บันทึกรักข้ามเวลา <ตีพิมพ์ สนพ.ปริ๊นเซส สถาพรบุ๊ค>

9.8

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.20 น.

  20 บทที่
  3 วิจารณ์
  34.17K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559 04.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) บทที่ 13 รอยหนึ่งที่ไม่อาจพิสูจน์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

บทที่ 13

รอยหนึ่งที่ไม่อาจพิสูจน์

               นานทีเดียวที่คนไร้สติเช่นฉันในเวลานั้นตะลึงงันกับคำพูดว่า “ข้ารู้แล้ว” ของฮ่องเต้พระองค์นี้ ช่วงเวลานั้นฉันขยับตัวไม่ได้ พูดก็ไม่ออก เนื้อตัวแข็งทื่อ ดวงตาล่องลอยเพราะฤทธิ์พิษบุปผาเบ่งบาน ใบหน้าแดงฉานออกมาให้เขาเห็น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้าผุดขึ้น เขาผลักตัวฉันกดลงอย่างนุ่มนวล ราวกับพยัคฆ์ตะปบเหยื่อทว่าเมตตาต่อเจ้ากระต่ายตัวน้อยพลางกล่าวว่า

“เจ้าบอกเราเองว่าอย่าหันหน้าหนีเจ้าวันเข้าหอ”

ฉันทำแก้มป่องหน้ามุ่ยใส่ ฟังเขาหัวเราะร่วนอยู่บนตัว ฉันไม่ผิด รู้แค่ว่าตัวเองไม่ผิดเท่านั้น เขาเป็นเจ้าบ่าวส่วนฉันเป็นเจ้าสาว หากเจ้าบ่าวหันหลังให้เจ้าสาวคืนเข้าหอ รุ่งเช้าจะเอาหน้าไปมุดไว้ในแจกันใบไหนได้ เขาเลิกคิ้วมองใบหน้ามึนเมาของฉัน พลางกล่าว

“เจ้าอยากให้เราหันหลังหรือให้เราจ้องหน้าเจ้าเช่นนี้”

ฉันสวนคำเอาแต่ใจ ยาพิษนี้ชื่อบุปผาเบ่งบานแต่สำหรับฉันมันคือยาคายความกล้า “ไม่อยากให้หันหลัง ทว่า...” เขาเลิกคิ้วสงสัยมองฉันที่นอนหันหน้าหนี

“ทว่า?”

“ทว่า...ทว่า...ทว่า...” ฉันหันหน้ากลับมามองเขา เห็นสายตาเรียบยังคงจับจ้องมาตลอดเวลา “ทว่า...อยากให้ใส่ใจ”

ใบหน้านิ่งหลุดอมยิ้มออกมาทันที กล่าวนุ่มนวล

“เราจะสนใจเจ้า”

ฉันยิ้มร่าอย่างสุขใจถูกจักรพรรดิกล่าวว่าสนใจ ใครเล่าจะไม่ยินดี? เขามองฉันฉงนเห็นฉันส่ายหน้าอีกครั้งเพราะโดนยาพิษรุมเล่นงานพิษนี้หมือนคลื่นซัดเข้าฝั่ง ฤทธิ์มันทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนเนื้อตัวเริ่มเห่อร้อนจนยากจะทนไหว

“ข้าร้อน…”

เสียงฉันอ่อนจนแทบเป็นเสียงกระซิบ จากนั้นมือก็เริ่มป่ายเปะผลักเขาออกห่างตัว ไม่รู้ตัวว่าถอดเสื้อผ้าจนถึงชั้นไหน รู้อีกทีก็เห็นเพียงใบหน้านิ่งตะลึงของเขาอยู่ข้างๆ ฉันเห็นเขาเอาแต่มองอึ้งเลยส่งยิ้มร่ากลับไป เขาเห็นฉันยิ้มหน้าพลันทะมึนไปหลายแถบ ตัวถอยออกห่างไปสุดเตียงเหมือนกลับไปตั้งหลักตั้งสติ ฉันมองเขาสงสัย เห็นเขายึดเสื้อตัวเองเข้าหากันใบหน้านิ่งเรียบเหมือนไม่รู้สึกสิ่งใด

“เราจะเอายาถอนพิษมาให้เจ้า”

เขาลุกขึ้นไปค้นขวดยาในห้องอยู่นานแล้วเดินกลับมาจับแก้มของฉันเบาๆ ลูบไล้มันอยู่ครู่ด้วยแววตาที่ไม่อาจเข้าใจ ฉันจับมือเขาแล้วหลับตาลง ยามถูกมือคู่นี้สัมผัสตัวฉันก็พลันเบาหวิวจิตใจล่องลอยรู้สึกดีจนเอ่ยเป็นคำใดไม่ถูก พอลืมตาเห็นใบหน้าเขาขมวดขึง มือถอนออกไปช้าๆ ฉันเห็นเขาถอนมือกลับเนื้อตัวเหมือนมีมดแดงรุมกัดทึ่ง ทรมานจนร้องเอาแต่ใจว่า

“สัมผัสข้าอีกได้หรือไม่...” ฉันส่งสายตาอ้อนวอน เขาแสดงสีหน้าลำบากใจออกมาให้เห็นแล้วเลื่อนตัวเข้าหาก้มหน้าลงจรดชิด

ฉันถูกเขาประคองจูบช้าๆ จูบแสนหวานราวหยดน้ำผึ้งทำให้ฉันถวิลหาต้องการมันมากขึ้น อ้อมมือไปโอบหลังเขาเข้าชิดแผ่นอกตัวเองขณะที่เขาเลื่อนริมฝีปากนุ่มลงต่ำเรื่อยๆ ร่างกายตอนนี้เหมือนวิ่งระยะไกลมันทั้งร้อนเพราะถูกกระตุ้นจากอีกฝ่าย เขาเลื่อนหน้าออกอีกครั้งเปิดขวดยากรอกปากตน จากนั้นจึงจรดริมฝีปากให้ฉันดื่ม ยาไหลลงคอฉันช้าๆ เขามองหน้าฉันอยู่ครู่ ตอนนั้นเองที่ฉันเริ่มเป็นฝ่ายเลื่อนริมฝีปากตนจรดต้นคอเขา ตัวเขาพลันแข็งเกร็งแม้ฉันจะจูบอย่างงุ่มง่ามเหมือนเด็กน้อยจุ๊บแก้มลูกสุนัข ได้ยินเสียงหายใจหอบของเขาอยู่ครู่ จากนั้นมือเขาได้ผลักฉันออก

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำอะไร...” สายตาเขาจริงจังทว่ายังคงไว้ซึ่งท่าทีสุขุม น้ำเสียงแฝงไปด้วยคำเตือน ดวงตาประกายวาบครุ่นคิดเลื่อนใบหน้าลงมองข้าง “จริงสิ...เจ้ายังไม่รู้ตัว...”

ฉันไม่เข้าใจที่เขาพูด รู้เพียงว่าอยากให้เขาสัมผัสร่างกายนี้อีก เอาแต่เลื่อนหน้าเข้าหาเขาอย่างระวังและยั่วยวนขณะที่เขาเลื่อนตัวถอยลงเตียง

“ลี่เซียน...”

ผลั๊ก!

และนี่คือเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยิน

 

ตอนเช้าฉันตื่นมาพร้อมดวงตาเบิกกว้างมือจับผ้าห่มอย่างสับสน แทบจะจำอะไรไม่ได้นับตั้งแต่ได้ยินเสียงนั่น จึงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันหันไปข้างตัวเจอสายตาหนึ่งจ้องมองมาอย่างลึกซึ้ง

“หลับสบายดีหรือไม่...”

ฉันเคยอยากได้ยินคำพูดทักทายยามเช้าของคนรักพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นเช่นนี้มาตลอดชีวิต แต่เมื่อมองเขาสมองฉันก็ฉายภาพเมื่อคืนออกมาเป็นฉากแก้มจึงร้อนแดงเพราะอับอาย แต่ริมฝีปากกลับซีดเซียวเมื่อรู้ว่าเมื่อคืนฉันจงใจยั่วยวนจักรพรรดิหมิงหยางเฟิ่งผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ทั้งที่คืนแรกของชายหญิงสติทั้งคู่ควรอยู่ครบ ดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนหวานของเราสองและจำทุกสิ่งในคืนแรกไว้ในหัวใจ แต่ฉันกลับโดนยาพิษสติเลยไม่ครบถ้วนเหมือนคนอื่นจึงแสดงกิริยาไม่ควรเข้าเสีย...ฮึ้ย! ลี่เซียนนะลี่เซียน! เจ้าทำอะไรลงไป!

“สบายเพคะ...สบายมาก”

จะให้ฉันตอบฮ่องเต้ว่าอย่างไรในคืนเข้าหอครั้งแรก นอกจากคำนี้ ฉันเลยได้แต่ตอบไปพลางยิ้มซีด พอขยับตัวจะลุกสะโพกเจ็บแปลบเมื่อมีคนทุบ ร่างฉันกระตุกขึ้นทันที หันหน้ามองเขาที่ส่งยิ้มน้อยๆมาให้ หรือว่า...เมื่อคืน...เมื่อคืน...ไม่จริง!

นี่ฉันกลายเป็นของพระองค์แล้วหรือ!

ฉันฝืนเขยิบตัวไปมุมสุดของเตียง พร้อมผ้าห่มทั้งผืนทำให้อีกฝ่ายไม่มีสิ่งใดคลุมแผ่นอกกำยำนั่นแม้แต่น้อย พอฉันเห็นร่างครึ่งตัวเปลือยเปล่าของเขาใบหน้าก็ยิ่งแดงจัดเข้าไปใหญ่ และเมื่อเลื่อนหน้ามองผ้าปูจึงเห็นหลักฐานหนึ่งแดงฉานชัดเจนอยู่บนนั้น แม้จะเห็นชัดขนาดไหนแต่ในความทรงจำกลับเค้นสิ่งใดออกมาอธิบายรอยเลือดไม่ได้แม้แต่ฉากเดียว มีแต่คำถามลอยเคว้งไปในอากาศยามเช้านี้

เลือด....!

เขาเลื่อนสายตามองตามฉัน แล้วดึงกลับมาจ้องหน้าพลางกล่าวว่า

“เมื่อคืนเจ้ายั่วยวนเราเอง”

หน้าฉันร้อนซู่ได้แต่กรีดร้องเสียงดังอยู่ในใจ คืนแรกที่แสนหวานของฉันพังทลายไปต่อหน้าต่อตา นอกจากจำอะไรไม่ได้ฉันยังถูกเขาทำอะไรต่อมิอะไรขณะที่สลบ สิ่งนี้คงเป็นความทรงจำของฉันไปชั่วชีวิต ฉันไม่กล้าตอบโต้เพราะตัวเองได้ทำทุกสิ่งตามที่เขาว่า ได้แต่จิกมือกุมผ้าแน่น จดจ้องแต่รอยเลือดบนเตียงนั่น เขาตีสีหน้านิ่งทว่ามุมปากกลับดูเหมือนยกยิ้มขึ้นน้อยๆ

หยางเฟิ่งลุกขึ้นยื่นมือให้ฉันจับพยุงตัวลงเตียงมา ตะวันยังไม่ทันทอแสงขอบท้องฟ้าพวกเราเลยมีเวลามากพอให้เตรียมตัว ฟางหรูเข้ามาพร้อมนางกำนัลรับใช้ที่ฉันคาดว่าสี่กงกงจัดมาปรนนิบัตรเขา นางกำนัลรับใช้ส่วนหนึ่งยกถังน้ำมาปรนนิบัตรพระองค์อาบน้ำ เช้านี้มีมาคนสนิทของไทเฮาเข้ามาตรวจเตียงนอนด้วยตัวเอง นางกับฟางหรูช่วยกันจัดแต่งเตียงให้ขาวสะอาดอีกครั้ง และปรนนิบัตรฉันอาบน้ำอีกฝั่งหนึ่งของตำหนัก ตอนนางเอาน้ำแข็งมาอังหน้าผาก ฉันก็ร้อง “โอ๊ย!” เสียงดังทำเอานางชะงักมือกลับไป

“พระสนมมีรอยช้ำบวมบนหน้าผากเพคะ”

ฉันสำรวจแผลในกระจกที่นางถือมาให้ นวดคลึงหน้าผากจึงรู้ว่ามันบวมเปล่งมากขนาดไหน ดูท่าฉันคงเดินละเมอไปชนสิ่งใดเข้าเมื่อคืนนี้ นิสัยเดินละเมอยังคงแก้ไม่หายจริงๆด้วยสินะ...นางมองตาฉันระวังท่าทีเมื่อเห็นฉันพยักหน้าให้นางจึงช่วยประคบเย็นอีกหลายรอบจนหน้าผากลูกโตกลายเป็นมะนาวลูกเล็ก

ตอนฉันขึ้นจากน้ำ ฟางหรูหิ้วผ้าปูขาวเปื้อนจุดแดงผ่านหน้าฉันไป สายตาพวกเราประสานความอึดอัดและขัดเขินอยู่ครู่หนึ่ง ไม่อาจบอกได้เลยว่าตอนนั้นพวกเรายินดีใจหรือหยอกล้อกันอยู่แน่...

หงทั้งสามถือเครื่องแต่งตัวเดินเข้ามาช่วยผลัดหน้าแต่งตัว ฉันสวมชุดยาวลากพื้นสีฟ้าอ่อน เป็นเพราะไทเฮาทรงโปรดสีสันไม่จัดจ้านหยางเฟิ่งจึงเลือกชุดนี้ประทานให้ฉันในรุ่งเช้า เห็นเขาเป็นบุรุษอบอุ่นละมุนขวัญไม่แปลกใจว่ายามเลือกเสื้อผ้าอาภรณ์ให้สตรีทุกอย่างล้วนงดงามเต็มไปด้วยความน่าทะนุถนอม ไม่ถือตัวเสมอ ไม่โดดเด่นเกินหน้าคนอื่น แต่ยังคงไว้ด้วยความหรูหราเรียบง่าย เพราะชุดของไทเฮาและพระสนมทั้งหลายล้วนแล้วแต่จัดจ้าน ประทินสิ่งที่บ่งบอกฐานะตำแหน่งเต็มองค์กันทั้งนั้น หากฉันใช้สีจัดจ้านเช่นเดียวกันอาจทำให้พวกนางแคลงใจได้ตั้งแต่แรกพบ การคิดเพื่อระยะยาวเช่นนี้คือความคิดของกษัตริย์อย่างไม่ต้องสงสัย

ตอนนี้หงน้อยกำลังรวบผมฉันขึ้น มันเกล้าเครื่องเงินประดับทับทิมสีฟ้าครามสมฐานะตำแหน่งฟูเหริน นอกจากเครื่องประดับผมหนักหลายชั่งบนศีรษะฉันยังต้องถูกปักดอกไม้หอมสีเข้าชุดอีกทำให้แค่ทรงหัวให้อยู่บนบ่าได้ก็หนักเอาการอยู่เหมือนกัน หงน้อยเมินปิ่นปักผมอันเก่าของฉันเพราะมันไม่ใช่ของหรูหราสะดุดตาพอจะประดับกายในราชวังแห่งนี้ได้ แต่ฉันกลับไม่ใส่ใจบอกนางว่า

“ปักปิ่นของข้าไปด้วย”

หงน้อยลังเลอยู่อึดใจแต่ก็ไม่กล้าขัดฉัน หยิบปิ่นปักลงมวยผมด้านหลังทำให้ไม่สะดุดตาเท่าไหร่ ฉันเลื่อนสายตามองกระจกเพราะเงาใครบางคนทอดผ่านฉายเข้ามา เห็นหยางเฟิ่งเดินอ้อมตัวมาจากด้านหลังพร้อมเหล่านางกำนัลที่ถอยตัวห่างออกไปอย่างรู้งาน มือจับปิ่นปักผมมองดูแสดงสีหน้าอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง

“ปิ่นปักผมในตำหนักเหมยฮวามีอีกหลายชิ้นเหมาะกับตำแหน่งฟูเหรินของเจ้านัก เหตุใดไม่ใช้อันอื่นเล่า?”

ฉันหันไป ส่ายหน้าน้อยๆ “หม่อมฉันมองค่าสิ่งของที่ความทรงจำ ไม่ได้มองที่ราคาแม้แต่น้อยเพคะ...”

เผลอบอกความในใจทางอ้อมไป พอคิดได้ใบหน้าก็แดงระเรื่อ ความรักของฉันเหมือนดอกไม้ยามผลิบานครั้งแรก ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรเมื่อเจอแสงตะวัน ไม่รู้ว่าแสงแดดจะแผดเผาหรือให้ความอุ่นใจกันแน่ รู้เพียงแค่ทุกครั้งต้องโน้มกิ่งเข้าหา ชะเง้อมองดวงอาทิตย์อยู่ตรงนี้ แม้เราเป็นสามีภรรยา แต่ฉันกลับเก้อเขินกับทุกสิ่งราวกับนี่คือรักแรกรุ่นของชีวิต แม้กระทั่งเอ่ยคำว่ารักตรงๆยังไม่อาจกล่าวออกไปได้ ตอนแรกที่พูดออกมาฉันหวังว่าเขาจะส่งยิ้มให้ แต่เขากลับเลี่ยงสายตามองไกลออกไปแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า

“เราต้องเข้าท้องพระโรงแล้ว”

ฉันมองสายตาเขาเห็นเพียงความว่างเปล่าอยู่ในนั้น แต่เพียงครู่ก็กลับมาอบอุ่นเช่นเดิม สมองสับสนอย่างหนัก คิดโทษตัวเองว่าเมื่อครู่ได้พูดสิ่งใดไม่เข้าท่าออกไปบ้าง? แต่คิดเท่าไหร่ดูเหมือนจะหาเหตุผลไม่ได้แม้แต่น้อย เขาหันหลังให้ฉัน แม้ส่งยิ้มมาแต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงความอบอุ่น เดินขึ้นเกี้ยวหน้าตำหนักพร้อมเสียงส่งเสด็จไล่หลัง ฉันลุกขึ้นโดยมีฟางหรูกับหงน้อยประคองตัว มองส่งเขาสุดสายตา พอหมุนตัวกลับไปเห็นซืออิ๋งประคองถ้วยยามาให้ จึงนึกได้ว่าเมื่อคืนนางได้จุดยาพิษบุปผาเบ่งบานซึ่งเป็นยากำหนัดสำหรับสตรี

“พระสนมดื่มยาระงับปวดก่อนเถิดเพคะ”

ฉันจ้องหน้านางเขม็ง ไม่ยกยาจากถาดทำให้นางก้มค้างอยู่ตรงนั้น นั่งลงเก้าอี้ยาวพิงตัวลงเบาะนุ่มเท้าแขนบนตั่ง กล่าวเสียงเย็นว่า

“กระถางเครื่องหอมเจ้าใช้ได้ดีมาก”

ซืออิ๋งชะงักตัว ก้มลงลนลานคุกเข่า ไม่กล้าเงยหน้าสบตาแม้แต่น้อยฉันจึงรู้ว่านางรู้ดีว่าเครื่องหอมนั้นมีสิ่งใดซ่อนอยู่ ฟางหรูจ้องซืออิ๋งที่ตัวสั่นไปทั้งร่าง หันมาหาฉันทำหน้าราวกับจะพูดว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วว่านางไม่ซื่อเครื่องหอมนั่นต้องมีปัญหาแน่!” แต่นางก็ได้แต่มองฉันแล้วหันไปส่งสายตาเชิงบังคับให้ซืออิ๋งคายความจริงออกมา

“บอกข้ามาว่าใครสั่งให้เจ้าทำ!” ฟางหรูเดินไปใกล้นางตวาดเสียงดัง ทำเอานางพูดเสียงสั่น

“ไทเฮาประทานเครื่องหอมให้พระสนม ทรงสั่งหม่อมฉันจุดในตำหนักนอนเพคะ...”

ฟางหรูหันมาจ้องหน้าฉันตะลึงงัน ฉันเองก็อดฉงนใจเกินคาดว่าเรื่องนี้ไทเฮาเป็นผู้สั่งการหรอกหรือ? ฉันหยิบถ้วยจากถาดดื่มยาจนหมดปรายมือปัดให้ซืออิ๋งลุกขึ้น ครุ่นคิดว่าบางทีสกุลจวี๋อาจต้องการให้ฉันสืบทายาทเพื่อราชบัลลังก์ของฝ่าบาทจะได้มั่นคงขึ้นเพราะหากวังหลังขาดรัชทายาทตำแหน่งฮ่องเต้ก็ใช่ว่าจะมั่นคงอีกต่อไป อีกทั้งตำแหน่งผู้ครองวังหลังยังคงว่างอาจเกิดเสียงครหาต่างๆนานาว่าพระองค์ใช่พวกตัดชายเสื้อหรือไม่? สกุลเยี่ยที่ไม่มีทั้งอำนาจทางทหารและไม่มีประวัติเสื่อมเสียจึงเป็นที่ต้องการ ฉันจึงเหมือนลูกไก่ให้พวกเขาบงการชีวิต ทางหนึ่งเพื่อให้ฉันคานอำนาจผู้คิดแย่งบัลลังก์ ทางหนึ่งเพื่อให้สกุลจวี๋ยังสามารถรักษาอำนาจในวังหลวงต่อไปได้เพราะไทเฮาทรงออกหน้าหนุนหลังฉันอย่างเปิดเผยตั้งแต่สมัยอยู่เรือนบุปผางาม ดังนั้นแม้ไม่ทันจะข้ามคืนแรกตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในวังหลวง พวกเขาก็วางแผนทุกสิ่งไว้ทั้งหมดแล้ว อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองกลายเป็นหมากชั้นดีในมือพระนางไปตั้งแต่เมื่อไหร่

ฉันถอนหายใจยาวสาวเท้าเดินขึ้นเกี้ยว ตามประเพณีสนมที่ถวายการรับใช้ครั้งแรก รุ่งเช้าต้องเข้าเฝ้าฮองเฮาคุกเข่าสามครั้ง โขกศีรษะเก้าครั้งเต็มพิธี แต่วังหลังตำแหน่งฮองเฮายังคงว่างเปล่า ฉันจึงต้องถวายบังคมพระสนมทั้งสามก่อนถวายบังคมไทเฮาแทน

ฉันเดินเข้าไปในตำหนักหรงหวาง ชายกระโปรงประดับลูกไม้ขลิบเงินสว่างทำให้ยามก้าวเดินสะบัดพลิ้วตามสายลม ทุกสายตาจึงจดจ้องฉันสายตาวาบประหลาดใจ พวกนางสวมอาภรณ์ชั้นดีสีสันสะดุดตา สามคนนั่งอยู่แถบล่าง บนบัลลังก์หงส์ยังคงว่างเปล่า ถัดไปอีกคือหญิงชราผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเบาะรองสีทอง มีม่านมุกปิดบังสายตาจากทุกคน เสื้อผ้าสูงฐานะกว่าใครฉันเดาว่านางคือไทเฮาผู้เป็นพระมารดาของฮ่องเต้หมิงหยางเฟิ่ง

ฉันก้มลงคำนับเต็มพิธี ได้ยินเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลดังขึ้น ตั้งใจโขกศีรษะให้พวกนางอย่างนอบน้อม ถึงอย่างไรไม่ก่อศัตรูไว้จะเป็นการดีที่สุด

“ลุกขึ้นเถิดน้องหญิง”

หญิงงามสะโอดสะองมองฉันอย่างเมตตาเอ็นดู นางยกยิ้มน้อยๆมาให้แล้วลุกขึ้นโดยมีนางกำนัลสนิทช่วยประคองตัว ส่วนอีกสองคนได้แต่นั่งหน้านิ่งใส่ คนหนึ่งเพียงอมยิ้มเรียบส่งมา อีกคนตีหน้าเย็นชาให้ ฉันไม่รู้ว่าพวกเขามาจากตระกูลไหน จำได้เพียงว่าพระสนมทั้งสามในรัชศกที่ห้าคือสกุลเก้า สกุลเหวินและสกุลเว่ย หากให้คาดเดาพระสนมเหวินคือคนที่ตีสีหน้าเย็นเพราะนางจ้องเป็นปรปักษ์กับฉันตั้งแต่ยังไม่เข้าวังหลวงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งฉันยังทำให้หลินหลีแผนพังไม่เป็นท่า แม้ตัวฉันอยู่นอกวังแต่ทำเรื่องแสบสันให้นางร้อนไฟลนได้ หากเอาฉันมายืนตัวเป็นๆต่อหน้านางเช่นนี้มีหรือที่นางจะไม่จ้องมาด้วยสายตากินเลือดกินเนื้ออย่างคับแค้นใจ  ส่วนคนที่กำลังประคองตัวฉันลุกคือพระสนมเก้าเพราะเจ้าหลิ่งถิงคือน้องชายของนางคงฝากฝังฉันเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นคนที่นั่งอยู่ตำแหน่งแรกคือเว่ยกุ้ยเฟยอย่างแน่นอน

“ขอบพระทัยเพคะ...”

พระสนมทั้งสามพยักหน้ามาให้ คนที่เริ่มไม่ลุกก็เริ่มขยับตัวลุกขึ้นบ้าง พวกนางเดินนำไปด้านหน้า รอฉันและพระสนมเก้าเดินไปหน้าพระพักตร์ไทเฮาแล้วคำนับลงพร้อมกัน

“ถวายพระพรไทเฮาขอจงทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี”

ไทเฮาเพียงนั่งนิ่งไม่ขยับกาย ทำเอาฉันรู้สึกเย็นผิวหนังจนขนลุกชัน จู่ๆคำหนึ่งที่ฉันพบในหนังสืออ่านเล่นสมัยก่อนก็ปรากฏขึ้น

สิ่งที่น่ากลัวสำหรับหญิงออกเรือนมีเพียงสองอย่างเท่านั้น

หนึ่งคือ...สามีจะปฏิบัติอย่างไรกับพวกนาง?

สองคือ...แม่สามีจะปฏิบัติกับพวกนางอย่างไร?

คำนี้เรียกว่าจริงแท้ยามนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ฉันจึงไม่กล้าเงยหน้าเพราะอาจถูกหาว่าท้าทาย เอาแต่มองลงพื้น แม้มืออีกข้างยังคงมีพระสนมเก้าแอบกุมไว้ใต้ผ้า แต่พอพวกเราสบตากันจึงพบว่าต่างฝ่ายต่างกลัวอำนาจบารมีไทเฮาทั้งคู่ พระสนมเก้าดูสุขุมต่างจากเจ้าลิงจ๋อผู้เป็นน้อง อายุนางราวๆสิบเจ็ดสิบแปดเห็นจะได้ นางจึงมีไออุ่นของพี่สาวอยู่เต็มส่วน ทำให้ตอนฉันสบตานางแม้ตัวจะเย็นเพราะคนหลังม่านมุกมากแค่ไหน แต่ก็สามารถหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้น

“พวกเจ้ามาพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ เห็นพระสนมเยี่ยแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างเล่า?” เสียงเย็นดังกังวานไปรอบทิศ ก่อนจะเว้นระยะเงียบอยู่ครู่ พระสนมเก้าหันมาจ้องฉันแล้วยิ้มให้อ่อนโยน เริ่มพูดก่อนเป็นคนแรก

“น้องหญิงหน้าตาหมดจดงดงามอีกทั้งกิริยามารยาทเรียบร้อย...หม่อมฉันไม่แปลกใจเลยเพคะที่ฝ่าบาททรงมีราชโองการเช่นนั้น”

ฉันได้ยินเสียงแค่นหัวเราะดังลอดผ่านมาไกลๆพร้อมสายตาหนึ่งที่ปรายจิกมาจดจ้อง

“หม่อมฉันกลับคิดว่าน้องหญิงผู้นี้ ช่างเต็มไปด้วยความรู้ความสามารถยิ่ง หากมีเพียงความงามอย่างเช่นที่ซูเฟยว่าคงเป็นการดูถูกฝ่าบาทไปหน่อยกระมัง...” นางเว้นพูดแล้วถอนหายใจเล็กน้อย คำพูดนางทำให้สีหน้าพระสนมเก้าเจื่อนลงเพราะพระสนมเหวินพูดตีวัวกระทบคราดจงใจกล่าวหาว่านางดูถูกฝ่าบาท แล้วโทษดูถูกจะเป็นอย่างไรสำหรับคนๆนั้น ฉันหันไปมองไทเฮาอย่างร้อนรนแต่ไม่ได้ยินเสียงว่ากล่าวมาจากนางแม้แต่น้อย สัมผัสได้เพียงไอน้ำแข็งบางๆเท่านั้น เสียนเฟยเห็นไทเฮาทรงไม่ตรัสว่าสิ่งใดจึงทำหน้าเรียบพูดต่อ “ความจริงน้องหญิงคงมีความรู้ในการเอาชนะใจพระทัยของฝ่าบาทได้ เป็นความรู้ที่พบหาได้ยากยิ่ง เหมือนอัญมณีชิ้นหนึ่งที่ผ่านการเจียระไนอย่างดีเพคะ...”

แม้นัยคำพูดอาจดูชมเชย แต่แท้จริงกลับบอกว่าฉันคือพวกหญิงแพรวพราวมากด้วยเล่ห์กล นางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบทว่าดูถูกดูแคลนกันเห็นๆ จ้องหน้ามองตาฉันพลางยกยิ้ม ฉันจ้องนางกลับอย่างท้าทายแต่สำรวมด้วยกิริยาทำให้เสียนเฟยชะงักหน้าเพราะตอนแรกนึกว่าฉันจะไม่กล้า แต่ขอโทษด้วยที่คนอย่างเยี่ยลี่เซียนเรื่องจ้องตาแข่งกับคนอื่นถนัดเสียยิ่งกว่าหลบตาเป็นไหนๆ แต่ฉันก็เพียงจ้องตานางเป็นเพราะอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ไม่อาจเสียมารยาทได้ ความอึดอัดยังปกคลุมตำหนักต่อเนื่องยาวนาน ฉันกับนางเล่นแข่งจ้องตากันเรื่อยๆเป็นเพราะไทเฮาทรงไม่ตรัสสิ่งใด ทุกสายตาจึงเริ่มหันมองฉันกับพระสนมเหวินอย่างร้อนรน

“เหวินเสียนเฟยพูดชมน้องหญิงไปหมดแล้ว หม่อมฉันคงไม่อาจทูลสิ่งใดต่อพระองค์ได้อีก คงเห็นด้วยกับคำกล่าวของซูเฟยและเสียนเฟยเพคะ...”

ฉันกับสนมเหวินได้สติ หันมองสนมเว่ยที่จงใจพูดขัดบรรยากาศทะมึนนี้ สีหน้าลำบากใจออกมาให้เห็น ตอนนั้นที่ฉันเพิ่งรู้สึกตัวว่ามือของพระสนมเก้ากระตุกชายแขนเสื้อของฉันอยู่หลายครั้งแล้วนางหน้าซีดเหมือนกับฉันไปกินดีหมีดีเสือกล้าท้าทายคนที่ไม่สมควรเข้า แต่ฉันกลับถอนหายใจฮึดฮัดเบาๆนึกขุ่นใจขึ้นมาจนอกแทบระเบิด พระสนมเว่ยคือเว่ยกุ้ยเฟย พระสนมขั้นหนึ่งลำดับหนึ่งเหตุใดต้องเกรงใจปิดปากวางตัวเป็นกลางกับคนที่เป็นเพียงเสียนเฟยพระสนมขึ้นหนึ่งลำดับสามเช่นพระสนมเหวินเล่า!

“กุ้ยเฟย...หลายปีผ่านไป วังหลังไม่อาจทำให้เจ้าพูดมากกว่าเดิมแม้แต่น้อย” ไทเฮาตรัสขึ้นช้าๆทำเอาทุกสายตาจ้องลงพื้นเป็นระเบียบ สำหรับฉันอำนาจบารมีของนางน่าหวั่นเกรงกว่าใครในวังหลังนี้แล้ว ฉันเหลือบตามองเห็นนางยกมือจิบชาจากนั้นจึงใช้มือปาดถ้วยให้เรียบร้อย “กุ้ยเฟยสุขภาพไม่แข็งแรง ไม่นึกว่าครั้งนี้เจ้าจะมาเข้าเฝ้าข้า คุกเข่านานเช่นนี้มีแต่เป็นผลเสีย เจ้ากลับตำหนักพักผ่อนเถิด” แม้น้ำเสียงยังคงไม่เปลี่ยนแต่กลับมีแววอ่อนโยนเพิ่มมาหลายส่วนเห็นได้ชัดว่าไทเฮาทรงเมตตาพระสนมเว่ย “กงกง...ส่งพระสนมเว่ยกลับตำหนัก” นางออกคำสั่ง กงกงรับคำทันที ซอยเท้าถี่มาช่วยพระสนมเว่ยประคองตัวยืน ดูจากใบหน้าซีดของนางแล้วฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเห็นสายตาแข็งกร้าวของฉันกับพระสนมเหวินหรือเป็นเพราะร่างกายนางอ่อนแอแต่แรกกันแน่

“ขอบพระทัยไทเฮา...หม่อมฉันทูลลา”

พระสนมเว่ยรีบปลีกตัวออกไปไม่หันกลับ ดูจากนิสัยนางแล้วทั้งระวังกิริยา ทั้งระวังคำพูด หลบหลีกรู้สถานการณ์ ทั้งยังคงไว้ซึ่งความสุขุม ไม่ก่อศัตรูกับใครเปิดเผย ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดชัดเจน ดูเป็นกลางกับทุกคนทั้งที่วังหลังแล้วตำแหน่งนางถือว่าสูงสุด หากถามว่าฉันควรระวังนางหรือไม่? ฉันคงตอบว่าควรระวังอย่างไม่ลังเล คนที่ทำตัวเป็นกลางมักผันตัวเข้าฝ่ายได้เปรียบ หากฉันพูดคุยวางใจกับนางทุกเรื่องคงไม่ดีแน่

“เจ้าสองคนเองก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว เหลือเพียงแค่พระสนมเยี่ยพอ”

พระสนมเก้ามองหน้าให้กำลังใจ แอบตบหลังมือฉันเบาๆ ทูลลาไปพร้อมพระสนมเหวินซึ่งส่งสายตาเย็นมา เมื่อพวกนางพากันออกไปหมดอุณหภูมิในห้องโถงแห่งนี้ดูลดลงไปหลายส่วน ไทเฮานั่งเคาะนิ้วบนตั่งใช้ความคิด ไล่นางกำนัลและขันทีออกจากห้องโถใหญ่ นางกำนัลคนสนิทปราดตามองรอบห้อง ก้มลงคำนับให้แล้วถอยตัวออกเป็นคนสุดท้าย ปิดประตูตำหนักเงียบเสียงแล้วยืนเฝ้าอยู่ข้างหน้า ตอนนั้นเองที่ฉันคุกเข่าตัวแข็งไม่กล้าขยับเลยแม้แต่น้อย เพราะรู้ว่าเรื่องต่อไปนี้เป็นความลับที่ไม่อาจเปิดเผย เรื่องที่พระนางทรงตรัสขึ้นทุกประโยค หากฉันเผยเล่าให้ใครก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง หรือกระทั่งหากเรื่องนี้เล็ดลอดออกไปฉันก็ไม่รอดเช่นกัน คิดได้เช่นนี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่กลัวตัวสั่นได้

“ขยับมาใกล้ๆ”

ถึงนางจะพูดให้ฉันขยับตัว แต่ฉันกลับนั่งแข็งเป็นหินอยู่ตรงนั้น จะก้าวก็ก้าวไม่ออก จะลุกก็ลุกไม่ได้ เหมือนขาเป็นเหน็บเนื้อตัวอ่อนแรงเสียแบบนั้น ฉันก้มหน้าได้ยินเสียงพระนางสรวลขึ้นน้อยๆ เสียงหัวเราะเย็นยะเยียบจับหัวใจ จากนั้นนางจึงพูดเสียงเบาว่า

“เงยหน้า”

ตอนนางสั่งครั้งแรกฉันกลับไม่ยอมทำตาม คราวนี้เลยจำนนค่อยๆเงยขึ้นสบพระพักตร์ ฉันเห็นเพียงม่านลูกปัดและเงาเรือนรางของพระนาง แม้เห็นเพียงเท่านั้นแต่กลับรู้ได้ว่าพระนางรูปโฉมงดงามมากแค่ไหน เห็นรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นฉันก็พลันโล่งใจ นางขยับถ้วยชาในมือเล่น ทางหนึ่งมองถ้วยชา ทางหนึ่งพูดบอกฉัน

“เห็นเจ้าแล้วทำให้ข้านึกถึงก้อนหินประดับในสวนนัก” นางเว้นระยะพูดเลื่อนสายตามาจดจ้องฉัน “ฝ่าบาททรงโปรดปรานเจ้ามาก ทุกอย่างล้วนน่ายินดีทั้งนั้น หากเจ้าฉลาดพอควรรีบมีโอรสให้พระองค์เร็ววัน สกุลเยี่ยไม่มีทั้งศัตรูและคนหนุนหลัง แต่สกุลจวี๋สามารถให้เจ้าได้”

ฉันกลืนน้ำลายแต่คอกลับสากแห้ง จึงได้แต่ฝืนเชิดหน้ามองยิ้มน้อยๆส่งไป ตามประวัติศาสตร์พระนางถือได้ว่าเฉียบแหลม เด็ดขาด เคยคิดล้มราชบัลลังก์ฮ่องเต้องค์ก่อนเพื่อให้พระโอรสขึ้นครองราชย์ ทำการก่อกบฏน่านชิงเป็สาเหตุของจุดแตกหักและเกิดใหม่ของรัชสมัยนี้ หากใครคิดทรยศพระนางไม่แม้แต่จะเก็บเงาหัวคนนั้นไว้ เป็นไทเฮาผู้อยู่หลังม่านชักใยฮองเฮาขึ้นในรัชสมัยโอรสของพระนาง หากฉันจำไม่ผิดฮองเฮาองค์ถัดไปไม่ใช่สกุลเยี่ยแต่คือสกุลวัง หนึ่งในสกุลขุนนางบุ๋นผู้ยิ่งใหญ่ในรัชศกนี้ บุตรีของวังหวังจิ้น นามของพระนางคือวังซูซิน สตรีนางหนึ่งผู้ถูกประวัติศาสตร์จารึกว่าเป็นเลิศทั้งด้านความงามและสติปัญญา ฉันได้แต่ฟังแต่ไม่อาจค้าน รู้ดีว่าตนไม่อาจเอื้อมสิ่งเกินคว้าเหล่านั้นได้ สักวันวังซูซินคงปรากฏตัวขึ้นนั่งอยู่บนเก้าอี้บัลลังก์หงส์ตรงนั้น ไม่ใช่ฉัน...เยี่ยลี่เซียนผู้รอบรู้เพียงประวัติศาสตร์สมัยนี้และถูกย้อนเวลามาเท่านั้น

“ขอบพระทัยไทเฮา”

ฉันพูดเสียงเบาก้มศีรษะลงต่ำนอบน้อม พระนางเงียบอยู่พักใหญ่ปรายมือให้ฉันลุก ฉันจึงลุก

“จำให้ดี...วันนี้เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว”

“ไทเฮาทรงเมตตาลี่เซียนแล้ว ลี่เซียนจะจดจำ” พระนางปัดมือฉันจึงก้มหน้าคำนับนอบน้อม “หม่อมฉันทูลลาเพคะ”

มือฉันเต็มไปด้วยเหงื่อแต่เนื้อตัวกลับเย็นเฉียบ ตอนถวายบังคมแม้ใบหน้าไม่แสดงสิ่งใดให้เห็นแต่ข้างในหัวใจกลับตีรวนดั่งกลอง ไม่รู้ว่าตนเองก้าวขาพ้นตำหนักพระนางมาได้อย่างไร ตอนสายลมพัดเอื่อยพัดมาจึงรู้ว่ามือหนึ่งได้กุมอกแน่น ส่วนอีกมือพิงเสาต้นหนึ่งไม่ให้เซล้ม ฉันใช้พลังกายไปจนหมดเปลือก แทบไม่เหลือให้ขาที่สั่นเดินก้าวไปไหน ฟางหรูเห็นหน้าฉันซีดเซียวเลยเข้ามาช่วยประคองตัวกลับตำหนักไป รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกนกน้อยเพิ่งเข้าไปเผชิญหน้ากับสิงโตตัวใหญ่แล้วกลับออกมาครบสามสิบสี่ดี เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์เรื่องหนึ่ง รองจากการที่ฉันสามารถย้อนเวลามาที่นี่

 

กลับมาตำหนักสี่กงกงกำลังยืนชี้นิ้วสั่งการขันทีและเหล่านางกำนัลรับใช้ เก้าอี้ โต๊ะ งานเอกสารกองหนึ่งถูกยกเข้ามาไว้ในตำหนักเหมยฮวาของฉัน คิ้วขมวดสงสัยหันมองหน้าฟางหรูทีหนึ่ง นางส่ายหัวตอบกลับมาแล้วเดินไปหาสี่กงกง กระซิบกระซาบกันอยู่ครู่ สี่กงกงจึงหันมามองฉันแล้วรีบเดินเข้ามาหา ยกยิ้มเล็กน้อยก้มลงคำนับ

“ถวายพระพรพระสนม”

ฉันพยักหน้าน้อยๆเชิงลุกขึ้น “สี่กงกงลี่เกิดอะไรขึ้นหรือ”

สี่กงกงกุมมือขึ้นพูดต่อ “ทูลพระสนม ฝ่าบาทมีพระประสงค์ค้างคืนที่ตำหนักเหมยฮวาไม่มีกำหนดพะยะคะ”

ฉันเบิกตากว้าง “ไม่มีกำหนดได้อย่างไร?” เดิมฮ่องเต้ต้องเสี่ยงทายป้ายเพื่อค้างคืนกับเหล่าสนม แต่พระองค์กลับย้ายข้าวของลงตำหนักเล็กสุดในวังหลังเพื่อค้างคืนในตำหนักฉัน นี่มันไม่ผิดแปลกธรรมเนียมไปหน่อยหรือ?

กงกงเห็นฉันทำท่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจึงเดินเข้ามาใกล้เล็กน้อยมองเหล่านางกำนัลรับใช้ของฉันด้วยสายตา ฉันจึงรู้นัยที ยกมือไล่พวกนางรวมทั้งฟางหรูให้ก้าวถอยออกไป เมื่อกงกงเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ จึงกล้าพูดต่อด้วยน้ำเสียงเบา

“วังหลังไร้ฮองเฮาดูแล ตอนนี้ไทเฮาทรงลงมาดูแลกฎระเบียบด้วยพระองค์เอง อีกทั้งวังหลังมีเพียงพระสนมสี่พระองค์เท่านั้น พระสนมเยี่ยถือได้ว่าเป็นที่โปรดปราดกว่าพระสนมองค์อื่น หากไทเฮาไม่ถือสาใครเล่าจะกล้าถือสาฝ่าบาทได้ พระสนมอย่าได้ทรงคิดมากเลย”

ฉันเม้มปากแน่น ไม่ต้องคิดสิ่งใดก็สามารถรู้ได้ว่าแผนการนี้คือของใคร มองกงกงที่เหลือบตามา “ข้าเข้าใจแล้ว”

“เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อนพะยะคะ”

ฉันพยักหน้าอีกครั้ง กงกงจึงถอยตัวจากไป ฉันนั่งลงในสวนมองพวกเขาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเสร็จสรรพก่อนจะพากันล่าถอยออกไป พอก้าวขาเข้าตำหนักอีกครั้ง เห็นเก้าอี้ไม้ลายมังกรและโต๊ะทำงานอีกตัวหนึ่งวางอยู่ ตำหนักเหม่ยฮวาที่แม้จะเล็กกว่าตำหนักของพระสนมอีกสาม แต่ก็กว้างใหญ่พอจะเดินสำรวจได้ครึ่งวันจึงแคบลงถนัดตา ทางเดินโล่งที่เคยมีไว้มองทิวทัศน์และเล่นพิณ กลับเต็มไปด้วยชั้นหนังสือ ห้องนอนมีกองเอกสารไม้กองพะเนินเป็นภูเขา ส่วนอีกด้านถัดไป เป็นเก้าอี้ไม้ตัวยาวตั้งอยู่ ฉันจึงเห็นว่าชีวิตฮ่องเต้ไม่ได้มีด้านหรูหราเพียงอย่างเดียว แต่กองฎีกาไม้เหล่านี้บ่งบอกได้ว่าพระองค์ต้องทุ่มเทเพื่อแผ่นดินมากเท่าไหร่ 

ฉันเดินสำรวจโต๊ะทำงานของพระองค์ จับพู่กันอย่างเก้อเขินเพียงนึกว่าพระองค์เคยจับเขียนทุกวัน ฝ่ามือฉันพลันอบอุ่นขึ้นมา ฉันหยิบพู่กันมาพร้อมกระดาษเนื้อดีอีกแผ่น นึกสนุกอยากวาดใบหน้าของพระองค์ตอนที่ยังว่าง จึงนั่งลงบนโต๊ะอีกตัวมองกระดาษว่างพลางคิดว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน เห็นแบบนี้สมัยเป็นซูหลินฉันคือสถาปนิกมือดีคนหนึ่งที่เรียนแพทย์มาหลายปีแล้วเกิดใจเสาะสอบใหม่เสียแบบนั้นเรื่องวาดรูปจึงเป็นของถนัดของฉันนัก!  ฉันหลับตาลงพร้อมใบหน้าพระองค์ที่ฉายขึ้นชัดเจน ยกยิ้มน้อยๆ แล้วค่อยๆวาดใบหน้าพระองค์ออกมาทีละส่วน

นี่คือดวงตาอ่อนโยนคู่นั้น....นี่คือคิ้วเรียวของท่าน นี่คือริมฝีปากของท่าน...

พู่กันหยุดชะงัก มือจับใบหน้าร้อนผ่าวเอาไว้ ริมฝีปากของพระองค์เมื่อตอนเราหมุนตัวหยุดลงหน้าต้นหลิว...ตอนนั้นพระองค์จะคิดสิ่งใดบ้างฉันไม่อาจล่วงรู้ เพราะฉันรู้เพียงว่าหัวใจฉันเต้นเร็วอย่างไร...

ฉันยกพู่กันวาดลงอีกครั้ง เพิ่มต้นหลิวลงเป็นฉากหลัง กว่าจะรู้ตัวก็เพลิดเพลินเวลาทั้งหมดไปกับภาพเหมือนหนึ่งใบมือไม้เต็มไปด้วยหมึกดำเปื้อนอยู่ ตะวันเริ่มคล้อยต่ำลง พระองค์ยังคงไม่เสด็จมาหา ฉันชะเง้อมองประตูตำหนักเท้าคางลงแล้วเผลอหลับไป... 

อัพครั้งแรก : 7/3/58 รีไรท์ : //58ปล. เฮียจ๋าอย่าปล่อยหนูลี่รอนาน (เครดิตเรื่อง บูเช็กเทียนฟ่านปิงปิง)

เกร็ดน่ารู้ฉบับหนูเหม่ย- พวกตัดชายเสื้อ : ใช้เรียกเกย์สมัยก่อนมาจากฮ่องเต้ไอ่กับต่งเสียง บางคนคงรู้พระประวัติแล้ว- ลำดับสนม : ขอพูดส่วนที่ปรากฏในบทนี้             ฮองเฮา (ว่าง แต่อนาคตคือวังซูซิน)             พระสนมขั้นหนึ่ง : กุ้ยเฟย (พระสนมเว่ย) ซูเฟย (พระสนมเก้า) เสียนเฟย (พระสนมเหวิน) เต๋อเฟย (ว่าง)             พระสนมขั้นที่หนึ่งรอง : ฟูเหริน (หนูลี่)- กินดีหมีดีเสือ : ใจกล้าบ้าบิ่นเหมือนไปกินดีหมีดีเสือมา หรือกล้าเกินขอบเขตที่สมควรเจ้าค่ะ- จุดแต้มแดงหรือ zhu sa :  เป็นเจ้าตุ๊กแกพันธ์ุหนึ่งที่ตรงจุดหนังน่าเกลียดมันไวต่ออุณหภูมิ ดังนั้นในวังหลวงสมัยก่อนจึงมีกลอุบายแต้มไว้ท้องแขน (อันที่จริงแต้มไว้ในจุดที่ไวต่อการสัมผัส) เพื่อเวลาทำเรื่องอย่างว่าพออุณหภูมิสูงขึ้นจุดจะจางหายไป อีกอย่างคือกลอุบายที่ไม่ให้ใครกล้ายุ่งกับหญิงสาวของฮ่องเต้ อันที่จริงวิธีตรวจที่เห็นผลสุดคือตรวจรอยแดงบนเตียงนอน ความจริงเหม่ยจะลงส่วน zhu sa นี้แต่คิดว่า ทางวิทยาศาสตร์แทบไม่รองรับจุดแดงเกี่ยวกับพรหมจรรย์ของหญิงสาวแม้แต่น้อย นอกจากเยื่อฉีกขาดซึ่งสมัยก่อนคงไม่มีหญิงคนไหนถีบจักรยานเล่นอะไรแผลงๆเหมือนสมัยนี้แน่ๆ5555

สวัสดีเจ้าค้า!!!

หนีฮ่าวเจ้าค่ะ >_< ตอนที่แล้วเฮียเฟิ่งคงขโมยใจฮูหยินไปหลายคน (ร้ายนะเฮีย) ความจริงเฮียแกไม่ได้อบอุ่นอย่างเดียวนะเจ้าค่ะ ซึ่งบทนี้ฮูหยินทั้งหลายอาจเห็นอีกด้านของเฮียเข้า คิคิคิ ฮูหยินมีใครอ่านเรื่องก่อนบ้าง? คงรู้สินะเจ้าค่ะว่าเฮียแกขี้แกล้งขนาดไหน!         มีคนบ่นคิดถึงเรื่องก่อน เหม่ยเองก็เลยนึกคึกอยากลงส่วนที่รีไรท์อีกรอบ เพราะหลายบทมันต่างกันหน่ะสิเจ้าค่ะ คือมีบิดไปบ้างเล็กน้อย อืม...ลงซ้ำให้ฮูหยินได้อ่านเล่นกันดีไหมน้อออ แต่คราวก่อนโดนก็อปไปเลยชั่งใจมากเจ้าค่ะ คิดไม่ออกบอกไม่ถูกจริงๆปล.ช่วงนี้อัพช้านิดนุง >< แบบว่าเหม่ยงานเยอะเจ้าค่ะ แต่จะพยายามมาเรื่อยๆหนาาาา จุ๊บๆ ร้อยเปอร์แล้วนะเออออออออ แม้มาน้อยแต่ตั้งใจมากนะเจ้าค่ะ ^___^ หวังว่าตอนปิดจะอบอุ่นหัวใจเช่นเดิม อย่างที่บอกไว้เรื่องนี้ละมุนละไม ทั้งอยยิ้มและเคล้าน้ำตา (มาม่า...มาม่าหอมอร่อย)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา