ปมลิขิตรัก

10.0

เขียนโดย ลันตนา

วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 09.51 น.

  6 บท
  4 วิจารณ์
  9,843 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 เมษายน พ.ศ. 2562 19.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) เธอชื่ออะไร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 3/1
               ‘ทั้งหมดนี้คือความปลอดภัยของคุณ ถ้าคุณรักตัวเองคุณต้องดูแลตัวเองเพราะผมไม่สามารถดูแลคุณได้ตลอดเวลา’ น้ำเสียงและแววตาเอาจริงจังของผู้คุ้มครองยังคงติดตรึงในสมอง เธอย้ำเตือนกับตัวเองของในคำพูดของเขา
               “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” น้ำเสียงเย็นใสเอ่ยทักญาณิศาเมื่อเดินลงบันใดมาถึงชั้นล่างพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือหญิงสูงวัยกำลังถือถาดอาหารไว้ในมือ ญาณิศาสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมยิ้มรับคำทักทาย และเอ่ยกลับเป็นคำทักทายเดียวกัน
               “ไปทานอาหารเช้ากันเถอะค่ะ” หญิงสูงวัยเชิญชวนอย่างเป็นมิตรและเดินนำเธอไปอีกทาง ญาณิศากำลังแปลความหมายภาษาอังกฤษสำเนียงไม่คุ้นหูแต่เธอเห็นร่างท่วมเดินห่างจากเธอไปหลายก้าวแล้ว เธอไม่มีเวลาคิดจึงได้แต่เดินตามหลังหญิงสูงวัยจนถึงห้องรับประทานอาหาร
               ในห้องมีคนนั่งรับประทานอาหารอยู่แล้วนั้นคือหญิงสาวหน้าคมหวานที่เธอเจอเมื่อคืนแต่ยังไม่รู้จักชื่อ ต่อมาคือเดรโก้ และสุดท้ายคือผู้คุ้มครองพยาน
               “นั่งสิ” สาวหน้าคมหวานเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงใจดีทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นจากความเกร็ง ญาณิศาเลือกที่นั่งข้างคนชวน
               “ขอบคุณค่ะคุณ...”
               “เบลล่า ฉันเป็นพี่สาวของหมอนั้น” มาเซลล่าพูดพร้อมพยักเพยิดหน้าไปหาน้องชายที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ญาณิศากดมุมปากรับคำของเบลล่าและเอ่ยทวนชื่อของมาเซลล่าล่าอีกครั้ง
               “เธอชื่ออะไรละ” แม้ว่าเบลล่าทราบชื่อจริงของหญิงสาวจากคำบอกเล่าของน้องชายแต่คาร์ลอสยังบอกอีกว่าญาณิศาต้องปลอมแม้กระทั้งชื่อเพราะนั้นคือความปลอดภัยของตัวพยาน
               ญาณิศามองสบตาหญิงสาวที่อาวุโสกว่าแล้วนึกย้อนถึงสิ่งที่ผู้คุ้มครองบอก ‘แม้แต่ชื่อจริงของคุณก็ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด’ ญาณิศานิ่งคิดแล้วมองไปที่ผู้คุ้มครอง เขามองเธอตอบเช่นกันแล้วก้มลงสนใจกระดาษแผ่นใหญ่ตรงหน้าเหมือนเดิม
               “ฉันชื่อ...” เธอนิ่งคิด เรียวคิ้วโก่งได้รูปขมวดเข้าหากัน “เกรซ” ญาณิศาตอบยิ้มๆกับชื่อที่เพิ่งคิดได้สดใหม่ ทุกคนบนโต๊ะอาหารรวมทั้งแม่บ้านเอกยืนรอรับใช้ยิ้มเจื่อนให้เจ้าของชื่อเกรซ เจ้าของไร่ได้ยินชื่อกำลังยกแก้วน้ำขึ้นจ่อปากแต่ต้องหยุด
               สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องอาหารพร้อมถาดรองถ้วยบรรจุเครื่องดื่มจำนวนสี่ถ้วย เครื่องดื่มร้อนๆในถ้วยส่งกลิ่นทักทายทุกคนบนโต๊ะอาหารสำหรับญาณิศากลิ่นนี้มันช่างไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย
               “กาแฟสูตรใหม่บดเสร็จเมื่อวานนี้เองค่ะ” ป้าโซเฟียพูด
               “หอมมากเลยครับ คุณเกรซลองชิมดูสิครับกาแฟสูตรใหม่ของเรา” เดรโก้ชูถ้วยกาแฟเชิญชวนพยานสาว
               เครื่องดื่มสีน้ำตาลอ่อนละมุนในถ้วยเซรามิกสีขาวส่งกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ลอยขึ้นแตะจมูก ญาณิศาไล่สบตาสมาชิกบนโต๊ะอาหารทีละคน แววตาและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความลุ้นระทึกของมาเซลล่าและเดรโก้ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจ เครื่องดื่มที่มีชื่อว่ากาแฟมีเคมีบางชนิดที่ไม่เข้ากับร่างกายของเธอ ญาณิศามองของเหลวสีน้ำตาลเข้มนิ่งนาน พยานสาวสบตาผู้คุ้มครองแต่เขาหลบสายตา หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนค่อยๆ ยกขอบแก้วขึ้นแตะริมฝีปาก
               “รสชาติเป็นไงบ้างครับ” เดรโก้ถามด้วยเสียงตื่นเต้นแววตาเปล่งประกายด้วยความลุ้นระทึกมือสองข้างยกขึ้นประสานไว้บนหน้าอก
               เรียวปากสีชมพูกดมุมปากขึ้น “ไม่เคยดื่มกาแฟรสชาตแบบนี้เลยหอม...หอมเหมือนกลิ่นดอกไม้เลยค่ะและรสนุ่มลิ้นมาก” เธอจิบกาแฟอีกครั้งก่อนทานขนมปังทาแยมกับไส้กรอกอีกอย่างละหนึ่งชิ้นต่อจากนั้นขอตัวออกไปเดินเล่นบริเวณบ้าน
               ญาณิศาเดินได้สองสามก้าวสายตาสองข้างทองเห็นทางออกของห้องทานอาหารมีรูปทรงบิดเบี้ยวผิดไปจากปกติ พื้นไม้ปาเก้สามารถหมุนได้ด้วยตัวเอง ในช่องอกคล้ายมีบางสิ่งบีบรัดหัวใจให้ทำงานลำบากและระบบทางเดินหายใจเริ่มติดขัด เท้าสองข้างไม่สามารถก้าวเดินได้เพราะร่างกายเริ่มเสียการทรงตัว ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัวก่อนค่อยๆ มืดสนิท
 
               “โชคดีนะครับที่เรียกหมอมาทันเวลา ถ้าช้ากว่านี้เธอแย่แน่” คุณหมอยิ้มให้ทุกคนในห้อง “หมอให้ยาเธอแล้วครับให้คนไข้พักผ่อนมาก ๆ ไม่นานอาการจะดีขึ้น” พอคุณหมอจัดยาเสร็จจึงขอตัวกลับ เดรโก้อาสาไปส่งคุณหมอ มาเซลล่ามองน้องชายตนเองสลับกับร่างพยานสาวบนเตียงก่อนเดินออกจากห้อง
               ลมในช่วงสายของวันพัดเอื่อยหยอกเย้าผิวกายให้เย็นสบายคลายร้อนจากไอแดด กลิ่นหอมดอกไม้บางเบาในสายลมช่วยบรรเทาพายุทะเลในอกให้สงบลงทีละน้อย ดวงตาคมเฉี่ยวสำรวจดวงหน้าเล็กขาวซีดกำลังหลับตาสนิทอยู่บนเตียงสีเทาเข้ม
               เหตุการณ์เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมายังคงบันทึกไว้ในความทรงจำ ภาพหญิงสาวร่างระหงส์ล้มพับลงบนพื้นใบหน้าขาวราวกับกระดาษลมหายใจหอบถี่สร้างความตกใจให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ คนที่เข้าใบประคองร่างของเธอขึ้นมาเป็นคนแรกไม่ใช่เขาแต่เป็นเดรโก้
               สายลมยามช่วงสายยังคงพัดพากลิ่นหอมจางๆของดอกไม้มาอีกระลอก ลูกกะตากลมขลุกขลิกไปมาใต้เปลือกตาสีเนื้ออ่อนเป็นสัญญาณให้รู้ว่าร่างเล็กบนเตียงกำลังได้สติ คาร์ลอสยืดลำตัวตรงแขนสองข้างไขว้กันไว้บนหน้าอก ดวงตาคมเฉี่ยวยังคงตั้งอยู่ที่พิกัดเดิม ไม่นานเปลือกตาสีเนื้ออ่อนค่อยๆเผยให้เห็นนัยต์ตาสีน้ำตาล ดวงตาคู่สวยกระพริบถี่เพื่อปรับให้ชินแสง
               “โอย ปวดหัวจัง” พอได้สติเสียงหวานร้องโอดครวนเพราะคล้ายมีก้อนหินขนาดมหึมากดทับศีรษะจนปวดระบม มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมศีรษะ คนป่วยกรอกสายตาสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบกาย สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานไม้สัก ญาณิศากวาดสายตาเรื่อยลงมาคือชุดโฮมเธียเตอร์ จากนั้นจึงหันศีรษะไปทางขวาพบหน้าต่างสองบานเปิดรับลมทั้งสองข้าง ญาณิศาหันศีรษะไปทางซ้ายพบร่างสูงใหญ่ของใครบางคนยืนอยู่ ญาณิศามองไล่ขึ้นไปตั้งแต่ขาสองข้างเรื่อยไปจนถึงใบหน้าเข้ม ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน
               “ปวดหัวมากหรือเปล่า” เจ้าของร่างสูงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่บอกอารมณ์ หญิงสาวส่ายศีรษะเป็นคำตอบ
               “คุณรู้ตัวเองอยู่แล้วใช่ไหมว่าตัวเองแพ้คาเฟอีน” ชายหนุ่มปรับน้ำเสียงและแววตาไปทางที่ดุและคาดคั้น ญาณิศาก้มหน้ามองผ้าห่มและพยักหน้าเป็นคำตอบ
               “คุณรู้บ้างไหมว่าคุณทำให้คนอื่นเป็นห่วงและวุ่นวายกับคุณมากแค่ไหน” น้ำเสียงอ่อนโยนถูกปรับไปพร้อมกับดวงตาคมที่แอบเปลี่ยนไปพร้อมกับความหมายของคำพูดที่หญิงสาวอาจไม่เห็น
               “ถ้าพยานเป็นอะไรไปผมแย่แน่” ชายหนุ่มกรอกตาไปมาและลอบผ่อนลมหายใจ
               “คุณพักผ่อนต่อเถอะผมจะไปทำงาน ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมบอกป้าโซเฟียได้” เสียงเข้มปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ พอเอ่ยจบประโยคร่างสูงกลับหลังหันเดินไปทางประตู
               เวลาผ่านไปหลายนาทีญาณิศายังคงมองบานประตูไม้ที่ปิดสนิทหลังจากผู้คุ้มครองขอตัวออกไปทำงาน ความรู้สึกที่เธอไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันคืออะไรกำลังวนเวียนในสมอง กระแสลมอุ่นกำลังพัดไสวให้หัวใจเต้นรัว สายตาคมเฉี่ยวกับน้ำเสียงเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมายังคงอยู่ในความทรงจำยิ่งคิดถึงยิ่งทำให้หัวใจดวงนี้สั่นไหว มือเล็กยกขึ้นทาบอก
               “ฤทธิ์คาเฟอีนยังไม่หมดอีกเหรอ” ญาณิศาพึมพำกับตนเองขณะมือยังคงทาบอยู่บนอก
ในขณะนั้นประตูห้องนอนถูกเปิดออกโดยใครบางคนญาณิศาหันไปทางประตูเธอหวังให้เป็นคนที่เพิ่งออกไปแต่แล้วสิ่งที่หวังไม่เป็นดังใจ
               “เป็นไงบ้างคะ อาการดีขึ้นหรือยัง” หญิงสูงวัยเอ่ยถามอย่างมีเมตตา หญิงสาวตอบค่ะพร้อมพยักหน้า ถ้วยเซรามิกสีขาวพร้อมอาหารในถ้วยส่งกลิ่นหอมทักทายถูกวางลงบนโต๊ะล้อเลื่อน
               “ทานซุปสักหน่อยนะคะตอนนั้นคุณอาเจียนเยอะมาก ตอนนี้คงจะหิวแย่” ใบหน้าเหยี่ยวย่นประทับรอยยิ้มใจดี กิริยาท่าทางใจดีของหญิงสูงวัยทำให้หญิงสาวหวนคิดถึงมารดายามเธอล้มป่วยมีท่านคนเดียวที่คอยเอาใจใส่
               ญาณิศาตักซุปสีขาวข้นเข้าปากอย่างไม่ลังเลเพราะขณะนี้เธอรู้สึกเหมือนที่ป้าโซเฟียพูด หญิงสูงวัยกดมุมปากขึ้นอย่างพอใจที่เห็นหญิงสาวรับประทานอาหารได้เป็นปกติ
               “อร่อยไหมคะ” ป้าโซเฟียถามพร้อมกับรินน้ำใส่แก้ว
“อร่อยมากค่ะ ฝีมือป้าสุดยอด” หญิงสาวยิ้มโชว์ฟันขาวพร้อมกับยกนิ้วโป้งสองข้างการันตีเรื่องรสชาด
หญิงสูงวัยหัวเราะในความน่ารักของเธอ “มันไม่ใช้ฝีมือป้าหรอก ซุปเห็ดถ้วยนี้ฝีมือคุณเควินค่ะ พอคุณเป็นลมเขาเป็นคนแรกที่โทร.ตามหมอและก่อนจะออกไปทำงานเขารีบเข้าครัวทำซุปให้คุณแถมยังกำชับป้าอีกด้วยว่าให้คุณทานให้หมด”
               “เขาดูเป็นห่วงคุณมากเลยนะคะ” นางพูดยาวจนลืมสังเกตหญิงสาว สิ้นเสียงหญิงสูงวัยมือเล็กค่อยๆ วางช้อนลงในถ้วย ญาณิศามองซุปสีขาวข้น
               “อ้าว อิ่มแล้วเหรอคะกินนิดเดียวเองถ้าคุณเควินรู้ต้องโกรธป้าแน่” นางเว้นวรรคและสังเกตอาการของหญิงสาวที่จู่ๆสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปก่อนขอตัวออกจากห้องเหลือทิ้งไว้เพียงคนป่วยกับถ้วยซุปและความรู้สึกประหลาดบางอย่างกำลังพลุ่งพล่านในหัวใจ
               “เขาเป็นห่วงเพราะฉันเป็นพยานในคดีของคุณพ่อของเขา” ญาณิศาบอกกับตัวเอง
 
               ประตูกระจกแก้วใสบานใหญ่ถูกผลักเข้ามาภายในร้านทองพร้อมร่างอุ้ยอ้ายของหญิงสาวคนหนึ่งเจ้าของร้านวัยกลางคนส่งรอยยิ้มเป็นมิตรให้กับลูกค้าขาประจำของร้าน
               “สวัสดีค่ะม๊า” หญิงสาวในชุดกระโปรงประนมมือทำความเคารพผู้อาวุโส หญิงวัยกลางคนประนมมือรับพร้อมกดมุมปากโชว์ฟัน
               หญิงสาวบอกจุดประสงค์ในการมาร้านทองครั้งนี้ก่อนจะยื่นตลับพลาสติกสีแดงบรรจุสร้อยคอทองคำและแหวนทองคำให้กับคุณชมนาด เจ้าของร้านรับสิ่งของจากมือหญิงแล้วจึงตรวจสภาพของก่อนส่งให้ลูกจ้างชายหนุ่มวัยรุ่น
               ไอรินทร์มองหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับมารดาของตนอย่างชื่นชมในการทำงานอย่างชำนาญของท่าน ใบหน้ารูปไข่และผิวขาวเนียนของท่านทำให้หวนคิดถึงเพื่อนสาวคนสนิท
               “ม๊าคะวันนี้สาไม่มาร้านเหรอคะ” ไอรินทร์ถามด้วยความสงสัยปนคิดถึงเพราะปกติญาณิศามาร้านทองทุกวัน คุณคุณชมนาดมองใบหน้ารูปหัวใจของหญิงสาวรุ่นลูกอย่างลำบากใจก่อนเดินออกมาจาหลังเคาท์เตอร์สีแดงแล้วเดินนำไอรินทร์มาที่มุมรับแขกของร้านซึ่งมีโต๊ะและเก้าอี้จัดไว้
               หญิงวัยกลางคนมองหญิงสาวรุ่นลูกพร้อมปล่อยลมหายใจออกยาวหนัก หญิงสาวสงสัยในอากัปกิริยาของท่าน ไอรินทร์ทำท่าจะเอ่ยปากถามแต่คุณชมนาดพูดขึ้นเสียก่อน
               “สาหายตัวออกไปจากบ้านสักพักแล้วลูก” คุณชมนาดเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าพร้อมกับแววตาหม่นหมองห่วงหาลูกสาวคนโต
 
 
T T T T T T T T T T T T T T T T T T T T T T T T T T
 
บทที่ 3/2
               “ตอนนี้ติดต่อสาได้หรือยังคะ” ไอรินทร์เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงญาณิศา มารดาของเพื่อนสาวคนสนิทส่ายศีรษะพร้อมกับถอนหายใจ
               “ม๊าพยายามติดต่อเพื่อนสาคนอื่นแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าสาอยู่ที่ไหนยกเว้นรินทร์ที่ม๊ายังไม่ได้ถาม” หญิงสูงวัยเอ่ยอย่างกังวลใจ
               หญิงสาวทำท่าหนักใจ “ช่วงนี้ที่บ้านกำลังยุ่งเรื่องพี่อาร์มค่ะ รินทร์กับสาเราไม่ได้ติดต่อกันหลายวันไม่รู้เลยว่าสาหายไป” หญิงสาวปล่อยลมหายใจออกยาว เพื่อนสนิทที่สุดหายตัวออกไปจากบ้านต้องมีเรื่องหนักหนาเกิดขึ้นกับญาณิศาแน่นอนไม่เช่นนั้นญาณิศาจะไม่ทำเช่นนี้
               “ม๊าคะ ทำไมสาถึงหายตัวไปคะ”
               คุณชมนาดนิ่งคิดก่อนถอนลมหายใจ “ม๊าคิดว่า มันต้องเป็นเพราะเรื่องนี้แน่นอน”
 
               เมื่อสามปีที่แล้วครอบครัวพิพัฒนาเมธีประสบปัญหาทางการเงินจนเข้าขั้นวิกฤตเพราะเงินที่ต้องนำมาใช้หมุนเวียนภายในระบบกิจการถูกนำมาลงเล่นหุ้นไม่เพียงเท่านั้นยังมีเงินบางส่วนถูกนำไปหมุนเวียนในวงการการพนัน
               ‘ว่าไงครับงวดนี้จะคืนผมเท่าไหร่’ ชัยโรจน์มองคุณฐิติพันธ์เขม็งนัยต์ตาคาดคั้นซึ่งตรงกันข้ามกับน้ำเสียงที่ช่างสุภาพและเป็นกันเองรอยยิ้มอบอุ่นแลเป็นมิตร คุณฐิติพันธ์หลุบนัยต์ตาลงต่ำ
               ‘ผมขอเลื่อนออกไปเป็นอีกสองอาทิตย์นะครับตอนนี้ผมต้องส่งเงินไปให้ลูกสาวที่อังกฤษน่ะครับ’ คุณฐิติพันธ์เอ่ยกับคนรุ่นเดียวกันอย่างนอบน้อม
               ‘อ้อเหรอ ถ้าคุณไม่มีเงินใช้คืนผมจริง ๆ คุณอาจจะใช้ร้านทองหรือร้านวัสดุก่อสร้างใช้หนี้แทนเงินสดได้’ คุณฐิติพันธ์วิเคราะห์ข้อเสนอ
               ‘ผมคิดว่าทั้งสองสิ่งนี้ผมไม่สามารถนำมาใช้หนี้แทนเงินได้ครับเพราะร้านทองเป็นสมบัติเก่าแก่ของตระกูลที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นและร้านวัสดุก่อสร้างเป็นสมบัติที่ผมสร้างมันมากับมือ ผมทำไม่ได้ครับ’ น้ำเสียงและแววตาฉายชัดว่าจริงจังแต่ยังคงความสุภาพของคุณฐิติพันธ์ สมบัติทั้งสองเปรียบเสมือนจิตวิญญาณและชีวิตเพราะฉะนั้นทั้งสองสิ่งนี้ยังต้องคงอยู่เป็นสมบัติของตระกูลตลอดไป ชัยโรจน์พยักหน้ารับน้อยๆ
               ‘ถ้าคุณไม่ใช้หนี้เป็นเงินหรือสมบัติคุณจะใช่หนี้เป็นอะไรละ’ ชัยโรจน์ถามหยั่งเชิง เขารู้ดีว่าคนหวงสมบัติอย่างคุณฐิติพันธ์ไม่มีวันเอาของรักของหวงมาใช้หนี้เด็ดขาด
               คุณฐิติพันธ์นิ่งคิด เขาไม่ยอมให้สมบัติแม้แต่เสี้ยวเดียวกระเด็นไปอยู่ในมือคนอื่นเด็ดขาด ‘ผมคิดว่าเรื่องนี้ลูกสาวคนโตของผมจะช่วยผมได้ ขอเวลาผมหน่อยนะครับ’ ธิติพันธ์ให้คำมั่นและขอตัวกลับ แต่ชัยโรจน์กีดกัน
               ‘อ้าว รีบกลับทำไมละไม่อยู่แก้มือหน่อยเหรอคราวที่แล้วเสียเท่าไหร่วันนี้เอาคืนเป็นสองเท่าเลยสิ’ ชัยโรจน์เชิญชวน
               ‘ไม่นะเฮียเรากลับบ้านกันเถอะ’ คุณชมนาดที่มาด้วยยืนเงียบอยู่นานพูดขึ้นบ้าง คุณฐิติพันธ์เป็นคนหลงคำชวนง่ายดังนั้นเธอจึงไม่ยอมให้เขาเข้าไปพัวพันกับอบายมุขเพิ่ม ‘หนี้เก่าเรายังไม่จ่ายเขา อย่าสร้างเพิ่มนะเฮียอั๊วขอเถอะ’ นางเว้าวอน
               ขึ้นชื่อว่าการพนันวงการสำหรบคนหวังรวยทางลัดที่สามารถนำสมบัติหรือชีวิตมาแลกกับเงินสกปรก ทุกคนที่เข้ามาพัวพันกับวงการอบายมุขเหล่านี้แน่นอนที่สุดว่าต้องถูกผีพนันเข้าสิง
               ‘เอานา สักนิดหน่อยยังดีเผื่อทีเราจะได้มีเงินส่งไปให้ลูก’ ว่าจบคุณฐิติพันธ์ไม่รอช้าก้าวขายาวๆไปทางกลุ่มคนที่กำลังยืนล้อมโต๊ะตัวใหญ่
               คุณชมนาดมองหลังสามีอย่างสิ้นหวังในการดึงเขาออกมาจากวังวนอบายมุข หลังจากที่คุณฐิติพันธ์เข้มาในวงการนี้ครอบครัวพิพัฒนาเมธีไม่สามารถหาความสุขได้แม้แต่น้อยเพราะคุณชมนาดและคุณฐิติพันธ์มีปากเสียงเรื่องเงินทุกวัน ซ้ำร้ายเขาต้องการให้ญาณิศาซึ่งเป็นลูกสาวคนโตมาใช้หนี้ให้ครอบครัวด้วยวิธีที่ตนเองคาดไม่ถึง ถ้าหากว่านี้คือเวรกรรมคุณชมนาดขอยอมจำนนแต่เพียงผู้เดียวและชดใช้ให้หมดไปแค่ชาตินี้ นางไม่ต้องการให้ญาณิศาต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง
 
               “ป๊าบอกสาว่าจะให้สาแต่งงานกับเสี่ยเพราะเห็นว่าเขาเป็นคนดีมีฐานะ ตอนนั้นสาโกรธมาก” คุณชมนาดเล่าด้วยความรู้สึกเจ็บในอกน้ำใสปริ่มขอบตา ไอรินทร์ได้ยินเรื่องทั้งหมดรู้สึกสงสารเพื่อนจับใจ
               “รินทร์ม๊าขออะไรหน่อยสิ” คุณชมนาดเว้าวอน “สายังไม่รู้เรื่องครอบครัวมีหนี้ดังนั้นถ้ารินทร์เจอสาอย่าบอกสานะลูก”
               “ทำไมคะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สาต้องรู้”
               “ไม่ ม๊าไม่ต้องการให้สารู้เพราะม๊ารู้ดีถ้าสารู้ความจริงสาต้องยอมแต่งงานกับไอเฒ่าหัวงูเพื่อใช้หนี้ให้ครอบครัว ม๊าไม่ยอมเด็ดขาด เรื่องนี้แม้กระทั่งป๊ายังไม่บอกสาเพราะป๊าไม่อยากบังคับ” คุณชมนาดเล่าด้วยความหมองเศร้า ไอรินทร์รับปาก หนึ่งใจอยากบอกความจริงแต่อีกหนึ่งใจต้องเก็บไว้เพราะมันคือสัจจะ
 
               ความรู้สึกแปลกยังคงอยู่ในใจและเป็นคำถามของความสงสัยสำหรับญาณิศาเมื่อต้องอยู่เผชิญหน้ากับชายหนุ่มเจ้าของชื่อคาร์ลอส เธอพยายามคิดแค่ว่า
               “ฉันเป็นพยานในคดีพ่อของเขา เข้าต้องทำดีกับฉันสิ” เธอคิดเช่นนี้เพื่อจะได้ไม่ให้ตนเองฟุ้งซ่าน
               วันนี้ญาณิศาตื่นเช้าไม่เห็นร่างผู้คุ้มครองตั้งแต่แปดโมงเช้า สอบถามกับแม่บ้านได้ความว่าชายหนุ่มลงไปในไร่ตั้งแต่ฟ้าสาง สิ้นสุดอาหารมื้อเช้าญาณิศาออกมาเดินเล่นหน้าบ้าน
               บ้านหลังใหญ่สองชั้นสร้างด้วยไม้สักทั้งหลังตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสดใสเหมือนกับภาพวาด มองไปสุดสายตามีภูเขาสูงต่ำสลับกันเป็นแนวมองดูแล้วคล้ายกับจังหวัดหนึ่งในประเทศไทยที่เธอเคยไปเที่ยว ญาณิศาเคยคิดวาดฝันไว้ว่าอยากมีบ้านที่อยู่ใกล้ภูเขาแบบนี้สักหลัง หญิงสาวกำลังชมวิวยามเช้าเพลินตา มีกลิ่นบางกลิ่นลอยมาหักเหความสนใจจากทิวทัศน์
               กลิ่นหอมสดชื่นชักชวนให้ญาณิศาหันมาสนใจกลิ่นหอมแทนวิวทิวทัศ ญาณิศาสอดส่ายสายตามองหาที่มาของกลิ่นหอมสดชื่น ไม่นานเธอก็พบที่มาของกลิ่น ดอกไม้ชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายกรวยมีสีส้มอ่อนทั้งดอกยกเว้นข้างในมีสีขาวเกสรสีเหลือง ลำต้นด้วยกันเป็นกอมีใบเรียวยาวทั้งหมดมีสามกอเล็กๆในหนึ่งกระถาง ญาณิศาเดินเข้าไปใกล้กระถางดอกไม้สูดดมกลิ่นหอมให้ใกล้ชิด
               “ดอกอะไรเนี่ยหอมจัง” หญิงสาวพึมพำอย่างประหลาดใจกับดอกไม้หน้าตาแปลก มือเล็กลูบคลำตัวดอกอย่างถะนุถนอม เธอเก็บคำถามไว้ในใจก่อนลุกขึ้นเดินออกไปนอกรั้วบ้าน เธอยังจำได้ว่าป้าโซเฟียโฆษณาให้ฟังว่าหน้าไร่มีร้านกาแฟของไร่ มีสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ เธอไม่รู้จักเพราะไม่ใช้นักดื่มกาแฟ ญาณิศาไม่รอช้ารีบสาวเท้าไปที่หน้าไร่ทันทีแม้ว่าเธอจะไม่ถูกคอกับกาแฟแต่ไปนั่งรับบรรยากาศดีกว่านอนอุดอู้อยู่ในห้อง
                เรือนไม้หลังย่อมมีป้ายบอกชื่อสถานที่ว่า ‘CarBel’ Lus Café’ หญิงสาวไม่รอช้าก้าวเท้าเข้าไปข้างในทันที สิ่งแรกที่เข้ามาทักทายไม่ใช้คนแต่เป็นกลิ่นกาแฟที่เธอไม่พึงประสงค์ ญาณิศารีบหาที่นั่งเพราะสิ่งแวดล้อมรอบกายเริ่มหมุนได้เอง
                “คุณผู้หญิงเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” พนักงานชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอเพราะเห็นอาการของเธอไม่สู้ดีตั้งแต่เข้ามาในร้าน
                “ฉันมึนหัวนิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวยิ้มแห้งๆ
                ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสเล็กสีดำคลุมผ้ากันเปื้อนสีเขียวขี้ม๊าที่เอวเห็นใบหน้าที่เริ่มซีดกับอาการไม่สู้ดีของเธอจึงแนะนำให้เธอออกไปนั่งที่ระเบียงเพื่อรับลมข้างนอกแทนนั่งข้างใน ชายหนุ่มเสริฟน้ำเปล่าให้เธอ ในตอนนั้นมาเซลล่าเดินเข้ามาในร้านและสั่งกาแฟกับชายหนุ่มผมสีส้มทองที่พาญาณิศามานั่งที่โต๊ะ นางแบบสาวสังเกตเห็นสีหน้าของญาณิศาไม่ค่อยดี
                “เป็นอะไร หน้าซีดจัง”
                “เวียนหัวนิดหน่อยค่ะ” ญาณิศาตอบมาเซลล่ายิ้มๆ “คุณทำงานอะไรเหรอคะ” หญิงสาวเบี่ยงเบนความสนใจ เธอพยายามทำตัวเองให้สดใส
                “นางแบบหนะ” เจ้าของคำตอบขยิบตาข้างหนึ่งให้คนถามพร้อมยิ้มให้ พอได้ยินคำตอบญาณิศาก็ถึงบางอ้อว่าเหตุใดตนถึงรู้สึกคุ้นตาเธอยิ่งนัก
                “เหรอคะ ดีใจจังที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับนางแบบดังระดับโลก” หญิงสาวยิ้มกว้างโชว์ฟันสวย “ช่วงที่ฉันไปเรียนที่อังกฤษฉันติดตามผลงานของพี่ตลอดเลยนะคะ เป็นนางแบบแล้วก็ยังเล่นหนังเก่งอีกด้วยนะคะ” หญิงสาวยิ้มร่าเริงเธอติดตามผลงานของมาเซลล่ามาตลอดแต่พอกลับเมืองไม่ค่อยได้ตามข่าวสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเร็วๆนี้นางแบบสาวขวัญใจเธอมีข่าวกับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ใจอยากรู้แต่ปากไม่กล้าถามได้แต่เก็บเอาไว้ในใจจนผุดขึ้นมาบนใบหน้าจนทำให้มาเซลล่าสังเกตเห็นได้ชัดเจน
“มีอะไรสงสัยหรือเปล่า”
                ญาณิศานิ่งคิด “เอิ่ม ข่าวเมื่อเร็วๆนี้มันเป็นจริงหรือเปล่า”
                ได้ยินคำถามคนฟังก็หัวเราะเบาๆ “ไร้สาระหนะผู้ชายสารเลวทำผิดแต่ไม่ยอมรับความจริง ไร้ความผิดชอบคนพรรค์นี้สมควรใส่กระโปรงมากกว่ากางเกงอีก” หญิงสาวฉุนกึกพอนึกถึงเรื่องนี้ ญาณิศาจึงได้แต่ขอโทษทำให้เธออารมณ์เดือด ญาณิศาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองว่าเป็นผู้พูดที่ไม้ได้เรื่องก็วันนี้นี่เอง
                “พี่คะ ดอกไม้สีส้มอ่อนทรงคล้ายกรวยที่อยู่ในกระถางข้างบ้านคือดอกอะไรคะ”
                มาเซลล่านิ่งคิด “พี่ไม่รู้จักหรอกถ้าอยากรู้คงต้องไปถามเจ้าของเอง”
 
                คนงานหลายสิบชีวิตช่วยกันขนลังบรรจุกาแฟสำเร็จรูปขึ้นรถบรรทุกโดยมีเจ้าของไร่อย่างคาร์ลอส มาร์วิลสันลุกขึ้นมาควบคุมตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังโผล่ไม่พ้นขอบฟ้า
                “ของที่จะส่งไปฮาวายเรียบร้อยหรือเปล่า” เจ้าของไร่เอ่ยถามหัวหน้าสต๊อก
                ชายหนุ่มผิวขาวหยาบมีสีหน้าลำบากใจ ยามสบตากับดวงตาคมกริบยิ่งเสียวสันหลังวาบ แววตาคาดคั้นของเจ้านายหนุ่มทำให้เขายิ่งอึดอัดใจ ถ้าหากโกหกและถูกจับได้โทษอย่างเดียวซึ่งไร้การปราณีคือไล่ออก
               “ว่าไง เรียบร้อยมั้ย”
               “พอดีว่าสินค้าที่กำลังรอแพ็คบรรจุภัณฑ์ขึ้นรา และของก็ไม่ครบตามกำหนดครับ” หัวหน้าสต็อกเอ่ยเสียงสั่นพร้อมก้มหน้ามองมือตัวเอง
คาร์ลอสหายใจเข้าเต็มปอดข่มโทสะ “หยุดการขนส่ง เรียกประชุมฝ่ายโกดังและบรรจุภัณฑ์ด่วน” เสียงดังสนั่นราวฟ้าผ่าทำให้เห่าคนงานต่างชะงักมือ
                หลังจากเสร็จสิ้นจากงานประชุมด่วนแล้วงานใหญ่อีกงานคือการเตรียมเก็บกาแฟที่ใกล้จะสุกงานนี้ต้องเกณฑ์กำลังคนหลายร้อยชีวิต คาร์ลอสเบาใจไปเปลาะหนึ่งว่าลูกค้าท่านี้เป็นลูกค้าคนประจำและไม่กังวลเรื่องขอผ่อนผันการส่งสินค้า
                “ว้าวๆๆ ไร่นี้คึกคักกันตั่งแต่เช้าเลยนะ” เสียงคุ้นหูของใครบางคนทำให้เจ้าของไร่คาร์เบลลัสไม่ต้องหันไปมองก็รู้ดีว่าคือใคร
                “ไม่มีใครมีเวลามากขนาดมาเที่ยวไร่ชาวบ้านตั้งแต่เช้าหรอก” ชายหนุ่มพูดพลางเขียนจดบันทึกรายการสินค้า เขาปัดความรำคาญโดยการเลี่ยงที่จะไม่สนใจแขกที่มา เกรย์ โปนามา เจ้าของไร่โปนามาเพื่อนบ้าน(คนสนิท)ของไร่คาร์เบลลัส
                “ถ้าว่างมากก็มาเป็นเพื่อนเล่นกับน้องๆ ฉันได้นะ” คาร์ลอสยิ้มเย้ยพร้อมบ่ายหน้าไปทางเจ้าตูบสี่ขาที่กำลังขุดคุ้ยดินเล่นอย่างสนุกสนาน
                “โห! เจ้านายฮะกวนๆ อย่างนี้จัดให้สักชุดดีปะฮะ” สาวหล่อหนึ่งในกลุ่มของเกรย์ร้องทักขึ้น สองมือปั้นหมัดเตรียมลุยแต่เกรย์ยื่นแขนดักสาวหล่อไว้
                “เราแค่มาเยี่ยมเท่านั้นเอง...”  ชายหนุ่มหยุดมองเจ้าของไร่ในแววตามีอะไรบางอย่าง “ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้เลย” มุมปากหนาหยักยิ้มข้างหนึ่ง
                “ถ้านายมาที่นี่เพราะเรื่องเดิมฉันบอกได้เลยว่าคำตอบของฉันยังคงเหมือนเดิม” คาร์ลอสมองแววตาแฝงความในของเกรย์นิ่งก่อนถอนตัวออกมา นิสัยขี้อิจฉา อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นแต่ไม่เคยรู้จักประมาณตนเองและไม่รู้จักพัฒนาตนเองอย่างเกรย์ที่ทำเป็นประจำจนกลายเป็นสันดาร เขารู้ดีตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่ใหม่ๆสันดารต่ำที่แสดงออกมาทางคำพูด คาร์ลอสไม่อยากสนทนาด้วยยิ่งพูดยิ่งเสียเวลาทำมาหากิน
 
 
T T T T T T T T T T T T T T T T T T T T T T T T T T
 
บทที่ 3/3
                หลังจากการจัดการกับคนงานที่ทำงานพลาดยังมีกองเอกสารที่รอคาร์ลอสต้องสะสาง ถ้าหากเขาไม่มีอะไรต้องกังวลที่บ้านเขาจะอยู่เคลียจนเสร็จบางครั้งต้องอยู่สำนักงานจนดึกแต่ตอนนี้มีสิ่งที่เขากำลังกังวลที่บ้านดังนั้นต้องหอบงานไปเคลียที่บ้าน
            “วันนี้ไม่อยู่เคลียงานเหรอ” ดาเลนทักคาร์ลอสเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินหอบแฟ้มเอกสารเต็มสองมือ ในนั้นมีเอกสารทั้งเก่าและใหม่รวมกัน
                “ฉันอยากกลับไปเคลียที่บ้านมากว่า นั้นกาแฟสูตรใหม่ใช่มั้ยหอมดีนะ” ชายหนุ่มยิ้มทักทายเพื่อนสาวร่วมงานฝ่ายพัฒนาสูตรกาแฟแล้วเดินตรงไปที่รถ
                ดาเลนมองรถกระบะสีแดงเลือดหมูแล่นพ้นสุดสายตา เจ้าของผมสั้นมองเขาตลอดเวลาหลายปีที่เคยเรียนด้วยกันจนตอนนี้ทำงานด้วยกัน ในความคิดทุกอณูของเสี้ยววินาทีมีเขาอยู่เสมอ แล้วเขาละเคยมีเธออยู่ในสายตาหรืออยู่ในความคิดบ้างหรือเปล่า
                “เควิน...” เธอเอ่ยชื่อเขาเบาๆแววตาเศร้าหมองยังคงมองทางที่รถของคาร์ลอสวิ่งไปเมื่อหลายนาทีที่แล้ว มือสองข้างบีบแก้วกาแฟจนไม่รับรู้ถึงความร้อน เธอกำจัดก้างขวางหัวใจของเธอออกจนหมดสิ้นแล้ว ครานี้ถึงเวลาของเธอเสียทีที่จะทำตามดังใจปรารถนา
               
                รถกระบะสีแดงเลือดหมูพาเจ้านายแล่นมาหยุดหน้าบ้าน  คาร์ลอสเก็บสัมภาระลงจากรถจากนั้นพาแฟ้มเอกสารไปเก็บไว้ในห้องทำงานเขาเตรียมตัวลงมือสะสางงานแต่ฉุดคิดได้ว่าวันนี้เขาให้ญาณิศานอนพักผ่อนในห้อง คาร์ลอสคิดว่าจะขึ้นไปดูอาการสักหน่อย ไม่ต้องไตร่ตรองให้เสียเวลาเขารีบก้าวขาเพรียวยาวไปที่ห้องนอนทันที เมื่อเปิดประตูห้องนอนเขาพบเพียงห้องนอนว่างเปล่าไร้ซึ่งร่างของพยานสาว
                “ป้าครับ ริ...เกรซอยู่ไหน” คาร์ลอสลงมาข้างล่างชายหนุ่มพบกับป้าโซเฟียจึงถามไถ่ถึงพยานสาว
                “เธอบอกว่าอยู่แต่ในห้องน่าเบื่อ ป้าเลยแนะนำให้เธอไปนั่งเล่นที่ร้านกาแฟหน้าไร่ค่ะ”
                “ออกไปข้างนอกทั้งที่อาการยังไม่ดีขึ้น ป้าปล่อยให้เธอออกไปได้ยังไง”
                ป้าโซเฟียใจหล่นกับอาการเลือดขึ้นหน้าของชายหนุ่ม “ดูเธอไม่เป็นอะไรมากแล้วนะคะปล่อยให้เธอออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้างเถอะค่ะ เธอจะได้หายเร็ว” หญิงสูงวัยกล่อมให้ชายหนุ่มคลายกังวลแต่คำพูดทุกคำของนางเหมือนแค่ลอยหายไปในอากาศอย่างไร้ประโยชน์ คาร์ลอสสาวเท้าไปยังร้านกาแฟทันที
ป้าโซเฟียอ้าปากจะห้ามแต่สายเกินไป นางเปลี่ยนมายิ้มบางๆแทน ‘เหตุใดหนอคุณเควินร้อนรนเหลือเกินเกี่ยวกับหญิงสาวคนนั้น’ ป้าโซเฟียคิดเล่นๆในใจ
 
                เมื่อมาหยุดอยู่หน้าร้านกาแฟเขาไม่รอช้าที่จะตรงเข้าไปหาพยานสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ระเบียงทันที
“หายดีแล้วเหรอ”
“ยาหมอดีต้องหายดีสิ” เธอตอบคำถามพร้อมปั้นหน้าสวยเริ่ดเชิด
คาร์ลอสมองดวงหน้าเล็กที่กำลังทำทีว่าตัวเองสวยเริ่ด ใบหน้ารูปไข่ขาวเนียนมีองค์ประกอบทุกอย่างลงตัวเรือนผมสีช็อคโกแลตแวววาว รูปร่างสมส่วนพร้อมกับผิวกายขาวเนียนน่าสัมผัสและเรียวขาขาวนวลเนียนที่กำลังไขว่ห้างยิ่งชวนมองมากขึ้น
“หน้าซีดเหมือนหนังไก่แบบนี้เหรอหายดี”
คนถูกทักรีบยกกระจกขึ้นส่องหน้าตัวเอง เมื่อตอนเช้าตื่นขึ้นมามองกระจกต้องตกใจกับใบหน้าไร้สีเลือด ญาณิศาจึงลงมือตั้งใจแต่งหน้าให้เป็นสาวสุขภาพดีเพื่อตบตาป้าโซเฟียเพราะเบื่อกับการต้องนอนอุดอู้อยู่ในห้องมาหนึ่งวันเต็มๆแต่เขาดันมองออก
“ฉันโอเคยะ” พยานสาวตอบเสียงสะบัด อุตสาห์ออกมาได้แล้วเธอไม่ยอมกลับหรอก
“คุณต้องกลับไปพักผ่อนนี้คือคำสั่ง”
หญิงสาวสุดจะทนกับคำว่าคำสั่ง ร่างเล็กยืดตัวขึ้นยืน “ฉันเป็นพยานไม่ใช่ทาสของคุณดังนั้นคุณไม่มีสิทธิมาสั่งฉัน” ญาณิศาตวาดเสียงกร้าวตั้งแต่ที่เธอรู้จักเขาเธอได้ยินแต่คำว่าคำสั่งที่หลุดออกมาจากปากของเขา ตอนนี้สถานะของเธอคือพยานหรือทาสกันแน่
“โอเค งั้น...ผมขอโทษ” จบประโยคเขาช้อนร่างเล็กขึ้นพาดบ่าจนญาณิศาร้องลั่นร้านทำให้คนในร้านหันมามองจุดเกิดเหตุกันเป็นตาเดียว
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” เลโอผู้จัดการร้านเข้ามาหาชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสอง
“ไม่มีอะไรเธอแค่ดื้อน่ะ อ้อ เลโอเดี๋ยวเอาบัญชีของร้านมาให้ฉันที่บ้านด้วย” ว่าจบเขาพาพยานสาวออกเดินไปที่บ้านทันที
“ปล่อยช้านนน” ญาณิศากรีดเสียงแหลมใส่คนตัวสูง คนบ้าเดินหรือวิ่งเนี่ยมึนหัวไปหมดแล้ว
“หยุดแหกปากสักทีแก้วหูผมจะระเบิดอยู่แล้ว” เขาออกคำสั่งกับคนตัวเล็ก ผู้หญิงอะไรเสียงแหลมเป็นบ้า
“ระเบิดไปเลย แก้วหูนายไม่ใช่แก้วหูฉัน ปล่อยช้านนน” ญาณิศาไม่ตะโกนเปล่าร่างเล็กดิ้นไปด้วย “ไอ้บ้าลามกไอ้คนหน้าเดียว”
“ยังไม่หยุดใช่มั้ย”
เพี๊ยะ!
“อ๊าย ไอ้บ้าตีตูดฉันทำไม”
“ค่าคุณตะโกนใส่หูผม ถ้ายังไม่เลิกตะโกนคุณโดนอีกแน่” คาร์ลอสคาดโทษ
“ไม่เลิก ไอ้บ้า ไอ้ลามก ไอ้ผีหน้าเดียวปล่อยฉัน” การคาดโทษของเขาไม่ได้เป็นแค่ลมปากคาร์ลอสลงมือทำจริง พอเธอตะโกนกี่ทีโดนทุกที เมื่อความเสียเปรียบเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเอาคืนหญิงสาวแก้เผ็ดโดยยกมือขึ้นบิดหูข้างหนึ่งของเขา
“โอ๊ย” คาร์ลอสร้องด้วยความเจ็บปวดไม่คิดเลยว่าจะถูกเอาคืนด้วยด้วยวิธีนี้ แสบจริงๆ
ชายหนุ่มโยนร่างพยานสาวลงบนเตียงแต่มือของเธอยังติดอยู่ที่ใบหูทำให้ร่างของญาณิศาลงมานอนหงายอยู่บนเตียงและร่างของผู้คุ้มครองตามลงมาทาบทับ ทันใดนั้นเองในห้องนอนแห่งนี้ตกอยู่ในความเงียบดวงตาสองคู่ประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจตอนนี้ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจและเสียงเต้นของหัวใจ ใบหน้าคมเข้มโน้มลงต่ำจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของหญิงสาว คาร์ลอสถอนใบหน้าออกเพราะเขากลัวบางอย่างที่อยู่ในใจ ญาณิศาลุกขึ้นนั่งมือข้างหนึ่งยกขึ้นทาบที่ตำแหน่งหัวใจ
“ฉันไม่ได้ดื่มกาแฟทำไมใจสั่นเหมือนจะเป็นลมแบบนี้ละ” ญาณิศายกมือขึ้นทาบหน้าอกข้างซ้าย ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขาหัวใจของเธอเหมือนถูกคาเฟอีน ทำไม...
 
               “เควินคะอยู่มั้ยเอ่ยเคธี่มาหาค่าาา” เจ้าของนามเคธี่ก้าวขาไปพร้อมกับเรียกชื่อที่สนิทสนมและกวาดสายตาสอดส่องทั่วร้าน CarBel’ Lus Café
               “อะแฮ่มๆ คุณเควินไม่อยู่ครับมีอะไรฝากคุณเลโอไว้ได้นะครับคุณผู้หญิง” เจ้าของผมสีส้มประจำร้าน CarBel’ Lus Café เขาส่งยิ้มหวานให้หญิงสาวร่างอวบอิ่ม
               “ฉันไม่มีอะไรจะฝากนาย” เคธี่ยกแขนกอดอก “เควินอยู่ไหน” เธอส่งคำถามห้วนๆให้ชายหนุ่ม เลโอยังคงยิ้มหวานเหมือนเดิม
               “เควินเคยอยู่แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว”
               “นี่นายอย่ามากวน บอกมาดีๆว่าเควินไปไหน” เธอรีบยิงคำถามอย่างเอาแต่ใจ
               “ออกไปข้างนอก...มั้ง” คำว่ามั้งเขาหรี่เสียงลงและลอยหน้าลอยตาตอบ
               “กลับมาเมื่อไหร่”
               “ไม่รู้ไม่มีกำหนด”
               “ฮึ ให้มันได้อย่างงี้สิ” สาวเจ้าหันหลังกลับทันทีที่ได้คำตอบเธอเดินกระทืบเท้าอย่างไม่ได้ดั่งใจช่วงหลังที่มาที่นี้กี่ทีก็ไม่ได้เจอคาร์ลอสแม้สักครั้ง เธอเคยเข้าไปหาคาร์ลอสถึงในบ้านแต่โดนชายหนุ่มพ่นไฟใส่ที่จู่ๆมารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวเขายื่นคาดไว้ว่าหากเข้ามาอีกห้ามมาพบหน้ากันอีกเลย
               “ไม่อยู่ดื่มกาแฟด้วยกันเหรอ” เลโอชูแก้วกาแฟสองแก้วขึ้น
               “ดื่มคนเดียวเถอะยะ”
                 เลโอมองร่างหญิงสาวช่างเอาแต่ใจเดินไกลออกไปเรื่อย ๆ เขามองเธอโดยที่เธอไม่เคยรู้ตัวเลยในสายเคธี่มีเพียงเพื่อนสนิทของเขาเท่านั้นนั่นคือคาร์ลอส ในบ้างครั้งเขาอยากจะขออนุญาตเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งในสายตาของเธอให้มีเขาอยู่บ้างแค่นี้ ก็พอ
 
                คาร์ลอสเดินออกจากห้องมาหยุดอยู่ที่ห้องทำงานชั้นล่าง เมื่อสักครู่เขาเกือบทำสิ่งต้องทำร้ายทั้งเธอและเขา เมื่อคิดถึงคืนวันนั้นในคืนนั้นเป็นวันงานเลี้ยงฉลองงานแต่งงานระหว่างเขาและแฟนสาวแน่นอนงานเลี้ยงฉลองไม่ได้มีเพียงอาหารแต่ยังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ร่วมด้วยคืนนั้นเขาดื่มหนักจึงสูญเสียสติสัมปชัญญะจนทำให้เขาทำเรื่องอันไม่สมควรกับหญิงคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนรักและข่าวร้ายที่สุดในตอนนั้นเขาเพิ่งมาทราบภายหลังว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแผนของแฟนสาวตัวเองที่หลอกเอาเงินสินสอดไปให้แฟนใหม่ที่เป็นหนี้
                หลังจากเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีนั้นเป็นการปิดตายประตูหัวใจไม่ให้มนุษย์ผู้หญิงหน้าให้เข้ามาย่ำยี เพราะเขาคิดว่าผู้หญิงทุกคนเหมือนกันต่างกันเพียงแค่ภายนอกที่ฉาบด้วยใบหน้าสวยงามแต่จิตใจต่างกันกับใบหน้าราวกับนางฟ้าและปีศาจ ยกตัวอย่างง่ายๆเหมือนกับแม่ของเขาที่ทิ้งลูกทิ้งสามีไปมีสามีใหม่ที่ร่ำรวยกว่าไม่คิดแม้แต่หันมาเหลียวแลหรือส่งข่าว นี้สินะ ผู้หญิง!
                คาร์ลอสจบความคิดที่ทำร้ายสุขภาพจิตตัวเองด้วยการหันมาสนใจกองกระดาษเท่าภูเขาขนาดย่อม คาร์ลอสหยิบแฟ้มรายการส่งออกมาเช็คแต่อ่านได้ไม่กี่หน้าได้ยินเสียงเคาะประตูคาร์ลอสตะโกนออกไปว่าเข้ามาได้ ผู้ที่เข้ามาคือเลโอพร้อมกับแฟ้มเอกสาร คาร์ลอสบอกขอบคุณแต่ยังเห็นเพื่อนหนุ่มยืนอยู่จึงถาม
                “มีอะไรหรือเปล่า”
                “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” เลโอหมายถึงหญิงสาวที่ถูกคาร์ลอสอุ้มขึ้นพาดบ่า
                “อ๋อ เธอเป็นเพื่อนฉันเองชื่อเกรซ เราพบกันตอนฉันไปอังกฤษ” คาร์ลอสลอบพ่นลมออกจากปาก เขาปั้นเรื่องให้เลโอเชื่ออย่างสนิทใจ แต่ในใจจริงเขาเองอยากบอกความจริง
                “วันนี้นายเห็นเดรโก้หรือเปล่า” คาร์ลอสถามเลโอขณะสายตาอยู่กับตัวหนังสือ
                “เดรโก้ไปส่งพี่เบลล่าที่สนามบินได้ยินมาว่าเธอมีงานด่วนต้องไปฝรั่งเศสพรุ่งนี้”
คาร์ลอสพยักศีรษะรับรู้ เลโอเล่าไปพลางมองเพื่อนหนุ่มที่กำลังอ่านเอกสาร คาร์ลอสคนที่อยู่ตรงหน้าวันนี้เปลี่ยนไปมากจากคาร์ลอสคนเก่าที่เขาเคยรู้จักตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ผู้ชายที่เคยยิ้มเก่ง ผู้ชายที่ไม่เคยนั่งจมอยู่กับกองเอกสารท่วมหัวทั้งวันทั้งคืนผู้ชายที่ไม่ชอบเก็บตัวเงียบ คาร์ลอสคนนั้นตายไปแล้ว
 
 
**********************************************
 
นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากจินตนาการผู้เขียน เพื่อทำความฝันของ นัก(อยาก)เขียน
ให้สำเร็จ ด้วยการลงมือเขียน เขียนแล้วอยากแบ่งปันให้เพื่อนๆ นักอ่าน
เพื่อสร้างความสนุก ความบันเทิงให้กับนักอ่านที่น่ารักทุกคน
ทั้งนี้...มิได้มีเจตนาพาดพิงผู้ใดโดยมิได้ตั้งใจ ตัวละครมิได้มีตัวตนอยู่จริงๆ
และบุคคลในภาพก็มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานเขียนชิ้นนี้
หากชื่อตัวละครชื่อพ้องกับชื่อผู้ใด ทางผู้เขียนก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
 
ขอขอบพระคุณในการติดตาม ^^
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา