รักนะครับบ่าวของผม
9.3
เขียนโดย LingWah
วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.07 น.
3 ตอน
2 วิจารณ์
6,036 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 21.18 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทที่ 1 เรื่องราวของความรัก ตอนที่ 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความรักนะครับบ่าวของผม
บทที่ 1 เรื่องราวของความรัก
ตอนที่ 1
เสียงฟ้าคำรามดังสนั่นหวั่นไหวแทรกเสียงฝนที่ตกกระทบหลังคาสังกะสีของเครื่องเล่นเก่าๆ ในสนามเด็กเล่น ผมห่อตัวขดจนแทบจะเป็นก้อนกลมอยู่ใต้กำบังที่เต็มไปด้วยรูพรุน กลิ่นสนิมเหล็กอบอวลอยู่ในอากาศ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเครื่องเล่นเก่าๆ ผุๆ พังๆ เครื่องนี้ตั้งอยู่ในสนามเด็กเล่นได้อย่างไร ‘มันอันตรายสำหรับเด็กนะแบบนี้’ ผมคิดพลางเลียขนที่เปียกชุ่มของตัวเอง
ใช่ “ขน” ก็ผมเป็นแมวแล้วนี่นา
“เหมียว” ‘ฝนบ้านี่ก็ตกได้ตกดีอยากกลับบ้านจะตายอยู่แล้ว’ ผมร้องออกมาอย่างเหลืออด แต่เสียงที่ออกมาก็เป็นเพียงเสียงร้องเหมียวๆ ของแมวเท่านั้น บางครั้งมันก็น่าหงุดหงิด แต่ผมก็ชอบนะ เพราะผมสามารถพูดอะไรก็ได้โดยที่ไม่มีใครเข้าใจ จะต่อปากต่อคำกับใครก็ได้โดยที่อีกฝ่ายไม่โกรธเลย ดีไม่ดีอาจจะทำเสียงอ่อนเสียงหวานกับผมด้วยซ้ำ
ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ลมก็พัดแรงเสียจนฝนสาดเข้ามาในเพิงที่ผมหลบอยู่ ราวกับว่ารูรั่วบนหลังคาสังกะสีนี่ยังมีไม่มากพอที่จะทำให้ผมเปียกอย่างนั้นแหละ คิดแล้วก็หงุดหงิด นี่ผมจะต้องทนหนาวไปถึงเมื่อไหร่กัน ตัวสั่นไปหมดแล้ว
‘วิ่งกลับบ้านดีไหมนะ?’ อยู่ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว บางทีมันอาจจะดีกว่าการนั่งตากฝนอยู่อย่างนี้ก็ได้ แล้วผมก็ทำตามที่คิด กระโจนลงจากเครื่องเล่นลื่นไถลไปตามกระดานลื่น ตั้งใจว่าจะกระโจนออกก่อนที่จะถึงพื้นอันเป็นดินนั้น แต่ก็พลาดจนได้เพราะกระดานลื่นที่เปียกน้ำนั้นลื่นเกินไป ร่างปราดเปรียวของผมก็เลยตกลงไปบนโคลนอย่างช่วยไม่ได้
‘ไม่น่าลงทางด้านนี้เลย น่าจะเลือกลงทางบันไดดีกว่า’ ผมคิดขณะสลัดขาไล่โคลนที่เปื้อนเปรอะออกไป ยังดีที่ฝนตกหนักและบ่อโคลนก็ไม่ได้ลึกมากนักทำให้ตัวของผมกลับมาสะอาดอีกครั้งภายในเวลาไม่กี่อึดใจ—ก็ได้ มันไม่ได้สะอาดเอี่ยมนักหรอกแต่ก็ไม่ได้สกปรกมากก็แล้วกัน
ผมพยายามมองฝ่าสายฝนออกไปแต่ก็ไม่ถนัดนักเพราะฝนตกหนักมากจริงๆ ถามว่าหนักแค่ไหน ก็หนักพอที่จะทำให้ผมเจ็บไปทั้งตัวนั่นแหละครับ
“เหมียว” ‘ม้าหินอ่อนๆ’ ผมบอกตัวเองขณะมองไปรอบๆ เพื่อหาจุดสังเกตที่จะนำผมกลับบ้าน แล้วผมก็พบมัน ม้าหินอ่อนเก่าๆ ตั้งอยู่ริมสนามหญ้า ห่างจากบาทวิถีเพียงนิดเดียวเท่านั้น ผมจำได้ว่าถัดไปจะเป็นถนน พอข้ามไปแล้วก็เลี้ยวขวา เดินตรงไปเรื่อยๆ ข้ามแยกอีกสามแยกก็จะถึงซอยเข้าบ้าน เดินเข้าไปจนถึงบ้านหลังในสุด—บ้านแฝดที่มีต้นไม้ขึ้นรกครึ้ม นั่นแหละคือบ้านของผม
นึกทบทวนเส้นทางได้แล้วผมก็ออกวิ่งทันที แต่แล้วแสงสว่างก็วาบเข้ามาในลานสายตา แรกทีเดียวผมคิดว่าเป็นแสงฟ้าแลบ จนกระทั่งได้ยินเสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่มแทรกเสียงฝน กับเสียงเบรกดังสนั่น ผมถึงได้รู้ว่าตัวเองวิ่งตัดหน้ารถเข้าเสียแล้ว
‘เอาแล้วไงชมา...หาเรื่องตายแล้วไหมเล่า’
ผมด่าตัวเองขณะที่หลับตารอรับความเจ็บปวด สี่เท้าเกาะพื้นถนนแน่นด้วยความกลัว เชื่อเลยว่าตอนนี้ขนของผมของพองฟูแน่ๆ ถึงแม้มันจะเปียกน้ำจนชุ่มก็เถอะ ก็ตอนนี้ผมโคตรจะกลัวเลยนี่นา
“ตายหรือยังนะ” ได้เยินเสียงคนพึมพำในเสียงฝนพร้อมกับเสียงเปิดประตู ดูเหมือนว่ชะตาผมจะยังไม่ถึงฆาต
‘เอออย่างน้อยก็ยังรู้จักลงมาดู นึกว่าจะโดนทับแบนไปเสียแล้ว’ ผมระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก กำลังคิดจะลุกขึ้นเพื่อเดินทางกลับบ้านต่อ แต่แล้วร่างทั้งร่างก็ลอยหวือขึ้นจากพื้นจนกลัวว่าจะร่วง
“ยังไม่ตายแฮะ” ผู้ชายคนนั้นพูดขึ้นขณะที่เราสบตากัน ตากลมโตสีฟ้าใสของผมกับตาเรียวสีนิลที่ดูดุของเขา ว่าแต่ว่าทำไมผมไม่เคยรู้เลยว่าในหมู่บ้านเรามีคนหน้าตาดีแบบนี้อยู่ด้วย ผิวสีน้ำผึ้ง รูปหน้าคมคาย คิ้วคม ตาเรียว จมูกโด่งเป็นสันแต่ก็ไม่ถึงกับเป็นสันเขื่อน หน้าตาแบบนี้เป็นนายแบบได้เลยนะ
ชักจะนอกเรื่องไปหน่อยแล้วสิ สิ่งที่ผมต้องทำคือกลับบ้านต่างหาก ว่าแต่ว่าทำไมเขาถึงไม่ปล่อยผมลงสักทีนะ
“อย่าดิ้น!” เขาดุทันทีที่ผมเริ่มดิ้น ‘แล้วจะดุทำไมกันเล่า คน เอ๊ย แมวจะกลับบ้าน’ ผมนึกประท้วงอยู่ในใจพร้อมกับส่งสายตาขุ่นเขียวไปให้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เข้าใจ ร่างสูงอุ้มผมขึ้นรถ โยนร่างเปียกปอนของผมลงบนเบาะหน้าข้างคนขับ ก่อนที่เขาจะตามขึ้นมานั่งประจำที่หลังพวงมาลัย
“เหมียว!” ผมร้องประท้วงเสียงสูง อยากกลับบ้านจะตายอยู่แล้ว มันหนาวนะรู้ไหม
เขาเหลือบมองผมนิดหน่อยขณะที่ถอดเสื้อคลุมชั้นนอกของตัวเองออก ผมเพิ่งสังเกตเห็นเดี๋ยวนี้เองว่าเขาก็เปียกฝนไปทั้งตัวเหมือนกัน แต่เสื้อชั้นนอกของเขาเป็นผ้าเนื้อหนาทำให้ด้านในไม่เปียกมากนัก ต่างจากผมที่เปียกไปทั้งตัว
ผ้าขนหนูผืนโตถูกโยนลงบนร่างของผม ตามมาด้วยมือคู่หนึ่งที่ขยี้ไปทั่วร่างของผม ดูเหมือนเขาจะพยายามเช็ดตัวให้ผมนะ แต่แรงขนาดนี้ผมก็ช้ำในตายได้เหมือนกันนะ
“เหมียว!” ‘นึกว่าซักผ้าขี้ริ้วอยู่หรือไง!’ ไวเท่าความคิด ผมร้องประท้วงเสียงดังพร้อมกับดิ้นให้หลุดจากเงื้อมือของคนแรงเยอะ
“โอะ!” เขาหลุดอุทานออกมาคำหนึ่ง แล้วก็ปล่อยมือจากผมให้ผมรีบกระถดตัวไปชิดกับประตูรถ จ้องหน้าเขาตาขวาง ผมเชื่อว่าสายตาของผมในตอนนี้มันต้องขวางแน่ๆ เพราะผมกำลังเคืองเอามากๆ ‘ก็รู้ว่าหวังดีแต่เบาๆ หน่อยได้ไหม ผมเป็นแมวน้อยบอบบางนะ!’
นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นจ้องผมอยู่อึดใจหนึ่งก็เอื้อมมือเข้ามาใกล้อีก ผมขู่ฟ่ออย่างหวาดๆ ‘ไม่เอาแล้วนะ ไม่เอา!’ แววตาของเขาไม่ได้อ่อนลงเลยยามที่จัดการเอาผ้าขนหนูห่อตัวผมเอาไว้ แต่สัมผัสที่ได้รับกลับอ่อนโยนเกินคาด แถมห่มผ้าแบบนี้ก็อุ่นกว่าตัวเปล่าๆ มีแต่ขนเปียกๆ เป็นไหนๆ สุดท้ายผมก็เลยทำตัวว่าง่ายตามที่เขาสั่งเอาไว้ว่า
“อยู่นิ่งๆ”
ก็ตามนั้นแหละ จะพาผมไปไหนก็ตามสบายเลยครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านก็ได้ ว่าแต่ตอนนี้ผมชักจะง่วงแล้วสิ
“พี่พัฒน์ไปเอามาจากไหนกันคะนี่?” เสียงผู้หญิงแว่วเข้ามาในห้วงสติที่เลือนรางเรียกให้ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้น “น่ารักจังเลย โถๆ ตัวสั่นด้วย พี่พัฒน์นี่ใจร้ายจังไม่ยอมเช็ดตัวหนูให้แห้งๆ” ผมรู้สึกว่าตัวเองถูกอุ้มออกจากอ้อมกอดอุ่นของใครสักคนหนึ่ง มาอยู่ในอ้อมกอดนุ่มนิ่มของเจ้าของเสียงที่บอกว่าผมน่ารักและพี่ชายของเธอใจร้าย
‘ก็จริงนะ...หมอนั่นมือหนักโคตร ใจร้ายชะมัดเลย’ ผมคิด
“เกือบขับรถชนตอนกลับจากบ้านเจ้าพายุ เห็นว่าไม่มีปลอกคอเลยพามานี่” คนเป็นพี่ชายตอบเสียงเรียบ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเขาเดินห่างออกไป ส่วนหญิงสาวที่กอดผมไว้แนบอกก็เริ่มทำการเช็ดตัวให้ผม
“เปียกขนาดนี้ไม่สบายขึ้นมาละยุ่งเลย” เธอพูดพลางใช้ผ้านิ่มๆ เช็ดตัวให้ผมอย่างนุ่มนวล นุ่มนวลจริงๆ นะ ผมนี่เคลิ้มจนเผลอครางออกมาเลย แต่เช็ดไปได้เดี๋ยวเดียวเธอก็ผละไปหยิบอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมหางตกทันทีที่เห็น
“เช็ดแบบนี้ไม่แห้งแน่ๆ เป่าเอาก็แล้วกันนะจ๊ะตัวเล็ก”
‘คือ—น้องครับ ไม่ว่าน้องจะน่ารักน่าฟัดสักแค่ไหน ไม่ว่าน้องจะพูดด้วยเสียงหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งสักปานใด พี่ชมาก็ไม่หลงกลหรอกนะครับ เข้าใจครับว่าเป่าแล้วมันแห้งเร็ว แต่เสียงมันดังจนสุดจะทนจริงๆ ครับ ลองมาเป็นแมวดูบ้างสิครับ’ ผมคิดพลางถอยหลังพลาง สายตาจ้องเขม็งอยู่ที่เครื่องเป่าผมสีชมพูหวานในมือของสาวเจ้า ผมไม่ได้กลัวมันหรอกนะ แต่เสียงมันดังเกินไปผมไม่ชอบเลยจริงๆ
“เหมียว!” ‘ไม่เอา!’ ผมร้องประท้วงกระถดถอยหลังจนแทบจะตกโต๊ะ กลอกตาไปมามองหาทางหนีทีไล่
หน้าต่าง—ปิด
ประตู—ปิด
โซฟา—ติดพื้น
ม่าน—ผ้าหนา มีกล่องบังราง
แบบนี้ก็เข้าทางชมาสิครับ ผมไม่รอช้ากระโดดลงจากโต๊ะแล้วออกวิ่งไปยังเป้าหมายทันที แม้ตอนลงจะพลาดไปหน่อยทำให้เสียหลักไปแต่ผมก็พาตัวเองมาถึงจุดหมายได้ก่อนที่สาวน้อยจะทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ สองขาหลังถีบพื้นเต็มแรงส่งร่างเล็กๆ ของผมขึ้นไปเกาะอยู่กับผ้าม่านผืนหนา เมื่อเกาะได้แล้วผมก็รีบไต่ขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว ขึ้นไปบนกล่องบังรางม่านสีขาว พื้นที่ระหว่างเพดานกับกล่องบังราวนี้มีมากพอสมควร เพราะเพดานห้องนั้นสูง และม่านก็ไม่ได้เป็นแบบปิดทั้งผนัง ผมจึงมีพื้นที่ให้ซ่อนตัวอย่างเหลือเฟือ แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือบนนี้ไม่มีฝุ่นเลยทั้งๆ ที่มันน่าจะเป็นมุมอับที่ไม่ค่อยมีใครสนใจทำความสะอาดสักเท่าไหร่ สงสัยแม่บ้านบ้านนี้จะขยันน่าดู
“ลงมาเดี๋ยวนี้นะตัวเล็ก!” สาวน้อยร้องเรียกผมเสียงดัง สีหน้าไม่พอใจ แต่เรื่องอะไรที่ผมจะลงไปกันเล่า ผมมองหน้าเธอนิ่งๆ ไม่ขานรับ ก่อนจะหันมาสนใจกับขนเปียกๆ ของตัวเอง ก็ไม่ได้ชอบทำหรอกนะ แต่ตอนนี้เป็นแมวก็ต้องเลียขนให้แห้งนั่นแหละ จะให้คาบผ้าขนหนูขึ้นมานั่งเช็ดก็กระไร ประเดี๋ยวจะตกใจกันเปล่าๆ
“เอะอะโวยวายอะไรกันหรืออร?”
‘เอ๊ะ!?’ อยู่ๆ สาวน้อยก็เริ่มพูดกับตัวเอง ผมจึงหยุดเลียขนแล้วหันไปมองดูให้แน่ใจ ผมไม่อยากทำให้คนเพี้ยนเพียงเพราะผมดื้อหรอกนะ
“ก็เจ้าตัวเล็กไม่ยอมลงมาให้อรเป่าผมนี่เอม” สาวน้อยเสียงหวานหมายเลขหนึ่งฟ้องสาวน้อยเสียงหวานหมายเลขสอง ผมเบิกตากว้างมองดูนางฟ้าทั้งสองที่เหมือนกันราวกับฝาแฝด...ก็คงจะเป็นฝาแฝดนั่นแหละ คนแรกดูอย่างไรก็เป็นสาวหวานน่ารักอย่างที่ถ้าผมเป็นคนละจะจีบให้ติดเลยเชียว ส่วนอีกคนแม้จะมีใบหน้าและเสียงที่เหมือนกันแต่ทรงผมและการแต่งตัวที่คนละเรื่องกันเลย แบบว่าเธอดูสมชายมากกว่าผมเสียอีก คิดแล้วก็เจ็บใจเลียขนตัวเองต่อดีกว่า นี่ก็ไม่รู้จักแห้งสักทีทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้หนาอะไรเลย
“ตัวเล็ก? อ้าว! นั่นไปเอามาจากไหน?” หญิงสาวที่มาใหม่ทวนคำอย่างงงๆ ก่อนจะมองตามสายตาของแฝดมาที่ผม “เหมียว” ‘สวัสดีครับ’ ผมร้องทักทายเป็นครั้งแรกตั้งแต่เหยียบเข้ามาในบ้านหลังนี้ ก็ตอนแรกมันง่วงอยู่นี่นา แถมแม่คุณยังทำผมสติแตกเพราะเครื่องเป่าผมนั่นอีก
“พี่พัฒน์เก็บมานะสิ อรว่าจะเป่าขนให้แห้งแต่ดันหนีขึ้นไปบนนั้นเสียก่อน เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมลง” คุณน้องสาวหวานที่น่าจะชื่ออรหันไปตอบคำถามแฝด แล้วก็หันกลับมาร้องเรียกผมเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่ผมไม่สนใจหรอก ว่าแล้วก็สะบัดตัวไล่น้ำออกเสียหน่อย เจ้าขนพวกนี้ก็ไม่ยอมแห้งสักทีนะ
“แล้วพี่พัฒน์ไปไหนแล้วล่ะ?” แฝดเอมถาม
“อาบน้ำ เปียกกันมาทั้งคู่นั่นแหละ” แฝดอรตอบก่อนจะมองขึ้นมาที่ผมพร้อมกับส่งสายตาน่ารักมาให้ พูดว่า “ตัวเล็กลงมาเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบายนะ”
“มิ-อาว” เดี๋ยวก็แห้งแล้วน่า ไม่ต้องเป่าขนหรอก
“ก็ถ้ามันจะไม่ลงมาก็ปล่อยมันอยู่บนนั้นแหละอร เดี๋ยวหิวก็ลงมาเองแหละ” เอมว่าน้ำเสียงติดจะรำคาญไม่น้อย ว่าแต่ว่าทำไมต้องหาว่าผมเห็นแก่กินด้วยล่ะ คน เอ๊ย แมวอย่างชมานี่กินวันละสองมื้อเช้ากลางวันเองนะครับ
“แต่ถ้าปล่อยไว้น้องจะไม่สบายนะเอม ตัวก็เล็กนิดเดียวอรกลัวว่าน้องจะตาย” อ้าวๆ นี่ก็แช่งกันอีก แค่เปียกฝนนะครับจะตายได้ไง เอ...หรือว่าตายได้? ตั้งแต่เป็นแมวมานี่ผมก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเปียกนานๆ เสียด้วยสิ
“ก็แล้วจะไปห่วงมันทำไมล่ะอร ขนาดตัวมันเองยังไม่สนใจเลย” เออ หรือผมควรจะสนใจดี? ลูกแมวอายุสามเดือนนี่แค่เปียกฝนก็ไม่สลบายตายได้แล้วหรือ? เอาแล้วไง ชมาชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วสิ
‘ถ้าตายก็อดเที่ยวนะเว้ยชมา’ ก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่ชมาคน เอ๊ย ตัวนี้กลัวตายจริงๆ นั่นแหละ เพราะฉะนั้นไต่กลับลงไปให้น้องอรเป่าขนให้แห้งดีกว่า...
“ไม่เอา” น้ำเสียงเรียบนิ่งของพิพัฒน์ยังคงยืนยันจุดยืนเดิมเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ แต่ที่ทราบแน่ก็คือตอนนี้ผมง่วงแล้ว ผมเปิดปากหาวยาวๆ พลางยืดเหยียดร่างเล็กๆ ของตัวเองก่อนจะล้มตัวลงนอนเหยียดบนโซฟาตัวใหญ่ ข้างๆ คนหน้าตายที่กำลังยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่เอาผมไปเลี้ยงนี่แหละ
“แต่พี่พัฒน์เก็บน้องมานะคะ” น้องอรคนสวยยังไม่ลดละความพยายามที่จะยัดเยียดผมให้กับพี่ชายของเธอ โดยอ้างว่าคุณแม่เป็นภูมิแพ้บ้านหลังนี้จึงไม่ควรเลี้ยงแมว
“ไม่เอา” ไอ้เจ้าคุณพัฒน์นี่ก็พูดเป็นอยู่แค่สองคำนี้ใช่ไหม ชมาอยากจะขมวดคิ้วเป็นโบว์สักสามชั้นถ้าแมวมีคิ้วล่ะก็นะ
“พี่พัฒน์!” เอาล่ะครับ น้องอรเริ่มขึ้นเสียงแล้ว
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่เอามันไปปล่อยที่เดิมเอง” ในที่สุดนายพัฒน์หน้าตายก็ยอมพูดอย่างอื่นนอกจาก ‘ไม่เอา’ เสียที แล้วมันก็เป็นอะไรที่ผมอยากให้เขาทำมากเลยด้วยจนเผลอร้องออกมาอย่างดีใจ
“เหมียวๆ” ‘ใช่ๆ พาผมไปส่งคืนที่เดิมเร็วๆ เลย’ อยากกลับบ้านจะตายอยู่แล้ว ปลาทูจ๋า พี่ชมาจะไปหาแล้วนะ
“พี่พัฒน์! พี่พูดอะไรออกมาคะ จะเอาน้องไปปล่อยได้ยังไง ดูสิน้องเองก็ไม่ได้อยากไปเสียหน่อย” น้องอรร้องลั่น ใบหน้าสวยเหยเกเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ แต่เดี๋ยวนะ น้องอรพูดว่าอะไรนะ ‘ผมไม่ได้อยากไป?’ จะบ้าหรือครับผมอยากกลับไปใจจะขาดแล้วต่างหาก
“แต่พี่ว่ามันคงอยากกลับบ้าน”
“เหมียวๆ” ‘ใช่ๆ กลับบ้านๆ พากลับไปเลยนะนี่ก็ได้เวลาหม่ำปลาทูแล้วด้วย’
“เห็นไหมคะ น้องบอกว่า ไม่ๆ อยู่นี่” เอ่อ น้องอรครับ น้องแปลภาษาแมวผิดแล้วกระมังครับ แต่ถ้า ‘น้อง’ที่ว่าไม่ได้หมายถึงพี่ชมามันก็ถูกอยู่นะ ก็น้องอรเล่นพูดว่าไม่ๆ มาหลายครั้งแล้วนะครับ
“แล้วทำไมพี่ต้องเลี้ยงมันด้วย” คราวนี้พี่ชายหน้าตายที่เอาแต่ปฏิเสธมาตลอดเริ่มถามกลับบ้างแล้ว “อรก็รู้ว่าพี่งานยุ่ง จะเอาเวลาที่ไหนมาเลี้ยงแมว”
“ก็พี่พัฒน์เย็นชาเกินไปแล้วนี่คะ!” สาวน้อยตะโกนลั่นก่อนที่ทั้งสองคนจะเงียบไป ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกเขาทำหน้าอย่างไรกันเพราะผมกำลังเคลิ้มๆ จะหลับเลย
“…” ไม่มีเสียงตอบจากพิพัฒน์ ผมเดาว่าเขาคงจะจ้องหน้าน้องสาวนิ่งๆ เพราะตั้งแต่เจอกันเจ้าหมอนี่ก็ไม่เคยทำหน้าแบบอื่นเลย
“พี่พัฒน์ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าที่โดนทิ้งมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็เพราะเรื่องนี้ พี่พัฒน์เย็นชา พี่พัฒน์ดูแลใครไม่เป็น อรหมายถึงดูแลแบบมีหัวใจไม่ใช่สักแต่โยนข้าวโยนน้ำให้ ซื้อของให้แต่ไม่ได้ดูแล พี่พัฒน์อาจจะไม่เข้าใจที่อรพูด แต่อรไม่อยากเห็นพี่พัฒน์เป็นแบบนี้ พี่พัฒน์ต้องหัดดูแลคนอื่นได้แล้วค่ะ เริ่มจากดูแลน้องแมวตัวนี้ก่อนเลย”
‘อ้าวๆ เดี๋ยวนะ นี่คุณน้องจะให้พี่เป็นหนูเอ๊ยแมวทดลองให้มันดูแลหรือครับ’ ชมานี่ลืมตาขึ้นเลยทันทีที่ได้ยิน ตาขวามันชักจะกระตุกเสียแล้วสิ แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ คุณน้องอรคนสวยครับพี่ชมาอยากกลับบ้านไม่ใช่ไปอยู่กับคนหล่อหน้าตายนะครับ
“มิอาวๆ” ผมร้องประท้วง หรี่ตาทำตาขวางใส่เต็มที่ด้วยหวังว่าน้องอรผู้น่ารักจะเข้าใจความหมาย แต่ดูเหมือนว่าผมจะประเมินน้องอรสูงไป เพราะคุณเธอหาว่าผมอยากจะไปอยู่กับพี่ชายใจจะขาดเลยร้องออกมาแบบนี้ และไม่ว่าพี่ชายของเธอจะเถียงอย่างไรสาวน้อยก็ไม่ฟัง สุดท้ายผมก็เลยถูกหิ้วแบบเสียวๆ ว่าจะตก ไปขึ้นรถคันเดิมที่นั่งมาเมื่อวานเพื่อไปยังบ้านใหม่ของผม
‘ซวยแล้วไงชมา’ ผมบอกกับตัวเอง นึกกังวลว่าจะกลับร่างไม่ได้ ถึงผมจะไม่อยากกลับร่างเดิมนักก็เถอะ แต่ถ้าไม่กลับร่างเดิมเลยก็จะแย่เอา โอยชมาเครียด เครียดจริงๆ นะ แต่เบาะนี่โคตรนุ่มเลยยืดเหยียดได้เต็มที่เลยแฮะ
การเป็นแมวบ้านนี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้นหลังจากถูกพาไปตรวจร่างกาย ฉีดวัคซีน แถมด้วยการอาบน้ำล้างหูชนิดที่สะอาดไปทุกรูขุมขน ถึงจะแค่ยืนๆ นั่งๆ ปล่อยให้คุณหมอกับพนักงานทำหน้าที่ของพวกเขาก็เถอะ แต่มันรู้สึกเหนื่อยสุดๆ ไปเลยล่ะ
“น้องมอมแมมผู้ปกครองมารับแล้วค่า” เสียงต่ำที่ถูกดัดให้สูงขึ้นจนผิดคีย์ร้องเรียกผมให้สะดุ้งจากอาการที่เคลิ้มๆ จะหลับ ให้ตายสิเป็นแมวบ้านนี่ไม่ใช่แค่เหนื่อยกายนะ แต่เหนื่อยใจด้วย คิดดูสิครับแมววิเชียรมาศสุดหล่ออย่างผมดันมีชื่อว่า “มอมแมม” ชมาล่ะหน่าย ว่าแล้วก็ทำตาขวางใส่พี่สาวจอมพลังเสียเลย บอกให้รู้ว่าชมาไม่ปลื้มกับชื่อที่ฟังดูเหมือนเจ้าตูบจอมซนมากกว่าแมวน้อยสีขาวแต้มเทาเก้าจุดที่แสนจะหล่ออย่างผม แต่ดูเหมือนพี่เขาจะไม่รู้นะครับว่าผมกำลังอารมณ์ไม่ดี เปิดกรงอุ้มผมไปหา “ผู้ปกครอง” พร้อมกับพูดคุยหยอกล้อเสียงอ่อนเสียงหวานกับผมไปด้วย พี่เขาก็น่ารักดีนะ แต่มาเรียกว่า “น้องมอมแมม” แบบนี้ก็ไม่ไหวนะ ไม่ชอบชื่อนี้เลยจริงๆ
“น้องมอมแมมมาแล้วค่า” พี่สาวสุดแกร่งกล้ามเป็นมัดๆ ส่งยิ้มหวานให้กับ “ผู้ปกครอง” ของผม ก็ไม่รู้ว่าแค่มารับแมวที่ฝากไว้ทำไมต้องทำอย่างกับพ่อมารับลูกตามโรงเรียนอนุบาลด้วยก็ไม่รู้
“ขอบคุณครับ” ฝ่ามือหนายื่นมารับผมไปอุ้มไว้แนบอก อย่างน้อยเจ้าหน้าตายนี่ก็เรียนรู้วิธีอุ้มที่ไม่ทำให้ผมกลัวล่ะนะ พิพัฒน์พาผมไปที่รถ จับผมวางลงบนเบาะหน้าข้างคนขับเหมือนเคย สั่งกำชับไม่ให้ผมทำตัววุ่นวายแล้วก็ขับรถออกไป
เสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่มเต็มสองหู ออกจะน่ารำคาญเล็กน้อยแต่ผมเลือกที่จะไม่ใส่ใจ สี่ขายืดเหยียดออกจนแทบจะสุดความยาว พลิกตัวนอนหงายแนบแผ่นหลังไปกับเบาะหนังนุ่มๆ ฟังเพลงที่เจ้าของรถเปิดเบาๆ ไปพลาง เลียริมฝีปากปลอบกระเพาะน้อยๆ ของตัวเองไปพลาง ก็ตั้งแต่เมื่อวานเย็นผมยังไม่ได้ทานอะไรเลยนี่นา
“หิวหรือไงวะ?” แว่วเสียงพึมพำจากคนตัวโตที่ควรจะมีสมาธิอยู่กับการขับรถไม่ใช่แมวหล่อๆ อย่างผม ‘ถ้าเกิดรถคว่ำไปจะทำยังไง?’ คิดแล้วผมก็ลืมตาขึ้นมา ส่งสายตาตำหนิไปให้คนขับที่ไหร่ความรับผิดชอบ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะตีความสายตาของผมไปคนละอย่าง ร่างสูงขยับสายเข็มขัดนิรภัยเล็กน้อยเพื่อที่จะได้โน้มตัวไปทางเบาะหลังได้ถนัด
“เหมียว!” ‘เฮ้ย! มันอันตรานะเว้ย!’ ผมร้องเสียงหลง รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นไปกองอยู่กับตาตุ่มข้างละห้อง แต่พอลุกขึ้นมองดูก็พบว่ารถกำลังติดเป็นแถวยาวเหยียด 'ก็ลืมไปนะว่ากรุงเทพฯ รถติดบรรลัย' ผมลอบถอนหายใจก่อนจะละสองขาหน้าออกจากขอบหน้าต่าง หันไปมองคนขับก็พบว่าอีกฝ่ายกลับมานั่งประจำที่แล้วและกำลังง่วนอยู่กับการหาของบางอย่างจากถุงพลาสติกใบใหญ่ที่วางอยู่บนตัก
“เอ้า!” สั้นๆ พยางค์เดียวพร้อมกับวางกระป๋องที่เปิดฝาเรียบร้อยแล้วลงบนเบาะ ผมมองตามอย่างงงๆ แต่กลิ่นโปรตีนที่ลอยมาปะทะจมูกทำให้ผมเข้าใจได้ไม่ยาก ผมก้มลงไปดมกลิ่นเล็กน้อย ก่อนจะผละออกมาอ่านฉลากเพื่อความแน่ใจ ว่ากันตามตรงผมยังไม่คุ้นกับอาหารแมวสักเท่าไหร่ แต่เจ้าปีศาจนั่นบอกว่าผมต้องกินเพราะร่างกายของคนกับแมวต้องการสารอาหารในปริมาณที่ต่างกัน และการปรุงอาหารสำหรับแมวในแต่ละมื้อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนนั้นเป็นเรื่องยาก อาหารสำเร็จจึงเป็นคำตอบที่ดีกว่า แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ยอมกินอาหารเม็ดอยู่ดี และพวกอาหารเปียกผมก็เลือกกินเฉพาะที่ไม่มีกลิ่นแปลกๆ หรือถ้าดมแล้วยังไม่คุ้น ไม่แน่ใจผมก็อ่านฉลากดูส่วนผสมเพื่อความแน่ใจ
อาหารกระป๋องที่พ่อรูปหล่อหน้าตายส่งมาให้ผมเป็นอาหารแมวยี่ห้อดัง ราคาต่อกระป๋องก็แพงกว่าข้าวมื้อหนึ่งของผมสมัยเป็นคนเสียอีก เรียกได้ว่าถ้าไม่รักแมวจริงก็คงต้องมีเงินเหลือใช้ถึงจะซื้อได้ ขนาดเจ้าปีศาจนั่นยังนึ่งปลาทูนึ่งฟักทองให้ผมกินแทนอาหารกระป๋องพวกนี้เป็นบางมื้อเลย แถมยังมีการแบ่งให้ทีละครึ่งกระป๋องด้วย ไม่มีหรอกที่ใจป้ำให้มาทั้งกระป๋องแบบนี้
ท้องเจ้ากรรมร้องลั่นแข่งกับเสียงคำรามของเครื่องยนต์ ผมขยับตัวนั่งในท่าที่ถนัดแล้วเริ่มกินมื้อแรกของวันทันที รสสัมผัสที่เข้มข้นของเนื้อกับกลิ่นคาวปลาทำให้ความอยากอาหารของผมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แม้ว่าผมจะไม่ได้รู้สึกอร่อยไปกับมันสักเท่าไหร่ก็ตาม ดังนั้นเพียงไม่นานทั้งกระป๋องก็เกลี้ยงเกลา แต่หน้าของผมกลับเละไม่เหลือเค้าความหล่อให้เห็น
มองดูหน้าตัวเองที่เปื้อนเศษอาหารผ่านกระจกรถแล้วก็เหนื่อยใจ ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็ยังไม่ชินกับการใช้ปากทานอาหารอยู่ดี กินข้าวทีไรเป็นต้องเปื้อนแบบนี้ทุกครั้ง
“หึ” เสียงหัวเราะในลำคอที่ไม่มีทางออกมาจากปากแมวๆ ของผมทำให้ผมต้องหันขวับไปตามเสียง แต่ก็ไม่เห็นอะไรมากไปกว่าคนหน้าตายที่กำลังมีสมาธิอยู่กับถนนตรงหน้า หากผมมีคิ้วคงจะขมวดเข้าหากันเป็นปมไปแล้ว ถ้าหมอนั่นขับรถแล้วใครเป็นคนทำเสียงเมื่อกี้กัน ผมนึกสงสัยพลางเช็ดปากที่เปื้อนไปพลาง สามเดือนในร่างแมวทำให้ผมพอจะเรียนรู้วิถีแมวๆ มาบ้างเหมือนกัน แต่จะให้ผมเลียขนทำความสะอาดตัวเองทั้งตัวผมก็ทำไม่ไหวเหมือนกันนะ แค่คิดว่าต้องใช้ลิ้นเลียอะไรต่อมิอะไรที่ติดตามตัวผมก็แขยงแล้ว มีแต่ปากกับหน้านี่แหละที่ผมพอจะทำความสะอาดเองได้อยู่ ว่าแต่ว่าทำไมมุมปากของเจ้าคนหน้าตายนั่นยกขึ้นนิดหนึ่งหรือเปล่านะ?
ขณะที่ล้างหน้าให้ตัวเองสายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับมุมปากที่ยกขึ้นคล้ายกับจะยิ้มของพ่อคนหน้าตาย ผมจ้องอยู่สักพักจึงแน่ใจ ‘ชัดเลย มันแอบหัวเราะเยาะเรานี่หว่า’ ผมว่าผมต้องเผลออ้าปากค้างแน่ๆ ระหว่างที่คิดได้ว่าอีกฝ่ายคงหันมาเห็นหน้าเลอะๆ ของผมเข้าแน่ๆ ‘โคตรจะเสียหน้าเลยชมาเอ๊ย’
บ้านใหม่ของผมจะเรียกว่าบ้านก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะมันเป็นห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งบนชั้นเก้าของอาคารสูงใจกลางเมืองเท่านั้น ขนาดห้องคงจะประมาณสักยี่สิบกว่าตามรางเมตร ภายในห้องมีเครื่องเรือนน้อยชิ้น ข้าวของก็มีไม่มากนัก หากจะบอกว่าเป็นห้องตัวอย่างของโครงการผมก็เชื่อ
พิพัฒน์วางผมลงกับพื้นพร้อมๆ กับถุงอีกหลายใบที่เขาถือติดมือขึ้นมาด้วย “เดี๋ยวมาอย่าซนล่ะ” เขาสั่งกำชับสั้นๆ ก่อนจะเดินออกไป คงจะไปขนของส่วนที่เหลือ ว่าแต่ว่าเป็นแมวนี่ดีนะไม่ต้องช่วยงานอะไรสักอย่างมีคนคอยบริการให้หมดเลย
ผมยืดเหยียดร่างกายเพื่อคลายความเมื่อยขบก่อนจะมองสำรวจไปรอบๆ โซฟาสีน้ำตาลตั้งอยู่ชิดผนังทางด้านซ้ายของประตู ใกล้กันเป็นโต๊ะทำงานที่มีคอมพิวเตอร์วางอยู่เครื่องหนึ่ง ถัดไปเป็นกำแพงกระจก กั้นระหว่างห้องนอนกับห้องนั่งเล่น ประตูห้องนอนเป็นประตูเลื่อน ติดกับประตูกระจกเป็นทางเดินที่เชื่อมไปยังห้องครัวและห้องน้ำ ในครัวมีพื้นที่สำหรับตั้งเคาน์เตอร์สองตัว ตู้เย็นเล็กหนึ่งตู้และโต๊ะกินข้าวหนึ่งตัวเท่านั้น สำหรับผมผมว่ามันให้ความรู้สึกอึดอัดไม่น้อยเลย ระเบียงเองก็แคบ ผมนึกสงสัยว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่เคยรู้สึกอึดอัดบ้างเลยหรือ
ผมเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น ยังรู้สึกขัดใจกับบรรยากาศอันน่าอึดอัดภายในห้อง อะไรหลายๆ อย่างภายในห้องนี้บอกผมว่าเจ้าของเพียงแค่ใช้มันเป็นที่หลับนอนเท่านั้น ไม่ใช่สถานที่ใช้ชีวิต
‘เขาเป็นคนแบบไหนกันนะ’ ผมถามตัวเองพลางไถคางไปกับขอบโซฟา บรรยากาศในห้องมันน่าอึดอัดเกินไปขืนปล่อยไว้ผมคงเครียดตายก่อนจะได้กลับบ้าน จริงสิผมยังไม่ได้ติดต่อกลับไปที่บ้านเลย ป่านนี้เจ้าปีศาจคงจะตามหาผมจนวุ่นวายแล้วแน่ๆ ผมไถสีข้างเข้ากับโซฟา หางยาวแกว่งไกวอย่างเผลอไผล สายตาก็มองหาโทรศัพท์ไปด้วย ห้องชุดแบบนี้ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะมีโทรศัพท์สักเครื่องหนึ่ง
แล้วผมก็พบมัน โทรศัพท์บ้านแบบไร้สายติดอยู่บนผนังข้างประตูครัว ใช่ บนผนัง และเครื่องเรือนที่ใกล้ที่สุดก็คือโต๊ะเตี้ยๆ ที่ใช้เป็นที่วางโทรทัศน์ โต๊ะสูงแค่หนึ่งฟุตกว่าๆ และโทรทัศน์ก็บางจนน่ากลัวว่าถ้าปีนขึ้นไปอาจจะพลาดทำมันตกลงมาได้
งานนี้ท่าทางจะยากกว่าที่คิด ไม่มีทางที่ผมจะเอาโทรศัพท์มาใช้แล้วนำกลับไปวางที่เดิมได้ แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกมากนัก หากไม่รีบติดต่อกลับไปหาเจ้าปีศาจนั่น ผมก็อาจจะต้องบอกลาอิสรภาพเล็กๆ นี้ไปตลอดกาล
บางครั้งผมก็สงสัยว่าทำไมผมถึงไม่ขอเป็นนกแทนที่จะขอเป็นแมว หากเป็นนกผมคงจะบินไปที่ไหนๆ ก็ได้ดังที่ใจปรารถนา ไม่ต้องกังวลกับคนขับรถที่ไม่สนใจกฎจราจรและไม่เห็นค่าชีวิตของผู้อื่น ไม่ต้องระแวงพวกสุนัขหรือแมวเจ้าถิ่น และแน่นอนไม่ต้องมานั่งปวดหัวคิดหาวิธีหยิบโทรศัพท์ลงมาแล้วเอากลับไปวางไว้ที่เดิม
‘ไม่ต้องเอาไว้ที่เดิมก็ได้มั้ง’ ผมบอกตัวเองหลังจากมาถึงทางตัน ร่างปราดเปรียวของผมกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะอย่างไม่ยากเย็น ผมรู้สึกได้ถึงหนวดที่ขยับกางออกเหมือนเสาอากาศยามที่ผมกะระยะเตรียมกระโดด กล้ามเนื้อหดเกร็งสะสมพลังงานเตรียมพร้อมสำหรับการออกตัว ระยะไม่สูงมากนัก แต่ก็ทำให้ผมเป็นกังวลอยู่ดี
‘หนึ่ง สอง สาม’ และกระโดด ร่างของผมลอยขึ้นจากโต๊ะ หัวชนเข้ากับโทรศัพท์ทำให้มันตกลงมา เสียงสัญญาณดังขึ้นทันที ผมสะบัดหัวไล่ความเจ็บและความมึนงงออกไปก่อนจะกระโดดลงจากโต๊ะ ผมมีเวลาไม่มากนักก่อนที่โอกาสจะหลุดลอยไป เลขสิบหลักถูกกดและเสียงเพลงรอสายก็ดังขึ้น เพลงคลาสสิกที่ผมไม่รู้จักชื่อแต่ก็ชอบที่จะฟัง เจ็ดวินาทีเหมือนทุกครั้งก่อนที่เสียงเพลงจะดับลง
“สวัสดีครับ” เสียงคุ้นหูตอบกลับมา เสียงของปีศาจ
“เหมียว”
“ชมา” โดยไม่ต้องหยุดคิดเขาก็รู้ว่าเป็นผม ก็แน่ล่ะจะมีโทรศัพท์สักกี่สายกันเชียวที่มีแมวพูดสายด้วย แต่จะเรียกว่าพูดสายด้วยก็คงจะไม่ถูกต้องนักเพราะบทสนทนาของเราจบลงเพียงเท่านี้ ก่อนที่ผมจะพยายามเอาโทรศัพท์ขึ้นไปวางไว้บนโต๊ะ อย่างน้อยก็ให้อยู่ในที่ที่น่าจะถูกวางลืมเอาไว้ ไม่อย่างนั้นผมคงถูกดุตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้าบ้านเป็นแน่
ผมกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาสีเข้มตอนที่พิพัฒน์กลับเข้ามาพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ จากสายตาของเขาผมบอกได้เลยว่านายหน้านิ่งคนนี้กำลังไม่พอใจที่เขาต้องออกแรงในขณะที่ผมนอนสบายอยู่บนโซฟาของเขา ว่ากันตามตรงแล้วเขาเองก็ไม่ได้อยากเลี้ยงผมเลยสักนิด เป็นการบังคับมากกว่าสมัครใจ...ทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ
แต่ในเมื่อผมเป็นสัตว์เลี้ยงและเขาเป็นเจ้านายหน้าที่ของผมคือทำตัวเป็นแมวที่ดี ไม่กัดแทะข้าวของ ไม่เดินเพ่นพ่านขวงทาง ในขณะที่เขากำลังยุ่งกับการจัดวางข้าวของของผม ชามอาหาร น้ำพุ ห้องน้ำ อาหารกระป๋องเป็นลังๆ และแน่นอนถาดต้นข้าวสาลีที่มีขายทั่วไปตามร้านสัตว์เลี้ยง นี่เขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าแมวไม่จำเป็นต้องกินต้นข้าวสาลีหรอก หญ้า สมุนไพรที่ขึ้นเองตามธรรมชาติก็เพียงพอแล้ว
แต่คิดดูอีกทีห้องนี้คงไม่มีพืชสีเขียวงอกเงยอยู่หรอก ต้นข้าวสาลีก็คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะมีได้ในตอนนี้แล้ว
“นี่ชามข้าว นี่น้ำ ส่วนนี่ก็ห้องน้ำ” หลังจากทุกอย่างเข้าที่เขาก็พาผมไปดูจุดต่างๆ และกำชับเสียงหนักไม่ให้ผมเที่ยวถ่ายเรี่ยราดและไม่ให้สร้างความเสียหาย ไม่รู้ว่านายคนนี้เห็นแมวอย่างผมเป็นปีศาจหรืออย่างไร ทำอย่างกับว่าพวกเราเกิดมาเพื่อทำลายทุกอย่างอย่างนั้นแหละ
แต่ก็ช่างเถอะ มนุษย์มักระแวงในสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจอยู่แล้ว...เดี๋ยวนะ นี่ผมกำลังพูดเหมือนว่าตัวเองเป็นแมวอยู่หรือเปล่า?
ผมชะงัก จ้องมองใบหน้าเครียดขรึมของชายที่เพิ่งรับผมเข้ามาในบ้าน ให้อยู่ในความดูแลของเขา เราอยู่ห่างกันไม่มากนักแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไกลเหลือเกิน แม้แต่ตอนที่เขาอุ้มผมเอาไว้แนบอกระยะห่างระหว่างเราก็ไม่ได้ลดลงเลย
“แกนอนตรงนี้ก็แล้วกัน” เขาพูดพร้อมกับวางผมลงบนเบาะสำหรับนั่งพื้นสีเข้มที่วางอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ใกล้กับห้องน้ำ จุดที่ไม่เกะกะขวางทางสักเท่าไหร่ แต่คิดว่าผมจะยอมนอนที่นี่หรือ ไม่มีทางเสียล่ะ
“มิอาว” ผมตอบปฏิเสธแล้วเผ่นแผล็วกลับไปยังโซฟาที่ผมถือวิสาสะยึดมาเป็นของตัวเอง
“มอมแมม!” เขาเรียกผมเสียงเข้ม ดูขุ่นเคืองใจไม่น้อยแต่ใครจะสน แมวไม่รู้ภาษามนุษย์อยู่แล้วนี่ แต่จะปล่อยให้เจ้าของห้องโกรธก็คงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ จนกว่าเจ้าปีศาจนั่นจะมารับตัวผม ผมต้องหาทางให้ตัวเองได้อยู่ที่นี่ต่อไป
“เหมียว” ทำตาโตร้องเรียกอย่างไรเดียงสา นี่แหละไม้ตายแบบแมวๆ ที่ผมเรียนรู้มา
“ไปนอนในครัว” ดูเหมือนทำหน้าตาใสซื่อเพียงอย่างเดียวจะไม่ได้ผล ผมเอียงคอน้อยๆ ขณะที่ใช้ความคิดก่อนจะล้มตัวลงนอนหงาย อวดพุงขาวๆ และส่งสายตาอ้อนๆ ไปให้ ท่าทางที่แม้แต่ปีศาจยังใจอ่อนแล้วจะนับประสาอะไรกับมนุษย์หน้าตายตรงหน้าผม
“เฮ้อ! ก็ได้ แต่ห้ามลับเล็บนะ” และนั่นคือคำอนุมัติอย่างเป็นทางการสำหรับที่นอนอันใหม่ของผม
“เหมียว” ผมร้องขอบคุณเขาก่อนจะพลิกตัวนอนในท่าที่สบายกว่าเดิม พิพัฒน์เดินเลี่ยงไปทางอื่น ผมได้ยินเสียงเปิดปิดประตูสองสามครั้งก่อนที่เสียงน้ำจะดังขึ้น เป็นเสียงน้ำจากฝักบัว สักพักเสียงน้ำก็เงียบไปตามมาด้วยเสียงเปิดประตู ผมไม่คิดจะหันไปมองยังคงฉลองที่นอนใหม่ของผมบนโซฟาตัวใหญ่ อากาศในห้องค่อนข้างหนาวผมจึงค่อยๆขดตัวเข้าจนกลม ม้วนหางโอบรอบตัวเองเอาไว้พยายามกักเก็บความอบอุ่นเอาไว้กับตัวให้ได้มากที่สุด
แต่แล้วเบาะข้ามตัวผมก็ยุบลงโดยแรง ผมหรี่ตามองก็พบว่าเป็นพิพัฒน์ที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างผม แต่มันก็แน่อยู่แล้วถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครไปได้ ผมหลับตาลงขดตัวม้วนเข้าอีกเล็กน้อยพร้อมทั้งยกขาหน้าข้างหนึ่งขึ้นบังดวงตาเพราะแสงจากโคมบนเพดานส่องแยงตาจนผมรำคาญ
“หึ” ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคออีกครั้ง ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะขยี้ลงบนหัวของผม “เหมียว!” ผมร้องเอ็ดขึ้นอย่างไม่ชอบใจ ทั้งเจ็บและรำคาญที่ถูกรบกวน ผมส่งสายตาขุ่นขวางไปให้เขา แต่กลับได้รับสายตานิ่งๆ ตอบกลับมา ประหนึ่งว่าเขาไม่คิดว่าทำอะไรผิด ให้ตายสิ รบกวนการนอนของคนอื่นนี่มันผิดมากๆ เลยนะ
“เหมียว” ผมร้องด่าไปคำหนึ่ง รู้สึกหงุดหงิดแต่ก็ง่วงนอนจึงเลือกที่จะไม่ใส่ใจแล้วนอนต่อ แต่พอผมทำอย่างนั้น ฝ่ามือเดิมก็ขยี้ลงบนหัวของผมอีกครั้ง พอร้องด่าพร้อมกับส่งสายตาอาฆาตไปให้เขาก็ทำเป็นไม่สนใจผม แต่ผมว่าลึกๆ แล้วเขากำลังสนุกที่ได้แกล้งผมแน่ๆ
เหตุการณ์วนซ้ำอยู่เช่นนี้สามรอบผมจึงหมดความอดทนและเลือกที่จะตอบโต้
“อ้าว! ไม่นอนแล้วหรอ?” เขาทักเมื่อผมลุกขึ้นโก่งตัวยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ผมทำตาขวางจ้องตอบเขา และโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรผมก็พาร่างของตัวเองขึ้นไปนั่งบนตักของเขาอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย!” เขาอุทาน คงตกใจในความไร้มารยาทของผม แต่ผมไม่สน สองเท้าหน้านวดกดกล้ามเนื้อต้นขาของเขาด้วยเคยชิน หมุนตัวอีกรอบหนึ่งก็นอนลง ขดตัวกลมเหมือนลูกบอลบนตักของคนที่ไม่ค่อยจะเต็มใจให้ผมนอนตักสักเท่าไหร่ แต่เชื่อผมเถอะด้วยมารยาแมวร้อยเล่มเกวียนที่มีผมสามารถทำให้เขากลายเป็นที่นอนของผมในอีกหลายชั่วโมงต่อจากนี้ได้
‘ขอให้มีความสุขกับเหน็บชานะครับคุณเจ้านาย สายัณห์สวัสดิ์’
=================================
ก็ยังไม่ชินกับระบบลงนิยาย...หวังว่าจะอ่านสบายตากันนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
บทที่ 1 เรื่องราวของความรัก
ตอนที่ 1
เสียงฟ้าคำรามดังสนั่นหวั่นไหวแทรกเสียงฝนที่ตกกระทบหลังคาสังกะสีของเครื่องเล่นเก่าๆ ในสนามเด็กเล่น ผมห่อตัวขดจนแทบจะเป็นก้อนกลมอยู่ใต้กำบังที่เต็มไปด้วยรูพรุน กลิ่นสนิมเหล็กอบอวลอยู่ในอากาศ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเครื่องเล่นเก่าๆ ผุๆ พังๆ เครื่องนี้ตั้งอยู่ในสนามเด็กเล่นได้อย่างไร ‘มันอันตรายสำหรับเด็กนะแบบนี้’ ผมคิดพลางเลียขนที่เปียกชุ่มของตัวเอง
ใช่ “ขน” ก็ผมเป็นแมวแล้วนี่นา
“เหมียว” ‘ฝนบ้านี่ก็ตกได้ตกดีอยากกลับบ้านจะตายอยู่แล้ว’ ผมร้องออกมาอย่างเหลืออด แต่เสียงที่ออกมาก็เป็นเพียงเสียงร้องเหมียวๆ ของแมวเท่านั้น บางครั้งมันก็น่าหงุดหงิด แต่ผมก็ชอบนะ เพราะผมสามารถพูดอะไรก็ได้โดยที่ไม่มีใครเข้าใจ จะต่อปากต่อคำกับใครก็ได้โดยที่อีกฝ่ายไม่โกรธเลย ดีไม่ดีอาจจะทำเสียงอ่อนเสียงหวานกับผมด้วยซ้ำ
ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ลมก็พัดแรงเสียจนฝนสาดเข้ามาในเพิงที่ผมหลบอยู่ ราวกับว่ารูรั่วบนหลังคาสังกะสีนี่ยังมีไม่มากพอที่จะทำให้ผมเปียกอย่างนั้นแหละ คิดแล้วก็หงุดหงิด นี่ผมจะต้องทนหนาวไปถึงเมื่อไหร่กัน ตัวสั่นไปหมดแล้ว
‘วิ่งกลับบ้านดีไหมนะ?’ อยู่ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว บางทีมันอาจจะดีกว่าการนั่งตากฝนอยู่อย่างนี้ก็ได้ แล้วผมก็ทำตามที่คิด กระโจนลงจากเครื่องเล่นลื่นไถลไปตามกระดานลื่น ตั้งใจว่าจะกระโจนออกก่อนที่จะถึงพื้นอันเป็นดินนั้น แต่ก็พลาดจนได้เพราะกระดานลื่นที่เปียกน้ำนั้นลื่นเกินไป ร่างปราดเปรียวของผมก็เลยตกลงไปบนโคลนอย่างช่วยไม่ได้
‘ไม่น่าลงทางด้านนี้เลย น่าจะเลือกลงทางบันไดดีกว่า’ ผมคิดขณะสลัดขาไล่โคลนที่เปื้อนเปรอะออกไป ยังดีที่ฝนตกหนักและบ่อโคลนก็ไม่ได้ลึกมากนักทำให้ตัวของผมกลับมาสะอาดอีกครั้งภายในเวลาไม่กี่อึดใจ—ก็ได้ มันไม่ได้สะอาดเอี่ยมนักหรอกแต่ก็ไม่ได้สกปรกมากก็แล้วกัน
ผมพยายามมองฝ่าสายฝนออกไปแต่ก็ไม่ถนัดนักเพราะฝนตกหนักมากจริงๆ ถามว่าหนักแค่ไหน ก็หนักพอที่จะทำให้ผมเจ็บไปทั้งตัวนั่นแหละครับ
“เหมียว” ‘ม้าหินอ่อนๆ’ ผมบอกตัวเองขณะมองไปรอบๆ เพื่อหาจุดสังเกตที่จะนำผมกลับบ้าน แล้วผมก็พบมัน ม้าหินอ่อนเก่าๆ ตั้งอยู่ริมสนามหญ้า ห่างจากบาทวิถีเพียงนิดเดียวเท่านั้น ผมจำได้ว่าถัดไปจะเป็นถนน พอข้ามไปแล้วก็เลี้ยวขวา เดินตรงไปเรื่อยๆ ข้ามแยกอีกสามแยกก็จะถึงซอยเข้าบ้าน เดินเข้าไปจนถึงบ้านหลังในสุด—บ้านแฝดที่มีต้นไม้ขึ้นรกครึ้ม นั่นแหละคือบ้านของผม
นึกทบทวนเส้นทางได้แล้วผมก็ออกวิ่งทันที แต่แล้วแสงสว่างก็วาบเข้ามาในลานสายตา แรกทีเดียวผมคิดว่าเป็นแสงฟ้าแลบ จนกระทั่งได้ยินเสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่มแทรกเสียงฝน กับเสียงเบรกดังสนั่น ผมถึงได้รู้ว่าตัวเองวิ่งตัดหน้ารถเข้าเสียแล้ว
‘เอาแล้วไงชมา...หาเรื่องตายแล้วไหมเล่า’
ผมด่าตัวเองขณะที่หลับตารอรับความเจ็บปวด สี่เท้าเกาะพื้นถนนแน่นด้วยความกลัว เชื่อเลยว่าตอนนี้ขนของผมของพองฟูแน่ๆ ถึงแม้มันจะเปียกน้ำจนชุ่มก็เถอะ ก็ตอนนี้ผมโคตรจะกลัวเลยนี่นา
“ตายหรือยังนะ” ได้เยินเสียงคนพึมพำในเสียงฝนพร้อมกับเสียงเปิดประตู ดูเหมือนว่ชะตาผมจะยังไม่ถึงฆาต
‘เอออย่างน้อยก็ยังรู้จักลงมาดู นึกว่าจะโดนทับแบนไปเสียแล้ว’ ผมระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก กำลังคิดจะลุกขึ้นเพื่อเดินทางกลับบ้านต่อ แต่แล้วร่างทั้งร่างก็ลอยหวือขึ้นจากพื้นจนกลัวว่าจะร่วง
“ยังไม่ตายแฮะ” ผู้ชายคนนั้นพูดขึ้นขณะที่เราสบตากัน ตากลมโตสีฟ้าใสของผมกับตาเรียวสีนิลที่ดูดุของเขา ว่าแต่ว่าทำไมผมไม่เคยรู้เลยว่าในหมู่บ้านเรามีคนหน้าตาดีแบบนี้อยู่ด้วย ผิวสีน้ำผึ้ง รูปหน้าคมคาย คิ้วคม ตาเรียว จมูกโด่งเป็นสันแต่ก็ไม่ถึงกับเป็นสันเขื่อน หน้าตาแบบนี้เป็นนายแบบได้เลยนะ
ชักจะนอกเรื่องไปหน่อยแล้วสิ สิ่งที่ผมต้องทำคือกลับบ้านต่างหาก ว่าแต่ว่าทำไมเขาถึงไม่ปล่อยผมลงสักทีนะ
“อย่าดิ้น!” เขาดุทันทีที่ผมเริ่มดิ้น ‘แล้วจะดุทำไมกันเล่า คน เอ๊ย แมวจะกลับบ้าน’ ผมนึกประท้วงอยู่ในใจพร้อมกับส่งสายตาขุ่นเขียวไปให้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เข้าใจ ร่างสูงอุ้มผมขึ้นรถ โยนร่างเปียกปอนของผมลงบนเบาะหน้าข้างคนขับ ก่อนที่เขาจะตามขึ้นมานั่งประจำที่หลังพวงมาลัย
“เหมียว!” ผมร้องประท้วงเสียงสูง อยากกลับบ้านจะตายอยู่แล้ว มันหนาวนะรู้ไหม
เขาเหลือบมองผมนิดหน่อยขณะที่ถอดเสื้อคลุมชั้นนอกของตัวเองออก ผมเพิ่งสังเกตเห็นเดี๋ยวนี้เองว่าเขาก็เปียกฝนไปทั้งตัวเหมือนกัน แต่เสื้อชั้นนอกของเขาเป็นผ้าเนื้อหนาทำให้ด้านในไม่เปียกมากนัก ต่างจากผมที่เปียกไปทั้งตัว
ผ้าขนหนูผืนโตถูกโยนลงบนร่างของผม ตามมาด้วยมือคู่หนึ่งที่ขยี้ไปทั่วร่างของผม ดูเหมือนเขาจะพยายามเช็ดตัวให้ผมนะ แต่แรงขนาดนี้ผมก็ช้ำในตายได้เหมือนกันนะ
“เหมียว!” ‘นึกว่าซักผ้าขี้ริ้วอยู่หรือไง!’ ไวเท่าความคิด ผมร้องประท้วงเสียงดังพร้อมกับดิ้นให้หลุดจากเงื้อมือของคนแรงเยอะ
“โอะ!” เขาหลุดอุทานออกมาคำหนึ่ง แล้วก็ปล่อยมือจากผมให้ผมรีบกระถดตัวไปชิดกับประตูรถ จ้องหน้าเขาตาขวาง ผมเชื่อว่าสายตาของผมในตอนนี้มันต้องขวางแน่ๆ เพราะผมกำลังเคืองเอามากๆ ‘ก็รู้ว่าหวังดีแต่เบาๆ หน่อยได้ไหม ผมเป็นแมวน้อยบอบบางนะ!’
นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นจ้องผมอยู่อึดใจหนึ่งก็เอื้อมมือเข้ามาใกล้อีก ผมขู่ฟ่ออย่างหวาดๆ ‘ไม่เอาแล้วนะ ไม่เอา!’ แววตาของเขาไม่ได้อ่อนลงเลยยามที่จัดการเอาผ้าขนหนูห่อตัวผมเอาไว้ แต่สัมผัสที่ได้รับกลับอ่อนโยนเกินคาด แถมห่มผ้าแบบนี้ก็อุ่นกว่าตัวเปล่าๆ มีแต่ขนเปียกๆ เป็นไหนๆ สุดท้ายผมก็เลยทำตัวว่าง่ายตามที่เขาสั่งเอาไว้ว่า
“อยู่นิ่งๆ”
ก็ตามนั้นแหละ จะพาผมไปไหนก็ตามสบายเลยครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านก็ได้ ว่าแต่ตอนนี้ผมชักจะง่วงแล้วสิ
“พี่พัฒน์ไปเอามาจากไหนกันคะนี่?” เสียงผู้หญิงแว่วเข้ามาในห้วงสติที่เลือนรางเรียกให้ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้น “น่ารักจังเลย โถๆ ตัวสั่นด้วย พี่พัฒน์นี่ใจร้ายจังไม่ยอมเช็ดตัวหนูให้แห้งๆ” ผมรู้สึกว่าตัวเองถูกอุ้มออกจากอ้อมกอดอุ่นของใครสักคนหนึ่ง มาอยู่ในอ้อมกอดนุ่มนิ่มของเจ้าของเสียงที่บอกว่าผมน่ารักและพี่ชายของเธอใจร้าย
‘ก็จริงนะ...หมอนั่นมือหนักโคตร ใจร้ายชะมัดเลย’ ผมคิด
“เกือบขับรถชนตอนกลับจากบ้านเจ้าพายุ เห็นว่าไม่มีปลอกคอเลยพามานี่” คนเป็นพี่ชายตอบเสียงเรียบ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเขาเดินห่างออกไป ส่วนหญิงสาวที่กอดผมไว้แนบอกก็เริ่มทำการเช็ดตัวให้ผม
“เปียกขนาดนี้ไม่สบายขึ้นมาละยุ่งเลย” เธอพูดพลางใช้ผ้านิ่มๆ เช็ดตัวให้ผมอย่างนุ่มนวล นุ่มนวลจริงๆ นะ ผมนี่เคลิ้มจนเผลอครางออกมาเลย แต่เช็ดไปได้เดี๋ยวเดียวเธอก็ผละไปหยิบอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมหางตกทันทีที่เห็น
“เช็ดแบบนี้ไม่แห้งแน่ๆ เป่าเอาก็แล้วกันนะจ๊ะตัวเล็ก”
‘คือ—น้องครับ ไม่ว่าน้องจะน่ารักน่าฟัดสักแค่ไหน ไม่ว่าน้องจะพูดด้วยเสียงหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งสักปานใด พี่ชมาก็ไม่หลงกลหรอกนะครับ เข้าใจครับว่าเป่าแล้วมันแห้งเร็ว แต่เสียงมันดังจนสุดจะทนจริงๆ ครับ ลองมาเป็นแมวดูบ้างสิครับ’ ผมคิดพลางถอยหลังพลาง สายตาจ้องเขม็งอยู่ที่เครื่องเป่าผมสีชมพูหวานในมือของสาวเจ้า ผมไม่ได้กลัวมันหรอกนะ แต่เสียงมันดังเกินไปผมไม่ชอบเลยจริงๆ
“เหมียว!” ‘ไม่เอา!’ ผมร้องประท้วงกระถดถอยหลังจนแทบจะตกโต๊ะ กลอกตาไปมามองหาทางหนีทีไล่
หน้าต่าง—ปิด
ประตู—ปิด
โซฟา—ติดพื้น
ม่าน—ผ้าหนา มีกล่องบังราง
แบบนี้ก็เข้าทางชมาสิครับ ผมไม่รอช้ากระโดดลงจากโต๊ะแล้วออกวิ่งไปยังเป้าหมายทันที แม้ตอนลงจะพลาดไปหน่อยทำให้เสียหลักไปแต่ผมก็พาตัวเองมาถึงจุดหมายได้ก่อนที่สาวน้อยจะทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ สองขาหลังถีบพื้นเต็มแรงส่งร่างเล็กๆ ของผมขึ้นไปเกาะอยู่กับผ้าม่านผืนหนา เมื่อเกาะได้แล้วผมก็รีบไต่ขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว ขึ้นไปบนกล่องบังรางม่านสีขาว พื้นที่ระหว่างเพดานกับกล่องบังราวนี้มีมากพอสมควร เพราะเพดานห้องนั้นสูง และม่านก็ไม่ได้เป็นแบบปิดทั้งผนัง ผมจึงมีพื้นที่ให้ซ่อนตัวอย่างเหลือเฟือ แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือบนนี้ไม่มีฝุ่นเลยทั้งๆ ที่มันน่าจะเป็นมุมอับที่ไม่ค่อยมีใครสนใจทำความสะอาดสักเท่าไหร่ สงสัยแม่บ้านบ้านนี้จะขยันน่าดู
“ลงมาเดี๋ยวนี้นะตัวเล็ก!” สาวน้อยร้องเรียกผมเสียงดัง สีหน้าไม่พอใจ แต่เรื่องอะไรที่ผมจะลงไปกันเล่า ผมมองหน้าเธอนิ่งๆ ไม่ขานรับ ก่อนจะหันมาสนใจกับขนเปียกๆ ของตัวเอง ก็ไม่ได้ชอบทำหรอกนะ แต่ตอนนี้เป็นแมวก็ต้องเลียขนให้แห้งนั่นแหละ จะให้คาบผ้าขนหนูขึ้นมานั่งเช็ดก็กระไร ประเดี๋ยวจะตกใจกันเปล่าๆ
“เอะอะโวยวายอะไรกันหรืออร?”
‘เอ๊ะ!?’ อยู่ๆ สาวน้อยก็เริ่มพูดกับตัวเอง ผมจึงหยุดเลียขนแล้วหันไปมองดูให้แน่ใจ ผมไม่อยากทำให้คนเพี้ยนเพียงเพราะผมดื้อหรอกนะ
“ก็เจ้าตัวเล็กไม่ยอมลงมาให้อรเป่าผมนี่เอม” สาวน้อยเสียงหวานหมายเลขหนึ่งฟ้องสาวน้อยเสียงหวานหมายเลขสอง ผมเบิกตากว้างมองดูนางฟ้าทั้งสองที่เหมือนกันราวกับฝาแฝด...ก็คงจะเป็นฝาแฝดนั่นแหละ คนแรกดูอย่างไรก็เป็นสาวหวานน่ารักอย่างที่ถ้าผมเป็นคนละจะจีบให้ติดเลยเชียว ส่วนอีกคนแม้จะมีใบหน้าและเสียงที่เหมือนกันแต่ทรงผมและการแต่งตัวที่คนละเรื่องกันเลย แบบว่าเธอดูสมชายมากกว่าผมเสียอีก คิดแล้วก็เจ็บใจเลียขนตัวเองต่อดีกว่า นี่ก็ไม่รู้จักแห้งสักทีทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้หนาอะไรเลย
“ตัวเล็ก? อ้าว! นั่นไปเอามาจากไหน?” หญิงสาวที่มาใหม่ทวนคำอย่างงงๆ ก่อนจะมองตามสายตาของแฝดมาที่ผม “เหมียว” ‘สวัสดีครับ’ ผมร้องทักทายเป็นครั้งแรกตั้งแต่เหยียบเข้ามาในบ้านหลังนี้ ก็ตอนแรกมันง่วงอยู่นี่นา แถมแม่คุณยังทำผมสติแตกเพราะเครื่องเป่าผมนั่นอีก
“พี่พัฒน์เก็บมานะสิ อรว่าจะเป่าขนให้แห้งแต่ดันหนีขึ้นไปบนนั้นเสียก่อน เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมลง” คุณน้องสาวหวานที่น่าจะชื่ออรหันไปตอบคำถามแฝด แล้วก็หันกลับมาร้องเรียกผมเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่ผมไม่สนใจหรอก ว่าแล้วก็สะบัดตัวไล่น้ำออกเสียหน่อย เจ้าขนพวกนี้ก็ไม่ยอมแห้งสักทีนะ
“แล้วพี่พัฒน์ไปไหนแล้วล่ะ?” แฝดเอมถาม
“อาบน้ำ เปียกกันมาทั้งคู่นั่นแหละ” แฝดอรตอบก่อนจะมองขึ้นมาที่ผมพร้อมกับส่งสายตาน่ารักมาให้ พูดว่า “ตัวเล็กลงมาเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบายนะ”
“มิ-อาว” เดี๋ยวก็แห้งแล้วน่า ไม่ต้องเป่าขนหรอก
“ก็ถ้ามันจะไม่ลงมาก็ปล่อยมันอยู่บนนั้นแหละอร เดี๋ยวหิวก็ลงมาเองแหละ” เอมว่าน้ำเสียงติดจะรำคาญไม่น้อย ว่าแต่ว่าทำไมต้องหาว่าผมเห็นแก่กินด้วยล่ะ คน เอ๊ย แมวอย่างชมานี่กินวันละสองมื้อเช้ากลางวันเองนะครับ
“แต่ถ้าปล่อยไว้น้องจะไม่สบายนะเอม ตัวก็เล็กนิดเดียวอรกลัวว่าน้องจะตาย” อ้าวๆ นี่ก็แช่งกันอีก แค่เปียกฝนนะครับจะตายได้ไง เอ...หรือว่าตายได้? ตั้งแต่เป็นแมวมานี่ผมก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเปียกนานๆ เสียด้วยสิ
“ก็แล้วจะไปห่วงมันทำไมล่ะอร ขนาดตัวมันเองยังไม่สนใจเลย” เออ หรือผมควรจะสนใจดี? ลูกแมวอายุสามเดือนนี่แค่เปียกฝนก็ไม่สลบายตายได้แล้วหรือ? เอาแล้วไง ชมาชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วสิ
‘ถ้าตายก็อดเที่ยวนะเว้ยชมา’ ก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่ชมาคน เอ๊ย ตัวนี้กลัวตายจริงๆ นั่นแหละ เพราะฉะนั้นไต่กลับลงไปให้น้องอรเป่าขนให้แห้งดีกว่า...
“ไม่เอา” น้ำเสียงเรียบนิ่งของพิพัฒน์ยังคงยืนยันจุดยืนเดิมเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ แต่ที่ทราบแน่ก็คือตอนนี้ผมง่วงแล้ว ผมเปิดปากหาวยาวๆ พลางยืดเหยียดร่างเล็กๆ ของตัวเองก่อนจะล้มตัวลงนอนเหยียดบนโซฟาตัวใหญ่ ข้างๆ คนหน้าตายที่กำลังยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่เอาผมไปเลี้ยงนี่แหละ
“แต่พี่พัฒน์เก็บน้องมานะคะ” น้องอรคนสวยยังไม่ลดละความพยายามที่จะยัดเยียดผมให้กับพี่ชายของเธอ โดยอ้างว่าคุณแม่เป็นภูมิแพ้บ้านหลังนี้จึงไม่ควรเลี้ยงแมว
“ไม่เอา” ไอ้เจ้าคุณพัฒน์นี่ก็พูดเป็นอยู่แค่สองคำนี้ใช่ไหม ชมาอยากจะขมวดคิ้วเป็นโบว์สักสามชั้นถ้าแมวมีคิ้วล่ะก็นะ
“พี่พัฒน์!” เอาล่ะครับ น้องอรเริ่มขึ้นเสียงแล้ว
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่เอามันไปปล่อยที่เดิมเอง” ในที่สุดนายพัฒน์หน้าตายก็ยอมพูดอย่างอื่นนอกจาก ‘ไม่เอา’ เสียที แล้วมันก็เป็นอะไรที่ผมอยากให้เขาทำมากเลยด้วยจนเผลอร้องออกมาอย่างดีใจ
“เหมียวๆ” ‘ใช่ๆ พาผมไปส่งคืนที่เดิมเร็วๆ เลย’ อยากกลับบ้านจะตายอยู่แล้ว ปลาทูจ๋า พี่ชมาจะไปหาแล้วนะ
“พี่พัฒน์! พี่พูดอะไรออกมาคะ จะเอาน้องไปปล่อยได้ยังไง ดูสิน้องเองก็ไม่ได้อยากไปเสียหน่อย” น้องอรร้องลั่น ใบหน้าสวยเหยเกเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ แต่เดี๋ยวนะ น้องอรพูดว่าอะไรนะ ‘ผมไม่ได้อยากไป?’ จะบ้าหรือครับผมอยากกลับไปใจจะขาดแล้วต่างหาก
“แต่พี่ว่ามันคงอยากกลับบ้าน”
“เหมียวๆ” ‘ใช่ๆ กลับบ้านๆ พากลับไปเลยนะนี่ก็ได้เวลาหม่ำปลาทูแล้วด้วย’
“เห็นไหมคะ น้องบอกว่า ไม่ๆ อยู่นี่” เอ่อ น้องอรครับ น้องแปลภาษาแมวผิดแล้วกระมังครับ แต่ถ้า ‘น้อง’ที่ว่าไม่ได้หมายถึงพี่ชมามันก็ถูกอยู่นะ ก็น้องอรเล่นพูดว่าไม่ๆ มาหลายครั้งแล้วนะครับ
“แล้วทำไมพี่ต้องเลี้ยงมันด้วย” คราวนี้พี่ชายหน้าตายที่เอาแต่ปฏิเสธมาตลอดเริ่มถามกลับบ้างแล้ว “อรก็รู้ว่าพี่งานยุ่ง จะเอาเวลาที่ไหนมาเลี้ยงแมว”
“ก็พี่พัฒน์เย็นชาเกินไปแล้วนี่คะ!” สาวน้อยตะโกนลั่นก่อนที่ทั้งสองคนจะเงียบไป ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกเขาทำหน้าอย่างไรกันเพราะผมกำลังเคลิ้มๆ จะหลับเลย
“…” ไม่มีเสียงตอบจากพิพัฒน์ ผมเดาว่าเขาคงจะจ้องหน้าน้องสาวนิ่งๆ เพราะตั้งแต่เจอกันเจ้าหมอนี่ก็ไม่เคยทำหน้าแบบอื่นเลย
“พี่พัฒน์ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าที่โดนทิ้งมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็เพราะเรื่องนี้ พี่พัฒน์เย็นชา พี่พัฒน์ดูแลใครไม่เป็น อรหมายถึงดูแลแบบมีหัวใจไม่ใช่สักแต่โยนข้าวโยนน้ำให้ ซื้อของให้แต่ไม่ได้ดูแล พี่พัฒน์อาจจะไม่เข้าใจที่อรพูด แต่อรไม่อยากเห็นพี่พัฒน์เป็นแบบนี้ พี่พัฒน์ต้องหัดดูแลคนอื่นได้แล้วค่ะ เริ่มจากดูแลน้องแมวตัวนี้ก่อนเลย”
‘อ้าวๆ เดี๋ยวนะ นี่คุณน้องจะให้พี่เป็นหนูเอ๊ยแมวทดลองให้มันดูแลหรือครับ’ ชมานี่ลืมตาขึ้นเลยทันทีที่ได้ยิน ตาขวามันชักจะกระตุกเสียแล้วสิ แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ คุณน้องอรคนสวยครับพี่ชมาอยากกลับบ้านไม่ใช่ไปอยู่กับคนหล่อหน้าตายนะครับ
“มิอาวๆ” ผมร้องประท้วง หรี่ตาทำตาขวางใส่เต็มที่ด้วยหวังว่าน้องอรผู้น่ารักจะเข้าใจความหมาย แต่ดูเหมือนว่าผมจะประเมินน้องอรสูงไป เพราะคุณเธอหาว่าผมอยากจะไปอยู่กับพี่ชายใจจะขาดเลยร้องออกมาแบบนี้ และไม่ว่าพี่ชายของเธอจะเถียงอย่างไรสาวน้อยก็ไม่ฟัง สุดท้ายผมก็เลยถูกหิ้วแบบเสียวๆ ว่าจะตก ไปขึ้นรถคันเดิมที่นั่งมาเมื่อวานเพื่อไปยังบ้านใหม่ของผม
‘ซวยแล้วไงชมา’ ผมบอกกับตัวเอง นึกกังวลว่าจะกลับร่างไม่ได้ ถึงผมจะไม่อยากกลับร่างเดิมนักก็เถอะ แต่ถ้าไม่กลับร่างเดิมเลยก็จะแย่เอา โอยชมาเครียด เครียดจริงๆ นะ แต่เบาะนี่โคตรนุ่มเลยยืดเหยียดได้เต็มที่เลยแฮะ
การเป็นแมวบ้านนี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้นหลังจากถูกพาไปตรวจร่างกาย ฉีดวัคซีน แถมด้วยการอาบน้ำล้างหูชนิดที่สะอาดไปทุกรูขุมขน ถึงจะแค่ยืนๆ นั่งๆ ปล่อยให้คุณหมอกับพนักงานทำหน้าที่ของพวกเขาก็เถอะ แต่มันรู้สึกเหนื่อยสุดๆ ไปเลยล่ะ
“น้องมอมแมมผู้ปกครองมารับแล้วค่า” เสียงต่ำที่ถูกดัดให้สูงขึ้นจนผิดคีย์ร้องเรียกผมให้สะดุ้งจากอาการที่เคลิ้มๆ จะหลับ ให้ตายสิเป็นแมวบ้านนี่ไม่ใช่แค่เหนื่อยกายนะ แต่เหนื่อยใจด้วย คิดดูสิครับแมววิเชียรมาศสุดหล่ออย่างผมดันมีชื่อว่า “มอมแมม” ชมาล่ะหน่าย ว่าแล้วก็ทำตาขวางใส่พี่สาวจอมพลังเสียเลย บอกให้รู้ว่าชมาไม่ปลื้มกับชื่อที่ฟังดูเหมือนเจ้าตูบจอมซนมากกว่าแมวน้อยสีขาวแต้มเทาเก้าจุดที่แสนจะหล่ออย่างผม แต่ดูเหมือนพี่เขาจะไม่รู้นะครับว่าผมกำลังอารมณ์ไม่ดี เปิดกรงอุ้มผมไปหา “ผู้ปกครอง” พร้อมกับพูดคุยหยอกล้อเสียงอ่อนเสียงหวานกับผมไปด้วย พี่เขาก็น่ารักดีนะ แต่มาเรียกว่า “น้องมอมแมม” แบบนี้ก็ไม่ไหวนะ ไม่ชอบชื่อนี้เลยจริงๆ
“น้องมอมแมมมาแล้วค่า” พี่สาวสุดแกร่งกล้ามเป็นมัดๆ ส่งยิ้มหวานให้กับ “ผู้ปกครอง” ของผม ก็ไม่รู้ว่าแค่มารับแมวที่ฝากไว้ทำไมต้องทำอย่างกับพ่อมารับลูกตามโรงเรียนอนุบาลด้วยก็ไม่รู้
“ขอบคุณครับ” ฝ่ามือหนายื่นมารับผมไปอุ้มไว้แนบอก อย่างน้อยเจ้าหน้าตายนี่ก็เรียนรู้วิธีอุ้มที่ไม่ทำให้ผมกลัวล่ะนะ พิพัฒน์พาผมไปที่รถ จับผมวางลงบนเบาะหน้าข้างคนขับเหมือนเคย สั่งกำชับไม่ให้ผมทำตัววุ่นวายแล้วก็ขับรถออกไป
เสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่มเต็มสองหู ออกจะน่ารำคาญเล็กน้อยแต่ผมเลือกที่จะไม่ใส่ใจ สี่ขายืดเหยียดออกจนแทบจะสุดความยาว พลิกตัวนอนหงายแนบแผ่นหลังไปกับเบาะหนังนุ่มๆ ฟังเพลงที่เจ้าของรถเปิดเบาๆ ไปพลาง เลียริมฝีปากปลอบกระเพาะน้อยๆ ของตัวเองไปพลาง ก็ตั้งแต่เมื่อวานเย็นผมยังไม่ได้ทานอะไรเลยนี่นา
“หิวหรือไงวะ?” แว่วเสียงพึมพำจากคนตัวโตที่ควรจะมีสมาธิอยู่กับการขับรถไม่ใช่แมวหล่อๆ อย่างผม ‘ถ้าเกิดรถคว่ำไปจะทำยังไง?’ คิดแล้วผมก็ลืมตาขึ้นมา ส่งสายตาตำหนิไปให้คนขับที่ไหร่ความรับผิดชอบ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะตีความสายตาของผมไปคนละอย่าง ร่างสูงขยับสายเข็มขัดนิรภัยเล็กน้อยเพื่อที่จะได้โน้มตัวไปทางเบาะหลังได้ถนัด
“เหมียว!” ‘เฮ้ย! มันอันตรานะเว้ย!’ ผมร้องเสียงหลง รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นไปกองอยู่กับตาตุ่มข้างละห้อง แต่พอลุกขึ้นมองดูก็พบว่ารถกำลังติดเป็นแถวยาวเหยียด 'ก็ลืมไปนะว่ากรุงเทพฯ รถติดบรรลัย' ผมลอบถอนหายใจก่อนจะละสองขาหน้าออกจากขอบหน้าต่าง หันไปมองคนขับก็พบว่าอีกฝ่ายกลับมานั่งประจำที่แล้วและกำลังง่วนอยู่กับการหาของบางอย่างจากถุงพลาสติกใบใหญ่ที่วางอยู่บนตัก
“เอ้า!” สั้นๆ พยางค์เดียวพร้อมกับวางกระป๋องที่เปิดฝาเรียบร้อยแล้วลงบนเบาะ ผมมองตามอย่างงงๆ แต่กลิ่นโปรตีนที่ลอยมาปะทะจมูกทำให้ผมเข้าใจได้ไม่ยาก ผมก้มลงไปดมกลิ่นเล็กน้อย ก่อนจะผละออกมาอ่านฉลากเพื่อความแน่ใจ ว่ากันตามตรงผมยังไม่คุ้นกับอาหารแมวสักเท่าไหร่ แต่เจ้าปีศาจนั่นบอกว่าผมต้องกินเพราะร่างกายของคนกับแมวต้องการสารอาหารในปริมาณที่ต่างกัน และการปรุงอาหารสำหรับแมวในแต่ละมื้อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนนั้นเป็นเรื่องยาก อาหารสำเร็จจึงเป็นคำตอบที่ดีกว่า แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ยอมกินอาหารเม็ดอยู่ดี และพวกอาหารเปียกผมก็เลือกกินเฉพาะที่ไม่มีกลิ่นแปลกๆ หรือถ้าดมแล้วยังไม่คุ้น ไม่แน่ใจผมก็อ่านฉลากดูส่วนผสมเพื่อความแน่ใจ
อาหารกระป๋องที่พ่อรูปหล่อหน้าตายส่งมาให้ผมเป็นอาหารแมวยี่ห้อดัง ราคาต่อกระป๋องก็แพงกว่าข้าวมื้อหนึ่งของผมสมัยเป็นคนเสียอีก เรียกได้ว่าถ้าไม่รักแมวจริงก็คงต้องมีเงินเหลือใช้ถึงจะซื้อได้ ขนาดเจ้าปีศาจนั่นยังนึ่งปลาทูนึ่งฟักทองให้ผมกินแทนอาหารกระป๋องพวกนี้เป็นบางมื้อเลย แถมยังมีการแบ่งให้ทีละครึ่งกระป๋องด้วย ไม่มีหรอกที่ใจป้ำให้มาทั้งกระป๋องแบบนี้
ท้องเจ้ากรรมร้องลั่นแข่งกับเสียงคำรามของเครื่องยนต์ ผมขยับตัวนั่งในท่าที่ถนัดแล้วเริ่มกินมื้อแรกของวันทันที รสสัมผัสที่เข้มข้นของเนื้อกับกลิ่นคาวปลาทำให้ความอยากอาหารของผมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แม้ว่าผมจะไม่ได้รู้สึกอร่อยไปกับมันสักเท่าไหร่ก็ตาม ดังนั้นเพียงไม่นานทั้งกระป๋องก็เกลี้ยงเกลา แต่หน้าของผมกลับเละไม่เหลือเค้าความหล่อให้เห็น
มองดูหน้าตัวเองที่เปื้อนเศษอาหารผ่านกระจกรถแล้วก็เหนื่อยใจ ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็ยังไม่ชินกับการใช้ปากทานอาหารอยู่ดี กินข้าวทีไรเป็นต้องเปื้อนแบบนี้ทุกครั้ง
“หึ” เสียงหัวเราะในลำคอที่ไม่มีทางออกมาจากปากแมวๆ ของผมทำให้ผมต้องหันขวับไปตามเสียง แต่ก็ไม่เห็นอะไรมากไปกว่าคนหน้าตายที่กำลังมีสมาธิอยู่กับถนนตรงหน้า หากผมมีคิ้วคงจะขมวดเข้าหากันเป็นปมไปแล้ว ถ้าหมอนั่นขับรถแล้วใครเป็นคนทำเสียงเมื่อกี้กัน ผมนึกสงสัยพลางเช็ดปากที่เปื้อนไปพลาง สามเดือนในร่างแมวทำให้ผมพอจะเรียนรู้วิถีแมวๆ มาบ้างเหมือนกัน แต่จะให้ผมเลียขนทำความสะอาดตัวเองทั้งตัวผมก็ทำไม่ไหวเหมือนกันนะ แค่คิดว่าต้องใช้ลิ้นเลียอะไรต่อมิอะไรที่ติดตามตัวผมก็แขยงแล้ว มีแต่ปากกับหน้านี่แหละที่ผมพอจะทำความสะอาดเองได้อยู่ ว่าแต่ว่าทำไมมุมปากของเจ้าคนหน้าตายนั่นยกขึ้นนิดหนึ่งหรือเปล่านะ?
ขณะที่ล้างหน้าให้ตัวเองสายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับมุมปากที่ยกขึ้นคล้ายกับจะยิ้มของพ่อคนหน้าตาย ผมจ้องอยู่สักพักจึงแน่ใจ ‘ชัดเลย มันแอบหัวเราะเยาะเรานี่หว่า’ ผมว่าผมต้องเผลออ้าปากค้างแน่ๆ ระหว่างที่คิดได้ว่าอีกฝ่ายคงหันมาเห็นหน้าเลอะๆ ของผมเข้าแน่ๆ ‘โคตรจะเสียหน้าเลยชมาเอ๊ย’
บ้านใหม่ของผมจะเรียกว่าบ้านก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะมันเป็นห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งบนชั้นเก้าของอาคารสูงใจกลางเมืองเท่านั้น ขนาดห้องคงจะประมาณสักยี่สิบกว่าตามรางเมตร ภายในห้องมีเครื่องเรือนน้อยชิ้น ข้าวของก็มีไม่มากนัก หากจะบอกว่าเป็นห้องตัวอย่างของโครงการผมก็เชื่อ
พิพัฒน์วางผมลงกับพื้นพร้อมๆ กับถุงอีกหลายใบที่เขาถือติดมือขึ้นมาด้วย “เดี๋ยวมาอย่าซนล่ะ” เขาสั่งกำชับสั้นๆ ก่อนจะเดินออกไป คงจะไปขนของส่วนที่เหลือ ว่าแต่ว่าเป็นแมวนี่ดีนะไม่ต้องช่วยงานอะไรสักอย่างมีคนคอยบริการให้หมดเลย
ผมยืดเหยียดร่างกายเพื่อคลายความเมื่อยขบก่อนจะมองสำรวจไปรอบๆ โซฟาสีน้ำตาลตั้งอยู่ชิดผนังทางด้านซ้ายของประตู ใกล้กันเป็นโต๊ะทำงานที่มีคอมพิวเตอร์วางอยู่เครื่องหนึ่ง ถัดไปเป็นกำแพงกระจก กั้นระหว่างห้องนอนกับห้องนั่งเล่น ประตูห้องนอนเป็นประตูเลื่อน ติดกับประตูกระจกเป็นทางเดินที่เชื่อมไปยังห้องครัวและห้องน้ำ ในครัวมีพื้นที่สำหรับตั้งเคาน์เตอร์สองตัว ตู้เย็นเล็กหนึ่งตู้และโต๊ะกินข้าวหนึ่งตัวเท่านั้น สำหรับผมผมว่ามันให้ความรู้สึกอึดอัดไม่น้อยเลย ระเบียงเองก็แคบ ผมนึกสงสัยว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่เคยรู้สึกอึดอัดบ้างเลยหรือ
ผมเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น ยังรู้สึกขัดใจกับบรรยากาศอันน่าอึดอัดภายในห้อง อะไรหลายๆ อย่างภายในห้องนี้บอกผมว่าเจ้าของเพียงแค่ใช้มันเป็นที่หลับนอนเท่านั้น ไม่ใช่สถานที่ใช้ชีวิต
‘เขาเป็นคนแบบไหนกันนะ’ ผมถามตัวเองพลางไถคางไปกับขอบโซฟา บรรยากาศในห้องมันน่าอึดอัดเกินไปขืนปล่อยไว้ผมคงเครียดตายก่อนจะได้กลับบ้าน จริงสิผมยังไม่ได้ติดต่อกลับไปที่บ้านเลย ป่านนี้เจ้าปีศาจคงจะตามหาผมจนวุ่นวายแล้วแน่ๆ ผมไถสีข้างเข้ากับโซฟา หางยาวแกว่งไกวอย่างเผลอไผล สายตาก็มองหาโทรศัพท์ไปด้วย ห้องชุดแบบนี้ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะมีโทรศัพท์สักเครื่องหนึ่ง
แล้วผมก็พบมัน โทรศัพท์บ้านแบบไร้สายติดอยู่บนผนังข้างประตูครัว ใช่ บนผนัง และเครื่องเรือนที่ใกล้ที่สุดก็คือโต๊ะเตี้ยๆ ที่ใช้เป็นที่วางโทรทัศน์ โต๊ะสูงแค่หนึ่งฟุตกว่าๆ และโทรทัศน์ก็บางจนน่ากลัวว่าถ้าปีนขึ้นไปอาจจะพลาดทำมันตกลงมาได้
งานนี้ท่าทางจะยากกว่าที่คิด ไม่มีทางที่ผมจะเอาโทรศัพท์มาใช้แล้วนำกลับไปวางที่เดิมได้ แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกมากนัก หากไม่รีบติดต่อกลับไปหาเจ้าปีศาจนั่น ผมก็อาจจะต้องบอกลาอิสรภาพเล็กๆ นี้ไปตลอดกาล
บางครั้งผมก็สงสัยว่าทำไมผมถึงไม่ขอเป็นนกแทนที่จะขอเป็นแมว หากเป็นนกผมคงจะบินไปที่ไหนๆ ก็ได้ดังที่ใจปรารถนา ไม่ต้องกังวลกับคนขับรถที่ไม่สนใจกฎจราจรและไม่เห็นค่าชีวิตของผู้อื่น ไม่ต้องระแวงพวกสุนัขหรือแมวเจ้าถิ่น และแน่นอนไม่ต้องมานั่งปวดหัวคิดหาวิธีหยิบโทรศัพท์ลงมาแล้วเอากลับไปวางไว้ที่เดิม
‘ไม่ต้องเอาไว้ที่เดิมก็ได้มั้ง’ ผมบอกตัวเองหลังจากมาถึงทางตัน ร่างปราดเปรียวของผมกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะอย่างไม่ยากเย็น ผมรู้สึกได้ถึงหนวดที่ขยับกางออกเหมือนเสาอากาศยามที่ผมกะระยะเตรียมกระโดด กล้ามเนื้อหดเกร็งสะสมพลังงานเตรียมพร้อมสำหรับการออกตัว ระยะไม่สูงมากนัก แต่ก็ทำให้ผมเป็นกังวลอยู่ดี
‘หนึ่ง สอง สาม’ และกระโดด ร่างของผมลอยขึ้นจากโต๊ะ หัวชนเข้ากับโทรศัพท์ทำให้มันตกลงมา เสียงสัญญาณดังขึ้นทันที ผมสะบัดหัวไล่ความเจ็บและความมึนงงออกไปก่อนจะกระโดดลงจากโต๊ะ ผมมีเวลาไม่มากนักก่อนที่โอกาสจะหลุดลอยไป เลขสิบหลักถูกกดและเสียงเพลงรอสายก็ดังขึ้น เพลงคลาสสิกที่ผมไม่รู้จักชื่อแต่ก็ชอบที่จะฟัง เจ็ดวินาทีเหมือนทุกครั้งก่อนที่เสียงเพลงจะดับลง
“สวัสดีครับ” เสียงคุ้นหูตอบกลับมา เสียงของปีศาจ
“เหมียว”
“ชมา” โดยไม่ต้องหยุดคิดเขาก็รู้ว่าเป็นผม ก็แน่ล่ะจะมีโทรศัพท์สักกี่สายกันเชียวที่มีแมวพูดสายด้วย แต่จะเรียกว่าพูดสายด้วยก็คงจะไม่ถูกต้องนักเพราะบทสนทนาของเราจบลงเพียงเท่านี้ ก่อนที่ผมจะพยายามเอาโทรศัพท์ขึ้นไปวางไว้บนโต๊ะ อย่างน้อยก็ให้อยู่ในที่ที่น่าจะถูกวางลืมเอาไว้ ไม่อย่างนั้นผมคงถูกดุตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้าบ้านเป็นแน่
ผมกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาสีเข้มตอนที่พิพัฒน์กลับเข้ามาพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ จากสายตาของเขาผมบอกได้เลยว่านายหน้านิ่งคนนี้กำลังไม่พอใจที่เขาต้องออกแรงในขณะที่ผมนอนสบายอยู่บนโซฟาของเขา ว่ากันตามตรงแล้วเขาเองก็ไม่ได้อยากเลี้ยงผมเลยสักนิด เป็นการบังคับมากกว่าสมัครใจ...ทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ
แต่ในเมื่อผมเป็นสัตว์เลี้ยงและเขาเป็นเจ้านายหน้าที่ของผมคือทำตัวเป็นแมวที่ดี ไม่กัดแทะข้าวของ ไม่เดินเพ่นพ่านขวงทาง ในขณะที่เขากำลังยุ่งกับการจัดวางข้าวของของผม ชามอาหาร น้ำพุ ห้องน้ำ อาหารกระป๋องเป็นลังๆ และแน่นอนถาดต้นข้าวสาลีที่มีขายทั่วไปตามร้านสัตว์เลี้ยง นี่เขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าแมวไม่จำเป็นต้องกินต้นข้าวสาลีหรอก หญ้า สมุนไพรที่ขึ้นเองตามธรรมชาติก็เพียงพอแล้ว
แต่คิดดูอีกทีห้องนี้คงไม่มีพืชสีเขียวงอกเงยอยู่หรอก ต้นข้าวสาลีก็คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะมีได้ในตอนนี้แล้ว
“นี่ชามข้าว นี่น้ำ ส่วนนี่ก็ห้องน้ำ” หลังจากทุกอย่างเข้าที่เขาก็พาผมไปดูจุดต่างๆ และกำชับเสียงหนักไม่ให้ผมเที่ยวถ่ายเรี่ยราดและไม่ให้สร้างความเสียหาย ไม่รู้ว่านายคนนี้เห็นแมวอย่างผมเป็นปีศาจหรืออย่างไร ทำอย่างกับว่าพวกเราเกิดมาเพื่อทำลายทุกอย่างอย่างนั้นแหละ
แต่ก็ช่างเถอะ มนุษย์มักระแวงในสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจอยู่แล้ว...เดี๋ยวนะ นี่ผมกำลังพูดเหมือนว่าตัวเองเป็นแมวอยู่หรือเปล่า?
ผมชะงัก จ้องมองใบหน้าเครียดขรึมของชายที่เพิ่งรับผมเข้ามาในบ้าน ให้อยู่ในความดูแลของเขา เราอยู่ห่างกันไม่มากนักแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไกลเหลือเกิน แม้แต่ตอนที่เขาอุ้มผมเอาไว้แนบอกระยะห่างระหว่างเราก็ไม่ได้ลดลงเลย
“แกนอนตรงนี้ก็แล้วกัน” เขาพูดพร้อมกับวางผมลงบนเบาะสำหรับนั่งพื้นสีเข้มที่วางอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ใกล้กับห้องน้ำ จุดที่ไม่เกะกะขวางทางสักเท่าไหร่ แต่คิดว่าผมจะยอมนอนที่นี่หรือ ไม่มีทางเสียล่ะ
“มิอาว” ผมตอบปฏิเสธแล้วเผ่นแผล็วกลับไปยังโซฟาที่ผมถือวิสาสะยึดมาเป็นของตัวเอง
“มอมแมม!” เขาเรียกผมเสียงเข้ม ดูขุ่นเคืองใจไม่น้อยแต่ใครจะสน แมวไม่รู้ภาษามนุษย์อยู่แล้วนี่ แต่จะปล่อยให้เจ้าของห้องโกรธก็คงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ จนกว่าเจ้าปีศาจนั่นจะมารับตัวผม ผมต้องหาทางให้ตัวเองได้อยู่ที่นี่ต่อไป
“เหมียว” ทำตาโตร้องเรียกอย่างไรเดียงสา นี่แหละไม้ตายแบบแมวๆ ที่ผมเรียนรู้มา
“ไปนอนในครัว” ดูเหมือนทำหน้าตาใสซื่อเพียงอย่างเดียวจะไม่ได้ผล ผมเอียงคอน้อยๆ ขณะที่ใช้ความคิดก่อนจะล้มตัวลงนอนหงาย อวดพุงขาวๆ และส่งสายตาอ้อนๆ ไปให้ ท่าทางที่แม้แต่ปีศาจยังใจอ่อนแล้วจะนับประสาอะไรกับมนุษย์หน้าตายตรงหน้าผม
“เฮ้อ! ก็ได้ แต่ห้ามลับเล็บนะ” และนั่นคือคำอนุมัติอย่างเป็นทางการสำหรับที่นอนอันใหม่ของผม
“เหมียว” ผมร้องขอบคุณเขาก่อนจะพลิกตัวนอนในท่าที่สบายกว่าเดิม พิพัฒน์เดินเลี่ยงไปทางอื่น ผมได้ยินเสียงเปิดปิดประตูสองสามครั้งก่อนที่เสียงน้ำจะดังขึ้น เป็นเสียงน้ำจากฝักบัว สักพักเสียงน้ำก็เงียบไปตามมาด้วยเสียงเปิดประตู ผมไม่คิดจะหันไปมองยังคงฉลองที่นอนใหม่ของผมบนโซฟาตัวใหญ่ อากาศในห้องค่อนข้างหนาวผมจึงค่อยๆขดตัวเข้าจนกลม ม้วนหางโอบรอบตัวเองเอาไว้พยายามกักเก็บความอบอุ่นเอาไว้กับตัวให้ได้มากที่สุด
แต่แล้วเบาะข้ามตัวผมก็ยุบลงโดยแรง ผมหรี่ตามองก็พบว่าเป็นพิพัฒน์ที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างผม แต่มันก็แน่อยู่แล้วถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครไปได้ ผมหลับตาลงขดตัวม้วนเข้าอีกเล็กน้อยพร้อมทั้งยกขาหน้าข้างหนึ่งขึ้นบังดวงตาเพราะแสงจากโคมบนเพดานส่องแยงตาจนผมรำคาญ
“หึ” ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคออีกครั้ง ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะขยี้ลงบนหัวของผม “เหมียว!” ผมร้องเอ็ดขึ้นอย่างไม่ชอบใจ ทั้งเจ็บและรำคาญที่ถูกรบกวน ผมส่งสายตาขุ่นขวางไปให้เขา แต่กลับได้รับสายตานิ่งๆ ตอบกลับมา ประหนึ่งว่าเขาไม่คิดว่าทำอะไรผิด ให้ตายสิ รบกวนการนอนของคนอื่นนี่มันผิดมากๆ เลยนะ
“เหมียว” ผมร้องด่าไปคำหนึ่ง รู้สึกหงุดหงิดแต่ก็ง่วงนอนจึงเลือกที่จะไม่ใส่ใจแล้วนอนต่อ แต่พอผมทำอย่างนั้น ฝ่ามือเดิมก็ขยี้ลงบนหัวของผมอีกครั้ง พอร้องด่าพร้อมกับส่งสายตาอาฆาตไปให้เขาก็ทำเป็นไม่สนใจผม แต่ผมว่าลึกๆ แล้วเขากำลังสนุกที่ได้แกล้งผมแน่ๆ
เหตุการณ์วนซ้ำอยู่เช่นนี้สามรอบผมจึงหมดความอดทนและเลือกที่จะตอบโต้
“อ้าว! ไม่นอนแล้วหรอ?” เขาทักเมื่อผมลุกขึ้นโก่งตัวยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ผมทำตาขวางจ้องตอบเขา และโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรผมก็พาร่างของตัวเองขึ้นไปนั่งบนตักของเขาอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย!” เขาอุทาน คงตกใจในความไร้มารยาทของผม แต่ผมไม่สน สองเท้าหน้านวดกดกล้ามเนื้อต้นขาของเขาด้วยเคยชิน หมุนตัวอีกรอบหนึ่งก็นอนลง ขดตัวกลมเหมือนลูกบอลบนตักของคนที่ไม่ค่อยจะเต็มใจให้ผมนอนตักสักเท่าไหร่ แต่เชื่อผมเถอะด้วยมารยาแมวร้อยเล่มเกวียนที่มีผมสามารถทำให้เขากลายเป็นที่นอนของผมในอีกหลายชั่วโมงต่อจากนี้ได้
‘ขอให้มีความสุขกับเหน็บชานะครับคุณเจ้านาย สายัณห์สวัสดิ์’
=================================
ก็ยังไม่ชินกับระบบลงนิยาย...หวังว่าจะอ่านสบายตากันนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ