บันทึกรักข้ามเวลา <ตีพิมพ์ สนพ.ปริ๊นเซส สถาพรบุ๊ค>

9.8

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.20 น.

  20 บทที่
  3 วิจารณ์
  34.18K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559 04.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) บทที่ 6 สายน้ำไม่ไหลกลับ ไยต้องคำนึงถึง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 6

สายน้ำไม่ไหลกลับ ไยต้องคำนึงถึง

               หากกล่าวว่าสายตาฉันสามารถฆ่าคนได้ ตอนนี้มันคงทิ่มแทงคนตรงหน้าเป็นรูพรุนทั่วร่าง ทันทีที่หานตงสะบัดชายเสื้อข้ามกำแพงมาฉันก็เอาแต่จ้องเขาเย็นชาโกรธขึง ดูเหมือนเขาจะชินท่าทีนี้เลยไม่สนใจอะไร ปัดเสื้อเปื้อนฝุ่นอยู่ครู่หนึ่ง เดินท่าทางสบายๆมาหา

               “ยินดีนักที่แม่นางอยากพบข้า”

               ฉันส่งเสียงหึเย็นชาใส่ “อย่าได้ใจ ข้าเพียงอยากรู้ว่าเจ้ามีเหตุผลใดต้องส่งคนมาเฝ้าติดตามพวกข้าดึกดื่นเช่นนี้ หากเหตุผลดีพอข้าจะให้อภัย แต่หากไม่...ข้าคงไม่อาจมีมิตรไมตรีร่วมสหายกับเจ้าได้”

               คนฟังเพียงก้มหน้าลงน้อยๆ จากนั้นก็เงยขึ้นทั้งสีหน้ากระอักกระอ่วนแต่ก็ไม่ได้คิดว่าตนผิดเต็มร้อย “หากแม่นางโกรธข้า แม่นางคงไม่ผิด แต่ข้าก็มีเหตุผลในการตัดสินใจทำเช่นนี้”

               ฉันจ้องหน้าเขาเขม็งส่งเสียเหอะ พลางกล่าว “เหตุผลอะไรของเจ้า?”

               เขาคลี่ยิ้มบางตอบ “ข้าเพียงคิดว่าเรือนบุปผางามไม่ปลอดภัยพอสำหรับแม่นาง เรือนไผ่ของแม่นางเป็นทางผ่านชั้นดีก่อนถึงจวนสกุลเก้าและเรือนพวกข้า หากศัตรูจวนสกุลเก้าต้องการใช้เส้นทางปลอดภัยจำต้องอ้อมผ่านเรือนนอนแม่นาง หรือหากศัตรูเรือนพวกข้าต้องการใช้เส้นทางกระโจนข้ามกำแพง คงเลือกผ่านเรือนแม่นางเช่นกัน”

               ฉันเลิกคิ้วขึ้นสูง ที่เขาพูดมาล้วนมีเหตุผลไม่มากก็น้อย หากจะใช้เป็นข้ออ้างก็สามารถเป็นข้ออ้างได้และหากกล่าวคำห่วงจากใจก็คงเป็นไปได้เช่นกัน เรือนนอนของพวกฉันอยู่มุมสุดทางทิศตะวันออกของเรือนบุปผางาม เพราะท่านเจ้าเรือนต้องการให้ฉันฝึกฝนท่องตำราในเรือนไผ่ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบจะได้มีจิตใจจดจ่อกับตำราหนังสือ ดังนั้นหากใช้เป็นทางปีนข้ามกำแพงไปสองเรือนนี้คงไม่มีใครทันสังเกตเห็นแม้แต่น้อย ฉันลอบถอนหายใจ นั่งลงบนก้อนหินใหญ่ใต้ต้นไม้ ยังไงสกุลเก้าย่อมมีศัตรู และสกุลจ้าวย่อมหนีไม่พ้นโจรขโมยของ ความที่เขาพูดมาเลยไม่กล้าเถียงไปเต็มร้อย

               “ข้าเพียงห่วงแม่นางเท่านั้น”

               ฉันหันมองตามเสียง ใบหน้าเคร่งครึมเย็นชาเต็มไปด้วยคำพูดจริงใจไม่แสร้งทำ เพียงแต่ใบหน้าเขาทำให้ฉันอึดอัด หากไม่เหมือนกันมากขนาดนี้คงดีเสียกว่า เสมองทางอื่น ยิ่งจ้องมองยิ่งยากจะทำใจ

“ขอบใจเจ้ามาก” กล่าวเสร็จก็ลุกขึ้นยืน หันมองรอยยิ้มของเขาที่ยกขึ้นเพราะคำขอบคุณเล็กน้อยนั่น คราวก่อนฉันแสร้งทำไม่รู้ว่าหานตงรู้สึกกับฉันเป็นพิเศษ แต่ครั้งนี้คงแสร้งทำไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้อีกเลยกล่าวขอบคุณไปตามมารยาท ก่อนจงใจเอ่ยวาจาเชือดเฉือนให้ตัดใจว่า “แต่วันพรุ่งนี้และวันต่อไป ข้าขอให้เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้อีก ข้าจะเป็นอะไรก็เรื่องของข้า ข้าจะมีชีวิตเช่นไรก็เรื่องของข้า เจ้าอย่าได้ยุ่งย่ามมากความ บอกหลิงเยว่ให้เลิกเฝ้าพวกข้าเสีย” รอยยิ้มบนใบหน้าเขาพลันหายไป เขาเม้มปากแน่น ดวงตาฉายแววสงสัยไม่เข้าใจ

ใจฉันไม่แข็งแรงพอจะมองหน้าเขาต่อ จึงหันหนีไปทางหนึ่ง แต่หากไม่พูดจาทำร้ายเขา เขายิ่งรู้สึกมีหวัง สู้ทำร้ายให้เขาตัดใจเสียตั้งแต่เนิ่นๆจะเป็นผลดีต่อเขาและตัวฉันเอง

               “ข้าทำไม่ได้” ฉันหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง ทั้งงุนงงทั้งสับสน “ลี่เซียน...” สายตาฉันสั่นไหวรุนแรง เพราะเป็นครั้งแรกที่ถูกเขาเรียกชื่อตรงๆ เขาพูดขึ้นอีกครั้งด้วยคำพูดที่ยกระดับความสัมพันธ์ขึ้น  “หากเจ้าเป็นอะไรทั้งที่เราอยู่ใกล้กันเพียงไม่กี่ก้าว ข้าคงโทษตัวเองไปชั่วชีวิต”

               ฉันอ้าปากจะโต้กลับแต่ก็ทำได้แค่อ้าปากค้าง หลายครั้งคิดจะพูดออกมาแต่ก็ไม่พูด พอจะพูดออกมาอีกก็ไม่กล้าพูดอีก ยืนอึกอักอยู่ตรงนั้นนานสองนาน

ทุกครั้ง...ยิ่งหานตงแสดงว่าห่วงฉัน หัวใจฉันยิ่งเจ็บทวีคูณ ยิ่งเขาแสดงว่าชอบฉัน ฉันยิ่งเกลียดความรู้สึกต่อต้านสับสนของตัวเอง หานตงไม่ผิดอะไรแม้แต่น้อย แต่ฉันก็ไม่สามารถยืนมองหน้าเขาได้เต็มตาสักครั้ง ฉันหันหน้าหนียืนนิ่งอยู่นาน จากนั้นก็ขยับขาก้าวออก รู้เพียงว่าต้องการไปให้พ้น หนีจากสถานการณ์น่าอึดอัดเช่นนี้ จึงเดินออกมาทั้งที่ไม่ตอบอะไรเขาสักคำ

“ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดข้า!” เขาตะโกนไล่หลัง ฝีเท้าฉันเลยหยุดกึกเพื่อฟังเขา เสียงเขาหายไปช่วงหนึ่งแต่พอรู้ว่าหยุดฉันไว้ได้เลยตะโกนต่อว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีทางจะหันมองข้าได้...” เสียงเขาเบาลงเรื่อยๆจนเป็นปกติ “เจ้าจะด่าข้า ว่าข้า หรือทำอย่างไรข้าย่อมทนรับได้ แต่เจ้าเพียงให้ข้าได้มองเจ้าบ้าง ได้ดูแลเจ้าบ้าง ได้หรือไม่?”

            ฉันแทบทรุดลงพื้นตอนเขาพูดจบ อ่อนแอ...ฉันช่างอ่อนแอจนปวกเปียก ขาฉันสั่นไปหมดแต่สิ่งที่ทำให้ฉันยืนไม่อยู่ยิ่งกว่านั่นคือความปวดปร่าของหัวใจ ฉันพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ร้องออกมา คิดว่าคนๆเดียวไม่ควรทำฉันล้มทั้งยืนได้ขนาดนี้ แต่ยิ่งทำเป็นเข้มแข็งเท่าไหร่ร่างกายยิ่งยากต้านทานความเจ็บปวดของหัวใจได้ ฝืนเดินอีกเพียงไม่กี่ก้าวร่างฉันก็ล้มลงทั้งร่าง

พรึบ!

“ลี่เซียน!”

น้ำเสียงร้อนรนมาพร้อมมือหนึ่งโอบรอบตัวไม่ให้หล่นกระทบพื้น ฉันนอนหายใจหอบ ไม่เคยเป็นลมสักครั้ง ครั้งนี้เลยได้สัมผัสเป็นคราแรก ในใจรู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อยล้า เมื่อเงยหน้าลืมตาชัดจึงเห็นหน้าหานตงอยู่ใกล้ ฉันรีบสะบัดมือเขาออกทันที พยายามดีดดิ้นหลุดจากอ้อมแขนแต่ทว่าไร้ผลใดๆ

               “อย่าดื้อให้มากนัก!” จู่ๆเขาก็ทำเสียงดุใส่ แข็งขืนกดตัวฉันนอนในอ้อมแขน ใบหน้าไม่เลื่อนห่างเพราะเขารู้ว่าหากฉันเงยขึ้นแล้วดิ้น ริมฝีปากคงได้ประกบชิดพอดี เดิมเขามักทำหน้าเย็นชาเหี้ยมเกรียมแต่ตอนนี้ยิ่งแผ่รังสีอึดอัดจนต้องจำนน “นิ่ง!” เขาพูดอีกคำฉันก็อึ้งสนิทไม่นึกว่าจะโดนดุเป็นเด็กน้อย ยอมทำตามคำสั่งเขาอยู่ครู่หนึ่ง มองเขาหยิบสมุนไพรจากสาบเสื้อยื่นส่งให้ดมแก้วิงเวียน จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมตัวเองห่มฉันไว้ “ส่วนหนึ่งที่เจ้าล้มลงเป็นเพราะความผิดข้า ยังไงให้ข้าได้ไถ่ถอนความผิดนี้บ้างเถอะ” เขาเริ่มกลับไปอ่อนโยนสุขุมดังเดิม ฉันจึงเม้นปากเงยมองเขา จากนั้นก็ขัดขืนปัดมือเขาออกอีกครั้ง

               “ขอบใจเจ้ามาก” ฉันฝืนลุกแล้วเดินต่อ แต่เขาก็ยังเดินตามมาส่งใกล้ๆ ทางหนึ่งมองฉัน ทางหนึ่งเตรียมป้องมือประคองหากฉันล้มลงไปอีกครั้ง

               ฉันหยุดฝีเท้าดังกึก เขาก็หยุดตามมาติดๆ จากนั้นก็หมุนตัวไปมองเขา เดินถอยหลังพลางนับว่า “หนึ่ง สอง สาม!” เขาเลิกคิ้วสงสัยแต่ก็ไม่เดินตามมา “ต่อจากนี้ห้ามเข้าใกล้ตัวข้าเกินสามก้าว!” ตอนแรกฉันคิดว่าหากบอกไปเขาจะอึกอักไม่รับคำแต่ผิดคาด เพราะทันทีที่ฉันพูดจบเขาก็เอ่ยปากรับคำทันที

               “ตกลง!” หานตงยกยิ้มพลางกล่าวต่อ “ข้าจะไม่เข้าใกล้เจ้าเกินสามก้าว แต่หากหลังจากสามก้าวข้าย่อมยืนอยู่ได้” ฉันอ้าปาก เตรียมยกมือเถียง แต่เขากลับทำหน้าไม่ยอมแพ้ยกมือชี้ริมฝีปากฉัน กล่าวว่า “พูดแล้วไม่คืนคำ แม้บุรุษหรือสตรีย่อมควรทำตามคำกล่าวแรกของตน” ฉันเงียบปากสนิท แม้โกรธแต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ เป็นวาจาตัวเองมีช่องว่างให้คนได้โอกาสแล้วคิดจะพลิกลิ้นเล่นคำให้เสียศักดิ์ศรีก็ไม่ใช่เรื่อง เลยได้แต่ยืนหน้าแดงโมโหตัวเอง

               “ตามใจเจ้า!”

               ขี้คร้านจะเถียงต่อ จึงหมุนตัวเดินกลับเรือนไผ่ พอเสียงประตูปิดดัง ปัง หานตงก็โบกมือลอดช่องประตูแล้วจากไป กระทั่งนาทีสุดท้ายเขายังไม่วายยิ้มอารมณ์ดี ฉันค้อนตาใส่ประตูถึงจะไม่รู้ว่าทำให้ใครเห็น จากนั้นก็นั่งลงกลางห้อง ฟางหรูเองยังหงุดหงิดไม่หายเหมือนกัน เราสองเลยต่างคนต่างอยู่ในมุมของตัวเองยกหมอนมาตบตีระบายความอัดอั้นในใจ

 

เช้านี้เป็นวันหยุดพักผ่อน สาวๆเรือนบุปผางามได้โอกาสครั้งแรกออกนอกเรือนเลยต่างร่าเริงเป็นพิเศษ ป้าเผิงยึดป้ายชื่อเด็กสาวแต่ละคนตอนเดินออกประตู ทั้งนี้เพื่อตรวจตราว่าใครออกจากเรือนและกลับเข้าเรือนช้าบ้าง วันนี้เด็กสาวบางคนมีบิดามารดามารอรับ บางคนมาไกลจากเมืองอื่นก็ได้แต่เดินเที่ยวเล่นสบายอารมณ์ในฉิงฉวนเป็นครั้งแรก

ฉันและฟางหรูยังไม่มีแผนจะออกไปไหนเลยนั่งอื้ออึงกันสองคนในเรือนไผ่ ขณะที่กำลังนั่งงุดหมดอารมณ์ ผิงเอ๋อและหมินหมินข้ารับใช้ของฟางหรูก็เดินเข้ามา พวกนางเพิ่งกลับจากการสะสางงานข้ารับใช้ในเรือนบุปผางาม ปรี่วิ่งเข้าเรือนนอนเพื่อปรนนิบัตรพวกฉันต่อ พอเห็นผู้เป็นนายนั่งซังกะตายเงียบเหงาอยู่สองคน พวกนางเลยเข้าใกล้อย่างระวังจากนั้นจึงเอ่ยถาม

“คุณหนู...ไม่ออกไปเดินเล่นหรือเจ้าคะ?”

หมินหมินเอ่ยถามฟางหรู นางกำลังนั่งปิดปากแน่นพลางส่ายหัว ฉันเลยขยิบตาให้หมินหมินพลางบอกนางว่า

“หมินหมิน นายของเจ้ากำลังควบคุมจิตใจ หากนางเดินออกจากเรือนบุปผางามเจอของน่าทานข้างทางเข้า ข้าคิดว่านางคงทำใจไม่ไหว”

“หมินหมินเข้าใจแล้ว”

หมินหมินทำหน้าเหยเก พยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นก็ทำตัวลีบอยู่ข้างฟางหรู เป็นเพราะหลิงเยว่ทำให้ฟางหรูพยายามมากขนาดนี้ ฉันเลยไม่รู้ว่านี่คือผลดีหรือผลร้ายสำหรับตัวนางกันแน่ แต่หลายวันมานี้ฟางหรูดูจะซูบผอมไปไม่น้อย ส่วนตอนค่ำก็ยังทะเลาะกับหลิงเยว่ที่ข้ามมาเฝ้ายามทุกคืน แม้ทั้งสองจะไม่ถูกกันแต่ก็สนิทกันไวกว่าสหายคู่ไหน ส่วนฉันหลังจากวันแรกที่เข้าเรือนบุปผางามมาก็ยังไม่ได้พบหลิ่งถิงสักครั้ง ได้ข่าวว่าเขาถูกฝ่าบาทเรียกพบเพราะเรื่องบางอย่างและเรื่องนี้มีพระสนมเก้ามาเกี่ยวข้องด้วย แม้จะไม่รู้ว่าคือเรื่องอะไรแต่ทุกสิ่งคงสืบเนื่องมาจากคืนวันเกิดของเขาเป็นแน่ ดังนั้นคนที่มาก่อกวนฉันทุกวันยังคงเป็นหานตงเช่นเดิม

“คุณหนูเจ้าค่ะ ไปเดินเล่นกันดีไหมเจ้าคะ?”

“ผิงเอ๋อหากข้าทิ้งฟางหรูไว้คงไม่อาจเรียกตัวเองว่าสหายนางได้อีก หากเจ้าเบื่อเช่นนั้นเราไปเดินเล่นสวนดอกไม้ทางตะวันตกกันเถอะ”

ผิงเอ๋อรับคำก่อนจะเตรียมร่มมาบังหน้า ก่อนจะลงเรือนไปฉันหันหน้าไปมองฟางหรูแวบหนึ่งแต่นางก็เอาแต่ส่ายศีรษะลูกเดียว ฉันเลยได้แต่เอ่ยไปว่า “เดี๋ยวข้าจะกลับมา พาผิงเอ๋อไปยืดเส้นยืดสายหน่อย”

“เจ้าไปเถอะ ข้าทนไหว”

ฟางหรูยกมือโบกเป็นสัญญาณ ฉันเลยได้แต่ยิ้มให้แล้วลงมาผู้เดียว สวนดอกไม้ในเรือนบุปผางาม งดงามเหมือนชื่อเรือน ดอกไม้นานาพันธ์ตั้งเรียงราย ล้อมรอบศาลากลางน้ำ เดิมพวกมันถูกปลูกไว้ให้พวกเราศึกษา จำชื่อและคัดบทกลอน แต่สิ่งเหล่านี้ป้าเผิงไม่ได้บังคับว่าใครจะทำมากทำน้อยเท่าไหร่เพราะนางให้พวกเราทำแค่ยามเดินเที่ยวเล่นในสวนเป็นการฆ่าเวลา เพียงแต่หากใครทำได้มากก็จะดีกับตัว ดังนั้นสวนดอกไม้แห่งนี้คงเป็นสถานที่ศึกษากลายๆแห่งหนึ่ง ไม่ได้มีไว้พักใจสูดดมกลิ่นหอมเหมือนที่อื่น ผิงเอ๋อดูผ่อนคลายขึ้นมากเพราะหลายอาทิตย์นางเอาแต่รวมตัวกับเหล่าข้ารับใช้คนอื่นทำงานหนักเช่น ซักผ้า ทำครัวเตรียมสำรับให้พวกเราไม่ได้ยุ่งกับพวกฉันมากมายนัก ส่วนพวกฉันก็พบหน้าพวกนางแค่เพียงตอนค่ำก่อนพวกเราหลับ วันหยุดวันนี้ผิงเอ๋อเลยไม่ต้องทำงานหนักอีกและได้จุ่มเท้าลงบ่อน้ำเริงร่ากับพวกปลาแทน

ฉันนั่งอยู่กลางศาลาก่อสร้าง มองวิวทิวทัศน์รอบสวนพลางท่องบทกลอนไปด้วย อากาศกำลังดีไม่ร้อนมากไม่หนาวมาก ลมพัดเย็นสบายเหมาะกับการท่องหนังสือตำรา แต่ฉันกลับปิดตำราลงในมือ ค้นห่อผ้าหยิบพู่กันและกระดาษมากางไว้จากนั้นก็ลงมือวาดภาพ แต่ไหนแต่ไรเวลาอารมณ์ดีฉันชอบหยิบสมุดเล่มน้อยมาวาดรูปเสมอและนิสัยนี้ยังคงติดตัวเรื่อยมา ฉันยกพู่กันวาดภาพนกเป็ดน้ำสองตัวคลอเคลียกันในบ่อ ฉากหลังเป็นต้นหลิวต้นใหญ่ จุ่มใบใกล้ปลายน้ำ ดูแล้วช่างน่าประทับใจในความรักของสัตว์ตัวเล็กทั้งสองนัก

เลื่อนสายตาขึ้นมองภาพตรงหน้าอีกครั้ง เยื้องออกไปเล็กน้อยเป็นป้าเผิงกับหนึ่งบุรุษกำลังคุยกันอยู่หลังต้นหลิว ทำตัวลับๆล่อๆทำเอาฉันยกยิ้มซุกซนไม่ได้ ใจหนึ่งคิดว่าอาจไม่มีอะไรแต่อีกใจหนึ่งกลับคิดเล่นๆว่านั่นคือคนรักของป้าเผิงเป็นแน่ แม้นางจะชอบดุพวกฉันประจำ จนมีแต่คนนินทาว่านางไม่น่ามีชายใดกล้ามาข้องแวะจนหัวหงอกขาว แต่หากพวกนางได้เห็นใบหน้าป้าเผิงตอนนี้พวกนางอาจคิดเสียใหม่ เพราะคนไร้จิตใจหากอยู่ต่อหน้าคนรักย่อมมีใบหน้าวาบหวามปรากฏให้เห็น ฉันส่ายศีรษะไล่เรื่องวุ่นวายของป้าเผิงออกจากสมองแล้วตั้งใจวาดภาพต่อ

ตอนนี้ป้าเผิงหลุบตัวจากไปแล้ว แต่บุรุษผู้นั้นกลับยังไม่ไปไหน ทั้งยังนั่งลงใต้ต้นหลิว มือเปิดหมวกบนหัวมาพัดหน้า ดูแล้วตรึงใจชอบกล ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเผลอไปมองเขาตอนไหน รู้อีกทีมือก็วาดตัวเขาเติมลงภาพไปเสียแล้ว

“อะไรกัน...”

แม้จะสับสนแต่ก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ ฉันวางภาพวาดสมบูรณ์ลงโต๊ะ จากนั้นก็มองมันสลับกับใบหน้าเขาอยู่พักใหญ่ ทั้งที่ใบหน้านั้นสุขุมแต่กลับปนเศร้าหมองเล็กน้อย หรือบางทีความรักของเขาครั้งนี้จะไม่ดีเท่าที่ควร  ปากเผลอท่องกลอนบทหนึ่งเข้าว่า

ทางสู่ฉิงฉวน

หลิวลู่ลมผ่าน

บุรุษยากหวนกลับ

วันวานหรือหวนคืน

เห็นสายตาหนึ่งจ้องมองมาฉันก็สะดุ้งตัวมองเขา ใจนึกว่ากำลังคิดสิ่งใดกันแน่ กล่าวบทกลอนรำลึกความหลังเช่นนี้หรือฉันกำลังนึกถึงเสี่ยวหมิง? หรือเพียงคิดถึงใบหน้าเขายามเศร้าขณะนี้กันแน่? ขณะคิดสับสนบุรุษผู้นั้นก็ยกยิ้มหนึ่งมาให้ฉันจึงยิ้มตอบกลับไป จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาช้าๆ ยามนั้นแสงอาทิตย์อ่อนๆสาดส่องตัวเขา แม้เสื้อผ้าเป็นเพียงลวดลายเรียบง่าย แต่คนสวมกลับมีราศียากจะปกปิด ดวงหน้าเขาสะอาดสะอ้านสวมชุดสีฟ้าเงินยาวจรดพื้น แม้มองไกลๆยังรับรู้ได้ว่าคนผู้นี้มีฐานะสูงส่ง ฉันประเมินฐานะเขาจากชุดที่สวมใส่ แน่ใจได้ว่าอาจเป็นท่านอ๋องคนใดคนหนึ่งในวังหลวง เขายกผ้าสีขาวบางขึ้นปิดบังใบหน้าทำให้เมื่อเดินเข้ามาใกล้ฉันเลยมองเห็นเขาเห็นเรือนรางไม่ครบรูปหน้า เพียงแค่เห็นดวงตาคู่หนึ่งได้เท่านั้น แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเขาต้องปกปิดตัวตน แต่สถานการณ์ที่เขาคุยกับป้าเผิงทำให้ฉันนึกว่าตนเองคงเห็นบางสิ่งไม่สมควรเข้า

เมื่อแน่ใจว่าเขาอาจเป็นคนในวังฉันเลยนอบน้อม ย่อตัวลงคารวะตอนเขาเดินเข้ามาหา เป็นจริงดังคาดเพราะเขาดูชินกับการก้มหมอบของฉันและกล่าวว่า

“ลุกขึ้นเถิด”

ฉันก้มลงรับคำแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็มองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา ไม่ทันไรความสงสัยของฉันก็ถูกสายตาเขาอ่านออก เขาจึงเอ่ยปากช้าๆขึ้นว่า

“ข้าคือ...จื้อชินอ๋อง”

ฉันชะงักตัวเล็กน้อยพลางคิดในใจว่าท่านอ๋องผู้นี้ คือพระอนุชาของฮ่องเต้ หนึ่งในอ๋องหนุ่มผู้ถูกประวัติศาสตร์จารึกว่าเป็นอ๋องหนุ่มเจ้าสำราญ มากล้อมด้วยหญิงสาว พระนามเดิมคือหมิงเทียนหลง ตอนที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันสิ้นพระชนม์เป็นจื้อชินอ๋องผู้นี้ที่ขึ้นครองราชย์แทนและกำราบช่วงเวลาวุ่นวายให้ยุติลงได้ภายในช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าสั้นที่สุดสำหรับการปราบกบฏ พระองค์เก่งกาจ มากด้วยไหวพริบ แต่ความเจ้าชู้กลับเป็นที่กล่าวขวัญพอๆกับเรื่องนี้ ฉันกลืนน้ำลายลงคอ ก้าวเท้าถอยหลังไปสองก้าว เขาย่อมรู้ดีว่าฉันกำลังเตรียมตัวคัดเลือกเข้ารับใช้ฝ่าบาท หากเป็นเช่นนั้นฉันกับเขาไม่ควรพบกันอย่างยิ่ง หนึ่งคือฉันคล้ายเป็นคนของฝ่าบาทจึงไม่อาจเข้าใกล้ชายใดให้ผิดประเพณี นี่คือเหตุผลหนึ่งที่เรือนบุปผางามไม่ให้ผู้ใดลอบพบกันภายในเรือนได้ สองคือฉันไม่อาจไว้ใจจื้อชินอ๋องผู้นี้ได้เต็มตัว เพราะหากเขากล้าละลาบละล้วงฉันก็ไม่อาจวิ่งโร่ไปฟ้องใครหรือทำอะไรกับฐานะใหญ่โตเขา ฉันยังไม่ได้เป็นนางในของฝ่าบาท ดีไม่ดีอาจถูกเขาจับแต่งเป็นอนุ และนี่คือสิ่งที่ฉันกลัวที่สุด

อีกฝ่ายพอเห็นขาฉันก้าวถอยหลังก็ส่งเสียงหัวเราะดังเล็กน้อยพลางกล่าวว่า

“เจ้ากลัวข้างั้นหรือ”

ฉันรีบร้อนตอบว่า “ไม่เพคะ เป็นเพราะไม่รู้ว่าท่านมีฐานะใด พอรู้ว่าท่านเป็นถึงจื้อชินอ๋องลี่เซียนจึงละอายใจนักที่ไม่ได้ถวายบังคม” ฉันก้าวถอยไปอีกจากนั้นจึงย่อตัวลงอีกครั้งพร้อมหยดเหงื่อหยดหนึ่ง “หม่อมฉันเยี่ยลี่เซียน ถวายบังคมจื้อชินอ๋อง”

“ไม่ต้องมากพิธี สถานที่นี้ไม่ใช่วังหลวง ลุกขึ้นเถิด”

“วังหลวงไม่ใช่สถานที่กำหนดการคำนับ แต่ตัวบุคคลที่ทำให้ลี่เซียนต้องคำนับ หากท่านอ๋องบอกว่าไม่ ลี่เซียนจำต้องทำตามธรรมเนียม”

เขายิ้มให้พลางส่ายหัว รอยยิ้มบางๆผ่านผ้ากั้นยังรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาให้ ช่างคล้ายพระเชษฐาผู้เป็นฮ่องเต้ไม่มีผิด “ช่างเจรจา แต่กับข้าไม่ต้องมากพิธี” เขาเห็นฉันนั่งนิ่งไม่ลุกขึ้นจึงเอื้อมมือมาจับแขนแล้วฝืนให้ฉันลุก สายตาเขาขณะนั้นเอ็นดูฉันเป็นพิเศษ แต่ฉันกลับก้มหน้าลงไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าเป็นการดี “เจ้าดูไว้เนื้อถือตัว”

ฟังเขากล่าวออกมาตรงไม่มีอ้อมค้อมฉันถึงกลับสะอึกนิ่ง คิดว่าตอนนี้ควรทำอย่างไรให้ผ่านสถานการณ์ตรงหน้าไปได้ จึงทบทวนอยู่นานก่อนพูดตอบไปว่า

“ไม่ว่าจะได้รับการคัดเลือกหรือไม่ แต่ลี่เซียนจำต้องรักษาตนเสมือนเป็นคนของพระองค์”

เขานิ่งมองฉันอยู่พักหนึ่งแล้วถามขึ้น

“เหตุใดเจ้าอยากรับใช้ฝ่าบาท” เขานั่งลงตรงข้าม มือผายเชิญฉันนั่งตาม ฉันนั่งลงสบายๆแต่ยังรักษาไว้ด้วยกิริยานอบน้อม จากนั้นก็ยิ้มกว้างพลางพูดตามใจคิด

“ข้าอยากปกป้องพระองค์เพคะ” มือที่กำลังเทชาของเขาชะงักงัน ดวงตาฉายแววสนใจครู่หนึ่งแล้วยกชาขึ้นดื่ม เมื่อดื่มหมดจึงเอ่ยถามอีกครั้ง ไม่ว่าเขาทำอะไรฉันกลับรู้สึกว่าเขาดูสุขุมกว่าคนทั่วไป ทั้งที่สุขุมแต่ยังคงไว้ซึ่งท่าทีสบายๆไม่น่าเกรงที่จะเข้าใกล้

“เจ้าเป็นสตรีจะปกป้องพระองค์ได้อย่างไร?” เขาหันมาพร้อมคิ้วงามที่เลิกขึ้นของตน

ฉันยิ้มพลางกล่าว “ข้าจะปกป้องพระองค์ด้วยความรัก...” ใบหน้าฉันร้อนแดงเมื่อพูดถึงตรงนี้แต่เขากลับนิ่งงันไปราวกับไม่ได้ยินเสียง กล่าวขึ้นลอยๆ

“ความรักจะปกป้องสิ่งใดได้...”

แววตาเขาเศร้าสั่นไหวแต่เพียงครู่ก็หายไป เมื่อสายตาเหม่อลอยมองกลับมาที่ใบหน้าฉัน แววตาเขาถึงสงบนิ่งดังเดิม ฉันจึงกล้ากล่าวต่อ

“ความรักมีอานุภาพมากกว่าตาท่านอ๋องเห็นนัก วังหลวงมีสตรีมากมายที่มอบความรักให้พระองค์ แต่หญิงใดเล่าจะไม่หวังผลจากความรักเหล่านั้น...แต่ข้าเองก็หวังผลเช่นกัน...” ฉันหันไปมองใบหน้าผิดหวังของเขาที่ฉายปรากฏชัดเจน จากนั้นจึงพูดต่อ “ข้าหวังให้พระองค์เพียงหันมองข้าบ้างแค่บางครั้ง ให้ข้าจับมือพระองค์บ้างตอนข้ากำลังล้ม ยิ้มบ้าง...เมื่อข้าเล่าเรื่องตลกให้พระองค์ฟัง ยอมให้ข้าร้องไห้เป็นเพื่อนยามพระองค์เศร้าและให้ข้าอยู่เคียงข้างพระองค์ตราบสิ้นชีวิต...นี่คือสิ่งที่ข้าหวังเพคะ”

               ฉันแทบไม่รู้ตัวว่าตนเองลุกเดินไปพิงเสามองนกเป็ดน้ำสองตัวนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หันมองข้างตัวอีกทีเขาก็ลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างๆแล้ว ตัวฉันแข็งทื่อตอนเขาจับไหล่ทั้งสองข้างเบามือให้หันมามองแล้วคลายมือลงช้าๆ นัยน้ำเสียงเอ่ยขึ้นสุขุมเย็น ใบหน้านิ่งเฉยสง่างาม

               “เจ้ามีความคิดเรียบง่ายเฉกเช่นหญิงสาวธรรมดา” จากนั้นดวงตาเขาก็กลับมาเศร้าหมองอีก “แต่ความเรียบง่ายเช่นนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ไม่อาจให้เจ้าได้...เจ้ารู้หรือไม่?”

ฉันรู้ดี...รู้ว่าความเรียบง่ายนั้นไม่อาจหาได้จากวังหลวงแสนอันตราย แต่ฉันก็ยังยิ้มให้เขาราวกับกำลังพูดกับพระองค์...ไม่ใช่จื้อชินอ๋อง

“ข้ารู้ดีเพคะ...ข้ารู้ว่าพระองค์ไม่อาจมอบสิ่งที่หญิงสาวทุกคนต้องการได้ แต่ท่านอ๋อง...สิ่งที่ข้าบอกท่านอ๋องคือสิ่งที่ข้าต้องการทำให้พระองค์เท่านั้น”

 “หากเจ้าต้องการความเรียบง่ายเช่นนั้น ข้าคงอวยพรให้เจ้าถูกดึงป้ายชื่อออกเป็นเพียงนางกำนัลรับใช้ หากอยู่ในวังครบกำหนดก็สามารถออกจากวังหลวงมีคู่เรือนของตนได้”

               สายตาเขานิ่งเรียบ ทว่าจริงจัง จนรับรู้ได้ถึงความหวังดีนี้แต่ฉันกลับส่ายหัว “ข้าตัดสินใจแล้วเพคะ ขอท่านอ๋องโปรดอย่าห้าม”

               “อืม”

               เขารับคำไม่ว่าอะไรอีก ผละออกไปช้าๆแล้วนั่งลงอีกครั้ง ผิงเอ๋อเพิ่งสังเกตเห็นเราสองคน พอนางเข้ามาหาฉันเลยเดินเร็วเข้าไป บอกว่าบุรุษผู้นี้คือจื้อชินอ๋อง ผิงเอ๋อลนลานรีบถวายพระพรเขาทันทีแล้วผละออกไปเงียบๆไม่รบกวนเราอีก ก่อนไปนางพยักหน้าน้อยๆให้ฉันทีหนึ่ง ฉันก็รู้ได้ทันทีว่านางกำลังห่วงว่าใครจะเจอเข้า แต่จื้อชินอ๋องเหมือนรู้ดังนั้นเมื่อผิงเอ๋อออกไปแล้วเขาเลยกล่าวให้ฉันคลายกังวล

               “ข้าจื้อชินอ๋อง...เข้าหน้าเรือนบุปผางาม ยามกลับก็ออกประตูเดิม เจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะทำสิ่งใดผิดธรรมนองคลองธรรม”

               ตอนพูดใบหน้าเขานิ่งเฉยเป็นพิเศษแต่ฉันกลับรู้สึกว่าสายตาเขาเหมือนยกยิ้มน้อยๆ ฉันอึดอัดเมื่อสิ่งใดก็ปกปิดความคิดกับเขาไม่ได้ ดูเหมือนทุกอย่างมักถูกเขาล่วงรู้ง่ายดาย ราวกับทุกคนเป็นกระจกแผ่นใสให้เขามองทะลุอ่านใจ ฉันยังคงยืนนิ่งไม่ลงนั่ง เพราะเมื่อครู่เหมือนทำเรื่องเสียมารยาทใส่เขา ใจเลยรู้สึกผิดและละอาย เขาหมุนถ้วยชาในมือเล่น หรี่ตามองดูใบชาลอยในถ้วยน้ำ จากนั้นก็เอ่ยขึ้น

               “มานั่ง”

               ใจฉันสะดุดเล็กน้อย น้ำเสียงทุ่มต่ำเหมือนคำสั่งที่ต้องทำตามคลับคล้ายพระองค์ไม่มีผิด แต่คนพูดกลับไม่รู้สึกถึงอาการฉัน ทำตัวตามสบายเหมือนเขาไม่ได้ปิดปิดสิ่งใด ฉันจึงคิดว่าตนคิดมากไปเองเท่านั้น

               “เพคะ”

               น้ำเสียงกึ่งสั่งกึ่งเรียก ทำให้มือฉันเย็นเฉียบไม่รู้ว่าการกระทำตนทำให้เขาระคายใจหรือไม่ หากเขาไม่พอใจโทษฉันก็อาจมากองลงตรงหน้า ยิ่งเขาปกปิดใบหน้าฉันยิ่งคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก ก้าวไปสามก้าวขาก็สะดุดพันล้มลง

“อ๊ะ!”

พรึบ!

ร่างฉันถูกเขาประคองไว้ แทนที่จะล้มเลยไม่ล้ม กลายเป็นถูกเขากอดแน่นในอ้อมแขนแทน หัวใจฉันเต้นแรง แรงเสียจนใบหน้าเห่อร้อน แต่เขากลับมีดวงตานิ่งเฉยราวกับเมื่อครู่หมุนตัวมารับผ้าผืนหนึ่งที่กำลังร่วงลงพื้น ฉันไม่กล้าหายใจเพราะใบหน้าเราใกล้ชิดกัน กลัวว่าหากหายใจไปอาจรบกวนเขาได้ ตอนนี้เขาไม่ปล่อยฉันออกจากอ้อมแขนค้างท่าแน่นิ่งเหมือนหุ่นไม้ ส่วนฉันก็ไม่กล้าขยับตัวออกได้แต่จ้องตาเขาราวต้องมนต์

“ระวังตัวด้วย”

เขาขยับแล้ว ฉันจึงได้สติเคลื่อนตัวออกมา ฉันถอยหลังไปสองก้าว ขาสั่นเพราะความขัดเขิน “เพคะ” ฉันกล่าวเสียงเบา เบาราวพึมพำกับตัวเอง จากนั้นขาซ้ายฉันก็เจ็บแปลบ เจ็บจนต้องเอาตัวยันกับโต๊ะไม้ไว้ โชคดีที่มืออีกข้างจื้อชินอ๋องยังไม่ทันปล่อยเลยประคองฉันได้ทันการอีกครั้ง

“เพิ่งบอกให้ระวัง เจ้าก็พลาดอีกเสียแล้ว”

เขาหัวเราะเบาแล้วมองหน้าฉัน ส่วนฉันก็ได้แต่หัวเราะตามเขาแก้เขิน แล้วเลื่อนมือข้างที่เขากุมไว้ออกมายันโต๊ะแทน

“ดูเหมือนขาหม่อมฉันจะแพลง”

ฉันเม้มปากแน่น หัวคิ้วขมวดเพราะเจ็บขา

“ให้ข้าดู”

พูดไม่ว่าเขากลับก้มลงถอดรองเท้าส้นสูงทรงกระถางบัวของฉันออก แล้วนวดคลึงอย่างไม่รังเกียจ ไม่คิดว่าเขาเป็นถึงจื้อชินอ๋องแต่กลับไม่ถือตัวกับคุณหนูต่ำต้อยเช่นฉัน แม้ฉันพยายามพูดห้ามเขา เขาก็ทำราวไม่ได้ยินประคองฉันนั่งแล้วนวดเท้าต่อ สักพักเมื่อขาเริ่มคลายเขาถึงเลื่อนตัวออกไป หยิบรองเท้ามาสวมให้พลางพูดว่า

“ยืนได้หรือไม่?”

ฉันยันตัวขึ้นน้อยๆ ขาเริ่มดีขึ้นแท้ๆแต่พอก้าวขาต่อกลับเจ็บแปลบอีกครั้ง ทั้งที่ไม่ได้ทำสำอิดสำออยและไม่ต้องการให้เขาถูกเนื้อต้องตัวแต่อาการที่ขาก็ไม่ดีขึ้น ฉันแสร้งทำสีหน้าปกติตอนก้าวเดิน ค่อยๆหมุนตัวกลับมามองเขาแล้วพูดให้เป็นปกติที่สุด

“หายแล้วเพคะ ลี่เซียนขอบคุณท่านอ๋องมากเพคะ”

พอย่อตัวคารวะขาฉันก็พับไปอีก ทีนี้เขาถึงกับทำตานิ่งทั้งเสียงเยือกเย็นกว่าเดิมว่า

“อย่าโกหกข้า”

ฉันรู้สึกผิดขึ้นมา ไม่นึกว่าจะทำเขาจะโกรธขนาดนี้ เขาเดินมาใกล้ไม่พูดไม่จาก็อุ้มฉันขึ้นทันที ผิงเอ๋อยืนอยู่ไกลๆพอเห็นฉันถูกเขาอุ้มก็วิ่งลนลานมาหา แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรนอกจากยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ฉันได้แต่นิ่งเป็นหินอยู่ในอ้อมแขนเขา โชคดีที่เรือนบุปผางามเวลานี้ทุกคนยังไม่กลับ ตอนผิงเอ๋อนำทางเขาจากสวนดอกไม้ไปยังเรือนไผ่เลยไม่มีใครเห็นเข้า ส่วนป้าเผิงกลับทำตาตกใจตื่นตอนนางยืนอยู่หน้าเรือนไผ่แล้วบังคับให้ฟางหรูกินข้าว ฉันไม่รู้ว่าทุกอย่างกลับตาลปัตรขนาดนี้ได้ตอนไหน ฟางหรูไม่ยอมกินข้าวแม้แต่คำเดียวเอาแต่ดื่มน้ำเอาเป็นเอาตายแก้หิว ป้าเผิงเลยกลัวนางเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ วันนี้เลยบังคับนางกินข้าวยกใหญ่ แต่พอเห็นฉันในอ้อมแขนจื้อชินอ๋องนางกลับทำตะเกียบตกพื้น อ้าปากตาค้างอยู่ตรงนั้น ส่วนฉันก็ภาวนาว่าตนไม่ใช่มือที่สามมาทำลายความรักคนทั้งคู่

ทันทีที่จื้อชินอ๋องปล่อยตัวฉันนั่งริมระเบียงเรือนไผ่ ป้าเผิงก็ชายตาดุดันมาหา รีบก้มลงคุกเข่าตัวสั่นตรงหน้าเขา วินาทีนั้นฉันก็พึมพำว่า เอาเข้าแล้ว พลางหยี่ตารู้สึกผิด ป้าเผิงหันหน้ามามองเหมือนจะหันมาพูดอะไรบางอย่างกับฉัน แต่อย่าบอกว่าพูดดีกว่าเพราะนางกำลังแยกเขี้ยวใส่ราวกินเลือดกินเนื้อ ความหึงหวงล้วนมีในตัวสตรีทุกคนแต่ฉันก็ไม่ได้ก้าวร้าวคิดจะเถียงเพียงแต่ต้องการเอ่ยปากอธิบาย แต่ก่อนที่ใครจะโต้คารมกัน จื้อชินอ๋องก็พูดขัดขึ้นก่อน

“นายหญิงเรือน ข้าจื้อชินอ๋องต้องกลับแล้วฝากดูแลนางด้วย”

ฉันแทบตบหน้าผากเสียงดังตอนเขาพูดจบ แทนที่จะอธิบายแต่เขากลับให้ป้าเผิงอารมณ์หึงหวงร้ายแรงเข้าไปอีก พูดให้ดูแลฉัน นางคงไม่ดูแลแต่จะจับฉันฉีกเนื้อกินเอา ป้าเผิงร่างแข็งทื่อไปแล้ว ฉันคาดเดาว่านางคงช็อกไปแล้ว แต่นางกลับเอ่ยช้าๆราวกับถามคำถาม

“เพคะ?”

“ฝากดูแลนางด้วย พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมนางที่สวนดอกไม้อีกครั้ง”

“เพคะ?”

“จื้อชินอ๋องต้องกลับวังหลวงแล้ว”

ป้าเผิงเหมือนคนไม่ได้สติ จากนั้นก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรออกก้มลงถวายบังคมลาพร้อมทุกคน

“น้อมส่งจื้อชินอ๋อง”

พอส่งเขาจากไปทางสายตา ป้าเผิงก็หันมามองหน้าฉันงุนงง ทีแรกฉันคิดว่านางจะปรี่เข้ามาทึ้งผม แต่นางกลับถามคำถามใส่เร็วรัว

“เจ้ารู้จักจื้อชินอ๋องได้อย่างไร?”

“ป้าเผิงฟังลี่เซียนก่อน”

“พวกเจ้าพบกันที่สวนดอกไม้กี่ครั้งแล้วกันแน่!”

“ข้าไม่ได้คิด...”

“เหตุใดข้าไม่รู้เรื่องพวกเจ้าได้!”

“ป้าเผิง!!!”

ฉันตะโกนลั่นใส่นาง ส่วนนางยังคงไม่รับรู้แล้วพึมพำว่า

“จื้อชินอ๋อง...จื้อชินอ๋อง...” ป้าเผิงเหมือนสติหลุดก่อนจะยกยิ้มขึ้น ฉันถึงกับหนาวสะท้านทั่วร่างกับรอยยิ้มที่ยากพบของนาง

ป้าเผิงหมุนตัวทีหนึ่งจากนั้นก็ยิ้มมีเล่ห์นัยหันมาทางฉัน

“ดูท่าจื้อชินอ๋องผู้นี้จะชอบใจเจ้าไม่น้อย”

“ป้าเผิงอย่าได้พูดเล่น จื้อชินอ๋องเป็นคนรักของท่าน ลี่เซียนไม่อาจล่วงเกิน อีกอย่างข้าไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับท่านอ๋องแม้แต่น้อย”

ป้าเผิงทำหน้าค้างไปก่อนจะหัวเราะร่วนใส่จนฉันถึงกับงง

“ฮ่าๆๆๆๆๆ คนรัก? คนรัก?” นางกุมท้องแล้วพูดต่อ “ลี่เซียน...จื้อชินอ๋องไม่ใช่คนรักของข้า หากนับตามอายุเขาคงเรียกข้าว่าท่านน้ามากกว่าเผิงเผิง*”

หน้าฉันแดงอาย ไม่คิดว่าตนคิดเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้ ป้าเผิงกอดอกแล้วเอนตัวพิงกับตั่ง ยิ้มหวานพลางพูด

“เป็นเรื่องดีไม่น้อยที่จื้อชินอ๋องชอบเจ้า”

“เรื่องดีหรือ?” ฉันถามนาง เหตุใดเป็นเรื่องดีไปได้ในเมื่อจื้อชินอ๋องกับฉัน ฐานะตอนนี้ราวอยู่คนละภพละชาติ ป้าเผิงไม่ตอบ เอาแต่ยิ้มหัวเราะอยู่ผู้เดียวแล้วเดินจากไปเงียบๆ

ตอนนี้ฟางหรูดูงุนงงมากที่สุดแต่นางก็ไม่ถามอะไรสักคำ หันหน้าไปจ้องสำรับอาหารเพราะต้องการถามตอบกับข้าวตรงหน้ามากกว่า ว่านางจะกินมันหรือปล่อยมันไป ส่วนฉันก็เอาแต่ครุ่นคิดเรื่องจื้อชินอ๋องทั้งวันเหมือนลืมเลือนว่าตนเคยเป็นใครหรือเสียใจเพราะใคร เรื่องของท่านอ๋องมีบางอย่างเคลือบแคลงสงสัยทำเอาฉันนั่งนิ่งอยู่ริมระเบียงหลายชั่วยาม จนหญิงสาวในเรือนดอกท้อทยอยกลับ บางสิ่งที่ฉันลืมเลือนไว้เบื้องหลังมานานถึงสะกิดใจขึ้น

“ผิงเอ๋อ! รูปวาดของข้า!” เกร็ดความรู้* เผิงเผิง = คือคำเรียกน่ารักๆเวลาแฟนจะเรียกกัน เช่นถ้าป้าเผิง เป็นแฟนท่านอ๋อง ท่านอ๋องจะเรียกว่าเผิงเผิง

 อัพครั้งแรก : 18/2/58 รีไรท์ : //58 

สวัสดีเจ้าค้า!!!

มาแร้นนนน มาแร้นนนนน มาเต็มฉบับด้วย 55555 โอ้ยยยบทนี้เหม่ยทุ่มทุนสองเฮียมาเลย เฮ่อออออ มาเต็มนี่อารมณ์ล้วนๆ อยากให้ฮูหยินสนุกกับช่วงเวลานี้ของแม่นางน้อยของเรา ส่วนฮูหยินหลายๆคนเริ่มหลงเสน่ห์ท่านอ๋องน้อยจนยากจะถอนใจ? อ่าาาาทำไงดีละนี้ >_<วันนี้ฮูหยิน อ่านแล้วจะเป็นยังไงบ้างหนอออ? หวังว่าฮูหยินทั้งหลายของเฮียๆจะสบายดีนะเจ้าคะ ช่วงนี้เหม่ยสนุกกับการแต่งนิยายมากขึ้น พล็อตก็มาเต็มหัวเลยปั่นมาเต็มๆ 5,630 ตัวอักษร (เยอะนะเนี่ย บทนึงของเหม่ยนี่ตัวเลยหลักประมาณนี้ทั้งนั้น เลยวอนฮูหยินจิบชารอใจร่มๆเห็นใจเหม่ยนะเจ้าคะ ><")          สำหรับใครที่เคยอ่านเรื่องก่อนจะเห็นความแตกต่างของผิงเฟยและลี่เซียนชัดเจน เพราะลี่เซียนจะเป็นคนไม่ลังเลคิดอะไรทำแบบนั้น ยากจะเปลี่ยนใจ ใจนางเหมือนภูผา อาจกล่าวได้ว่ามั่นคงมากเจ้าคะ ดังนั้นขอให้ฮูหยินอ่านเรื่อยๆ บอกเลยว่าเซ้นท์แม่หนูลี่ของเราแม่นนะเจ้าคะ! ติดตามเชียร์แม่นางน้อยของเราได้ในตอนต่อไป ตอนนี้เหม่ยขอนอนแล้วเจ้าคะครอกกกกกกกกกกกกกกกก ฝันดีเจ้าคะฮูหยิน หากว่างเหม่ยจะมาตอบทุกคนเลยยย มีอะไรจะถามหากไม่สปอย์เยอะเหม่ยก็พร้อมตอบ คิคิคิ!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา