มิ ซา กิ
-
เขียนโดย อชิรญาฯ
วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 22.14 น.
2 ยุทธุ์ที่
0 วิจารณ์
4,455 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558 22.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) เคล็ดวรยุทธุ์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเมื่อแผ่นดินทั่วโลกเกิดความเดือดร้อน ไฟแห่งสงครามปะทุขึ้นทั่วทุกหย่อมหญ้า เหล่าชาวบ้านตาดำๆต่างกลายเป็นเครื่องมือที่รับผลของสงครามอันเกิดมาจากการแก่งแย่งชิงดีกันในสังคม เมื่อบ้านเมืองไร้ขื่อแปเช่นนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมอยู่เหนือกว่าผู้ที่อ่อนแอเสมอ
เช่นนั้นทั่วโลกจึงมีเพลงวิชายุทธุ์เกิดขึ้น เพื่อฝึกฝนตนเองให้มีวิชาดั่งเทพเซียน
เมื่อโลกเข้าสู่กลียุคเช่นนี้ ทุกหย่อมหญ้าต่างก็หาใช่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป แม้แต่ในราชสำนักเอง ผู้ปกครองก่อย่อมมีนิสัยเหี้ยมโหดเด็ดขาด เพื่อให้บ้านเมืองอยู่รอดจึงตั้งกฎเหล็กขึ้นมาสามข้อด้วยกันคือ
ผู้อ่อนแอไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หากปราศจากการต่อสู้
สิ่งที่เรียกว่าวรยุทธุ์และกำลังภายในคือเครื่องมือที่ต้องใช้
เชื่อฟังคำบัญชาฮ่องเต้และรับคำสั่งโดยไม่โต้แย้ง
ด้วยสามกฎเหล็กของฮ่องเต้นี้เองที่ทำให้บ้านเมืองเริ่มกลับเข้ามาสู่ความสงบสุขอีกครั้ง บ้านเมืองเรื่อมมีผู้มากฝีมือ ทั้งการรบบู๊ บุ๋น ท้ายสุด ความเจริญอันยิ่งใหญ่ก็กลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง ด้วยความร่วมมือของบรรดาขุนนางและชาวบ้านแผ่นดินใหญ่
ต้าชิง สมัยหลังราชวงศ์ชิง ชาวแมนจูหมดอำนาจการครองประเทศ การปกครองถูกเปลี่ยนโดยชาวจีนแท้ราชวงศ์หมิงอีกครั้ง**
ภาคใต้ของต้าชิง ยังคงมีเขาลูกหนึ่งที่สูงเสียดฟ้า เขาลูกนั้นเป็นเขาหัวโล้นมีความสูงในระนาบเกือบเก้าสิบองศา เป็นเขาสูงทะ!ลุเมฆขึ้นไป เขาลูกนี้มีชื่อว่าเทียนแพ็ก เชื่อกันว่า ผู้ใดที่สามารถปีขึ้นยอดเขาได้ด้วยกำลังของตัวเอง ผู้นั้นจะได้ร่ำเรียนสุดยอดวิชาแห่งสายธรรมมะกับทวยเทพบนสวรรค์ เรียกได้ว่าเมื่อลงมาแล้วจักเปลี่ยนเป็นคนละคนก็ไม่ปาน
สูงขึ้นไปบนยอดเขาเทียนแพ็ก เด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักวัยสิบเจ็ดปีคนหนึ่งกำลังฝึกปล้ำกับอาชาสีทองอย่างยากลำบาก
เป็นภาพที่ดูอัศจรรย์มากหากผู้ใดได้พบเห็น เด็กหนุ่มร่างบอบบางน่ากอดรัดฟัดเหวี่ยงกำลังต้านแรงชนของอาชาทองคำที่พุ่งตัวเข้ามาหามันดุจสายฟ้าแลบ
"อั่ก!"
แรงกระแทกมหาศาลจากอาชาทองพุ่งเข้าใส่กลางร่างโดยทะลุการ์!ดป้องกันของเด็กหนุ่มเข้ามาทำให้อวัยวะภายในเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เด็กหนุ่มต้องปล่อยม้าตัวนั้นออกไปก่อนจะตีลังกาหลบไปด้านหลังมันอย่างรวดเร็ว
ด้วยระยะเวลากว่าหกเดือนที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากสู้กับอาชาทองตัวนี้ ทำให้เขาสามารถจับการเคลื่อนไหวของมันได้แทบทุกทางแล้ว แต่!..ทำไมเขาจึงต้องมาเสียเวลาจับม้าตัวนี้ด้วยงั้นเหรอ เหตุผลคือ ตาแก่ปู่ของเขาเป็นโรคซาดิสม์ชอบการต่อยตีและรักการทรมานเป็นชีวิตจิตใจ ดังนั้น ตัวเขาที่เป็นหลานก็จำต้องมาปล้ำกับอาชาทองตามความต้องการของท่านปู่
เมื่ออ้อมมาด้านหลังสมใจนึกแล้ว เด็กหนุ่มก็คว้าหางอาชาก่อนดึงหางมันออกมาสุดแรง
"ฮี๊.......!"
ได้ผล! อาชาทองร้องเสียดังพร้อมสะบัดตัวดีดขาหลังถีบเขาอย่างแรงจนตัวปลิว
เด็กหนุ่มใช้โอกาสที่ตัวเองลอยจากพื้นดึงหางมันแน่นเพิ่มแรงให้มากกว่าเดิม
"ไอ้ม้าบัดซบนี่! ถ้าเจ้ายังไม่ยอมสยบอีกก็อย่าหาว่าเราใจร้ายละกัน"
เด็กหนุ่มพุ่งเข้าด้านหลังมันอีกครั้ง แต่รรั้งนี้มันเริ่มรู้ตัว สองขาหลังของมันดีดเด็กหนุ่มลอยขึ้นฟ้าโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว วินาทีเดียวกัน อาชาทองถือโอกาสที่ศัตรูลอยไม่เป็นท่าอยู่กลางอากาศ ดีดีเจ้าหนุ่มที่ซ่าไม่เลือกที่ด้วยความแรงสุดชีวิต เพื่อส่งศัตรูมันลงสู่หุบเหวลึงเบื้องล่างก้อนเมฆทันที!
"ม่ายยยยยยยยยย!!"
"เราจะสังหารมันให้ตายคามือเลยเจ้าม้าบ้า... โอยย" เสียงแหลมเล็กของเด็กหนุ่มครวญครางอย่างน่าสงสารในบ้านจีนขนาดกว้างขวาง
ใบหน้าของเด็กหนุ่มปํดโปนเต็มไปด้วยรอยช้ำ ตทมเนื้อตัวมีแต่บาดแผลใหญ่หลายแห่งเต็มไปหมด เด็กหนุ่มยามร้องโอดครวญอยู่บนเตียงช่างน่าสงสารเสียยิ่งนัก
บรรดาสาวใช้เมื่อเห็นนายน้อยรูปหล่อสวยร้องครางก็พากันสงสารจับใจ แต่ก็ทำได้แค่ช่วยเช็ดแผลตามร่างกายเขาเบาๆเท่านั้น
เด็กหนุ่มคิดอย่างแค้นเคือง ถ้าไม่ใช่เพราะตาแก่บัดซบนั่นป่านนี้เขาคงไม่ต้องมานอนเจ็บตัวเป็นผักต้มอยู่แบบนี้หรอก
แต่จะว่าไป เดี๋ยวนี้เขาก็เริ่มจะรู้สึกแปลกใจเสียแล้วสิ ว่าทำไมโลกของเขามันช่างแคบเสียเหลือเกิน จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่เคยออกจากเทียนแพ็กแบบจริงจังเลยสักครั้ง ถูเขาสูงเสียฟ้าถึงสวรรค์แบบนี้แม้กว้างขวางสวยงามน่าอยู่ แต่ทว่าทำไมเขากลับมองกลายเป็นสถานที่ธรรมดาๆไปได้เสียแล้วนะ
"พวกเจ้าน่ะ มีอะไรก็ไปทำซะเถอะ เราค่อยยังชั่วแล้ว"
เด็กหนุ่มออกคำสั่ง บรรดาสาวใช้สวยราวเทพธิดาก็พากันออกไปจากห้องตามคำสั่งเฉกเช่นเขาเป็นเสมือนฮ่องเต้ก็ว่าได้
เด็กหนั่มพอสาวๆออกจากห้องจนหมดแล้วก็ขยับตัวขึ้นนั่งพร้อมสำรวจบาดแผล
ร่างกายของเขานับว่ามหัศจรรย์มาก ผิวหนังเต่งตึงขาวอมชมพูเนียนสวยเหมือนทารก สามารถเปล่งแสงในที่มืดได้ยามต้องการ กลิ่นดอกสวรรค์หอมกรุ่นออกมาจากร่างกายทุกๆห้านาที บาดแผลของเขาสมานตัวเร็วกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายร้อยเท่า ต่อให้แผลฉกรรย์หนักแค่ไหน เพียงวันเดียวก็มีโอกาสหายได้
เด็กหนุ่มอาจไม่รู้ แต่ทว่านี่คือร่างกายของเหล่าเทพบนสวรรค์
เด็กหนุ่มอาจไม่รู้ แต่ทว่าร่างกายของเขาเป็นแบบฉบับของเทพนักรบของสวรรค์เลย
และเด็กหนุ่มอาจไม่รู้ ว่ายอดเขาเทียนแพ็กที่เขาอาศัยอยู่นั้น คือดินแดนของเทพนักรบ และเขาเองก็เป็นเทพนักรบเหมือนกัน!
"ม้าบ้าตัวนั้น" เด็กหนุ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด "เราจะถลกหนังมันออกมาทำชุดให้จงได้..."
ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังโมโหคนเดียวอยู่นั้น ประตูห้องของเขาก็เปิด พร้อมกับร่างของชายชราสูงโปร่งร่างกำยำคนหนึ่งเดินเข้ามา
"เจ้าบ่นอะไร!ฎอยู่คนเดียวน่ะมิซากิ"
เสียงชราลอดลำคอของชายแก่ออกมา ทว่าแม้เป็นเสียงของผู้ผ่านโลกมานับศัตวรรษ แต่น้ำเสียงยังคงมีความทุ้มนุ่มละมุนเจือปนอยู่
ที่แท้ชายชรารูปร่างน่าเลื่อมใสท่านนี้คือท่านปู้ของเด็กหนุ่มนั่นเอง
"ท่านจะมาว่าอะไรเราอีกล่ะ หรือว่ายังจะให้เราต่อสู้กับม้าบ้าอะไรนั่นอีกน่ะ.." เด็กหนุ่มบ่น
"ทีแรกเรากะว่าจะมาดู อาการหลานรักสักหน่อย แต่นี่เห็นแข็งแรงดีแล้วคงไม่ต้องเลยกระมัง"
ผู้เป็นปู่กล่าวด้วยเสียงแสร้งน้อยใจ ทว่านัยน์ตาที่มองสภาพเขาสะใจอย่างเห็นได้ชัด "สงสัยวันนี้เราคงจะต้องงดอาหารเจ้าอีกหนึ่งวันแล้วสินะ"
"ไม่นะท่านปู่" เด็กหนุ่มหน้าหวานนามมิซากินรีบค้านทันควัน "เราไม่ได้กินอะไรมาสามวันเต็มแล้วนอกจากน้ำ ท่านจะให้เราอดอาหารอีกเหรอ"
"ถ้าเช่นนั้น.. เจ้าเอาชนะอาชาของเราได้รึยังล่ะ" ท่านปู่ลูบเครายาวสีขาวของตัวเอง "ถ้ายังทำให้ม้าตัวนั้นเป็นของเจ้าไม่ได้ก็อย่าหวังเลยที่จะได้กินอะไรในบ้านของเรา"
ท่านปู่พูดโดยเน้นคำว่า บ้านของเรา ชัดมาก เป็นการบอกโดยนัยว่า ที่นี่เรายิ่งใหญ่ที่สุดอะไรประมาณนั้น
มิซากินไม่มีโอกาสได้ท้วงคำใดออกไป เด็กหนุ่มได้แต่ใช้สายตาแค้นเคืองมองปู่ของตนอย่างโมโห ...ตาเฒ่าบัดซบนี่ หากมิใช่ปู่ของเราก็อย่าหวังว่าเราจะไว้ชีวิตนะ!..
"ขอรับท่านปู่ เราจะพยายามสยบม้าตัวนั้นให้ได้" มิซากิเค้นเสียงอย่างแค้นเคือง
ปู่มันลอบมองก่อนจะอมยิ้มไว้ในใจ ...หึหึหึ เจ้าเด็กบัดซบ! คิดเหรอว่าเราจะยอมให้เจ้าจับอาชาทองของเราไปได้ง่ายๆ จงอยู่อย่างเคียดแค้นเราไปเถอะ อีกหน่อยจักได้รู้ว่าเราทำไปทั้งหมดก็เพืรอใคร...
"ดีมาก เราขอให้เจ้าจับมันได้ในเร็ววันก็พอ" ท่านปู่พูดก่อนจะล้วงมือเย้าไปในเสื้อแล้วเอายาเม็ดกลมสีรุ้งทอประกายแสงออกมา "ตอนนี้เจ้ากินนี่ซะ"
มิซากิมองไปที่ยาสีรุ้งนั่นอย่างผวา เด็กหนุ่มรู้ว่ายาเม็ดนั้นมีรสชาติอุบาทว์ที่สุด เขาต้องกินยาประหลาดนั่นประจำทุกวันโดยมิรู้ว่ายานั่นคืออะไร "ยานี่อีกแล้วเหรอขอรับ" มิซากิกลืนน้ำลายลงคอ "เราไม่กินได้ไหม คือ...เรายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง เกรงว่าจะปวดท้องขึ้นมาน่ะ แหะๆ"
"ไม่ได้" ท่านปู่ปฏิเสธสั้นๆ "เจ้าต้องกินยานี่ทุกวัน และจะขาดไปแม้แต่ครั้งเดียวไม่ได้ มิเช่นนั้นเราจะให้เจ้าอดอาหารอีกหนึ่งเดือนเป็นไง"
เด็กหนุ่มตาโตเกือบถลน แค่นี้ยังผ่ายผอมไม่พออีกรึถึงต้องให้อดอีก จักสังหารกันให้ตายเลยรึยังไงนะ!
"เราวางยาไว้ตรงนี้ หวังว่าเจ้าจะกินมันนะ ไม่งั้น ..หึหึ"
ท่านปู่วางยาสีรุ้งไว้บนเตียงข้างตัวเด็กหนุ่ม ตาแก่นั่นยิ้มเยาะไม่นาน ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเหมือนคนรู้สึกโล่งโปร่ง มิซากิแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาอยู่แล้ว!
เช่นนั้นทั่วโลกจึงมีเพลงวิชายุทธุ์เกิดขึ้น เพื่อฝึกฝนตนเองให้มีวิชาดั่งเทพเซียน
เมื่อโลกเข้าสู่กลียุคเช่นนี้ ทุกหย่อมหญ้าต่างก็หาใช่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป แม้แต่ในราชสำนักเอง ผู้ปกครองก่อย่อมมีนิสัยเหี้ยมโหดเด็ดขาด เพื่อให้บ้านเมืองอยู่รอดจึงตั้งกฎเหล็กขึ้นมาสามข้อด้วยกันคือ
ผู้อ่อนแอไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หากปราศจากการต่อสู้
สิ่งที่เรียกว่าวรยุทธุ์และกำลังภายในคือเครื่องมือที่ต้องใช้
เชื่อฟังคำบัญชาฮ่องเต้และรับคำสั่งโดยไม่โต้แย้ง
ด้วยสามกฎเหล็กของฮ่องเต้นี้เองที่ทำให้บ้านเมืองเริ่มกลับเข้ามาสู่ความสงบสุขอีกครั้ง บ้านเมืองเรื่อมมีผู้มากฝีมือ ทั้งการรบบู๊ บุ๋น ท้ายสุด ความเจริญอันยิ่งใหญ่ก็กลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง ด้วยความร่วมมือของบรรดาขุนนางและชาวบ้านแผ่นดินใหญ่
ต้าชิง สมัยหลังราชวงศ์ชิง ชาวแมนจูหมดอำนาจการครองประเทศ การปกครองถูกเปลี่ยนโดยชาวจีนแท้ราชวงศ์หมิงอีกครั้ง**
ภาคใต้ของต้าชิง ยังคงมีเขาลูกหนึ่งที่สูงเสียดฟ้า เขาลูกนั้นเป็นเขาหัวโล้นมีความสูงในระนาบเกือบเก้าสิบองศา เป็นเขาสูงทะ!ลุเมฆขึ้นไป เขาลูกนี้มีชื่อว่าเทียนแพ็ก เชื่อกันว่า ผู้ใดที่สามารถปีขึ้นยอดเขาได้ด้วยกำลังของตัวเอง ผู้นั้นจะได้ร่ำเรียนสุดยอดวิชาแห่งสายธรรมมะกับทวยเทพบนสวรรค์ เรียกได้ว่าเมื่อลงมาแล้วจักเปลี่ยนเป็นคนละคนก็ไม่ปาน
สูงขึ้นไปบนยอดเขาเทียนแพ็ก เด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักวัยสิบเจ็ดปีคนหนึ่งกำลังฝึกปล้ำกับอาชาสีทองอย่างยากลำบาก
เป็นภาพที่ดูอัศจรรย์มากหากผู้ใดได้พบเห็น เด็กหนุ่มร่างบอบบางน่ากอดรัดฟัดเหวี่ยงกำลังต้านแรงชนของอาชาทองคำที่พุ่งตัวเข้ามาหามันดุจสายฟ้าแลบ
"อั่ก!"
แรงกระแทกมหาศาลจากอาชาทองพุ่งเข้าใส่กลางร่างโดยทะลุการ์!ดป้องกันของเด็กหนุ่มเข้ามาทำให้อวัยวะภายในเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เด็กหนุ่มต้องปล่อยม้าตัวนั้นออกไปก่อนจะตีลังกาหลบไปด้านหลังมันอย่างรวดเร็ว
ด้วยระยะเวลากว่าหกเดือนที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากสู้กับอาชาทองตัวนี้ ทำให้เขาสามารถจับการเคลื่อนไหวของมันได้แทบทุกทางแล้ว แต่!..ทำไมเขาจึงต้องมาเสียเวลาจับม้าตัวนี้ด้วยงั้นเหรอ เหตุผลคือ ตาแก่ปู่ของเขาเป็นโรคซาดิสม์ชอบการต่อยตีและรักการทรมานเป็นชีวิตจิตใจ ดังนั้น ตัวเขาที่เป็นหลานก็จำต้องมาปล้ำกับอาชาทองตามความต้องการของท่านปู่
เมื่ออ้อมมาด้านหลังสมใจนึกแล้ว เด็กหนุ่มก็คว้าหางอาชาก่อนดึงหางมันออกมาสุดแรง
"ฮี๊.......!"
ได้ผล! อาชาทองร้องเสียดังพร้อมสะบัดตัวดีดขาหลังถีบเขาอย่างแรงจนตัวปลิว
เด็กหนุ่มใช้โอกาสที่ตัวเองลอยจากพื้นดึงหางมันแน่นเพิ่มแรงให้มากกว่าเดิม
"ไอ้ม้าบัดซบนี่! ถ้าเจ้ายังไม่ยอมสยบอีกก็อย่าหาว่าเราใจร้ายละกัน"
เด็กหนุ่มพุ่งเข้าด้านหลังมันอีกครั้ง แต่รรั้งนี้มันเริ่มรู้ตัว สองขาหลังของมันดีดเด็กหนุ่มลอยขึ้นฟ้าโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว วินาทีเดียวกัน อาชาทองถือโอกาสที่ศัตรูลอยไม่เป็นท่าอยู่กลางอากาศ ดีดีเจ้าหนุ่มที่ซ่าไม่เลือกที่ด้วยความแรงสุดชีวิต เพื่อส่งศัตรูมันลงสู่หุบเหวลึงเบื้องล่างก้อนเมฆทันที!
"ม่ายยยยยยยยยย!!"
"เราจะสังหารมันให้ตายคามือเลยเจ้าม้าบ้า... โอยย" เสียงแหลมเล็กของเด็กหนุ่มครวญครางอย่างน่าสงสารในบ้านจีนขนาดกว้างขวาง
ใบหน้าของเด็กหนุ่มปํดโปนเต็มไปด้วยรอยช้ำ ตทมเนื้อตัวมีแต่บาดแผลใหญ่หลายแห่งเต็มไปหมด เด็กหนุ่มยามร้องโอดครวญอยู่บนเตียงช่างน่าสงสารเสียยิ่งนัก
บรรดาสาวใช้เมื่อเห็นนายน้อยรูปหล่อสวยร้องครางก็พากันสงสารจับใจ แต่ก็ทำได้แค่ช่วยเช็ดแผลตามร่างกายเขาเบาๆเท่านั้น
เด็กหนุ่มคิดอย่างแค้นเคือง ถ้าไม่ใช่เพราะตาแก่บัดซบนั่นป่านนี้เขาคงไม่ต้องมานอนเจ็บตัวเป็นผักต้มอยู่แบบนี้หรอก
แต่จะว่าไป เดี๋ยวนี้เขาก็เริ่มจะรู้สึกแปลกใจเสียแล้วสิ ว่าทำไมโลกของเขามันช่างแคบเสียเหลือเกิน จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่เคยออกจากเทียนแพ็กแบบจริงจังเลยสักครั้ง ถูเขาสูงเสียฟ้าถึงสวรรค์แบบนี้แม้กว้างขวางสวยงามน่าอยู่ แต่ทว่าทำไมเขากลับมองกลายเป็นสถานที่ธรรมดาๆไปได้เสียแล้วนะ
"พวกเจ้าน่ะ มีอะไรก็ไปทำซะเถอะ เราค่อยยังชั่วแล้ว"
เด็กหนุ่มออกคำสั่ง บรรดาสาวใช้สวยราวเทพธิดาก็พากันออกไปจากห้องตามคำสั่งเฉกเช่นเขาเป็นเสมือนฮ่องเต้ก็ว่าได้
เด็กหนั่มพอสาวๆออกจากห้องจนหมดแล้วก็ขยับตัวขึ้นนั่งพร้อมสำรวจบาดแผล
ร่างกายของเขานับว่ามหัศจรรย์มาก ผิวหนังเต่งตึงขาวอมชมพูเนียนสวยเหมือนทารก สามารถเปล่งแสงในที่มืดได้ยามต้องการ กลิ่นดอกสวรรค์หอมกรุ่นออกมาจากร่างกายทุกๆห้านาที บาดแผลของเขาสมานตัวเร็วกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายร้อยเท่า ต่อให้แผลฉกรรย์หนักแค่ไหน เพียงวันเดียวก็มีโอกาสหายได้
เด็กหนุ่มอาจไม่รู้ แต่ทว่านี่คือร่างกายของเหล่าเทพบนสวรรค์
เด็กหนุ่มอาจไม่รู้ แต่ทว่าร่างกายของเขาเป็นแบบฉบับของเทพนักรบของสวรรค์เลย
และเด็กหนุ่มอาจไม่รู้ ว่ายอดเขาเทียนแพ็กที่เขาอาศัยอยู่นั้น คือดินแดนของเทพนักรบ และเขาเองก็เป็นเทพนักรบเหมือนกัน!
"ม้าบ้าตัวนั้น" เด็กหนุ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด "เราจะถลกหนังมันออกมาทำชุดให้จงได้..."
ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังโมโหคนเดียวอยู่นั้น ประตูห้องของเขาก็เปิด พร้อมกับร่างของชายชราสูงโปร่งร่างกำยำคนหนึ่งเดินเข้ามา
"เจ้าบ่นอะไร!ฎอยู่คนเดียวน่ะมิซากิ"
เสียงชราลอดลำคอของชายแก่ออกมา ทว่าแม้เป็นเสียงของผู้ผ่านโลกมานับศัตวรรษ แต่น้ำเสียงยังคงมีความทุ้มนุ่มละมุนเจือปนอยู่
ที่แท้ชายชรารูปร่างน่าเลื่อมใสท่านนี้คือท่านปู้ของเด็กหนุ่มนั่นเอง
"ท่านจะมาว่าอะไรเราอีกล่ะ หรือว่ายังจะให้เราต่อสู้กับม้าบ้าอะไรนั่นอีกน่ะ.." เด็กหนุ่มบ่น
"ทีแรกเรากะว่าจะมาดู อาการหลานรักสักหน่อย แต่นี่เห็นแข็งแรงดีแล้วคงไม่ต้องเลยกระมัง"
ผู้เป็นปู่กล่าวด้วยเสียงแสร้งน้อยใจ ทว่านัยน์ตาที่มองสภาพเขาสะใจอย่างเห็นได้ชัด "สงสัยวันนี้เราคงจะต้องงดอาหารเจ้าอีกหนึ่งวันแล้วสินะ"
"ไม่นะท่านปู่" เด็กหนุ่มหน้าหวานนามมิซากินรีบค้านทันควัน "เราไม่ได้กินอะไรมาสามวันเต็มแล้วนอกจากน้ำ ท่านจะให้เราอดอาหารอีกเหรอ"
"ถ้าเช่นนั้น.. เจ้าเอาชนะอาชาของเราได้รึยังล่ะ" ท่านปู่ลูบเครายาวสีขาวของตัวเอง "ถ้ายังทำให้ม้าตัวนั้นเป็นของเจ้าไม่ได้ก็อย่าหวังเลยที่จะได้กินอะไรในบ้านของเรา"
ท่านปู่พูดโดยเน้นคำว่า บ้านของเรา ชัดมาก เป็นการบอกโดยนัยว่า ที่นี่เรายิ่งใหญ่ที่สุดอะไรประมาณนั้น
มิซากินไม่มีโอกาสได้ท้วงคำใดออกไป เด็กหนุ่มได้แต่ใช้สายตาแค้นเคืองมองปู่ของตนอย่างโมโห ...ตาเฒ่าบัดซบนี่ หากมิใช่ปู่ของเราก็อย่าหวังว่าเราจะไว้ชีวิตนะ!..
"ขอรับท่านปู่ เราจะพยายามสยบม้าตัวนั้นให้ได้" มิซากิเค้นเสียงอย่างแค้นเคือง
ปู่มันลอบมองก่อนจะอมยิ้มไว้ในใจ ...หึหึหึ เจ้าเด็กบัดซบ! คิดเหรอว่าเราจะยอมให้เจ้าจับอาชาทองของเราไปได้ง่ายๆ จงอยู่อย่างเคียดแค้นเราไปเถอะ อีกหน่อยจักได้รู้ว่าเราทำไปทั้งหมดก็เพืรอใคร...
"ดีมาก เราขอให้เจ้าจับมันได้ในเร็ววันก็พอ" ท่านปู่พูดก่อนจะล้วงมือเย้าไปในเสื้อแล้วเอายาเม็ดกลมสีรุ้งทอประกายแสงออกมา "ตอนนี้เจ้ากินนี่ซะ"
มิซากิมองไปที่ยาสีรุ้งนั่นอย่างผวา เด็กหนุ่มรู้ว่ายาเม็ดนั้นมีรสชาติอุบาทว์ที่สุด เขาต้องกินยาประหลาดนั่นประจำทุกวันโดยมิรู้ว่ายานั่นคืออะไร "ยานี่อีกแล้วเหรอขอรับ" มิซากิกลืนน้ำลายลงคอ "เราไม่กินได้ไหม คือ...เรายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง เกรงว่าจะปวดท้องขึ้นมาน่ะ แหะๆ"
"ไม่ได้" ท่านปู่ปฏิเสธสั้นๆ "เจ้าต้องกินยานี่ทุกวัน และจะขาดไปแม้แต่ครั้งเดียวไม่ได้ มิเช่นนั้นเราจะให้เจ้าอดอาหารอีกหนึ่งเดือนเป็นไง"
เด็กหนุ่มตาโตเกือบถลน แค่นี้ยังผ่ายผอมไม่พออีกรึถึงต้องให้อดอีก จักสังหารกันให้ตายเลยรึยังไงนะ!
"เราวางยาไว้ตรงนี้ หวังว่าเจ้าจะกินมันนะ ไม่งั้น ..หึหึ"
ท่านปู่วางยาสีรุ้งไว้บนเตียงข้างตัวเด็กหนุ่ม ตาแก่นั่นยิ้มเยาะไม่นาน ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเหมือนคนรู้สึกโล่งโปร่ง มิซากิแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาอยู่แล้ว!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ