้างเพื่อให้ฉันฟังเสียงเขาได้ถนัด
เวลาชื่อของฉันถูกเติมคำว่าจังลงไป รู้สึกไม่คุ้นหูเอามากๆ แต่ลุคบอกว่าเป็นเรื่องปกติของที่นี่ แถมถ้าเรียกชื่อแค่อย่างเดียวโดยไม่มี จังต่อท้ายสำหรับผู้หญิง และคุงต่อท้ายสำหรับผู้ชาย แปลว่าพวกเราสนิทกันมาก แต่ฉันก็ไม่ชินที่จะเรียกใคร คุงๆ จังๆ อยู่ดี ขอเรียกชื่อเลยแล้วกัน...สองหนุ่มพี่น้องก็ใจดี อนุญาตให้ฉันเรียกชื่อพวกเขาได้โดยไม่ต้องมีคำสร้อยต่อท้ายให้ปวดหัว
“ห้องพี่บลัดเดินเลยไปจากประตูห้องครัว อยู่ซ้ายมือประตูบานในสุดนะ” เคลนชี้ทางมาให้ ฉันหันมองไปตามนิ้วของเขาก็เห็นซอกทางเดินที่แยกออกไปจากห้องรับแขก
“ให้ฉันเข้าไปในห้องนอน เขาไม่ว่าหรอ” ฉันหันไปถามเคลนด้วยความเกรงใจ ถ้าเป็นห้องของเหล่าพี่ชาย ฉันคงเดินตรงเข้าไปโดยไม่คิดอะไรแล้วละ
“ไม่เป็นไรหรอก ฝากด้วยนะ” เคลนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ฉันชายสายตามองตรงเข้าไปในซอกทางเดิน
และจำใจต้องลุกขึ้นเมื่อเคลนกลับไปเตรียมอาหารต่อแล้ว ค่อยๆก้าวเดินเข้าไปในทางเดินแคบๆ ที่กว้างพอให้เปิดประตูฝั่งตรงข้ามไม่ชนกันเท่านั้น จนมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานในสุด
ฉันแอบแนบหูฟังบนบานประตู เผื่อเจ้าของห้องด้านในจะตื่นแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ยินเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย
ฉันเคาะประตูห้องเขาสองสามครั้ง ก่อนนำหูไปแนบที่ประตูห้องอีกครั้ง ก็ยังไม่มีเสียงใดๆตอบรับอีกเช่นเดิม
เปิดละนะ!... เอื้อมมือออกไปกำลูกบิดไว้แน่นก่อนจะผลักประตูออกอย่างช้าๆพลางก้าวเข้าไปในห้อง กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆลอยมาเตะจมูกเป็นอย่างแรก น่าจะเป็นน้ำหอมที่บลัดใช้เป็นประจำ กลิ่นอ่อนๆพาให้สบายใจจนเผลอสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่
ฉันแทรกตัวเข้าไปในห้องก่อนจะปิดประตูลงให้เงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในห้องบลัดไม่มีแสงของดวงอาทิตย์เล็ดลอดออกมาจากผ้าม่านเลยแม้แต่น้อย ผ้าม่านปรอททำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ แต่ในห้องกลับไม่มืดสนิท ไฟที่หัวเตียงของเขาส่องสว่างเป็นสีส้มสลัว ทำให้ฉันมองเห็นร่างเจ้าของห้องโผล่พ้นออกมาจากผ้าห่มผืนหนา
ฉันค่อยๆก้าวเท้าอย่างเงียบเชียบเข้าไปด้านข้างเตียงของเขา เคลนให้มาปลุกเขาแท้ๆ แต่กลับกลัวจะทำให้เขาตื่นขึ้นมาแทน
ครั้งแรกที่เห็นเขาในร้านเบเกอรี่ เขาดูเด่นสะดุดตามากจริงๆ ทั้งโครงหน้าและรูปร่างดูต่างไปจากผู้คนรอบกาย เรือนผมสีเงินถูกเซตให้ตั้งขึ้นน้อยๆ ผมด้านหน้าปล่อยลงมาละสันจมูก ผมด้านข้างที่คละข้างแก้ม ยิ่งทำให้โครงหน้าของเขาดูเรียวยาว ถึงแม้ตอนนี้เรือนผมของเขาจะไม่ได้ถูกเซตไว้ในทรงที่คุ้นตา แต่ฉันกลับไม่รู้สึกว่ามันไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก
บลัดยังคงหลับตาพริ้ม แถมที่ดูขัดกันเพราะในวงแขนของเขามีตุ๊กตาตัวกำลังพอเหมาะอยู่ตัวหนึ่ง ตุ๊กตาสุนัข หูตั้ง ตัวสีขาวล้วนราวกับสีผมของเขา ฉันอดหัวเราะคิกคักไม่ได้กับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า เขาดูน่ารักมาก น่ารักจนเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ถ้าไม่ติดว่าตัวเขาไม่เล็กเลยละนะ
“บลัด” ฉันเรียกชื่อเขาเบาๆ เขาขมวดคิ้วตอบรับนิดหน่อย แต่แล้วมันก็คลายออกและจังหวะหายใจก็กลับมาสม่ำเสมอตามเดิม
“บลัดเทีย” ฉันเพิ่มระดับเสียงขึ้นอีกเล็กน้อยพลางเอื้อมมือไปสะกิดตัวเขาเบาๆ
“อื้อ...” ทีนี้เขาส่งเสียงออกมา แต่กลับไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
“บลัดดดด~ เทียยยย~” ฉันเรียกเขาอย่างเต็มเสียง พลางเขย่าร่างเขาจนร่างหนาโงนเงนตามแรงมือ
“ตื่นแล้วๆ” บลัดอ้าปากตอบ แต่ดวงตายังไม่ลืมขึ้นมาด้วยซ้ำ ฉันเห็นเขากระชับตุ๊กตาในวงแขนเข้าไปอีก ไม่เห็นจะตื่นอย่างปากว่าสักนิด
เมื่อการปลุกอย่างประนีประนอมไม่ได้ผล ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดลึกลึ๊ก จับผ้าห่มของเขาให้มั่น แล้วดึงมันขึ้นมารวดเดียวทั้งผืน!!
“บลัดเทีย ตื่นได้แล้ว!” ฉันพูดชัดถ้อยชัดคำ เหมือนครั้งนี้จะได้ผล บลัดเด้งผึงจากเตียงลุกขึ้นนั่งทันที เขาหันมาจ้องฉันตาขวาง พลางนั่งชันเข่าทั้งสองข้างห่อตัวเองเข้าตัวกัน
“ตื่นแล้วๆ ออกไปก๊อน!!”
เหมือนจะเห็นบลัดหน้าแดง เขาเขินอะไรแต่เช้านะ หรือเพราะเพิ่งตื่นเลือดก็เลยสูบฉีดมากกว่าปกติ ฉันกวาดสายตามอง เขาไม่ได้ใส่เสื้อนอนด้วยล่ะ หุ่นดีไม่เบาเลย... เดี๋ยว!นั่นไม่ใช่ประเด็น ฉันจะมายืนจ้องเขาก็ใช่ที่ แถมตอนนี้เหมือนบลัดจะสาดสายตาอาฆาตมาให้แล้ว ยิ่งนัยน์ตาสีแดงคมกริบนั้นจ้องมาแบบเอาเรื่อง มันทำให้เสียวสันหลังวาบจริงๆ
แต่เขาดันส่งสายตาแกมดุมาให้แต่ใบหน้ากลับขึ้นสีระเรื่อ ไม่ต่างจากลูกสุนัขกำลังข่มขู่แต่ไร้ซึ่งเขี้ยวเล็บ แลดูน่ารักอย่างไม่สามารถกล่าวได้
“เดี๋ยวข้าวเช้าจะเสร็จแล้ว ลุกมาด้วยนะ” บลัดพยักหน้าหงึกหงักรับคำ ก่อนเบนสายตาหลบไม่ยอมสบสายตากับฉันเลยสักนิด ฉันยื่นผ้าห่มคืนให้เขาไป มือใหญ่คว้ากลับไปคลุมร่างของตัวเองไว้อย่างโล่งอก
“ลุกได้แล้วนะ” ฉันกำชับเขาอีกครั้งก่อนจะแทรกตัวออกมาจากห้องของเขา ภารกิจเรียบร้อย!
ใครให้ลอเรนเข้ามาปลุก ห๊ะ! ฉันจะออกไปบีบคอมัน!! ยังไงก็คงไม่พ้นเคลนนั้นละ นี่แกต้องการอะไรให้เรนเดินเข้าห้องฉันยังไม่พอ สภาพตอนตื่นมันน่าดูนักละ ฉันจะจับมันทำอาหารเย็น!! แต่ถ้ามันไม่อยู่แล้วจะกินอะไรวันพรุ่งนี้ดีนะ
หลังจากเรียกสติให้เข้าที่เข้าทาง ผมต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รู้ไหม...ผู้ชายก็มีปัญหาตอนตื่นนอนนะ อย่าให้พูด! เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ... ผมลุกขึ้นจากเตียง พลางบิดขี้เกียจ ยืดเส้นยืดสายอยู่พักหนึ่ง
เอาไว้คงต้องใส่เสื้อนอนให้ชินแล้วมั้ง ผมคิดในใจพลางหาวออกมาทีหนึ่ง ก่อนหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วก้าวเท้าเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังห้องนอนนี่เอง บ้านเรามีห้องอาบน้ำในห้องนอน ห้องน้ำด้านนอกจะไม่มีฝักบัว ต้องเข้ามาอาบน้ำด้านในห้องนอนของผม ไม่ก็ห้องเคลนเท่านั้น
หลังจากอาบน้ำอยู่พักหนึ่ง เมื่อออกมาแต่งตัวด้านในห้องนอน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ว่าไง” ผมส่งเสียงตอบกลับไป
“ข้าวเช้าเสร็จแล้วนะ” เสียงใสๆตอบกลับมา
“เดี๋ยวออกไป”
เสียงฝีเท้าของลอเรนดังออกไปไกลจากหน้าห้องแล้ว เมื่อกี้เธอคงไม่เห็นอะไรไม่ควรเข้าใช่ไหม พอเดินออกไปจากห้องแล้วผมจะทำหน้ายังไงดีเนี่ย ผมคิดไปเรื่อยพลางสวมเสื้อคอกลมสีเทาตัวหนึ่ง ถอนหายใจหนักๆหนึ่งทีและพยายามปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติ ก่อนจะหมุนลูกบิดที่ประตูและก้าวเดินเข้าไปในห้องรับแขก
“ฮิ...อลังการน่าดูเลยนะเคลน” ผมแซวมันเข้าให้ เมื่อเดินไปถึงโต๊ะอาหาร มื้อเช้าที่ปกติเป็นอาหารจานเดียวซะส่วนใหญ่ วันนี้เคลนทุ่มสุดฝีมือ ทำซาซิมิชุดใหญ่ สีสันสดสวยเรียงรายไปด้วยเนื้อปลาหลากหลายสายพันธุ์ ไหนจะบรรดาซูชิที่เรียงรายหลากรสจนลายตา มิน่าวันนี้ผมถึงได้ยินเสียงมันตื่นตั้งแต่ตีสี่ ตีห้า
“ลุคกลับมาทั้งที แถมลอเรนจังก็มาอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องต้อนรับกันหน่อย” เคลนดีดนิ้วดัง ‘เป๊าะ’ ท่าทางภูมิใจไม่เบากับอาหารมื้อนี้
“เดือนนี้ฉันคงต้องทำงานล่วงเวลาอีกแล้วมั้ง แกเล่นทำกับข้าวซะขนาดนี้”
เคลนหน้าเบ้ขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเรื่องเงิน จริงๆเราสองคนก็ไม่ได้จนหรอกนะ แต่คนที่รวยไม่ใช่เรา แต่เป็นพ่อแม่เราต่างหากท่านทั้งสองรับผิดชอบจ่ายค่าเทอมให้ผมกับเคลน รวมถึงค่าห้องและค่าน้ำค่าไฟให้ด้วย ผมจึงไม่อยากรบกวนท่านเรื่องค่ากินค่าอยู่อีก แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรนักหรอก ร้านเบเกอรี่ที่ผมทำงานอยู่ ค่อนข้างได้เงินดีทีเดียว อาจจะเพราะเป็นพนักงานคนเดียวในร้านเล็กๆนั่นด้วย
ตอนนี้มีคนมาฝากท้องเพิ่มขึ้นอีกสองคน คงต้องตั้งใจกับงานให้มากขึ้น เคลนดูตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้พี่สาวอีกคน ฮิ...ขอโทษนะที่ฉันมันเป็นพี่ชาย คุณเคลนลิเอล ผมประชดอยู่ในใจ ตลอดเวลาที่อยู่กันมา ไม่เคยจะเลี้ยงดีขนาดนี้ อย่างมากก็มีฉลองกันบ้างตามโอกาสพิเศษ แต่ก็ไม่อลังการขนาดนี้
พอพูดถึงเรื่องงบประมาณขึ้นมา เหมือนลอเรนจะทำตัวไม่ถูก ช้อนส้อมที่เธอถือไว้ถึงไม่กล้าตักอาหารใดๆตรงหน้าเข้าปากเลย ส่วนลุคน่ะใช้ตะเกียบคีบเข้าปากอย่างสบายใจไปนานแล้ว ปากก็ชมเคลนไม่หยุด ลุคน่ะว่าไปอย่าง แต่ดูหน้าเจ้าเคลนสิ ปลื้มปริ่มเสียนี่กระไร
ผมมองลอเรนนิ่งๆ เหมือนเธอจะรู้สึกตัวถึงได้เงยหน้าขึ้นมาสบสายตาผมไว้ ผมฉีกยิ้มให้เธอจางๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหา และวางมือลงบนศีรษะพลางลูบเรือนผมสีวอลนัทอย่างเบามือ
“กินให้อิ่มเถอะ เคลนมันอุส่าห์ตั้งใจทำให้” ผมลูบศีรษะเธอต่อไปอีกพักหนึ่ง จนเหมือนเธอจะเริ่มวางใจและลองตักซูชิคำนึงเข้าปาก แววตาเธอเปล่งประกายวาววับเชียวละ ผมหัวเราะเบาๆในลำคอให้กับท่าทางเอร็ดอร่อยที่เธอแสดงผ่านทางสีหน้าอย่างชัดเจน
แค่มองดูทุกคนนั่งทานกัน ผมก็ชักจะอิ่มใจแทนซะแล้ว แต่ถ้ายืนมองอยู่แบบนี้ต่อไป คงกินไม่ทันแน่ๆผมจึงตัดสินใจนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่ด้านข้างเรน เธอหันมาส่งยิ้มให้ราวกับเชิญชวนให้ร่วมโต๊ะอาหาร ผมคลี่ยิ้มตอบเธอกลับไปพลางก้มหน้าลงหลบนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลด้วยความประหม่า
ตอนนี้เลิกเขินก่อน เผลอนิดเดียว เคลนมันแย่งซาซิมิชิ้นสวยตรงหน้าไปแล้ว!!
“พี่บลัด ออกไปซุปเปอร์ให้หน่อยดิ” ฉันได้ยินเสียงเคลนดังขึ้น เขาหันมามองบลัดที่นั่งเล่นแล็ปท็อปอยู่ที่โต๊ะทานข้าว ส่วนฉันก็ยังนั่งอยู่ข้างๆลุคเป็นที่ประจำ รู้สึกเหมือนชีวิตประจำวันของพวกเราจะมากองอยู่ที่ห้อง 801 ซะส่วนใหญ่
“ไปทำไร” บลัดส่งเสียงถามมาเรียบๆ
“ซื้อกับข้าวดิ เมื่อเช้าทำไปซะเยอะ ตู้เย็นไม่เหลือไรละ”เคลนตอบกลับมา พลางกดจอยที่ใช้บังคับเกมแข่งกับลุคอยู่อย่างออกรส
“ไปตอนนี้?” บลัดถามพลางส่งเสียงขึ้นสูง เคลนพยักหน้ามาให้ก่อนเสริมขึ้นอีกประโยค
“ไม่ไปตอนนี้ เย็นก็ไม่มีอะไรกิน”
ฉันได้ยินเสียงสะบัดออกมาจากไรฟันอย่างไม่พอใจของบลัดลอยมา
“เอาไรบ้าง จดมา” เขาบอกเคลนพลางเล่นแล็ปท็อปต่อ ฉันมองบลัดอยู่พักหนึ่ง รู้สึกเกรงใจเขาหนักกว่าเดิม กินก็มากินห้องเขา แถมยังต้องให้เขาซื้อมาให้กินอีก รู้สึกนั่งไม่ติดโซฟาอย่างไรบอกไม่ถูก เมื่อเคลนยื่นกระดาษแผ่นยาวๆให้บลัด ฉันเลยรีบเสนอตัวขึ้นทันที
“ฉันไปช่วยนะ”
บลัดจ้องฉันอยู่สักพัก แลดูเขาจะเกรงใจฉันไม่แพ้กัน แต่พอเขามองรายการที่ต้องซื้อในมือก็เกิดอาการลังเลขึ้นมา มันเยอะมากทีเดียว
“คงต้องรบกวนหน่อยแล้วละ”
ฉันเดินตามบลัดมาที่ตึกจอดรถข้างตึกที่เราพักกัน ถึงจะบอกว่าเป็นตึกจอดรถแต่มันก็ถูกตกแต่งไว้อย่างหรูหราน่าดูแต่ละห้องจะมีที่จอดรถให้ห้องละสองคัน พื้นที่จอดรถของแต่ละห้องเป็นห้องกระจกใสครอบพื้นที่จอดรถไว้อีกชั้นหนึ่ง
บลัดใช้คีย์การ์ดของเขาแตะเข้าที่เครื่องสแกนด้านหน้ากระจกใสห้องหนึ่ง ด้านบนเครื่องสแกนคีย์การ์ดมีป้ายสีทองสลักว่า 801 อยู่ พอเขาวางคีย์การ์ดลงไป ฉันต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อกระจกด้านหน้าทั้งบาน มันเลื่อนขึ้นไปด้านบน ย้ำว่ากระจกบานใหญ่ทั้งบานจริงๆ มันเหมือนกับหน้าประตูโรงรถเพียงแต่ถูกทำขึ้นมาด้วยกระจกใส
รถของพวกเขาก็หรูไม่เบา บลัดกวักมือเรียกฉันให้ขึ้นรถ ฉันมองรถของเขานิ่งอยู่นานเพราะมัน...
มันคือรถยนต์สปอร์ตยี่ห้อดัง สีดำเงาวาววับเท่านั้นฉันก็แปลกใจแล้ว ทีนี้ฉันสงสัยขึ้นมาจริงๆเมื่อมันเป็นรุ่นที่มีขายจำกัดเพียงห้าร้อยคัน
เดี๋ยวนะ! พวกเขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่ หางตาฉันเหลือบไปเห็นรถมอเตอร์ไซค์ซุปเปอร์ไบค์ สีดำแดงจอดอยู่ข้างๆอีกคัน พวกเขาอาจจะไม่ใช่นักเรียน นักศึกษาธรรมดาอย่างที่ฉันเข้าใจใช่ไหม
ฉันยืนพินิจพิจารณารถของเขาอยู่นาน จนบลัดเรียกเป็นครั้งที่สาม ฉันถึงได้ครองสติกลับมา ฉันว่า...ฉันจะดูถูกพวกเขาไม่ได้จริงๆแล้วละ
“คนที่รวยไม่ใช่ฉันหรอกนะ” บลัดพูดขึ้นแทบจะทันทีที่ฉันเข้าไปนั่งในรถ
“ฉันอยากได้รถห้าประตูมากกว่า” เขาบ่นพึมพำไปเรื่อยพลางกดปุ่มสตาร์ทเครื่องที่พวงมาลัย
พอรถพุ่งออกจากที่จอดรถแล้วฉันต้องทึ่งกับความอัจฉริยะของที่จอดรถอีกครั้งเมื่อกระจกบานใหญ่ที่เลื่อนขึ้นไป เลื่อนลงมาปิดห้องจอดรถให้สนิทแน่นหนาอีกครั้ง ฉันชักจะเข้าใจแล้วละ ว่าทำไม ปะป๊ากับมะม๊าถึงได้ยอมจ่ายค่าห้องแพงหูฉี่นี่ให้ลูคัส
เราทั้งสอง มาถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ฉันยืนยันว่าจะเรียกมันว่าห้างสรรพสินค้า บลัดนำรถขึ้นมาจอดบนลานจอดรถของห้างอย่างชำนาญ เป็นการเดินทางที่ใช้เวลาสั้นมากหากเทียบกับระยะทาง เพราะอะไรน่ะหรอ บลัดขับรถเร็วมาก! เร็วจนราวกับเปิดประตูมิติวาปมาถึงห้างสรรพสินค้าในบัดดลโดยไม่ต้องผ่านเส้นทางอันเคี้ยวคดบนท้องถนน
เขาเคยโดนจับบ้างไหมเนี่ย ได้ข่าวว่าที่นี่เคร่งเรื่องกฎหมายพวกนี้มากไม่ใช่หรือ พอพ้นเขตชุมชนเท่านั้นละ บลัดแทบจะเหยียบมิด แล้วรถของเขาเครื่องมันเบาที่ไหนกัน ตัวฉันแนบติดชิดกับเบาะ หักพวงมาลัยสักที แทบจะโดนเหวี่ยงไปทั้งตัว
แต่เวลาร่างกายขยับไปตามความเร็วของรถฉันกลับรู้สึกดีจนเผลอส่งเสียงหัวเราะออกไปจากลำคอ ชวนให้นึกถึงเวลาที่ร่างกายได้ออกแรงวิ่งอย่างเต็มที่ ภาพของเมืองรอบข้างผ่านสายตาไปอย่างรวดเร็ว เหล่าผู้คนรายทางแว๊บผ่านไปจนฉันไม่สามารถบอกได้ว่าเพศอะไร
ฉันฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเมื่อเท้าลงมาแตะกับพื้นโลกอย่างมั่นคง บลัดเลิกคิ้วขึ้นพลางมองฉันอย่างฉงนฉงาย
“เธอนี่...ชอบความเร็วหรอ”
“ฮะ ฮะ!! รู้สึกดีออกไม่ใช่หรอ” ฉันส่งเสียงตอบเขาอย่างร่าเริงพลางฮัมเพลงต่อ นัยน์ตาสีแดงของเขาหรี่ลงมองฉันอย่างคาดไม่ถึงก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านในห้าง ฉันสาบานได้ว่าเห็นเขายิ้มบางๆด้วยละ
พวกเราเข้ามาจับจ่ายซื้อของกันที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นใต้ดินของห้าง บลัดเป็นคนเข็นรถเข็นส่วนฉันก็เดินอยู่ข้างๆเขาพลางอ่านรายการที่ต้องซื้อให้เขาฟังไปด้วย
พวกเราเดินเข้าซอยนู้นออกซอยนี้ จนของแน่นเอี๊ยดเต็มคันรถ เคลนฝากซื้อมาตั้งแต่วัตถุดิบทำอาหารไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน เขายังใจดีพาฉันไปดูของใช้ส่วนตัวอย่างไม่อิดออด ถึงแม้จะเกรงใจเอาการแต่ก็ซื้อของใช้จำเป็นไปนิดหน่อย หลังจากซื้อของตามรายการได้ครบแล้ว ระหว่างที่เรากำลังช่วยกันบรรจุของทุกอย่างใส่ถุงอยู่นั้น เขาก็หันมาถามฉันว่า
“แวะกินอะไรก่อนกลับมั้ย”
ฉันเงยหน้าไปมองเขาอยู่พักหนึ่งก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบ ให้เคลนทำให้ทานก็อร่อยมากแล้วละ แถมฉันก็ไม่อยากจะรบกวนเขามากไปกว่านี้
บลัดหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทีกลุ้มใจของฉัน ก่อนที่เขาจะวางฝ่ามืออุ่นลงบนศีรษะพลางลูบเรือนผมอย่างเบามือ รู้สึกเขินเหมือนกันนะ แต่มันก็รู้สึกดีมากทีเดียว ราวกับทั้งปลอบโยน ให้กำลังใจ และรู้สึกปลอดภัยในคราเดียว จนฉันอดที่จะอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้
ฉันเริ่มรู้สึกมีความสุขและอบอุ่นขึ้นมาในใจ เวลาอยู่ใกล้เขาซะแล้ว
เนื่องจากพื้นหลังเรื่องนี้อยู่ในประเทศญี่ปุ่นครับ เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆไว้สำหรับให้ผู้อ่านทุกคนสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นครับ ส่วนใหญ่เกร็ดความรู้จะเขียนมาจากประสบการณ์ตรงของไรเตอร์เอง อาจจะมีข้อมูลบางส่วนที่อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ของประเทศนะครับ
- ผ้าม่านปรอท = เป็นผ้าม่านแบบทึบแสงครับ ผ้าหนาและหนักมาก เวลานอนตอนกลางวันจะฟินมาก เพราะไม่มีแสงแดดส่องเข้ามาเลย (ก็เลยไม่ตื่นไปเรียนด้วยประการฉะนี้)
- ถุงในซุปเปอร์มาร์เก็ตของญี่ปุ่น = ญี่ปุ่นเป็นเมืองรณรงค์เรื่องของใช้แล้วทิ้งมากครับ ถุงพลาสติกก็เป็นหนึ่งในสิ่งของที่ชาวญี่ปุ่นรณรงค์กัน ส่วนมากคนญี่ปุ่นจะใช้ถุงผ้าเวลาออกไปซื้อของครับ เพราะโดยทั่วไปตามซุปเปอร์จะขายถุงพลาสติกถุงละ ห้าเยน(อาจต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่) แล้วบ้านเขาไม่มีพนักงานใส่ถุงให้นะ ส่วนใหญ่เราต้องเอาสินค้าที่จ่ายเงินแล้วไปใส่ถุงเองที่โต๊ะ หลังเคาน์เตอร์จ่ายเงินครับ
- การขับรถในญี่ปุ่น = อย่าเอาบลัดเป็นเยี่ยงอย่างเชียวครับ (ฮ่า) ปกติแล้วชาวญี่ปุ่นจะเคารพกฎจราจรสูงครับ ในเขตชุมชนจะขับได้แค่ 30กิโล/ชั่วโมง ถนนใหญ่ 60กิโล/ชั่วโมง และ ทางด่วน 100กิโล/ชั่วโมง ห้ามเหยียบมิดเป็นอันขาด เพราะฉะนั้นบ้านเขาจึงไม่มีรถที่แรงม้าสูงๆครับ
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมจนถึงตรงนี้ครับ
Raf Rafael
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ