Through the army corps of hell.
9.8
เขียนโดย katzee
วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.31 น.
4 chapter
8 วิจารณ์
6,906 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 13.55 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ความหลังที่ตามหลอกหลอน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ*เป็นนิยายที่เเต่งขึ้นเองเเเละไม่ได้คัดลอกมาจากใครทั้งนั้น ชื่อคนเเละสถานที่ล้วนอิงมาจากความจริงในบางส่วนเเละมาจากจินตนาการล้วนๆ
บทที่ 1
[หลังไวรัสเเพร่ระบาด]
เสียงที่ดังอื้ออึงอยู่ในหัวมันทำให้คนเราแทบจะเป็นบ้า เสียงกรีดร้องร้องขอความช่วยเหลือและฟังดูน่าโหยหวนที่ดังเข้าไปกระแทกโสตประสาทของคุณ หากผู้ใดที่ได้ยินมันก็คงมีอาการสยองพิลึก ผมรู้ว่าอะไรที่มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ ผมรู้ดี
ความมืดยังคงฉายแววไปทั่วทั้งพื้นที่ ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ความเจ็บปวดที่หน่วงความรู้สึกคุณไปทั้งตัวกำลังเล่นงานผมอย่างช้าๆ ภาพฝันร้ายกำลังถาโถมเข้ามาคอยเล่นงานคุณให้ค่อยๆทรมานไปทีละนิด ฝูงชนที่ตายไปแล้วลุกขึ้นมาเดินได้พร้อมกับสภาพที่เน่าเปื่อย ถึงแม้ว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเขาจะเป็นคนรักคุณหรือครอบครัวคุณก็ตาม มันก็ไม่สามารถนำพวกเขากลับมาได้ หรือลองคิดในแบบหลอกตัวเองว่าพวกเขายังอยู่ ไม่มีใครอยากจะมาจบชีวิตด้วยเรื่องแบบนี้หรอก โลกนี้มันอยู่ยากเกินไปสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์
สิ่งเดียวที่เราสามารถทำได้คือจบมันซะ อย่าปล่อยให้เขาทรมานเพราะนรกพวกนี้ แต่ทว่าผมก็ไม่ต่างสิ่งที่ผมแทนมันว่านรกเลย ผมกำลังจะตายใช่หรือเปล่า
Safe Zone..
“พาเขาไป เราจะต้องป้องกันศูนย์กักกันนี้ไว้” เสียงของคนบางคนดังขึ้นลอยๆอยู่เหนือหัวของผม ผมรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ตัวผมลอยเหนือพื้นเพราะไม่รู้ว่าอยู่บนบ่าของใคร นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่
“เฮ้ อดัม ตื่นสิๆ” ความรู้สึกเจ็บจากมือใครบางตีบนใบหน้าพยายามจะเรียกสติ
“ใคร..” เสียงครางแผ่วเมื่อชายหนุ่มพยายามจะปรือตามองบุคคลที่กำลังพยายามจะทำให้เขาตื่น
“นายจะต้องฝืนมันให้ได้ เราจะต้องหนีแล้ว พวกแครอไลน์กำลังต้านมันไว้อยู่”
ภาพยังคงพร่าเบลอ นี่เขากำลังเป็นอะไรอยู่กันแน่ เขาไม่รู้สึกหรือมีแรงอีกแล้ว
“โอ้ ให้ตายสิอดัม….บ็อบ นายต้องแบกเขา ไม่มีเวลาแล้ว” เธอคนนั้นหันไปพูดกับผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังกราดกระสุนยิงลงไปยังบริเวณข้างล่าง ผู้หญิงคนนั้นถอยห่างออกก่อนที่เขาจะรู้สึกถึงความรู้สึกโหว่งๆเมื่อถูกยกร่างขึ้นก่อนจะหมดสติ ไปในที่สุด
ผู้รอดชีวิตที่ต่างพากันร่วมด้วยช่วยกันสร้างบริเวณที่พักขึ้นมา ท่ามกลางป่าเขาที่ล้อมรอบไปหมด พวกเขามีกำแพงที่ถูกทำขึ้นด้วยไม้ขนาดใหญ่นำมาเรียงต่อกันจนสามารถปกป้องสิ่งที่เป็นอันตรายซึ่งอยู่ข้างนอกทุกหนทุกแห่ง ที่นี่ก็เปี่ยมเสมือนชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งทุกคนต่าก็มีหน้าที่และวิชาการป้องกันตัวเป็นทุนเดิม
ถึงแม้เราผู้ชีวิตจะมีจำนวนไม่มากเนื่องจากมนุษย์ต่างก็หนีตายและอาจจะโดนกินไปแทบจะหมดโลกแล้วกลายไปเป็นซากศพที่ลุกขึ้นเดินได้อย่างปัจจุบัน ฉะนั้นสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับพวกเขาคือการออกตามหาสิ่งที่พอจะประทังชีวิตได้ อาจจะหลงเหลือไว้ซักที่ไหนที่หนึ่ง
“เขาโดนกัดหรือเปล่า” ชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างแข็งแรงเอ่ยถามหญิงสาวผู้ที่เป็นนำพาความสามัคคีมาสู่ชุมชน
“ไม่ แค่สลบไป อาจจะเป็นเพราะเขาขาดอาหาร” เธอตอบ พลางยืนกอดอกมองดูชายที่นอนหลับอยู่บนเตียงเก่าๆซอมซ่อ
“หมอนี่งั้นเหรอ”
“เราส่งเขาออกเดินทางนานเกินไป อาจจะทำให้เขาใช้ชีวิตลำบาก” เธอบอกด้วยน้ำเสียงที่จริงจังก่อนจะยกเก้าอี้ไปนั่งข้างๆเตียงเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มขยับตัว
“เฮ้ ว่าไง ไอ้ตัวแสบ” ชายคนดังกล่าวทักทาย อดัมยิ้มบางๆตอบก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งให้ถนัด
“ขอบใจที่ช่วยนะบ็อบ” อดัมหันไปพูดกับชายคนนั้นซึ่งพยักรับตอบก่อนจะเลื่อนสายตามามองผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ขอบใจเธอด้วยนะลิเดีย ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้ว ฉันลุยต่อได้” ทันทีที่เขาพูดจบเธอก็ดันอกให้เขานั่งอยู่เฉยๆซะก่อนที่เขาจะลุกขึ้นไปปฎิบัติหน้าที่ของเขาต่อ
“อดัม นายพักก่อนก็ได้ ไม่มีอะไรให้ต้องทำตอนนี้หรอก” ลิเดียสาวผมสีน้ำตาลที่มีดวงตาคล้ายกับผมของเธอยิ้มให้กับเขาทันทีที่พูดจบ เขาจึงพยักหน้าเพราะไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วงเขามากนัก ก่อนจะหันไปทางเสียงวิทยุสื่อสารที่บ็อบกำลังคุยอยู่
‘พวกเราเสียคนไปจำนวนหนึ่ง และเจ้าพวกนั้นยึดพื้นที่เราไปได้แล้วเราจะค่อยบุกไปถล่มมันอีกที เปลี่ยน’ เสียงแครอไลน์ดังตอบกลับมาเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น
‘พาทุกคนกลับมา เดี๋ยวทางนี้จะไปรับเธอ แจ้งให้ทราบเมื่อมาถึง เปลี่ยน’ บ็อบพูดพร้อมกับเหน็บวิทยุสื่อสารไว้ข้างเอวแล้วหันไปพยักหน้าให้กับทั้งสองก่อนจะรีบเดินออกไปสั่งกำลังคนเพื่อไปรับส่วนที่เหลือกลับมา
อดัมมีสีหน้าที่เศร้าสร้อยลงเมื่อตนเองทำให้คนในกลุ่มลำบาก นับตั้งแต่วันที่โลกกลายเป็นสุสานหรือสมรภูมิของสงครามไวรัสนั้นผู้คนต่างก็ล้มตาย เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เพราะสิ่งที่เห็นจากสื่อแหล่งต่างๆมากมายเพื่อสร้างข่าวหลอกลวงผ่านยุคดิจิตอล นั้นแทบทำเขาคลั่ง
และสิ่งหนึ่งที่ทุกคนเผชิญก็คงไม่พ้นเรื่องสูญเสียคนที่เรารักไป แต่เขามีแค่คนเดียวที่เขาคอยเฝ้าหาคือแม่ของเขา เธอทำงานเป็นนักจิตวิทยาแล้วหายตัวไปภายในคืนที่โลกแตก ไม่มีใครต้องการย้อนกลับไปในวัยแรกๆที่เราเหมือนจะยอมให้มันเป็นเพียงฝันร้ายซะมากกว่าเรื่องจริงแต่ความจริงก็คือความจริง
ไม่มีใครโต้แย้งในส่วนของตรงนี้ ทุกคนต่างก็เจ็บปวด นับตั้งแต่วันนั้นมาพวกเขาก็ไม่อยากจะนับวันที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยซ้ำ เพราะชะตากรรมมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้
“เฮ้ คิดอะไรอยู่เหรอ” ลิเดียแอบลอบมองเขามาได้สักพักจึงเอ่ยถาม
“ฉันแค่ ฉันอยากให้เรื่องมันจบลงเท่านั้นน่ะ” ลิเดียกระชับปืนที่เหน็บไว้ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้เขามากกว่าเดิม ก่อนจะสบสายตาเขาด้วยความห่วงใย
“สิ่งนี้ ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่ามันจะโหดร้ายแค่ไหนเราก็ต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด” ลิเดียนำมือมาแตะที่ไหล่เขาเบาๆแล้วพูดย้ำอีกครั้งว่า “เราต้องอยู่กับปัจจุบัน” ก่อนจะโน้มตัวเพื่อมาจูบที่แก้มเขาเบาๆ เธอทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นไอ้งั่ง แต่ก็อุ่นใจที่มีเธอคอยเป็นกำลังใจ
เมื่อเธอละใบหน้าออกห่างแล้วยิ้มให้เขาก่อนจะหันไปตามเสียงเรียก บ็อบมีอาการที่ไม่พอใจเมื่อเห็นลิเดียทำอย่างนั้นกับเขาแต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะก่อนจะเรียกเธอเพื่อไปช่วยเรื่องการเฝ้ายามระหว่างที่แครอไลน์จะกลับมา
เขารู้สึกได้ถึงร่างกายที่อ่อนล้า เหมือนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรทั้งนั้นพร้อมกับภาพที่ค่อยๆเลือนลางเพราะว่าเปลือกตาเขากำลังปิดลง แล้วฝันร้ายนั้นก็มาเยือนเขาอีกครั้ง
วันนรก
ในวันที่น่าเบื่อของการเรียนของเขาแทบจะไม่มีอะไรที่น่าสนใจไปกว่าการเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง โรงเรียนที่เขาเรียนอยู่ภายในตัวเมืองที่ค่อนข้างจะวุ่นวายแล้ววันนี้เป็นวันที่เขารู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์แปลกเพราะทันทีที่เขามองเด็กนักเรียนที่ต่างพากันวิ่งพุ่งพล่านเหมือนมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น จู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมๆกันหลายเครื่อง เขารีบควานหาโทรศัพท์ของตนเองขณะที่คนอื่นก็ต่างทำเหมือนกัน
“โอ พระเจ้า ดูนั่นสิ” มีใครบางคนส่งเสียงร้องขึ้นพร้อมกับอาการตกใจกลัวที่อยู่ในโทรศัพท์ของตนแล้วเพื่อนๆคนอื่นๆก็วิ่งกรู่กันเข้ามา อดัมแปลกใจที่คุณครูที่ไม่ร้องห้ามเพราะเธอก็ทำเช่นเดียวกับนักเรียนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองประตูที่ดูเหมือนมีใครกำลังมาเรียกก่อนจะแง้มประตูออกไป ซึ่งอดัมก็ก้มลงมองสนใจโทรศัพท์ที่เป็นสายเรียกเข้าของแม่เขา
“มีอะไรครับแม่” เขากดรับพร้อมพยายามเอาออกห่างจากหูของตนเมื่อมันสัญญาณแปลกๆแสบแก้วหูเล็ดลอดออกมาก่อนจะได้ยินเสียงแม่ที่ตะโกนร้องเขาผ่านโทรศัพท์
“ ลูก….ต้อง….ออก…..เดี๋ยวนี้ แม่จะ………….”
สัญญาณถูกตัดขาดออกไปเขาแทบจะฟังสิ่งที่แม่พูดไม่ได้ด้วยซ้ำ ก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ทุกคนต่างส่งเสียงก่อนเขาจะเก็บของทุกอย่างลงไปในเป้พลางรีบลุกออกจากที่นั่งเพื่อออกไปข้างนอก
ท่ามกลางเสียงวุ่นวายที่ดังอยู่ข้างนอกแทบจะทำให้เขาประสาทเสีย เมื่อไม่สามารถมองหาคนที่รู้จักได้เลย เขากวาดสายตามองหาเพื่อนสนิทที่อาจจะกำลังตามหาเขาอยู่ก็เป็นได้
“อเล็กซ์!!!” อดัมตะโกนหาเพื่อนสนิท แล้วแทรกตัวออกไปจากฝูงคนที่กำลังตื่นตระหนก
เขาได้ยินเสียงกรี๊ดร้องมาจากบริเวณโถงทางเดินที่ทุกคนต่างมีอาการขวัญผวา เขากวาดสายตามองไปรอบๆอีกครั้ง พร้อมกับก้มลงมองโทรศัพท์มือถือที่แทบจะไม่มีสัญญาณเลย เขาเก็บมันใส่ไว้กระเป๋ากางเกงก่อนจะสบถออกมา แล้วเดินแทรกเข้าไปดูกับเด็กนักเรียน
ภาพตรงหน้าเขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้น ชายคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีอายุสวมใส่ชุดรปภกำลังพยายามกัดกินเด็กผู้เคราะห์ร้ายที่มีใบหน้าที่ตาเหลือกค้างไว้อย่างนั้น แล้วไม่มีอาการดิ้นแสดงถึงความเจ็บปวด…. เพราะเขาตายแล้ว…ยังไงล่ะ ตัวเขาไหลไปตามฝูงคนที่เบียดกันเพื่อหนีแทบจะไม่มีช่องไหนที่จะหลุดรอดออกไปจากคนพวกนี้ได้
“อดัม!!!” เขาได้ยินเพื่อนรักซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เขาจึงร้องตอบก่อนจะเห็นอเล็กซ์ฝ่าคนเหล่านั้นเข้ามาแล้วดึงตัวเขาไปให้พ้นจากทางเดิน พลางลากเขาไปยังทางหนีไฟ
“โอ้ แม่เจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“ฉันว่า เราคงต้องหาที่ปลอดภัยซะแล้วล่ะ บางทีคนพวกนี้กำลังจะกลายเป็นซอมบี้” อเล็กซ์บอกเขา พร้อมกับเสียงที่สั่นระริกถือโทรศัพท์แกว่งไปมาเพื่อหาสัญญาณ
“นายพูดบ้าอะไรของนายน่ะ” อดัมตะโกนถาม ขณะที่มีเสียงกรีดร้องดังอยู่ข้างนอกแล้วเสียงข้าวของพังดังสนั่น
“พ่อแม่ฉันคิดถูก พวกเขากำลังวางแผนที่จะย้ายออก แต่ฉันมาโรงเรียนนรกนี่ เพราะไม่เชื่อพวกเขา บ้าเอ้ย!!”
“พ่อแม่นายงั้นเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อคืนก่อน พวกเขาทิ้งรถไว้ให้ แต่คงจะไม่นานบางทีอาจจะมีคนกำลังหารถที่จะออกจากเมือง” อเล็กซ์พยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา ตามจริงแล้วพ่อแม่เขาไม่ได้เป็นพ่อแม่ที่แท้จริง และเขาถูกกรับเลี้ยงมา
“เฮ้ อเล็กซ์ เราต้องออกไปได้แน่” อดัมพูดปลอบใจทั้งๆที่ก็ไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่านี้แล้ว
ทั้งสองคนตัดสินใจว่าต้องลงไปยังชั้นล่างหรือด้านหลังโรงเรียนเพราะอาจจะไม่มีคนพลุ่งพล่านเยอะอาจจะทำให้พวกเขาโดนถ่วงเวลาเอาไว้ได้ ถึงแม้ในใจเขาจะคิดว่านี่มันคงเป็นฝันร้ายแต่ดูตามสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นก็ไม่ต่างไปจากการหลอกตัวเองแล้วตายในที่สุด แต่แม่ของเขาอยู่ที่โรงพยาบาล เท่าที่สังเกตดูจากน้ำเสียงเธอคงต้องรู้อะไรแน่ๆ ว่าแต่เขาควรจะทำยังไงดี
ภาพดังกล่าวนั้นหายไป ถูกตัดมาอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ตัวเขาเองกำลังจะเสียสละตัวเองเพื่อล่อพวกซากศพเบี่ยงเบนความสนใจและปล่อยให้ชีวิตของเพื่อนรักดำรงอยู่ต่อไป ทั้งสองต่างรู้ดีว่าไม่ใครก็คนหนึ่งที่อาจจะต้องอย่างนี้
“ไม่เอาน่าพวก เรายังหาเส้นทางอื่นได้นะ” อเล็กซ์เกลี้ยกล่อมเมื่อเห็นเขากำลังจะใช้ตัวเองเพื่อหลอกล่อพวกซอมบี้ตามเสียงเขาไปอีกทางหนึ่ง
“เฮ้ ฟังฉันนะ นายก็เห็นไม่ใช่เหรอ ว่ามันมีอยู่แค่ทางเดียว”
“ไม่ๆๆ นายจะทำอย่างนี้ไม่ได้” อเล็กซ์ค้านเพราะมันไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ อเล็กซ์ก็กระตุกด้วยอาการตกใจเมื่อมีบางอย่างฝังเข้าที่กลางหน้าผาก
ปัง ทันทีที่เพื่อนรักกองลงกับพื้นพร้อมกับแผลบนหัวเหวอะหวะ อดัมแผดเสียงร้องเมื่อเห็นคนที่เป็นเพื่อนรักตายลงไปต่อหน้าต่อตา
น้ำตาลูกผู้ชายไหลพราก ขณะที่กำลังเห็นซากศพซอมบี้ กำลังเดินตามเสียงปืนมาก่อนจะหันมากุมมือเพื่อนรัก พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงผะแผ่ว “ฉันเสียใจ…อเล็กซ์” พลางถูกกระชากจากคนบางคนที่มีใบหน้าเปียกโชกไปด้วยเลือด เขาสวมใส่ชุดทหารพร้อมกับมีอาวุธปืนอยู่ในมือ ชายคนนั้นกระชากร่างเขาออกมาพลางฝังระเบิดไว้ที่กำแพงก่อนจะพาเขาหาที่กำบังก่อนมันจะระเบิดเปิดทางให้พวกเขา
เขายังเห็นดวงตาที่ยังเบิกโพลงมองมาทางเขา เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ แต่มันก็สายเกินไปแล้วเมื่อร่างกายถูกลากออกมาจากทางหนีนั้น เขาดูเหมือนไม่รู้สึกตัวอะไรอีกแล้ว เมื่อชายปริศนายังคงพาวิ่งหนีก่อนจะมาทรุดตัวลงภายในท่อน้ำทิ้งที่อยู่ภายใต้เท้าของพวกซอมบี้ที่ยังส่งเสียงครางอย่างสยดสยอง
“เฮ้ ไอ้หนู เราต้องรีบไปแล้วนะ”
อดัมนั่งลงอย่างอ่อนแรง นี่เขากำลังฝันอยู่หรือเปล่า เสียงอื้ออึงของดสียงปืนที่ได้ฆ่าเพื่อนรักลงต่อหน้าต่อตายังคงดังต่อเนื่อง
“แกฆ่าอเล็กซ์” อดัมพึมพำซ้ำไปซ้ำมา พลางได้ยินเสียงระเบิดอยู่บนถนน ส่งผลให้ท่อนั้นสั่นสะเทือน น้ำตาของเขายังคลอเบ้าขณะเงยหน้ามองชายในชุดทหารตรงหน้า
“ทำไม!!”
To be continue..............
บทที่ 1
[หลังไวรัสเเพร่ระบาด]
เสียงที่ดังอื้ออึงอยู่ในหัวมันทำให้คนเราแทบจะเป็นบ้า เสียงกรีดร้องร้องขอความช่วยเหลือและฟังดูน่าโหยหวนที่ดังเข้าไปกระแทกโสตประสาทของคุณ หากผู้ใดที่ได้ยินมันก็คงมีอาการสยองพิลึก ผมรู้ว่าอะไรที่มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ ผมรู้ดี
ความมืดยังคงฉายแววไปทั่วทั้งพื้นที่ ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ความเจ็บปวดที่หน่วงความรู้สึกคุณไปทั้งตัวกำลังเล่นงานผมอย่างช้าๆ ภาพฝันร้ายกำลังถาโถมเข้ามาคอยเล่นงานคุณให้ค่อยๆทรมานไปทีละนิด ฝูงชนที่ตายไปแล้วลุกขึ้นมาเดินได้พร้อมกับสภาพที่เน่าเปื่อย ถึงแม้ว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเขาจะเป็นคนรักคุณหรือครอบครัวคุณก็ตาม มันก็ไม่สามารถนำพวกเขากลับมาได้ หรือลองคิดในแบบหลอกตัวเองว่าพวกเขายังอยู่ ไม่มีใครอยากจะมาจบชีวิตด้วยเรื่องแบบนี้หรอก โลกนี้มันอยู่ยากเกินไปสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์
สิ่งเดียวที่เราสามารถทำได้คือจบมันซะ อย่าปล่อยให้เขาทรมานเพราะนรกพวกนี้ แต่ทว่าผมก็ไม่ต่างสิ่งที่ผมแทนมันว่านรกเลย ผมกำลังจะตายใช่หรือเปล่า
Safe Zone..
“พาเขาไป เราจะต้องป้องกันศูนย์กักกันนี้ไว้” เสียงของคนบางคนดังขึ้นลอยๆอยู่เหนือหัวของผม ผมรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ตัวผมลอยเหนือพื้นเพราะไม่รู้ว่าอยู่บนบ่าของใคร นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่
“เฮ้ อดัม ตื่นสิๆ” ความรู้สึกเจ็บจากมือใครบางตีบนใบหน้าพยายามจะเรียกสติ
“ใคร..” เสียงครางแผ่วเมื่อชายหนุ่มพยายามจะปรือตามองบุคคลที่กำลังพยายามจะทำให้เขาตื่น
“นายจะต้องฝืนมันให้ได้ เราจะต้องหนีแล้ว พวกแครอไลน์กำลังต้านมันไว้อยู่”
ภาพยังคงพร่าเบลอ นี่เขากำลังเป็นอะไรอยู่กันแน่ เขาไม่รู้สึกหรือมีแรงอีกแล้ว
“โอ้ ให้ตายสิอดัม….บ็อบ นายต้องแบกเขา ไม่มีเวลาแล้ว” เธอคนนั้นหันไปพูดกับผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังกราดกระสุนยิงลงไปยังบริเวณข้างล่าง ผู้หญิงคนนั้นถอยห่างออกก่อนที่เขาจะรู้สึกถึงความรู้สึกโหว่งๆเมื่อถูกยกร่างขึ้นก่อนจะหมดสติ ไปในที่สุด
ผู้รอดชีวิตที่ต่างพากันร่วมด้วยช่วยกันสร้างบริเวณที่พักขึ้นมา ท่ามกลางป่าเขาที่ล้อมรอบไปหมด พวกเขามีกำแพงที่ถูกทำขึ้นด้วยไม้ขนาดใหญ่นำมาเรียงต่อกันจนสามารถปกป้องสิ่งที่เป็นอันตรายซึ่งอยู่ข้างนอกทุกหนทุกแห่ง ที่นี่ก็เปี่ยมเสมือนชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งทุกคนต่าก็มีหน้าที่และวิชาการป้องกันตัวเป็นทุนเดิม
ถึงแม้เราผู้ชีวิตจะมีจำนวนไม่มากเนื่องจากมนุษย์ต่างก็หนีตายและอาจจะโดนกินไปแทบจะหมดโลกแล้วกลายไปเป็นซากศพที่ลุกขึ้นเดินได้อย่างปัจจุบัน ฉะนั้นสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับพวกเขาคือการออกตามหาสิ่งที่พอจะประทังชีวิตได้ อาจจะหลงเหลือไว้ซักที่ไหนที่หนึ่ง
“เขาโดนกัดหรือเปล่า” ชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างแข็งแรงเอ่ยถามหญิงสาวผู้ที่เป็นนำพาความสามัคคีมาสู่ชุมชน
“ไม่ แค่สลบไป อาจจะเป็นเพราะเขาขาดอาหาร” เธอตอบ พลางยืนกอดอกมองดูชายที่นอนหลับอยู่บนเตียงเก่าๆซอมซ่อ
“หมอนี่งั้นเหรอ”
“เราส่งเขาออกเดินทางนานเกินไป อาจจะทำให้เขาใช้ชีวิตลำบาก” เธอบอกด้วยน้ำเสียงที่จริงจังก่อนจะยกเก้าอี้ไปนั่งข้างๆเตียงเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มขยับตัว
“เฮ้ ว่าไง ไอ้ตัวแสบ” ชายคนดังกล่าวทักทาย อดัมยิ้มบางๆตอบก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งให้ถนัด
“ขอบใจที่ช่วยนะบ็อบ” อดัมหันไปพูดกับชายคนนั้นซึ่งพยักรับตอบก่อนจะเลื่อนสายตามามองผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ขอบใจเธอด้วยนะลิเดีย ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้ว ฉันลุยต่อได้” ทันทีที่เขาพูดจบเธอก็ดันอกให้เขานั่งอยู่เฉยๆซะก่อนที่เขาจะลุกขึ้นไปปฎิบัติหน้าที่ของเขาต่อ
“อดัม นายพักก่อนก็ได้ ไม่มีอะไรให้ต้องทำตอนนี้หรอก” ลิเดียสาวผมสีน้ำตาลที่มีดวงตาคล้ายกับผมของเธอยิ้มให้กับเขาทันทีที่พูดจบ เขาจึงพยักหน้าเพราะไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วงเขามากนัก ก่อนจะหันไปทางเสียงวิทยุสื่อสารที่บ็อบกำลังคุยอยู่
‘พวกเราเสียคนไปจำนวนหนึ่ง และเจ้าพวกนั้นยึดพื้นที่เราไปได้แล้วเราจะค่อยบุกไปถล่มมันอีกที เปลี่ยน’ เสียงแครอไลน์ดังตอบกลับมาเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น
‘พาทุกคนกลับมา เดี๋ยวทางนี้จะไปรับเธอ แจ้งให้ทราบเมื่อมาถึง เปลี่ยน’ บ็อบพูดพร้อมกับเหน็บวิทยุสื่อสารไว้ข้างเอวแล้วหันไปพยักหน้าให้กับทั้งสองก่อนจะรีบเดินออกไปสั่งกำลังคนเพื่อไปรับส่วนที่เหลือกลับมา
อดัมมีสีหน้าที่เศร้าสร้อยลงเมื่อตนเองทำให้คนในกลุ่มลำบาก นับตั้งแต่วันที่โลกกลายเป็นสุสานหรือสมรภูมิของสงครามไวรัสนั้นผู้คนต่างก็ล้มตาย เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เพราะสิ่งที่เห็นจากสื่อแหล่งต่างๆมากมายเพื่อสร้างข่าวหลอกลวงผ่านยุคดิจิตอล นั้นแทบทำเขาคลั่ง
และสิ่งหนึ่งที่ทุกคนเผชิญก็คงไม่พ้นเรื่องสูญเสียคนที่เรารักไป แต่เขามีแค่คนเดียวที่เขาคอยเฝ้าหาคือแม่ของเขา เธอทำงานเป็นนักจิตวิทยาแล้วหายตัวไปภายในคืนที่โลกแตก ไม่มีใครต้องการย้อนกลับไปในวัยแรกๆที่เราเหมือนจะยอมให้มันเป็นเพียงฝันร้ายซะมากกว่าเรื่องจริงแต่ความจริงก็คือความจริง
ไม่มีใครโต้แย้งในส่วนของตรงนี้ ทุกคนต่างก็เจ็บปวด นับตั้งแต่วันนั้นมาพวกเขาก็ไม่อยากจะนับวันที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยซ้ำ เพราะชะตากรรมมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้
“เฮ้ คิดอะไรอยู่เหรอ” ลิเดียแอบลอบมองเขามาได้สักพักจึงเอ่ยถาม
“ฉันแค่ ฉันอยากให้เรื่องมันจบลงเท่านั้นน่ะ” ลิเดียกระชับปืนที่เหน็บไว้ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้เขามากกว่าเดิม ก่อนจะสบสายตาเขาด้วยความห่วงใย
“สิ่งนี้ ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่ามันจะโหดร้ายแค่ไหนเราก็ต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด” ลิเดียนำมือมาแตะที่ไหล่เขาเบาๆแล้วพูดย้ำอีกครั้งว่า “เราต้องอยู่กับปัจจุบัน” ก่อนจะโน้มตัวเพื่อมาจูบที่แก้มเขาเบาๆ เธอทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นไอ้งั่ง แต่ก็อุ่นใจที่มีเธอคอยเป็นกำลังใจ
เมื่อเธอละใบหน้าออกห่างแล้วยิ้มให้เขาก่อนจะหันไปตามเสียงเรียก บ็อบมีอาการที่ไม่พอใจเมื่อเห็นลิเดียทำอย่างนั้นกับเขาแต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะก่อนจะเรียกเธอเพื่อไปช่วยเรื่องการเฝ้ายามระหว่างที่แครอไลน์จะกลับมา
เขารู้สึกได้ถึงร่างกายที่อ่อนล้า เหมือนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรทั้งนั้นพร้อมกับภาพที่ค่อยๆเลือนลางเพราะว่าเปลือกตาเขากำลังปิดลง แล้วฝันร้ายนั้นก็มาเยือนเขาอีกครั้ง
วันนรก
ในวันที่น่าเบื่อของการเรียนของเขาแทบจะไม่มีอะไรที่น่าสนใจไปกว่าการเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง โรงเรียนที่เขาเรียนอยู่ภายในตัวเมืองที่ค่อนข้างจะวุ่นวายแล้ววันนี้เป็นวันที่เขารู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์แปลกเพราะทันทีที่เขามองเด็กนักเรียนที่ต่างพากันวิ่งพุ่งพล่านเหมือนมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น จู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมๆกันหลายเครื่อง เขารีบควานหาโทรศัพท์ของตนเองขณะที่คนอื่นก็ต่างทำเหมือนกัน
“โอ พระเจ้า ดูนั่นสิ” มีใครบางคนส่งเสียงร้องขึ้นพร้อมกับอาการตกใจกลัวที่อยู่ในโทรศัพท์ของตนแล้วเพื่อนๆคนอื่นๆก็วิ่งกรู่กันเข้ามา อดัมแปลกใจที่คุณครูที่ไม่ร้องห้ามเพราะเธอก็ทำเช่นเดียวกับนักเรียนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองประตูที่ดูเหมือนมีใครกำลังมาเรียกก่อนจะแง้มประตูออกไป ซึ่งอดัมก็ก้มลงมองสนใจโทรศัพท์ที่เป็นสายเรียกเข้าของแม่เขา
“มีอะไรครับแม่” เขากดรับพร้อมพยายามเอาออกห่างจากหูของตนเมื่อมันสัญญาณแปลกๆแสบแก้วหูเล็ดลอดออกมาก่อนจะได้ยินเสียงแม่ที่ตะโกนร้องเขาผ่านโทรศัพท์
“ ลูก….ต้อง….ออก…..เดี๋ยวนี้ แม่จะ………….”
สัญญาณถูกตัดขาดออกไปเขาแทบจะฟังสิ่งที่แม่พูดไม่ได้ด้วยซ้ำ ก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ทุกคนต่างส่งเสียงก่อนเขาจะเก็บของทุกอย่างลงไปในเป้พลางรีบลุกออกจากที่นั่งเพื่อออกไปข้างนอก
ท่ามกลางเสียงวุ่นวายที่ดังอยู่ข้างนอกแทบจะทำให้เขาประสาทเสีย เมื่อไม่สามารถมองหาคนที่รู้จักได้เลย เขากวาดสายตามองหาเพื่อนสนิทที่อาจจะกำลังตามหาเขาอยู่ก็เป็นได้
“อเล็กซ์!!!” อดัมตะโกนหาเพื่อนสนิท แล้วแทรกตัวออกไปจากฝูงคนที่กำลังตื่นตระหนก
เขาได้ยินเสียงกรี๊ดร้องมาจากบริเวณโถงทางเดินที่ทุกคนต่างมีอาการขวัญผวา เขากวาดสายตามองไปรอบๆอีกครั้ง พร้อมกับก้มลงมองโทรศัพท์มือถือที่แทบจะไม่มีสัญญาณเลย เขาเก็บมันใส่ไว้กระเป๋ากางเกงก่อนจะสบถออกมา แล้วเดินแทรกเข้าไปดูกับเด็กนักเรียน
ภาพตรงหน้าเขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้น ชายคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีอายุสวมใส่ชุดรปภกำลังพยายามกัดกินเด็กผู้เคราะห์ร้ายที่มีใบหน้าที่ตาเหลือกค้างไว้อย่างนั้น แล้วไม่มีอาการดิ้นแสดงถึงความเจ็บปวด…. เพราะเขาตายแล้ว…ยังไงล่ะ ตัวเขาไหลไปตามฝูงคนที่เบียดกันเพื่อหนีแทบจะไม่มีช่องไหนที่จะหลุดรอดออกไปจากคนพวกนี้ได้
“อดัม!!!” เขาได้ยินเพื่อนรักซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เขาจึงร้องตอบก่อนจะเห็นอเล็กซ์ฝ่าคนเหล่านั้นเข้ามาแล้วดึงตัวเขาไปให้พ้นจากทางเดิน พลางลากเขาไปยังทางหนีไฟ
“โอ้ แม่เจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“ฉันว่า เราคงต้องหาที่ปลอดภัยซะแล้วล่ะ บางทีคนพวกนี้กำลังจะกลายเป็นซอมบี้” อเล็กซ์บอกเขา พร้อมกับเสียงที่สั่นระริกถือโทรศัพท์แกว่งไปมาเพื่อหาสัญญาณ
“นายพูดบ้าอะไรของนายน่ะ” อดัมตะโกนถาม ขณะที่มีเสียงกรีดร้องดังอยู่ข้างนอกแล้วเสียงข้าวของพังดังสนั่น
“พ่อแม่ฉันคิดถูก พวกเขากำลังวางแผนที่จะย้ายออก แต่ฉันมาโรงเรียนนรกนี่ เพราะไม่เชื่อพวกเขา บ้าเอ้ย!!”
“พ่อแม่นายงั้นเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อคืนก่อน พวกเขาทิ้งรถไว้ให้ แต่คงจะไม่นานบางทีอาจจะมีคนกำลังหารถที่จะออกจากเมือง” อเล็กซ์พยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา ตามจริงแล้วพ่อแม่เขาไม่ได้เป็นพ่อแม่ที่แท้จริง และเขาถูกกรับเลี้ยงมา
“เฮ้ อเล็กซ์ เราต้องออกไปได้แน่” อดัมพูดปลอบใจทั้งๆที่ก็ไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่านี้แล้ว
ทั้งสองคนตัดสินใจว่าต้องลงไปยังชั้นล่างหรือด้านหลังโรงเรียนเพราะอาจจะไม่มีคนพลุ่งพล่านเยอะอาจจะทำให้พวกเขาโดนถ่วงเวลาเอาไว้ได้ ถึงแม้ในใจเขาจะคิดว่านี่มันคงเป็นฝันร้ายแต่ดูตามสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นก็ไม่ต่างไปจากการหลอกตัวเองแล้วตายในที่สุด แต่แม่ของเขาอยู่ที่โรงพยาบาล เท่าที่สังเกตดูจากน้ำเสียงเธอคงต้องรู้อะไรแน่ๆ ว่าแต่เขาควรจะทำยังไงดี
ภาพดังกล่าวนั้นหายไป ถูกตัดมาอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ตัวเขาเองกำลังจะเสียสละตัวเองเพื่อล่อพวกซากศพเบี่ยงเบนความสนใจและปล่อยให้ชีวิตของเพื่อนรักดำรงอยู่ต่อไป ทั้งสองต่างรู้ดีว่าไม่ใครก็คนหนึ่งที่อาจจะต้องอย่างนี้
“ไม่เอาน่าพวก เรายังหาเส้นทางอื่นได้นะ” อเล็กซ์เกลี้ยกล่อมเมื่อเห็นเขากำลังจะใช้ตัวเองเพื่อหลอกล่อพวกซอมบี้ตามเสียงเขาไปอีกทางหนึ่ง
“เฮ้ ฟังฉันนะ นายก็เห็นไม่ใช่เหรอ ว่ามันมีอยู่แค่ทางเดียว”
“ไม่ๆๆ นายจะทำอย่างนี้ไม่ได้” อเล็กซ์ค้านเพราะมันไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ อเล็กซ์ก็กระตุกด้วยอาการตกใจเมื่อมีบางอย่างฝังเข้าที่กลางหน้าผาก
ปัง ทันทีที่เพื่อนรักกองลงกับพื้นพร้อมกับแผลบนหัวเหวอะหวะ อดัมแผดเสียงร้องเมื่อเห็นคนที่เป็นเพื่อนรักตายลงไปต่อหน้าต่อตา
น้ำตาลูกผู้ชายไหลพราก ขณะที่กำลังเห็นซากศพซอมบี้ กำลังเดินตามเสียงปืนมาก่อนจะหันมากุมมือเพื่อนรัก พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงผะแผ่ว “ฉันเสียใจ…อเล็กซ์” พลางถูกกระชากจากคนบางคนที่มีใบหน้าเปียกโชกไปด้วยเลือด เขาสวมใส่ชุดทหารพร้อมกับมีอาวุธปืนอยู่ในมือ ชายคนนั้นกระชากร่างเขาออกมาพลางฝังระเบิดไว้ที่กำแพงก่อนจะพาเขาหาที่กำบังก่อนมันจะระเบิดเปิดทางให้พวกเขา
เขายังเห็นดวงตาที่ยังเบิกโพลงมองมาทางเขา เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ แต่มันก็สายเกินไปแล้วเมื่อร่างกายถูกลากออกมาจากทางหนีนั้น เขาดูเหมือนไม่รู้สึกตัวอะไรอีกแล้ว เมื่อชายปริศนายังคงพาวิ่งหนีก่อนจะมาทรุดตัวลงภายในท่อน้ำทิ้งที่อยู่ภายใต้เท้าของพวกซอมบี้ที่ยังส่งเสียงครางอย่างสยดสยอง
“เฮ้ ไอ้หนู เราต้องรีบไปแล้วนะ”
อดัมนั่งลงอย่างอ่อนแรง นี่เขากำลังฝันอยู่หรือเปล่า เสียงอื้ออึงของดสียงปืนที่ได้ฆ่าเพื่อนรักลงต่อหน้าต่อตายังคงดังต่อเนื่อง
“แกฆ่าอเล็กซ์” อดัมพึมพำซ้ำไปซ้ำมา พลางได้ยินเสียงระเบิดอยู่บนถนน ส่งผลให้ท่อนั้นสั่นสะเทือน น้ำตาของเขายังคลอเบ้าขณะเงยหน้ามองชายในชุดทหารตรงหน้า
“ทำไม!!”
To be continue..............
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ