วิกฤต "ล่า" ดึกดำบรรพ์
เขียนโดย thanet
วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23.46 น.
แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558 00.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทที่ 1 หนุ่มน้อยผู้เฝ้ามองดวงดาว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 1
หนุ่มน้อยผู้เฝ้ามองดวงดาว
การที่ต้องแหงนมองกลุ่มแสงอันเจิดจรัสที่อยู่อย่างกระจัดกระจายท่ามกลางความมืดมิดเป็นเวลานานสร้างความปวดเกร็งที่ท้ายทอยพอสมควร ยิ่งจ้องมองนานเท่าไหร่ปลายเท้าก็ดูเหมือนจะสูญเสียการทรงตัว ความรู้สึกว่าตัวเบาหวิวราวกับจะถูกดูดขึ้นไปลอยคว้างในความว่างเปล่า แม้ว่าน้ำเยี่ยวจะหมดไปจากพุงของเด็กหนุ่มแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เคลื่อนที่ไปไหน ตอนแรกเขาตัดสินใจเดินออกมาจากถ้ำอันอับชื้นสู่ความมืดมิดภายนอกเพื่อถ่ายเบา แต่ตอนนี้เขาถูกตรึงด้วยมวลหมู่แสงระยิบระยับในค่ำคืน
ไม่นานมานี้เขาเคยเห็นแสงคล้ายๆกันมาก่อน ตอนนั้นมีเด็กชายสกปรกคนหนึ่งที่อาศัยในถ้ำเดียวกัน ซึ่งเขาเองก็ไม่ชอบหน้านัก เจ้าเด็กโสโครกนั้นหวดท่อนไม้เข้าที่หน้าเขาอย่างจัง ในวูบแรกเขาเห็นไม้ท่อนโตในระยะประชิดจนแทบเห็นรอยปลีกแยกของเนื้อไม้ วูบต่อมาเขาก็พบความประหลาดใจเป็นล้นพ้น เมื่อภาพที่เกิดขึ้นในคลองจักษุนั้นคือมวลหมู่แสงนับร้อยพันวูบวาบเป็นประกาย มันติดตราตรึงใจในความทรงจำ ราวกับเขาค้นพบสิ่งใหม่อันยิ่งใหญ่อีกอย่างของชีวิต การถูกหวดด้วยท่อนไม้จากกำลังที่พอเหมาะ ทำให้เขาพบกับหมู่ดาวและท้องฟ้าอันมืดมิดอย่างฉับพลัน หลังจากนั้นความมืดมิดก็ถาโถมพร้อมกับเสียงอื้ออึงในกกหู เขาสลบเหมือดไปหลายอึดใจ
แต่เมื่อค่อยๆรู้สึกตัว ความเจ็บปวดเหลือคณานับก็แล่นมาประจบที่สันจมูก เขาเอามือป้องปิดราวกับกลัวจมูกจะไม่อยู่ในสภาพเดิม ใช่แล้ว มันก็ไม่อยู่ในสภาพเดิมจริงๆนั้นล่ะ สันจมูกที่เคยป้านและบานออก ตอนนี้มันโค้งนูนผิดรูป กระดูกอ่อนบริเวณสันจมูกคงหักใน ของเหลวสีแดงที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยจำนวนมากแตกทำให้เขาได้กลิ่นคาวข้น น้ำในดวงตาไหลพรั่งพรูจนเอ่อล้นและเขาอดไม่ได้ที่จะโอดครวญด้วยน้ำแสงแหบแห้งจากลำคอ
เมื่อสติค่อยๆกลับคืน ความคิดแรกที่แล่นปราด คือเขาเกลียดเด็กเปรตนั้นอย่างจังโดยไม่มีทางเลือก อยากจะหักแขนของมันเป็นสองท่อนและแล่ออกมาทำเหยื่อล่อเอาไว้ล่าสัตว์เล็กๆในครั้งหน้า แต่นั้นก็เป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบที่แล่นจากสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่ต้องตอบโต้อย่างรุนแรงโดยทันที แต่อะไรสักอย่างภายในตัวเขากดทับการแสดงออกของสัญชาตญาณนั้นไว้
ไม่ได้หรอก ไม่ได้หรอก เขาทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด เพราะอ้ายเด็กนี้เป็นลูกที่พ่อของเขาเองเลี้ยงดูมาตั้งแต่ขนาดเท่ากะโหลกแพะภูเขา หากเขาทำอย่างนั้นจริงตามที่สัญชาตญาณสั่ง พ่อต้องจับเขาถลกหนังหัวทำเป็นผืนไว้คาดเอวช่วงหน้าหนาวแน่ๆ
และนั้นเองคือประสบการณ์ครั้งแรกที่เขาเห็นมวลหมู่ดาวในเวลากลางวันที่แสงตะวันสาดส่องถึง เขาจึงจัดระเบียบความคิดไว้ว่า การเห็นดาวกลางวันเท่ากับความเจ็บปวด มันเพลิดเพลินดีก็จริงอยู่ แต่มันทำให้จมูกของเขาผิดรูปมาจนถึงทุกวันนี้
แต่เวลากลางคืนนี่ต่างหากที่เป็นช่วงเวลาอันเอกอุ การมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด ไม่มีความเจ็บปวดใดๆตามมา กลุ่มแสงก็ดูนิ่งสนิทและวูบวาบน้อยลง ซึ่งเด็กหนุ่มชอบแบบนี้มากกว่า มันทำให้เขาค่อยๆประมวลสิ่งที่เห็น หรือในภาษาของเรานั้นเรียกว่า “การคิด” ซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถให้คำจำกัดความกับความรู้สึกนี้ได้หรอก แค่จากร่างกายที่มันเคยเคลื่อนไหวสะเปะสะปะ หยุดนิ่งชั่วครู่ ในขณะก้อนเนื้อที่ขดแน่นใต้ผิวหนังในหัวของเขาเต้นตุบๆเป็นจังหวะ เวลาไอ้ก้อนเนื้อนี้มันเต้น สิ่งวิเศษๆมักเกิดขึ้นตามมาแม้จะไม่บ่อยก็ตามที
“ซู ซู ซู”
เสียงคล้ายกับใครสักคนพยายามพ่นลมออกจากปาก เรียกให้เขาหันกลับไปมองในถ้ำอีกครั้ง เจ้าของเสียงคือผู้มีศักดิ์เป็นพ่อของเขา ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่อยากขัดประสงค์นั้นนัก เพราะเวลาฝ่าฝืนมักมีกำปั้นที่เต็มไปด้วยกระดูกนิ้วที่แข็งกร้าวซึ่งปกคลุมด้วยขนหยิกหยอยกระแทกเข้าที่ลำตัวเขาทุกที พ่อมักเรียกด้วยการพ่นลมออกจากปากด้วยเสียงแบบนี้ “ซู...ซู่... ซู” สั้นบ้างยาวบ้างปะปนกันไป ในลักษณะโทนเสียงที่ต่ำ แต่มันก็เพียงพอที่ทำให้เขาหันกลับไปมอง โทนเสียงที่พ่อใช้เป็นเครื่องบ่งบอกอารมณ์ของพ่อได้เช่นกัน หากลงเสียงหนักขึ้นนั้นแสดงว่า มีความเร่งด่วน ต้องปฏิบัติตามโดยพลัน มิเช่นนั้นจากการส่งเสียงจะกลายเป็นการส่งหมัดหนักๆแทน
เสียง“ซู” นั้น พ่อเขาเป็นผู้ริเริ่มใช้เรียกเด็กหนุ่มตั้งแต่เขายังแบเบาะ จากนั้นทุกๆคนก็เริ่มออกเสียงในทำนองนี้ พอบ่อยครั้งเข้าทุกอย่างก็กลายเป็นความเคยชิน คนในถ้ำก็เริ่มใช้การออกเสียงว่า“ซู” เพื่อให้เด็กหนุ่มหันมาสนใจ ดังนั้นคำว่า “ซู” จึงกลายเป็นสื่อแทนตัวตนเขาไปโดยปริยายซึ่งเขาก็ดูไม่ติดเคืองอะไรแม้แต่น้อย
ซูมองแสงวับวาวจากวัตถุกลางเวหาอีกครั้ง เมื่อฟ้ามืดของอีกวันมาถึง เขาจะกลับมามองมันอีก ณ จุดเดิม ช่วงเวลานี้จากการประเมินโดยประสบการณ์ แสงจะยังไม่สาดส่องเข้ามาในถ้ำอีกหลายชั่วอึดใจ เขาควรกลับไปพักผ่อนต่อในมุมประจำของเขา พ่อไม่ชอบให้เขาออกจากถ้ำโดยที่ไม่มีใครคอยระแวดระวังให้ อาจมีสิ่งมีชีวิตอีกจำนวนมากออกหากินตอนกลางคืนที่อาจเลือกเขาเป็นแหล่งพลังงานสำหรับวันต่อไป เนื้อมนุษย์ถ้ำถือว่าเป็นอาหารจานเด็ดของสัตว์ในละแวกนี้ พวกมันเคยลิ้มรสไปหลายฅน ช่วงเวลานี้ซูควรจะต้องระมัดระวังมากกว่าเดิม
แหล่งอาหารที่เคยสมบูรณ์ก็เริ่มร่อยหรอลงทุกๆวันบรรยากาศรอบๆก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สัตว์ที่พวกชาวถ้ำเคยล่าในอดีตก็พากันย้ายถิ่นฐานไปหมด มิหนำซ้ำยังมีนักล่าหน้าตาแปลกๆเข้ามาป้วนเปี้ยนในอาณาเขต การที่จะประคองลมหายใจในแต่ละวันไม่ใช่เรื่องง่ายต่อไปอีกแล้ว
แต่ช่างเถอะ มันไม่ใช่กงการอะไรของเขาเสียหน่อย เรายังสนุกกับการเหลาไม้แหลมๆแล้วแยงรูพวกมดเล่นอยู่ ถ้าไม่มีอะไรกินจริงๆ ซูคิดว่าเขาก็น่าจะกินมดในรูพวกนั้นได้ แค่มันอาจกัดนิดหน่อย เดี๋ยวเดียวก็หาย ซูซุกหน้าของตัวเองลงบนผืนหนังที่หนานุ่ม กลิ่นสาบของผืนหนังนั้นเขาก็ชินเสียแล้ว แถมเวลาได้กลิ่นมันความง่วงหาวก็มาเยือน ท่ามกลางความมืดมิดและเสียงหยดน้ำในส่วนลึกที่สุดในโพรงถ้ำ เสียงใสและเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอ เด็กหนุ่มค่อยๆพล่อยหลับไปอย่างช้าๆ ด้วยความนุ่มนวล
ท้องฟ้าในยามค่ำของคืนเดือนเปิด ดวงดาวปรากฏกายจนแน่ขนัด ถ้าคุณจะพยายามนับมัน คุณก็อาจจะตาลายและพาลเลิกนับเอาเสียดื้อๆ หากคุณมีโอกาสมองท้องฟ้าในยามค่ำคืนเฉกเช่นเดียวกับซู ก็อนุมานได้ว่าคุณและเขามองท้องฟ้าและมวลหมู่ดาวชุดเดียวกัน แม้กาลเวลาของซูจะห่างจากคุณเพียง 37,800 ปีก็ตามที แต่มันก็เป็นเพียงห้วงเวลาที่กระจิ๋วหลิว จนตำแหน่งของดวงดาวแทบความไม่มีเปลี่ยนแปลง ต่างแค่ในยุคสมัยของซู มวลหมู่ดาวทั้งหลายไม่มีการเรียกชื่อเป็นสารบบชัดเจน ไม่มีการอนุมานว่ารูปทรงมันเหมือนอะไร ชาวถ้ำไม่สนใจด้วยซ้ำ เพราะการมองมันก็ไม่ได้ทำให้อิ่มท้อง
ก็คงมีแต่ซูเพียงฅนเดียวที่สนใจกับสิ่งที่เขาเห็น
เสียงขูดขีดปวดแก้วหูปลุกซูให้ตื่นขึ้นจากความหลับใหล เสียงกะเทาะหินเป็นจังหวะไม่ใช่เสียงที่น่าฟังนักในยามเช้า แต่ซูก็ไม่สามารถขัดขวางผู้ที่ทำให้เกิดเสียงนั้นได้ พ่อของเขากำลังสกัดหินจำนวนหนึ่ง หินพวกนี้แข็งแรงมาก มันมีเหลี่ยมคมตามธรรมชาติจนสามารถเฉือนเนื้อและเลาะกระดูกแพะภูเขาออกมาได้อย่างน่าพึงพอใจ แต่การให้ได้มาซึ่งหินที่มีคุณสมบัติแบบนี้ต้องอาศัยความช่ำชองอยู่ไม่น้อย พ่อของเขาคือผู้เชี่ยวชาญตัวยง หินสำหรับใช้งานเฉือนและคว้านที่สะสมอยู่ในถ้ำโดยส่วนใหญ่พ่อเขาเป็นคนสกัดขึ้นมาเอง พ่อเป็นคนเลือกด้วยซ้ำว่าหินก้อนไหนควรนำกลับมาลับให้คม เขาพิจารณาหินแต่ละก้อนอย่างละเอียด ลองไปฝนกับแผ่นหนังบ้าง ขูดกับผนังถ้ำบ้าง บ้างครั้งพ่อก็จะให้ซูเก็บหินมาให้
ซูใช้เวลาตั้งแต่ตะวันขึ้นยันตะวันตกดินได้หินมาจำนวนมากใส่ไว้ในถุงหนังที่ได้จากแพะภูเขา แต่เมื่อถึงเวลาที่พ่อต้องคัด หินทั้งหมดก็โดนโยนทิ้งไปเกือบหมด ซูยังไม่มีประสบการณ์ในการดูหิน เขาเห็นหินก้อนไหนในระหว่างทางก็หยิบมาหมด บางก้อนเพียงแค่กะเทาะเบาๆก็แตกร่วน บ้างก้อนก็เป็นรูพรุนเนื้อหินไม่มีความหนาแน่นพอที่จะทำเป็นเครื่องมือได้ ภารกิจขนหินมาให้พ่อเลือกนั้นล้มเหลวบ่อยครั้งเข้าพ่อก็เลิกสั่งการเจ้าเด็กเอาไหนอย่างเขา
พ่อของซูเป็นผู้นำของถ้ำแห่งนี้ ร่างกายเขาเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลฉกรรจ์นับไม่ถ้วน ตลอดอายุสี่สิบปีของพ่อผ่านการกรำศึกมาอย่างโชกโชน เขาเสียนิ้วมือไปสามนิ้วจากการตกหน้าผาหินขณะออกล่าแพะภูเขากับผู้ใหญ่ฅนอื่นๆ ระหว่างที่กำลังลื่นไถลจากหน้าผานั้น พ่อเกี่ยวตัวเองกับแง่งหินด้วยนิ้วมือทั้งสามนั้น เมื่อผนวกกับแรงโน้มถ่วงที่ฉุดร่างพ่อให้ดิ่งถลาสู่ก้นเหว นิ้วทั้งต้องต้านทานกับแรงฉุด ข้อกระดูกของนิ้วแหลกเหลวจนไม่สามารถใช้งานได้อีก พ่อต้องตัดสินใจตัดมันออกด้วยหินคมประจำตัว แต่นิ้วนั้นก็ช่วยให้พ่อไม่ให้เน่าตายอยู่ปลายเหว ราวกับพ่อได้ทำสัญญากับผู้ปกปักษ์แห่งหุบเขา โดยการสังเวยนิ้วแทนชีวิต เมื่อตะวันตกดินเขาเดินกลับถ้ำโดยปราศจากความรู้สึกใดๆ ยังคงหนังท้าวคางหน้ากองไฟทั้งๆที่นิ้วทั้งสามได้หายกลายเป็นอากาศธาตุไปแล้ว
ส่วนบริเวณสีข้างด้านขวาเป็นรอยแผลฉกรรจ์ยาวเกือบคืบ เป็นผลจากการพุ่งโจมตีของหมูป่าที่ซัดเขี้ยวตันเข้าสีข้างพ่ออย่างจัง มันเป็นหมูที่แข็งแรงและกำยำเท่าที่พ่อเคยเห็น (คาดว่ามันน่าจะเป็นตัวผู้หัวหน้าฝูงที่มีอาณาเขตหากินใกล้บ่อน้ำ) ด้วยเหตุบังเอิญ พ่อและหมูป่ามาที่บ่อน้ำพร้อมๆกัน มันก็ลงมากินน้ำตามกิจวัตร แต่พ่อกลับอยากล่ามันขึ้นมาในขณะที่มันกำลังกินน้ำอยู่ ซึ่งมันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง การโจมตีสิ่งมีชีวิตอื่นในขณะที่มันกำลังกินน้ำเป็นเรื่องที่ไม่สมควรราวกับไม่ให้ความเคารพแก่บ่อน้ำ เจ้าหมูนั้นราวกับได้พลังมหาศาลและความรวดเร็วดุจกวางผา มันกระโจนด้วยความบ้าคลั่งขวิดเขี้ยวเข้าสีข้างจนพ่อต้องทรุดอย่างไร้ทางสู้ พ่อต้องเอามือกุมบาดแผลที่เหวอะออก มันมีโอกาสจะปิดบัญชีพ่อด้วยการขวิดที่สามารถทำให้ถึงตายได้อีกครั้ง พ่อหันไปสบแววตาที่แข็งกร้าวของมัน แต่เจ้าหมูป่ากลับเลือกที่จะถอยออกห่างและวิ่งเตลิดหายไปในป่า เหตุการณ์นั้นคือบทเรียนที่สำคัญของพ่อ
“นั้น พ่อขูดหินกับผนังถ้ำอีกแล้ว ปวดหูเหลือเกิน”
ซูพยายามเบือนหน้าหนีและหันไปดูครอบครัวอื่นๆที่อาศัยในถ้ำเดียวกับเขา พวกผู้ใหญ่ตื่นหมดแล้ว บ้างคนกำลังนุ่งชุดหนังแพะ บ้างกำลังสางผมที่พันรุงรังให้กันและกัน ส่วนเด็กเล็กๆยังหลับใหลอยู่ ในถ้ำนี้มีครอบครัวอาศัยร่วมกันสามครอบครัวใหญ่ๆ จะเรียกว่าครอบครัวเลยก็อาจจะมาถูกนัก เพราะหลายฅนไม่ได้สืบเนื้อเชื้อไขกันทางสายเลือด บ้างเกิดจากความพึงพอใจที่จะอยู่ร่วมกัน ทำประโยชน์ซึ่งกันและกันได้ ที่นี้มีการปกครองที่ชัดเจน พ่อของซูเป็นผู้ดูแลถ้ำแห่งนี้มีสิทธิ์เต็มที่ในการออกคำสั่งเด็ดขาด
พ่อเดินเข้ามาปลุกซูด้วยเท้าอย่างฉุนเฉียวราวกับรังเกียจความขี้คร้านของเด็กหนุ่มเต็มทน ด้วยแรงถีบสลาตันทำให้ซูผุดขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนก วันนี้บรรยากาศดูตึงเครียดอย่างแปลกประหลาด ไม่มีรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะใดๆในถ้ำ พ่อดูดุดันและเงียบขรึมจนซูเองยังรู้สึกกลัว
“ตะวันขึ้นครั้งนี้ มันจะเป็นการออกล่าครั้งแรกของเจ้า...ซู”
กลิ่นอายแห่งความกลัวเข้าปกคลุมซูราวกับมีใครเอาหนังสัตว์เน่าๆมาห่มร่างเขาไว้
มันจะเป็นวันแรกที่ซู ต้องทำความรู้จักกับ
“การฆ่า”
โปรดติดตาม วิกฤต"ล่า"ดึกดำบรรพ์ ในบทต่อไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ