บันทึกรักข้ามเวลา <ตีพิมพ์ สนพ.ปริ๊นเซส สถาพรบุ๊ค>
9.8
เขียนโดย เฟิงเหม่ยหลิง
วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.20 น.
20 บทที่
3 วิจารณ์
33.80K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559 04.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ค่ำนี้สุราดูมีประโยชน์กว่าสติ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 4
ค่ำนี้สุราดูมีประโยชน์กว่าสติ
ตอนท่านเช็ดน้ำตา ข้าก็ทำเพียงปัดมือใส่ ตอนท่านพยายามเข้าหา ข้าก็เพียงหันใบหน้าหนี ไม่ว่าท่านจะพยายามใกล้ชิดข้าเท่าไร ข้ายิ่งถอยออกห่าง ความผิดของท่านคือสิ่งใดข้าก็ยังไม่รู้ หรือที่ผิดอาจเป็นเพราะใบหน้าท่านคล้ายเขาเท่านั้น แต่แม้ข้าพยายามทำใจยอมรับ ใจข้าก็รู้ตัวเองดีว่าที่ว่างสำหรับข้าเป็นของผู้ใด...
ข้า...ขอโทษ
ฉันยังจำหน้าหนาวครั้งหนึ่งได้ดี เสี่ยวหมิงใส่ชุดสีดำสนิทมองแล้วคล้าย เขา บุรุษตรงหน้าไม่มีผิด ตอนนั้นเสี่ยวหมิงอ้อมมือมาโอบตัวจากด้านหลังเพื่อคลายหนาว ทำให้ร่างกายสั่นของฉันอบอุ่นจากกายถึงหัวใจ
แต่ตอนนี้ขณะที่ฉันยืนนิ่งในห้อง มองแววตาเย็นแต่อบอุ่นของเขาอีกคน...หัวใจฉันราวโดนพายุหิมะห่อหุ้มไว้ หนาวเย็น...อึดอัด...เจ็บปวด...ด้านชา เหมือนสายลมฤดูหนาวในปีนั้นย้อนกลับมาทำร้ายอีกครั้ง
“เสี่ยวหมิง? เจ้าหมายถึงใครกัน?”
หลิ่งถิงหันมาถาม ฉันจึงรีบก้มหน้าซ่อนดวงตาแดงก่ำ ขณะที่กำลังก้มก็เห็นหานตงยกยิ้มมาให้ก่อนพูดขึ้น
“แม่นางคงจำคนผิดแล้ว” เขายิ้มน้อยๆแล้วก้มหน้าลง “ข้าชื่อจ้าวหานตง เป็นเพียงพ่อค้าตระกูลจ้าวผู้เดินทางรอบแผ่นดินนี้ สกุลจ้าวผูกขาดค้าขายสินค้าอยู่แคว้นต้า หากบอกว่าข้าเคยพบแม่นางคงเป็นไปไม่ได้” เขาพยักหน้ายิ้มยกมือคำนับดูมีมารยาท จากนั้นจึงพูดต่อ “หรือแม่นางผู้นี้คือสหายที่ท่านอ๋องพูดถึงบ่อยๆ”
ฉันไม่ตอบคำถามเขา ลุกขึ้นยืนเดินไปใกล้บานหน้าต่าง กลืนน้ำตาเมื่อครู่ลงลำคอ มองเมฆหมอกเคลื่อนผ่านดวงจันทร์ จิตใจทั้งสับสนว้าวุ่นอย่างหนัก ยิ่งเขาทำเหมือนเพิ่งเคยพบกับเป็นครั้งแรก ยิ่งทำให้ฉันนึกถึงวันแรกที่พบเสี่ยวหมิง เหตุใดสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งฉันแบบนี้เล่า? ให้คนสองคนมีใบหน้าคล้ายกันทุกส่วน ฉันลอบถอนหายใจเบาแล้วหันหน้ากลับไปเผชิญ
หลิ่งถิงเห็นฉันไม่ตอบเลยคิดแทนว่าฉันไม่อยากพูดคุยกับคนแปลกหน้า อีกทั้งเป็นบุรุษเขาเลยยินดีช่วยเหลือ กล่าวออกมาแทนว่า
“ถูกของเจ้าแล้ว แต่...หานตงนางไม่ใช่สตรีธรรมดา นางคือคุณหนูลี่เซียนแห่งตระกูลเยี่ย ผ่านฤดูกาลนี้นางต้องเข้าวังถวายการรับใช้ฝ่าบาท เจ้าจะทำสิ่งใดล้วนต้องอยู่ในขอบเขต สำรวมตัวและสายตาเจ้าด้วย”
หลิ่งถิงพูดเตือนเขา นัยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงด้วยความหมาย ฉันได้ยินเสียง หึ ดังลอยแว่วจากหานตง สายตาลึกซึ้งของเขาเลื่อนออกจากใบหน้าฉัน จึงรู้ว่าเมื่อครู่ทุกการกระทำถูกเขามองดูตลอด หลิ่งถิงว่าหานตงต่อหน้า ส่วนหานตงก็ไม่ได้โกรธเขาแม้แต่น้อยยอมทำตามแต่โดยดี ฉันจึงรู้สองคนนี้สนิทกันมากจริงๆ
พอพวกเขาว่ากล่าวกันเสร็จก็หันมาสบใบหน้าเกร็งไร้ความรู้สึกของฉัน
“ลี่เซียนเจ้าเป็นอะไรไป?”
หลิ่งถิงถาม ฉันจึงพยายามยิ้ม บังคับใบหน้าให้เป็นปกติ แต่สายตายังคงจดจ้องพิจารณาหานตง อาจแค่เหมือน...อาจไม่ใช่เขาก็ได้ แค่คิดมากไปเองเท่านั้น...แค่คิดมากไปเอง!
ฉันคิดปลอบตัวเองเลื่อนสายตากลับไปหาหลิ่งถิง เพราะยิ่งมองหานตงหัวใจยิ่งถูกบีบรัดรุนแรง
“กลับกันเถอะ”
ฉันพูดเสียงเรียบ หลิ่งถิงเมื่อเห็นสีหน้าฉันไม่ดีจึงพยักหน้ารับคำพากลับทันที
“อืม...ไปเถอะ หานตงรุ่งเช้าค่อยมาฉลอง”
พูดจบหลิ่งถิงก็จับมือฉันแล้วพาเดินออกไป แต่ก่อนที่จะถึงประตู เสียงคมเข้มได้หยุดเท้าพวกเราอีกครั้ง
“คารวะให้เจ้าและแม่นางสักจอก เพิ่งรู้จักพบหน้าไม่ใช้เหล้าสุราคารวะจะเสียมารยาทชาวทะเลทรายเช่นข้าได้”
“จริงสิ...วันเกิดข้า เช่นนั้นดื่มสักจอก!”
หลิ่งถิงยิ้มอารมณ์ดีพร้อมยกขวดสุราขึ้นดื่ม ส่วนฉันก็เอาแต่เงียบไม่หันไปหาเขาหรือยกขวดเหล้าคารวะตอบ ห้องทั้งห้องเลยพลันเงียบไปและยิ่งไม่ทำสิ่งใดยิ่งอึดอัดจนแทบทนไม่ไหว จึงตัดสินใจคว้าขวดสุราของหลิ่งถิงมาไว้ในมือ จงใจกรอกรวดเข้าไปไม่สนว่าจะมึนเมา
หลิ่งถิงทำตาลุกวาวแย่งขวดสุรากลับ ตวาดเสียงดังด้วยความห่วงใย
“เจ้าบ้าหรืออย่างไร คารวะใช้เหล้าเพียงไม่กี่จอกเท่านั้น! ดื่มรวดหมดเช่นนี้สติได้ไม่กลับร่างเจ้าพอดี!”
ฉันคิดในใจ ไม่กลับมาก็ดีและหากลืมเรื่องชาติก่อนจนหมดสิ้นยิ่งดีเข้าไปใหญ่ หลิ่งถิงไม่ถามอะไรฉันต่อสักคำ ส่วนฉันก็ไม่แน่ใจว่าเขารับรู้หรือไม่รับรู้ท่าทางผิดปกตินี้เพราะเขายังดูไร้เดียงสามากในความคิด ดื่มเสร็จก็ตั้งท่าเดินออกแต่มือหนึ่งได้กุมฉันจากด้านหลัง ฉันเลยจำใจต้องหันกลับไปหา หานตงยกยิ้มให้ งดงามทว่าสุขุมนัก
“หวังว่าได้พบแม่นางอีกครั้ง”
ฉันถอนมือออกจากมือเขา สายตามองคนตรงหน้าเชือดเฉือนเย็นชา ทำให้หลิ่งถิงซึ่งอยู่ข้างๆคิดว่าฉันไม่พอใจจึงปัดมือหานตงออกแล้วกล่าวเสียงเจือโกรธขึง
“หานตงเจ้าชักมากไปแล้ว! นางไม่ใช่สตรีที่ให้เจ้าจับได้ตามใจชอบ!”
พูดจบเขาก็จับมือฉันลากออกไป พวกเราออกมาจากโรงเตี๊ยมทั้งที่ยังไม่ร่ำลาหานตง ในส่วนของหลิ่งถิงเขาดูหงุดหงิดเป็นพิเศษที่ฉันถูกคว้าข้อมือไปกุมไว้ง่ายดายทั้งที่ยังอยู่ในสายตาเขา ใจเลยโกรธหานตงยกใหญ่เดินออกจากร้านเร็วราวพายุ แต่ในส่วนของฉัน สมองยังอื้ออึงหาคำตอบไม่ได้ รู้แต่เพียงว่า ไม่หวังจะพบเขาอีกครั้งเป็นครั้งที่สอง รอยยิ้มเขาพาหัวใจฉันมืดเป็นสีดำสนิท เขาใช่เสี่ยวหมิงหรือไม่? หรือเขาเป็นเพียงคนอื่นที่หน้าเหมือนเท่านั้นเพราะขนาดฉันตายยังมาเกิดที่นี่ได้ แล้วทำไมเสี่ยวหมิงจะมาที่นี่ไม่ได้ ความคิดตีรวนสับสนจนต้องหันไปคว้าขวดสุรามากรอกให้ลืม
“เลิกดื่มได้แล้ว!”
ฉันเงยหน้ามองหลิ่งถิง ไม่เผยแววตาเศร้าหมองสงสัยของตนให้เขาค้นพบ มีเพียงรอยยิ้มเจือขมขื่นเท่านั้น มือยอมให้เขาหยิบขวดสุราออกไปโดยง่าย
“ข้าเพียงอยากดื่มอวยพรให้เจ้า” ฉันพูดปัด
“เพิ่งบอกว่าฤทธิ์เหล้าแรง เจ้ายังฝืนดื่มอีก เห็นได้ชัดว่าตอนนี้แม้กระทั่งยืนยังแทบไม่ไหว อีกไม่ช้าคงให้ข้าออกแรงแบกกลับตำหนักหวาง”
เขาพูดเสร็จขาฉันก็พันกัน จากนั้นร่างทั้งร่างล้มลงกองกับพื้น หลิ่งถิงมองใบหน้าแดงเพราะฤทธิ์สุราของฉัน สีหน้าเขากังวลตกใจ อุ้มฉันขึ้นขี่หลัง เดินประคองร่างฉันขึ้นหลังม้าระมัดระวัง ทั้งส่ายหัวทั้งบ่นอุบว่าฉันไม่เชื่อฟังเขาแม้แต่น้อยจุดจบในวงน้ำเมาเลยเป็นเช่นนี้ ตอนแรกเขาคิดจะให้ฉันอยู่ด้านหลังแต่พอเห็นท่าทางเปลี้ยยืนไม่อยู่เมื่อครู่จึงตัดสินใจวางตัวฉันไว้ด้านหน้าแล้วใช้อกประคองไว้แทน กลายเป็นว่าตลอดทางกลับวังหลวงศีรษะฉันนอนซบเขาไว้ตลอดเวลา
ไม่รู้ว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะรู้ตัวอีกทีลืมตาขึ้นก็ถึงหน้าประตูวังหลวงแล้ว หลิ่งถิงควบม้าเข้าไปข้างใน เขาคิดจะให้ฉันนั่งเกี้ยวแทนเพื่อให้นอนหลับสะดวกขึ้น จึงประคองตัวฉันลงหลังม้า ใช้มือทั้งสองข้างยึดไหล่เดินขึ้นเกี้ยว ตอนนี้อย่าว่าแต่เดินให้ตรงเส้นเพราะทุกโสตประสาทเหมือนดับวูบไปดื้อๆ ที่พอจะได้ยินคงมีเพียงเสียงเท่านั้น
ขณะที่กำลังเดินสะลึมสะลือ ก็ยินเสียงฝีเท้าดังลั่นมาจากไกลๆจนเข้ามาใกล้เลยฝืนตาลืมมอง ดูเหมือนใครบางคนวิ่งร้อนรนเข้ามาหาพวกเรา จากนั้นก็ก้มลงรายงานไม่ให้เสียเวลา ดูท่าคงเป็นเรื่องด่วนมาก
“พระสนมเก้าเรียกท่านอ๋องน้อยเข้าเฝ้าขอรับ”
หลิ่งถิงมองฉันอยู่ครู่ ดูก็รู้ว่าไม่อยากทิ้งฉันไว้แบบนี้ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะคนที่เรียกตัวฐานะไม่ธรรมดาอีกทั้งเรียกพบในยามวิกาลหากไม่ใช่เรื่องเป็นเรื่องตายคงไม่ได้เรียกตามกันด่วนร้อนเช่นนี้
“อีกพักข้าจะไปพบพระสนมเอก”
คนรอฟังยอบตัวคารวะแล้วรุดไปรายงาน ตอนนั้นเองที่เห็นใครอีกคนเดินสวนเข้ามาหา หลิ่งถิงกลั้นหายใจเฮือกใหญ่ จู่ๆร่างฉันก็ทรุดลงพื้น ตอนนั้นฉันโมโหเล็กน้อยที่เขาประคองตัวฉันไม่ได้เรื่องจนร่างร่วงลงไปกับเขา ข้อศอกขาเลยกระแทกพื้นหินเจ็บแปลบเกินบรรยาย เจ้าหลิ่งถิง! ฮึ้ม!
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
เงี่ยหูฟัง...ฝ่าบาท...ฝ่าบาทหรอกหรือ? ฝ่าบาทจะมาเดินเล่นอยู่แถวนี้ได้อย่างไรในเมื่อพระองค์ยังไม่มีเวลามางานเลี้ยงวันเกิดหลิ่งถิงแท้ๆ ฉันหรี่ตาใส่ เขาใช้มือหนึ่งกดหัวฉันโขกลงพื้น เจ้าบ้า! เจ้าบ้า! ฉันเริ่มโมโห หลุบตัวขึ้นทั้งที่ลืมตา ชี้นิ้วว่าเขาป่ายเปะไปทั่ว นี่ต้องเป็นฝันแน่ๆ คงเพราะจิตใจอ่อนแอจึงอยากพบพระองค์มากที่สุด
“อย่าแตะต้องตัวข้านะ! ฝ่าบาทไม่เสด็จมาหาเจ้าหรอก!”
“ลี่เซียน! ลี่เซียน! ชู้ววววว!” หลิ่งถิงถึงกับเอาฝ่ามือปิดปากฉันให้เงียบเสียงแล้วหันไปหาฝ่าบาทในความฝันฉัน “กระหม่อมขออภัย...นางกำลัง..”
“ไม่เป็นไร”
เสียงอบอุ่นแว่วลอยมา ทำให้จู่ๆฉันก็สงบใจได้ จากหุนหันกลายเป็นนิ่งงันราวสายลม คำพูดสงบดั่งทะเลสาบ สมองแวบคิดถึงเรื่องวัยเด็ก...สมัยก่อนพ่อเคยบอกว่าฉันเลี้ยงยากเลี้ยงเย็น ทั้งยังดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่กลับฉลาดมากที่สุดในหมู่พี่น้อง พ่อเลยปล่อยฉันเล่นเลยเถิดไปตามใจเสมอ วันหนึ่งพวกเราไปปิกนิกใกล้ป่า ฉันเผลอเล่นเพลินเดินพลัดหลงหายเข้าไปข้างในป่าทึบ ผลคือในอีกหลายชั่วโมงต่อมาทุกคนตามหาฉันได้สำเร็จ ส่วนฉันก็ไม่ร้องไห้สักแอะเพราะไม่คิดว่ามันคือเรื่องใหญ่อะไร ตอนแรกแม่ตีฉันยกใหญ่เป็นเพราะทั้งห่วงทั้งโมโห แต่พอพ่อพูดกับแม่ไม่กี่คำ ความสงบและอบอุ่นของพ่อขัดเกลาจิตใจแม่จนหายโมโห แม่เลิกตีฉันทันที ส่วนฉันในตอนนั้นได้แต่คิดว่าทำไมพ่อถึงได้เก่งกาจนัก พูดไม่กี่คำกลับเปลี่ยนใจแม่ได้ เหมือนคำพูดประกาศิต
แต่ตอนนี้กลับไม่แปลกใจอะไรอีกแล้ว...
ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...คำพูดนี้มีความหมายมากมายนัก ทั้งยังปลอบประโลมทุกคนได้อย่างดี ยิ่งเป็นน้ำเสียงอ่อนโยนของพระองค์ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เป็นไรอย่างแน่นอน...พอคิดถึงตรงนี้หัวใจเย็นยะเยือกเมื่อครู่พลันอบอุ่นขึ้นประหลาด...
“ได้ยินว่าพระสนมเก้าเรียกหาเจ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ...”
“เจ้าไปเถิด เราจะดูแลนางเอง”
“แต่ว่า...ฝ่าบาท” ฉันฝืนค้ำร่างตัวเองไม่ไหว ในที่สุดศีรษะเลยไถลลงพื้นเย็นเยียบ จากนั้นเปลือกตาก็ปิดสนิท ได้ยินเสียงถอนหายใจหลิ่งถิงดังคล้ายรู้สึกผิดอยู่ข้างตัว
“ยามวิกาลเช่นนี้หากไม่ใช่เรื่องด่วนพระสนมเก้าคงไม่เรียกหาเจ้า หากไปช้าพระสนมคงไม่พอใจเจ้าเท่าไหร่นัก”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หลิ่งถิงรับคำหนักแน่นแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “หม่อมฉันทูลลา”
“ไปได้”
เสียงฝีเท้าหลิ่งถิงก้าวห่างออกไปเป็นจังหวะ ไม่นานผิวกายรับรู้ถึงอ้อมแขนใครบางคนกำลังประคองตนอุ้มแนบชิดเขา เพราะเป็นการอุ้มในอ้อมกอดฉันเลยประหม่าเคอะเขินแม้หลับตาแต่ตัวกลับเกร็งขึ้นน้อยๆ เสียงห้ามปรามคุ้นหูของขันทีผู้หนึ่งดังอยู่ข้างๆ นัยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ฝ่าบาท! ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมประคองคุณหนูเยี่ยขึ้นเกี้ยวเองเถิด”
ฝ่าบาท...ฝ่าบาทอุ้มฉันงั้นหรือ? พยายามลืมตามองใบหน้าพระองค์ แต่ดูเหมือนจะไร้ผล ดังนั้นหากเป็นฝันก็ขอทำตามใจตนเองเสียหน่อย ใจฉันเต้นแรกแต่ยังจงใจซุกตัวลงอ้อมอกพระองค์หาไออุ่น ได้ยินเสียงหัวเราะเบาเอ็นดูดังอยู่ใกล้ ตอนนั้นฉันคาดเดาเอาว่าอีกไม่กี่ก้าวคงเดินถึงเกี้ยวพอดี และเป็นดังคาด พระองค์วางตัวฉันลงเบาะนุ่มในเกี้ยว ไออุ่นฉันเลยหายไปดื้อๆ ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไปแม้แต่น้อยเลยเผลอยื่นมือหนึ่งคว้าแขนเสื้อพระองค์รั้งไว้
“เด็กคนนี้!”
น้ำเสียงขันทีผู้นั้นกำลังโกรธจัด เขาพยายามปัดมือฉันออก แต่อีกมือของพระองค์กลับเลื่อนเข้าใกล้พลางอุ้มฉันไว้อีกครั้งอย่างไม่ถือสา
“กงกงนางอายุสิบสามแต่จิตใจยังไม่โตดี หากเจ้าถือสานาง เจ้าคงถือสาเพียงเด็กน้อยเท่านั้น”
กงกงไม่ตอบอะไร ฉันก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พึมพำราวไม่ตื่นดีอยู่ครู่แล้วซบลงอกพระองค์อีกครั้ง หากมองผิวเผินก็เหมือนมองเด็กน้อยขี้เซาคนหนึ่ง แต่พระองค์กลับไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเด็กน้อยผู้นี้ต้องเก็บเสียงหัวใจเต้นถี่ของตนไว้ลึกเท่าไรเพื่อให้พระองค์ไม่ได้ยิน...
เดินอยู่นานพอที่ฉันจะหลับไปตื่น สักพักใหญ่คนเดินก็หยุดฝีเท้า ในใจคิดสงสัยว่าทำไมถึงหยุดกัน? หรือว่าจะถึงตำหนักหวางแล้วกันแน่? เลยพยายามลืมตาขึ้นไปมอง เป็นเพราะเมื่อครู่ได้พักตาจึงลืมขึ้นมองได้เรือนรางอีกครั้ง เพียงนิดเดียวก็จะถึงตำหนักหวางแล้วแท้ๆแต่พระองค์กลับไม่ก้าวเท้าต่อ
“กงกง”
“พ่ะย่ะค่ะ” กงกงรับคำเสียงเนิบ
“คนในตำหนักหวางไม่สามารถดูแลนางได้ เจ้าได้ยินเสียงครึกครื้นเหล่านั้นหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ! คนในตำหนักหวางล้วนเมาเป๋เหมือนคุณหนูเยี่ยเป็นแน่”
คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเห็นด้วยยกใหญ่
“เช่นนั้นกลับตำหนักใหญ่ ตามหมอหลวงและสั่งนางกำนัลเตรียมห้องให้นาง รุ่งเช้าค่อยส่งนางกลับตำหนักหวาง”
“จริง............ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” ครั้งแรกดูเหมือนจะเห็นด้วยแต่พอคิดดูอีกรอบเสียงดัดจริตสูงกลับคัดค้าน “ฝ่าบาท...หากใครเห็นเข้าเกรงว่าจะไม่งามนัก...” เขาค่อยๆเบาเสียงลงแต่คนอุ้มกลับไม่ได้สนใจคำคัดค้าน ก้าวเท้าไปอีกทางทันที
ฤทธิ์สุราทำให้มองเห็นใบหน้าพระองค์ไม่ชัดเจน หรืออาจเป็นเพราะฝันเลยไม่มีใบหน้าพระองค์ให้คำนึงถึง ตัวฉันถูกประคองวางบนเตียงจากนั้นทุกคนก็วุ่นวายกันพักใหญ่ หมอหลวงตรวจชีพจรฉัน เหล่านางกำนัลเตรียมผ้าเช็ดหน้าและตัวให้ พักใหญ่หมอหลวงตรวจแล้วจึงทูลว่า
“พักคืนหนึ่งอาการจะดีขึ้น กระหม่อมจัดยาหลวงไว้ให้นางดื่มรุ่งเช้าเพื่อปรับระบบเลือดในกาย ส่วนกำยายนี้จะช่วยให้นางบรรเทาอาการเวียนหัวได้พ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าไปเถิด”
พระองค์รับคำสั้นๆจากนั้นก็ถอนหายใจเสียงเบา
“หม่อมฉันทูลลา”
“ไปได้”
สิ้นสุดคำห้องทั้งห้องดูเหมือนจะเงียบกริบ มีเพียงพระองค์นั่งเฝ้าฉันอยู่ข้างเตียง ตอนนี้ฉันเอาแต่มองเพดาน หากเป็นฝันจริงความอัดอั้นเมื่อครู่จะระบายกับพระองค์ได้หรือไม่...เพียงแค่พระองค์ที่ดูเหมือนเข้าใจทุกสิ่งในใจนี้ เพียงแค่พระองค์ที่ฉันรู้สึกอบอุ่นเหมือนมีที่หลบภัยซ่อนกายจากความรู้สึกสับสนมากมายที่กำลังประดังแระเด
ฉันเงยหน้ามองอยู่พักใหญ่ ส่วนพระองค์ก็ไม่พูดอะไรสักคำ ฉันจึงคิดว่าเรื่องราวเหล่านี้คงเป็นแค่ฝัน เพราะยามฝันจะไม่ค่อยมีคนพูดกับเรา ยกเว้นจิตใต้สำนึกอยากให้เขาพูดกับเราแบบนั้น ฉันจึงกล้าปริปากเป็นครั้งแรก
“ฝ่าบาทอาจคิดว่าหม่อมฉันเจ็บปวดเพราะฤทธิ์สุรา...แต่ไม่เลย...” จู่ๆน้ำตาฉันก็เอ่อคลอที่กลั้นไว้เมื่อครู่กำลังจะกลั้นไม่อยู่ “เพราะสุราเพียงขังอยู่ในกาย...แต่น้ำตาหม่อมฉันขังอยู่ในใจ...ดังนั้นสิ่งที่เจ็บปวดกว่าคือใจหม่อมฉัน ไม่ใช่กาย...”
ฉันหลับตาแน่นปล่อยน้ำตาไหลอาบแก้มช้าๆ อีกฝ่ายไม่พูดอะไร ทำตัวเป็นผู้รับฟังที่ดี มือหนึ่งกุมรอบมือฉันไว้เพื่อปลอบประโลม ฉันหันไปมองมือคู่นั้นพลางซุกหน้าลง แม้ไม่มีคำพูดปลอบใดๆแต่หัวใจหนาวเย็นกลับอบอุ่นคลายกังวลเมื่อมีมือนี้กุมไว้ ฉันร้องไห้เสียงดังกับพระองค์อย่างพ่ายแพ้จมดิ่งไปกับรอยน้ำตาแล้วหลับไป...
รุ่งเช้าตื่นขึ้นพร้อมเสียงอื้ออึงในหัว ตบศีรษะตัวเองลั่นก็ยังไม่ได้สติดีเท่าที่ควร ดูเหมือนผิงเอ๋อกำลังเดินเข้ามาหา ความทรงจำเมื่อวานอยู่ครบเกือบทั้งหมดรวมทั้งเรื่องการปรากฏตัวของหานตง แต่สิ่งที่เรือนรางคือความฝันเมื่อคืนว่าสิ่งที่ได้ยินและรับรู้เป็นความฝันหรือเรื่องจริงกันแน่?
“ผิงเอ๋อ...ข้าอยากดื่มน้ำ”
ฉันยื่นมือออกไป อีกข้างกุมหัวตัวเองแน่น ผิงเอ๋อดูห่างเหินชอบกล นางไม่ตอบรับสักคำหรือนางยังโกรธที่ฉันไปไหนไม่บอกกล่าว ฉันรับน้ำมาไว้ในมือแล้วยกดื่มรวดเร็ว คอแห้งผากเลยสดชื่นขึ้นบ้าง ดื่มเสร็จจึงปรับสีหน้า นวดๆคลึงๆขมับให้คลาย กลิ่นกำยานที่อยู่บนหัวนอนทำให้อาการปวดไม่หนักมากในเช้านี้ ผิงเอ๋อปรนนิบัตรฉันได้ดีจนฉันเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา เมื่อเห็นว่านางไม่พูดไม่จาจึงคิดว่านางคงโกรธหนัก พออาการปวดหัวดีขึ้นเลยทำหน้าขี้เล่นหันไปหานางเพื่อขอโทษ แต่กลับทำแก้วในมือตกแตกเสียงดังเมื่อรู้ว่าใครกำลังยืนอยู่ข้างเตียงและส่งน้ำมาให้
“ฝ่าบาท!”
ร่างสูงองอาจในชุดมังกรทองทำมือฉันเย็นเฉียบ รีบถลาลงจากเตียงไปคุกเข่าพลางพูด “หม่อมฉัน...หม่อมฉันสมควรตาย! ไม่ใช่สิต้องถวายพระพรก่อน! ถวายพระพรฝ่าบาท!” น้ำเสียงอึกอัก หัวใจเต้นเร็วรัว ใครจะไปคิดว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นเรื่องจริง ถ้าเช่นนั้นคนที่อุ้มฉันไว้ไม่ใช่พระองค์หรอกหรือ! แย่แล้ว!
“ลุกขึ้นเถิด”
ตอนนี้สติไม่ตื่นก็ต้องตื่นเต็มตา ขันทีผู้น้อยปรี่เข้ามาเก็บเศษกระเบื้องแล้วถอยตัวจากไป ฉันยังไม่กล้าลุกไปไหนทั้งนั้น ก้มมองพื้นเงาวับนิ่งเงียบ ดูเหมือนห้องนี้จะไม่มีใครแม้แต่น้อยมีเพียงฉัน พระองค์และขันทีอีกสองสามคนยืนอยู่นอกห้องเป็นเงาทอดมารางๆให้เห็น
“หม่อมฉัน...หม่อมฉัน”
ถูกเห็นในสภาพหน้าอาย ทั้งยังเมามาย ลี่เซียนนะลี่เซียน! เจ้าทำต่อหน้าบุรุษที่ไหนไม่ทำ แต่ทำตัวไม่สมเป็นกุลสตรีต่อหน้าพระองค์! แค่คิดถึงเรื่องราวเมื่อคืนฉันก็อายจนแทบอยากปลิวหายไปกับอากาศ แต่ใจหนึ่งกลับคิดว่าตนกล้าใช้จักรพรรดิยกน้ำมาปรนนิบัตร คงต้องใจกล้ารับผลที่จะตามมาเช่นกัน
ใจเต้นถี่รัวรอคำสั่งถัดไป ยิ่งนานฉันยิ่งปวดเกร็งไปทั่วร่าง
“ลุกขึ้นได้ ยังไงเสียเราก็ปรนนิบัตรอุ้มเจ้ามาทั้งคืน เพียงยื่นน้ำให้คงไม่เป็นไรนัก หากเราคิดลงโทษจริงเจ้าคงไม่มีชีวิตอยู่ถึงรุ่งเช้า”
คำพูดนี้เหมือนทุบฉันให้สลบ ฉันเงยใบหน้าร้อนแดงขึ้นสบพระพักตร์ คราวนี้เห็นทีได้เห็นพระพักตร์พระองค์เต็มสองตา ใกล้เพียงเอื้อมมือเพราะพระองค์ก้มตัวลงต่ำมาจ้องฉัน ใบหน้าเราสองเลยใกล้เสียยิ่งกว่าใกล้
อย่างที่วาดฝันไว้...ท่าทางอ่อนโยน สุขุม สง่างามในคราเดียว แววตาพระองค์สงบนิ่งล้ำลึก รูปหน้าโดดเด่นสะดุดตา ยิ้มหนึ่งเลิกขึ้นน้อยๆ ทำให้หัวใจฉันเต้นถี่จนยากควบคุมแต่ไม่ยากลืมเลือนในความทรงจำ
“ขอบ ขอบพระทัยฝ่าบาท...”
“เจ้าเหมือนสตรีนางหนึ่งที่เรารู้จักนัก นางเองก็มีนิสัยมุทะลุเช่นนี้” ฉันล้มเซไปด้านหลัง นั่งแข็งทื่อบนพื้นเย็น ยังมีสตรียุคนี้บ้าบิ่นเหมือนฉันด้วยหรือ? นางเป็นใครกัน? ฟังพระองค์พูดต่อ มองฝ่ามือเรียวควักเรียกขันทีผู้หนึ่งเข้ามาใกล้แล้วออกคำสั่ง “เตรียมเกี้ยวส่งคุณหนูเยี่ยกลับตำหนักหวาง”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เวลาแห่งความสุขมักผ่านมาในชีวิตช่วงสั้นๆ ฉันรีบรุดยืนขึ้นอย่างเสียดายใจยังไม่อยากกลับไปแม้แต่น้อย ยากนักที่จะได้พบพระองค์อีก ขึ้นชื่อว่าฮ่องเต้จะอีกกี่วันหรือกี่เดือนหรือกี่ปีจะได้ชิดใกล้เช่นนี้? ฉันมองแผ่นหลังที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเศร้าสร้อย จนเผลอก้มหน้ามองปลายเท้าอยู่นาน
“แผลเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
พระองค์พูดขัดบรรยากาศเงียบสงบเมื่อครู่ ฉันจึงยิ้มออกมาแล้วกล่าวทูล
“หายดีแล้วเพคะ เพียงสี่ครั้งก็หาย...”
“ดี” ตรัสเพียงสั้นๆแล้วเข้าใกล้ประชิดตัวทำเอาฉันถอยไปก้าวเพราะประหม่า พระองค์โอบตัวฉันเข้าใกล้ วินาทีนั้นขาฉันสั่นพรับจนแทบยืนไม่อยู่ พระองค์เลิกแขนเสื้อขึ้น สายตามองรอยแผลฉันพลางพูด “ยังมีรอยอยู่บ้าง เราจะให้สี่กงกงจัดยาส่งไปให้”
ฉันมองนิ้วเรียวของพระองค์ลูบรอยแผลเบามือ แปลกที่พระองค์ทำให้หลายความรู้สึกถาโถมเข้ามาขณะนี้ กดดัน ตื่นเต้น เขินอาย คิดอะไรไม่ออกเหมือนปกติ จากนั้นก็จูงฉันเดินไปตู้ๆหนึ่ง หยิบขวดยาเปิดออกแล้วทรงทาแผลให้ด้วยมือพระองค์เอง พอเสร็จก็จับข้อมือค้างไว้ ส่วนฉันก็ไม่ใจกล้าพอจะขยับหนี แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าควรหวงเนื้อหวงตัวหรือไม่ เพราะหากฉันเป็นคนในแคว้นฉีเรียกได้ว่าเป็นของๆพระองค์ไปโดยปริยาย แต่พระองค์ไม่ใช่กษัตริย์หนุ่มเจ้าสำราญ ส่วนฉันก็ไม่ใช่หญิงงามล่มเมือง ฉันเลยสำเหนียกตัวเองได้ว่าคงไม่มีเสน่ห์ให้พระองค์คิดไกล ดังนั้นหากพระองค์จะจับไว้ก็ตามใจ
เรานิ่งเงียบอยู่นาน ต่างฝ่ายต่างไม่พูด ต่างฝ่ายต่างไม่ขยับ จะมีที่ขยับคงเป็นสายตาของพระองค์แต่ไม่ใช่สายตาของฉันที่ประสานอยู่ ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูดังขึ้น ขันทีผู้หนึ่งสะดุดเท้าหยุดกับที่เมื่อเห็นฝ่าบาทกำลังจับข้อแขนฉัน ท่าทีกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูก จากนั้นพอเห็นพระองค์ปล่อยแขนฉันลงแล้วเดินห่างไป จึงค่อยๆย่างเท้าเข้ามารายงาน
“เกี้ยวมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ...” เขาเหลือบตามองฉันทีหนึ่งแล้วหลุบตาลง ยอบกายแล้วถอยฉากไป
ฉันพ่นหายใจยาว ในหัวคิดว่าเสียงลำโพงในวังจะสะพรัดไปไวขนาดไหน คงไม่ใช่ว่าขันทีผู้นั้นจะคิดอะไรเกินเลยหรอกนะ...เพราะสิ่งที่ตามมาไม่ใช่เรื่องยินดี แต่คือปัญหาอีกร้อยแปด ฉันส่ายหน้าเบาๆหันมองเกี้ยววางอยู่ด้านหน้าตำหนัก พระองค์เองก็เห็นแล้วจึงหันใบหน้ามาหาฉันทรงตรัสว่า “กลับได้แล้ว”
ฉันก้มหน้าลงรับคำก่อนจะรีบเงยมองพระพักตร์เป็นครั้งสุดท้าย
“ลี่เซียนทูลลา”
แม้ไม่อยากจากแต่จำต้องหันหลังจาก ฉันกุมมือซุกแน่นในแขนเสื้อเดินไปสองก้าวยังไม่ทันจะยกเท้าออกจากห้องเสื้อคลุมสีฟ้าเงินตัวหนึ่งถูกคลุมทับไหล่ความยาวห่อหุ้มมิดปลายเท้า ฉันหันหน้ากลับไปมองพระองค์อีกครั้ง เห็นพระองค์สรวลขึ้นเล็กน้อย
“เนื้อตัวเจ้าไม่ต่างจากวันนั้นนัก เสื้อคลุมเราคงพอช่วยคลายหนาวได้บ้าง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ฉันกุมเสื้อคลุมตัวยาวไว้แน่น มองตามแผ่นหลังที่หันให้แล้วเดินหายไปอีกฝั่งของห้อง ขันทีคนเดิมเชิญฉันขึ้นเกี้ยวจนถึงตอนนี้ยังไม่กล้ามองตาฉันแม้แต่น้อย ฉันไม่รู้ว่าต่อมาเกิดอะไรขึ้นรู้เพียงมือคู่นี้กุมเสื้อคลุมสีฟ้าลายมังกรไว้แน่นตลอดทาง มัวแต่จมอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง ดังนั้นพอเกี้ยวหยุดสติถึงได้กลับมาอยู่หน้าตำหนักหวางด้วย ท่านพ่อท่านแม่ ผิงเอ๋อ หลิ่งถิงและเจ้าบ้านกับฮูหยินเก้ายืนกระสับกระส่ายอยู่ พอเห็นฉันลงจากเกี้ยวก็รีบถลากันเข้ามาหา ใบหน้าร้อนรนอย่างเห็นได้ชัดจนฉันงงงวยกับท่าทีนี้
“หลิ่งถิงบอกว่าฝ่าบาทดูแลเจ้าเมื่อคืน”
ตอนแรกฉันยังไม่เข้าใจได้แต่ตอบว่า “ใช่” กับท่านแม่ ท่านแม่หน้าซีดส่วนท่านพ่อก็เอาแต่ถามว่า
“เมื่อคืนเจ้าค้างตำหนักไหนเหตุใดกลับมาเอารุ่งเช้า” น้ำเสียงท่านพ่อเคร่งเครียดส่วนใบหน้าก็มืดดำคล้ำ
“ลูกค้างตำหนักใหญ่ ฝ่าบาททรงให้หมอหลวงมาดูอาการลูก รุ่งเช้าจึงให้คนมาส่ง”
หลิ่งถิงยืนนิ่งไปนานแล้วส่วนมือของท่านพ่อที่กุมเมื่อครู่คลายออกไปช้าๆ ใบหน้าทุกคนเหมือนๆกันหมดคือเหมือนเห็นฉันเป็นวัตถุแปลกประหลาดในสายตา ทั้งสงสัย เคลือบแคลงและไม่มั่นใจ ในแววตาของหลิ่งถิงยังมีอีกสิ่งนั่นคือ...ความเศร้าหมอง ตอนนั้นเองที่ฉันรู้ว่าทุกคนคิดไปถึงขั้นไหน แม้ฉันจะไม่มีความคิดเช่นนั้นแต่สายตาคนนอกย่อมมองว่าฉันได้ปรนนิบัตรฝ่าบาทเป็นที่เรียบร้อย หรือไม่ก็เสียงข่าวโคมลอยได้แพร่สะพัดจากตำหนักใหญ่มาถึงตำหนักหวางเรียบร้อย ทุกคนเลยพร้อมหน้าพร้อมเพรียงรอฉัน ส่วนยศศักดิ์ฉันก็ถูกยกสูงในความคิดของพวกเขาไปทันที ทุกคนเลยไม่มั่นใจว่าตอนนี้ควรเรียกฉันอย่างไรหรือทำตัวกับฉันอย่างไร
“พวกท่านคิดอะไรกันแน่ ข้ายังไม่ได้รับใช้ฝ่าบาทเสียหน่อย!”
พอฉันกล่าวโต้งๆไม่มีอ้อมค้อมใบหน้าหลิ่งถิงก็แดงระเรื่อทันที ส่วนคนอื่นได้แต่กระอักกระอ่วนไปเป็นแทบ
“กลับไปคราวนี้เห็นทีพ่อต้องเข้มงวดกับเจ้าแล้ว!” ท่านพ่อดุฉันเสียงดังจากนั้นก็หันไปหาท่านแม่ “ส่งนางไปเรือนบุปผางาม รับการอบรมกับเจ้าเรือนไม่ต้องกลับจวนสกุลเยี่ยอีก!”
“ท่านพ่อ!”
“ท่านพี่!”
ท่านพ่อไม่สนใจแม้แต่น้อย สะบัดพัดพรึบพรับด้วยโทสะ ตัดใจส่งตัวฉันไปอบรมมารยาทจนกว่าจะถึงเวลาเข้าคัดตัวสาวงาม วันนั้นกลับไปถึงจวนฉันเอาแต่นั่งคอตก พอรู้คร่าวๆว่าเรือนบุปผางามคือสถานที่อบรมมารยาทหญิงสาวก่อนเข้าวัง เข้มงวดกับทุกอย่างเป็นอย่างมาก แม้จะดูแลหญิงสาวทุกคนเป็นอย่างดีเพราะทุกนางล้วนแล้วแต่มีฐานะไม่ธรรมดาทั้งนั้น แต่ยามสอน หากทำสิ่งใดผิดพลาดเข้าตีก็เป็นตี จะหนักจะเบาก็ขึ้นกับผลที่ตนทำ ยังดีหน่อยที่ผิงเอ๋อยังติดตามฉันเข้าไปรับใช้ได้ ไม่ใช่หัวเดียวเข้าไปแบบนั้น ท่านแม่ดูระทมใจที่สุดเพราะตอนแรกยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนกว่าฉันจะเข้าวัง นางยังมีเวลาอยู่กับฉันและตัดใจอีกระยะยาว แต่ตอนนี้ท่านพ่อได้โกรธถึงขีดสุดกับเรื่องที่เกิดขึ้นฉันจึงโดนระเห็จออกจากจวนไปตามระเบียบ
วันรุ่งขึ้นฉันยืนร้องไห้ตาแดงอยู่หน้าประตูจวน ท่านแม่เองก็ร้องไห้หนักไม่แพ้กัน เอาแต่กอดฉันราวหัวใจแหลกสลาย ส่วนท่านพ่อได้แต่ยืนนิ่งยังไม่ลดอารมณ์ ฉันกอดท่านแม่อยู่นานสองนานจากนั้นจึงผละออกมาช้าๆ เดินตรงไปหน้าท่านพ่อแล้วคุกเข่าขอโทษ
“ลี่เซียนขออภัยที่ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง ท่านพ่อลงโทษลี่เซียนเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว ลี่เซียนจะระลึกสิ่งที่ท่านสอนและระลึกถึงวันเวลาในจวนนี้”
จู่ๆฉันก็นึกถึงช่วงเวลาสั้นๆ ถึงแม้จะสั้นมากก็ตามแต่ความผูกพันดูเหมือนจะยาวนานกว่าวันเวลานัก น้ำตาฉันนองหน้าเงยขึ้นมองท่านพ่อแล้วลุกขึ้นสวมกอดท่านไว้
“ลี่เซียนขอโทษ”
ท่านพ่อค่อยๆโอบกอดฉันตอบ จากนั้นก็ร้องไห้ออกมา
“พ่อรักเจ้ามาก พ่อรักเจ้ามาก!”
ตอนนั้นเองที่หน้าจวนมีแต่ความรู้สึกคิดถึงและความรักส่งผ่านระหว่างกัน ผิงเอ๋อที่ยืนมองเงียบๆร้องไห้ออกมา เหล่าข้ารับใช้เองก็คุกเข่าร้องไห้ระงม ท่านพ่อปาดน้ำตาบนใบหน้าให้ รู้สึกผิดที่คิดจะส่งตัวฉันไปห่างอก แต่ในเมื่อพูดแล้วคงไม่อาจคืนคำได้ ท่านกุมมือฉันส่งขึ้นรถม้า
“ดูแลตัวเจ้าให้ดี หากไม่ดื้อซนท่านเจ้าเรือนจะปล่อยตัวเจ้ากลับจวนเราไวขึ้น”
ฉันพยักหน้ารับคำพลางกล่าวว่า “ลูกจะพยายาม”
ใจฉันหายวาบตอนผิงเอ๋อปิดประตูรถม้า มองจวนตัวเองที่เคลื่อนออกห่างเรื่อยๆ ท่านพ่อกอดท่านแม่แน่น ภาพนี้ทำให้ฉันเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่ที่ส่งลูกออกเรือนได้อย่างดี เข้าใจหัวอกหญิงสาวในยุคนี้ว่าต้องทนทุกข์กับการจากลาครอบครัวไปอยู่ในสถานที่อื่นมากขนาดไหน เพราะสิ่งเหล่านี้ช่างทรมานใจฉันมากเหลือเกิน
รถม้าเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ฉันทิวทัศน์นอกหน้าต่างด้วยใจหดหู่ เรือนบุปผางามจะเป็นอย่างไรสำหรับฉัน โรงเรียนเด็กดื้อ? โรงเรียนดัดสันดาน? โรงเรียนดัดมารยาท? หากเปรียบกับยุคก่อนคงไม่พ้นสามสิ่งนี้ ขณะที่กำลังมองออกไปพลางครุ่นคิดอย่างหนักใครบางคนได้ขวางหน้ารถม้าจนรถม้าต้องหยุดกึก ฉันเสตัวจนหัวชน ขมวดคิ้วแน่น ใครกันใจกล้าได้ขนาดนี้! แต่พอเห็นใบหน้าเล่อล้าถลาเข้ามาหาที่หน้าต่างฉันก็ชักสีหน้ากล่าวไปทันที
“มาส่งข้าอีกคนหรืออย่างไร!”
เขายกยิ้มดูเหมือนจะชอบใจยกใหญ่ เมื่อตอนถูกท่านพ่อพูดว่าส่งตัวไปเรือนบุปผางาม เขาก็เอาแต่ยิ้มใส่ไม่หยุดไม่คิดจะช่วยฉันร้องขอห้ามปรามสักคำ ทำเอาฉันถึงกับโมโหไม่น้อย
“ลี่เซียน!”
“อะไร?”
ฉันถามคำตอบคำเสมองทางอื่นไม่สนใจ
“เรือนบุปผางามที่เจ้าถูกท่านอาส่งตัวมาอยู่ติดหลังจวนข้า!”
“แล้วอย่างไร? คิดว่าข้าดีใจหรือ? ที่เรือนบุปผางามอยู่ติดสกุลเก้าของเจ้า!”
หลิ่งถิงยิ้มไม่สนใจพลางตอบ “แต่ข้ายินดียิ่ง! หากไปหาเจ้าข้าเพียงปีนข้ามไป หากโดนเจ้าไล่ออกมาข้าเพียงปีนกลับ”
“เหอะ! คิดว่าข้าจะให้เจ้าปีนเข้ามาง่ายๆหรือ? หากเจ้าปีนมาข้าจะบอกท่านเจ้าเรือน หากเจ้าปีนกลับไปข้าก็จะคว้าไม้ไล่เจ้าไปด้วย!”
ฉันถลึงตาใส่ ชักสีหน้าเท่าไหร่เขาก็ไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย ยังคงยิ้มหน้าบานขัดอารมณ์จนอยากจะทึ้งผมเขาให้ร่วงโกร๋น ยิ้มอยู่เพียงครู่เจ้าคนโง่ก็โบกไม้โบกมือให้ใครบางคน
“หานตง!”
พอเขาพูดชื่อนี้ฉันก็รีบมุดหน้ากลับเข้าไปในรถม้าทันที
“หลิ่งถิง...เจ้ากำลังคุยกับผู้ใดอยู่หรือ?”
“ลี่เซียนถูกส่งตัวมาเรือนบุปผางามจนกว่านางจะเข้าคัดเลือกสาวงาม”
ไอ้เจ้าโง่! เจ้าบ้าหลิ่งถิง! ใครใช้ให้พูดทุกเรื่องกับคนๆนี้กัน! ฉันหันไปมองเขาเขม็งแต่ดูเหมือนเขาจะไม่หันมามองตอบแม้แต่น้อย เลยได้กดอารมณ์โกรธไว้ภายในรถม้าผู้เดียว
“เช่นนี้เอง เจ้าถึงยิ้มเริงร่า” เสียงสุขุมพูดพลางหยุดเป็นจังหวะ จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามามองฉันในเกี้ยวพลางพูด “เรือนชั่วคราวของข้าในแคว้นฉีอยู่ติดเรือนบุปผางามของเจ้าเพียงสองก้าว คราวนี้เห็นทีเราสามคนคงได้พบหน้ากันบ่อยขึ้น”
“อืม” ฉันตอบเย็นชาพลางหันไปหาผิงเอ๋อ “ออกรถ” ผิงเอ๋อพยักหน้างุนงงพลางเร่งคนขับรถม้าออกรถไป หลิ่งถิงโวยวายยกใหญ่ที่ฉันไม่ร่ำรา ปากบอกแต่ว่าฉันโกรธเขาจริงๆหรือ ส่วนหานตงผู้นั้นได้แต่ยิ้มค้างเงียบๆ เขาคงเห็นฉันเป็นสตรีที่ไร้มิตรภาพที่สุดในแคว้นฉี แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจสิ่งใดเพียงคิดว่าต่อจากนี้จะรับมือกับเขาและหลิ่งถิงอย่างไรดี จะรับมือกับความรู้สึกดำมืดในหัวใจตนกับเขาได้แค่ไหน และเรือนบุปผางามจะวุ่นวายเพียงไรหากมีหลิ่งถิงกระโดดข้ามกำแพงไปมา หรือมีเขามาให้ฉันขับไล่ออกไปอีกคน แม้มีคนเยี่ยมเยียน แต่ทั้งสองคนเป็นคนที่ทำให้ฉันปวดหัวได้พอๆกัน พอคิดถึงตรงนี้ฉันก็กุมขมับแน่น...ลี่เซียนนะลี่เซียน นี่คือวาสนาหรือการกลั่นแกล้งของสวรรค์กันแน่!
อัพครั้งแรก : 11/2/58 รีไรท์ : 12/2/58 (แก้คำผิดเพราะมึน)
สวัสดีเจ้าค้า!!!
เหม่ยช่วงนี้อาจมาเป็น % นะเจ้าคะ >< ฮูหยินทำใจกันเล็กน้อยเพราะช่วงนี้งานยุ่งมากมายเจ้าค่ะ เอาหล่ะ!!! หานตงมาแล้วเจ้าค่ะ! หลิ่งถิงเองก็ไม่ยอมแน่นอน! ว่าแต่ฝ่าบาทหายไปไหน ไยไม่มาดูแลแม่นางน้อยของเรา (หรือฮูหยินที่มโนเป็นตัวเองก็ต้องถามแล้วหล่ะเจ้าคะว่าอยากให้หนุ่มคนไหนดูแล555) ลืมบอกเจ้าคะฮูหยินทั้งหลายของเหม่ย ตอนนี้ระบบเม้นสามารถตอบเม้นย่อยของแต่ละคนได้ ดังนั้นถ้าว่างนับตั้งแต่บทนี้เป็นต้นไปเหม่ยจะตอบเม้นย่อยฮูหยินทุกคนเลยเจ้าคะ ยังไงขอมาตรการจากบันทึกองค์หญิงจำเป็น งดคำหยาบคายเพื่อหน้านิยายสะอาดคลีนเจ้าค่ะ! ขอบคุณฮูหยินทุกท่าน รักฮูหยินเช่นเดิม ><" เหม่ยสุดสวยเอง555
ค่ำนี้สุราดูมีประโยชน์กว่าสติ
ตอนท่านเช็ดน้ำตา ข้าก็ทำเพียงปัดมือใส่ ตอนท่านพยายามเข้าหา ข้าก็เพียงหันใบหน้าหนี ไม่ว่าท่านจะพยายามใกล้ชิดข้าเท่าไร ข้ายิ่งถอยออกห่าง ความผิดของท่านคือสิ่งใดข้าก็ยังไม่รู้ หรือที่ผิดอาจเป็นเพราะใบหน้าท่านคล้ายเขาเท่านั้น แต่แม้ข้าพยายามทำใจยอมรับ ใจข้าก็รู้ตัวเองดีว่าที่ว่างสำหรับข้าเป็นของผู้ใด...
ข้า...ขอโทษ
ฉันยังจำหน้าหนาวครั้งหนึ่งได้ดี เสี่ยวหมิงใส่ชุดสีดำสนิทมองแล้วคล้าย เขา บุรุษตรงหน้าไม่มีผิด ตอนนั้นเสี่ยวหมิงอ้อมมือมาโอบตัวจากด้านหลังเพื่อคลายหนาว ทำให้ร่างกายสั่นของฉันอบอุ่นจากกายถึงหัวใจ
แต่ตอนนี้ขณะที่ฉันยืนนิ่งในห้อง มองแววตาเย็นแต่อบอุ่นของเขาอีกคน...หัวใจฉันราวโดนพายุหิมะห่อหุ้มไว้ หนาวเย็น...อึดอัด...เจ็บปวด...ด้านชา เหมือนสายลมฤดูหนาวในปีนั้นย้อนกลับมาทำร้ายอีกครั้ง
“เสี่ยวหมิง? เจ้าหมายถึงใครกัน?”
หลิ่งถิงหันมาถาม ฉันจึงรีบก้มหน้าซ่อนดวงตาแดงก่ำ ขณะที่กำลังก้มก็เห็นหานตงยกยิ้มมาให้ก่อนพูดขึ้น
“แม่นางคงจำคนผิดแล้ว” เขายิ้มน้อยๆแล้วก้มหน้าลง “ข้าชื่อจ้าวหานตง เป็นเพียงพ่อค้าตระกูลจ้าวผู้เดินทางรอบแผ่นดินนี้ สกุลจ้าวผูกขาดค้าขายสินค้าอยู่แคว้นต้า หากบอกว่าข้าเคยพบแม่นางคงเป็นไปไม่ได้” เขาพยักหน้ายิ้มยกมือคำนับดูมีมารยาท จากนั้นจึงพูดต่อ “หรือแม่นางผู้นี้คือสหายที่ท่านอ๋องพูดถึงบ่อยๆ”
ฉันไม่ตอบคำถามเขา ลุกขึ้นยืนเดินไปใกล้บานหน้าต่าง กลืนน้ำตาเมื่อครู่ลงลำคอ มองเมฆหมอกเคลื่อนผ่านดวงจันทร์ จิตใจทั้งสับสนว้าวุ่นอย่างหนัก ยิ่งเขาทำเหมือนเพิ่งเคยพบกับเป็นครั้งแรก ยิ่งทำให้ฉันนึกถึงวันแรกที่พบเสี่ยวหมิง เหตุใดสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งฉันแบบนี้เล่า? ให้คนสองคนมีใบหน้าคล้ายกันทุกส่วน ฉันลอบถอนหายใจเบาแล้วหันหน้ากลับไปเผชิญ
หลิ่งถิงเห็นฉันไม่ตอบเลยคิดแทนว่าฉันไม่อยากพูดคุยกับคนแปลกหน้า อีกทั้งเป็นบุรุษเขาเลยยินดีช่วยเหลือ กล่าวออกมาแทนว่า
“ถูกของเจ้าแล้ว แต่...หานตงนางไม่ใช่สตรีธรรมดา นางคือคุณหนูลี่เซียนแห่งตระกูลเยี่ย ผ่านฤดูกาลนี้นางต้องเข้าวังถวายการรับใช้ฝ่าบาท เจ้าจะทำสิ่งใดล้วนต้องอยู่ในขอบเขต สำรวมตัวและสายตาเจ้าด้วย”
หลิ่งถิงพูดเตือนเขา นัยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงด้วยความหมาย ฉันได้ยินเสียง หึ ดังลอยแว่วจากหานตง สายตาลึกซึ้งของเขาเลื่อนออกจากใบหน้าฉัน จึงรู้ว่าเมื่อครู่ทุกการกระทำถูกเขามองดูตลอด หลิ่งถิงว่าหานตงต่อหน้า ส่วนหานตงก็ไม่ได้โกรธเขาแม้แต่น้อยยอมทำตามแต่โดยดี ฉันจึงรู้สองคนนี้สนิทกันมากจริงๆ
พอพวกเขาว่ากล่าวกันเสร็จก็หันมาสบใบหน้าเกร็งไร้ความรู้สึกของฉัน
“ลี่เซียนเจ้าเป็นอะไรไป?”
หลิ่งถิงถาม ฉันจึงพยายามยิ้ม บังคับใบหน้าให้เป็นปกติ แต่สายตายังคงจดจ้องพิจารณาหานตง อาจแค่เหมือน...อาจไม่ใช่เขาก็ได้ แค่คิดมากไปเองเท่านั้น...แค่คิดมากไปเอง!
ฉันคิดปลอบตัวเองเลื่อนสายตากลับไปหาหลิ่งถิง เพราะยิ่งมองหานตงหัวใจยิ่งถูกบีบรัดรุนแรง
“กลับกันเถอะ”
ฉันพูดเสียงเรียบ หลิ่งถิงเมื่อเห็นสีหน้าฉันไม่ดีจึงพยักหน้ารับคำพากลับทันที
“อืม...ไปเถอะ หานตงรุ่งเช้าค่อยมาฉลอง”
พูดจบหลิ่งถิงก็จับมือฉันแล้วพาเดินออกไป แต่ก่อนที่จะถึงประตู เสียงคมเข้มได้หยุดเท้าพวกเราอีกครั้ง
“คารวะให้เจ้าและแม่นางสักจอก เพิ่งรู้จักพบหน้าไม่ใช้เหล้าสุราคารวะจะเสียมารยาทชาวทะเลทรายเช่นข้าได้”
“จริงสิ...วันเกิดข้า เช่นนั้นดื่มสักจอก!”
หลิ่งถิงยิ้มอารมณ์ดีพร้อมยกขวดสุราขึ้นดื่ม ส่วนฉันก็เอาแต่เงียบไม่หันไปหาเขาหรือยกขวดเหล้าคารวะตอบ ห้องทั้งห้องเลยพลันเงียบไปและยิ่งไม่ทำสิ่งใดยิ่งอึดอัดจนแทบทนไม่ไหว จึงตัดสินใจคว้าขวดสุราของหลิ่งถิงมาไว้ในมือ จงใจกรอกรวดเข้าไปไม่สนว่าจะมึนเมา
หลิ่งถิงทำตาลุกวาวแย่งขวดสุรากลับ ตวาดเสียงดังด้วยความห่วงใย
“เจ้าบ้าหรืออย่างไร คารวะใช้เหล้าเพียงไม่กี่จอกเท่านั้น! ดื่มรวดหมดเช่นนี้สติได้ไม่กลับร่างเจ้าพอดี!”
ฉันคิดในใจ ไม่กลับมาก็ดีและหากลืมเรื่องชาติก่อนจนหมดสิ้นยิ่งดีเข้าไปใหญ่ หลิ่งถิงไม่ถามอะไรฉันต่อสักคำ ส่วนฉันก็ไม่แน่ใจว่าเขารับรู้หรือไม่รับรู้ท่าทางผิดปกตินี้เพราะเขายังดูไร้เดียงสามากในความคิด ดื่มเสร็จก็ตั้งท่าเดินออกแต่มือหนึ่งได้กุมฉันจากด้านหลัง ฉันเลยจำใจต้องหันกลับไปหา หานตงยกยิ้มให้ งดงามทว่าสุขุมนัก
“หวังว่าได้พบแม่นางอีกครั้ง”
ฉันถอนมือออกจากมือเขา สายตามองคนตรงหน้าเชือดเฉือนเย็นชา ทำให้หลิ่งถิงซึ่งอยู่ข้างๆคิดว่าฉันไม่พอใจจึงปัดมือหานตงออกแล้วกล่าวเสียงเจือโกรธขึง
“หานตงเจ้าชักมากไปแล้ว! นางไม่ใช่สตรีที่ให้เจ้าจับได้ตามใจชอบ!”
พูดจบเขาก็จับมือฉันลากออกไป พวกเราออกมาจากโรงเตี๊ยมทั้งที่ยังไม่ร่ำลาหานตง ในส่วนของหลิ่งถิงเขาดูหงุดหงิดเป็นพิเศษที่ฉันถูกคว้าข้อมือไปกุมไว้ง่ายดายทั้งที่ยังอยู่ในสายตาเขา ใจเลยโกรธหานตงยกใหญ่เดินออกจากร้านเร็วราวพายุ แต่ในส่วนของฉัน สมองยังอื้ออึงหาคำตอบไม่ได้ รู้แต่เพียงว่า ไม่หวังจะพบเขาอีกครั้งเป็นครั้งที่สอง รอยยิ้มเขาพาหัวใจฉันมืดเป็นสีดำสนิท เขาใช่เสี่ยวหมิงหรือไม่? หรือเขาเป็นเพียงคนอื่นที่หน้าเหมือนเท่านั้นเพราะขนาดฉันตายยังมาเกิดที่นี่ได้ แล้วทำไมเสี่ยวหมิงจะมาที่นี่ไม่ได้ ความคิดตีรวนสับสนจนต้องหันไปคว้าขวดสุรามากรอกให้ลืม
“เลิกดื่มได้แล้ว!”
ฉันเงยหน้ามองหลิ่งถิง ไม่เผยแววตาเศร้าหมองสงสัยของตนให้เขาค้นพบ มีเพียงรอยยิ้มเจือขมขื่นเท่านั้น มือยอมให้เขาหยิบขวดสุราออกไปโดยง่าย
“ข้าเพียงอยากดื่มอวยพรให้เจ้า” ฉันพูดปัด
“เพิ่งบอกว่าฤทธิ์เหล้าแรง เจ้ายังฝืนดื่มอีก เห็นได้ชัดว่าตอนนี้แม้กระทั่งยืนยังแทบไม่ไหว อีกไม่ช้าคงให้ข้าออกแรงแบกกลับตำหนักหวาง”
เขาพูดเสร็จขาฉันก็พันกัน จากนั้นร่างทั้งร่างล้มลงกองกับพื้น หลิ่งถิงมองใบหน้าแดงเพราะฤทธิ์สุราของฉัน สีหน้าเขากังวลตกใจ อุ้มฉันขึ้นขี่หลัง เดินประคองร่างฉันขึ้นหลังม้าระมัดระวัง ทั้งส่ายหัวทั้งบ่นอุบว่าฉันไม่เชื่อฟังเขาแม้แต่น้อยจุดจบในวงน้ำเมาเลยเป็นเช่นนี้ ตอนแรกเขาคิดจะให้ฉันอยู่ด้านหลังแต่พอเห็นท่าทางเปลี้ยยืนไม่อยู่เมื่อครู่จึงตัดสินใจวางตัวฉันไว้ด้านหน้าแล้วใช้อกประคองไว้แทน กลายเป็นว่าตลอดทางกลับวังหลวงศีรษะฉันนอนซบเขาไว้ตลอดเวลา
ไม่รู้ว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะรู้ตัวอีกทีลืมตาขึ้นก็ถึงหน้าประตูวังหลวงแล้ว หลิ่งถิงควบม้าเข้าไปข้างใน เขาคิดจะให้ฉันนั่งเกี้ยวแทนเพื่อให้นอนหลับสะดวกขึ้น จึงประคองตัวฉันลงหลังม้า ใช้มือทั้งสองข้างยึดไหล่เดินขึ้นเกี้ยว ตอนนี้อย่าว่าแต่เดินให้ตรงเส้นเพราะทุกโสตประสาทเหมือนดับวูบไปดื้อๆ ที่พอจะได้ยินคงมีเพียงเสียงเท่านั้น
ขณะที่กำลังเดินสะลึมสะลือ ก็ยินเสียงฝีเท้าดังลั่นมาจากไกลๆจนเข้ามาใกล้เลยฝืนตาลืมมอง ดูเหมือนใครบางคนวิ่งร้อนรนเข้ามาหาพวกเรา จากนั้นก็ก้มลงรายงานไม่ให้เสียเวลา ดูท่าคงเป็นเรื่องด่วนมาก
“พระสนมเก้าเรียกท่านอ๋องน้อยเข้าเฝ้าขอรับ”
หลิ่งถิงมองฉันอยู่ครู่ ดูก็รู้ว่าไม่อยากทิ้งฉันไว้แบบนี้ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะคนที่เรียกตัวฐานะไม่ธรรมดาอีกทั้งเรียกพบในยามวิกาลหากไม่ใช่เรื่องเป็นเรื่องตายคงไม่ได้เรียกตามกันด่วนร้อนเช่นนี้
“อีกพักข้าจะไปพบพระสนมเอก”
คนรอฟังยอบตัวคารวะแล้วรุดไปรายงาน ตอนนั้นเองที่เห็นใครอีกคนเดินสวนเข้ามาหา หลิ่งถิงกลั้นหายใจเฮือกใหญ่ จู่ๆร่างฉันก็ทรุดลงพื้น ตอนนั้นฉันโมโหเล็กน้อยที่เขาประคองตัวฉันไม่ได้เรื่องจนร่างร่วงลงไปกับเขา ข้อศอกขาเลยกระแทกพื้นหินเจ็บแปลบเกินบรรยาย เจ้าหลิ่งถิง! ฮึ้ม!
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
เงี่ยหูฟัง...ฝ่าบาท...ฝ่าบาทหรอกหรือ? ฝ่าบาทจะมาเดินเล่นอยู่แถวนี้ได้อย่างไรในเมื่อพระองค์ยังไม่มีเวลามางานเลี้ยงวันเกิดหลิ่งถิงแท้ๆ ฉันหรี่ตาใส่ เขาใช้มือหนึ่งกดหัวฉันโขกลงพื้น เจ้าบ้า! เจ้าบ้า! ฉันเริ่มโมโห หลุบตัวขึ้นทั้งที่ลืมตา ชี้นิ้วว่าเขาป่ายเปะไปทั่ว นี่ต้องเป็นฝันแน่ๆ คงเพราะจิตใจอ่อนแอจึงอยากพบพระองค์มากที่สุด
“อย่าแตะต้องตัวข้านะ! ฝ่าบาทไม่เสด็จมาหาเจ้าหรอก!”
“ลี่เซียน! ลี่เซียน! ชู้ววววว!” หลิ่งถิงถึงกับเอาฝ่ามือปิดปากฉันให้เงียบเสียงแล้วหันไปหาฝ่าบาทในความฝันฉัน “กระหม่อมขออภัย...นางกำลัง..”
“ไม่เป็นไร”
เสียงอบอุ่นแว่วลอยมา ทำให้จู่ๆฉันก็สงบใจได้ จากหุนหันกลายเป็นนิ่งงันราวสายลม คำพูดสงบดั่งทะเลสาบ สมองแวบคิดถึงเรื่องวัยเด็ก...สมัยก่อนพ่อเคยบอกว่าฉันเลี้ยงยากเลี้ยงเย็น ทั้งยังดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่กลับฉลาดมากที่สุดในหมู่พี่น้อง พ่อเลยปล่อยฉันเล่นเลยเถิดไปตามใจเสมอ วันหนึ่งพวกเราไปปิกนิกใกล้ป่า ฉันเผลอเล่นเพลินเดินพลัดหลงหายเข้าไปข้างในป่าทึบ ผลคือในอีกหลายชั่วโมงต่อมาทุกคนตามหาฉันได้สำเร็จ ส่วนฉันก็ไม่ร้องไห้สักแอะเพราะไม่คิดว่ามันคือเรื่องใหญ่อะไร ตอนแรกแม่ตีฉันยกใหญ่เป็นเพราะทั้งห่วงทั้งโมโห แต่พอพ่อพูดกับแม่ไม่กี่คำ ความสงบและอบอุ่นของพ่อขัดเกลาจิตใจแม่จนหายโมโห แม่เลิกตีฉันทันที ส่วนฉันในตอนนั้นได้แต่คิดว่าทำไมพ่อถึงได้เก่งกาจนัก พูดไม่กี่คำกลับเปลี่ยนใจแม่ได้ เหมือนคำพูดประกาศิต
แต่ตอนนี้กลับไม่แปลกใจอะไรอีกแล้ว...
ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...คำพูดนี้มีความหมายมากมายนัก ทั้งยังปลอบประโลมทุกคนได้อย่างดี ยิ่งเป็นน้ำเสียงอ่อนโยนของพระองค์ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เป็นไรอย่างแน่นอน...พอคิดถึงตรงนี้หัวใจเย็นยะเยือกเมื่อครู่พลันอบอุ่นขึ้นประหลาด...
“ได้ยินว่าพระสนมเก้าเรียกหาเจ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ...”
“เจ้าไปเถิด เราจะดูแลนางเอง”
“แต่ว่า...ฝ่าบาท” ฉันฝืนค้ำร่างตัวเองไม่ไหว ในที่สุดศีรษะเลยไถลลงพื้นเย็นเยียบ จากนั้นเปลือกตาก็ปิดสนิท ได้ยินเสียงถอนหายใจหลิ่งถิงดังคล้ายรู้สึกผิดอยู่ข้างตัว
“ยามวิกาลเช่นนี้หากไม่ใช่เรื่องด่วนพระสนมเก้าคงไม่เรียกหาเจ้า หากไปช้าพระสนมคงไม่พอใจเจ้าเท่าไหร่นัก”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หลิ่งถิงรับคำหนักแน่นแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “หม่อมฉันทูลลา”
“ไปได้”
เสียงฝีเท้าหลิ่งถิงก้าวห่างออกไปเป็นจังหวะ ไม่นานผิวกายรับรู้ถึงอ้อมแขนใครบางคนกำลังประคองตนอุ้มแนบชิดเขา เพราะเป็นการอุ้มในอ้อมกอดฉันเลยประหม่าเคอะเขินแม้หลับตาแต่ตัวกลับเกร็งขึ้นน้อยๆ เสียงห้ามปรามคุ้นหูของขันทีผู้หนึ่งดังอยู่ข้างๆ นัยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ฝ่าบาท! ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมประคองคุณหนูเยี่ยขึ้นเกี้ยวเองเถิด”
ฝ่าบาท...ฝ่าบาทอุ้มฉันงั้นหรือ? พยายามลืมตามองใบหน้าพระองค์ แต่ดูเหมือนจะไร้ผล ดังนั้นหากเป็นฝันก็ขอทำตามใจตนเองเสียหน่อย ใจฉันเต้นแรกแต่ยังจงใจซุกตัวลงอ้อมอกพระองค์หาไออุ่น ได้ยินเสียงหัวเราะเบาเอ็นดูดังอยู่ใกล้ ตอนนั้นฉันคาดเดาเอาว่าอีกไม่กี่ก้าวคงเดินถึงเกี้ยวพอดี และเป็นดังคาด พระองค์วางตัวฉันลงเบาะนุ่มในเกี้ยว ไออุ่นฉันเลยหายไปดื้อๆ ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไปแม้แต่น้อยเลยเผลอยื่นมือหนึ่งคว้าแขนเสื้อพระองค์รั้งไว้
“เด็กคนนี้!”
น้ำเสียงขันทีผู้นั้นกำลังโกรธจัด เขาพยายามปัดมือฉันออก แต่อีกมือของพระองค์กลับเลื่อนเข้าใกล้พลางอุ้มฉันไว้อีกครั้งอย่างไม่ถือสา
“กงกงนางอายุสิบสามแต่จิตใจยังไม่โตดี หากเจ้าถือสานาง เจ้าคงถือสาเพียงเด็กน้อยเท่านั้น”
กงกงไม่ตอบอะไร ฉันก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พึมพำราวไม่ตื่นดีอยู่ครู่แล้วซบลงอกพระองค์อีกครั้ง หากมองผิวเผินก็เหมือนมองเด็กน้อยขี้เซาคนหนึ่ง แต่พระองค์กลับไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเด็กน้อยผู้นี้ต้องเก็บเสียงหัวใจเต้นถี่ของตนไว้ลึกเท่าไรเพื่อให้พระองค์ไม่ได้ยิน...
เดินอยู่นานพอที่ฉันจะหลับไปตื่น สักพักใหญ่คนเดินก็หยุดฝีเท้า ในใจคิดสงสัยว่าทำไมถึงหยุดกัน? หรือว่าจะถึงตำหนักหวางแล้วกันแน่? เลยพยายามลืมตาขึ้นไปมอง เป็นเพราะเมื่อครู่ได้พักตาจึงลืมขึ้นมองได้เรือนรางอีกครั้ง เพียงนิดเดียวก็จะถึงตำหนักหวางแล้วแท้ๆแต่พระองค์กลับไม่ก้าวเท้าต่อ
“กงกง”
“พ่ะย่ะค่ะ” กงกงรับคำเสียงเนิบ
“คนในตำหนักหวางไม่สามารถดูแลนางได้ เจ้าได้ยินเสียงครึกครื้นเหล่านั้นหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ! คนในตำหนักหวางล้วนเมาเป๋เหมือนคุณหนูเยี่ยเป็นแน่”
คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเห็นด้วยยกใหญ่
“เช่นนั้นกลับตำหนักใหญ่ ตามหมอหลวงและสั่งนางกำนัลเตรียมห้องให้นาง รุ่งเช้าค่อยส่งนางกลับตำหนักหวาง”
“จริง............ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” ครั้งแรกดูเหมือนจะเห็นด้วยแต่พอคิดดูอีกรอบเสียงดัดจริตสูงกลับคัดค้าน “ฝ่าบาท...หากใครเห็นเข้าเกรงว่าจะไม่งามนัก...” เขาค่อยๆเบาเสียงลงแต่คนอุ้มกลับไม่ได้สนใจคำคัดค้าน ก้าวเท้าไปอีกทางทันที
ฤทธิ์สุราทำให้มองเห็นใบหน้าพระองค์ไม่ชัดเจน หรืออาจเป็นเพราะฝันเลยไม่มีใบหน้าพระองค์ให้คำนึงถึง ตัวฉันถูกประคองวางบนเตียงจากนั้นทุกคนก็วุ่นวายกันพักใหญ่ หมอหลวงตรวจชีพจรฉัน เหล่านางกำนัลเตรียมผ้าเช็ดหน้าและตัวให้ พักใหญ่หมอหลวงตรวจแล้วจึงทูลว่า
“พักคืนหนึ่งอาการจะดีขึ้น กระหม่อมจัดยาหลวงไว้ให้นางดื่มรุ่งเช้าเพื่อปรับระบบเลือดในกาย ส่วนกำยายนี้จะช่วยให้นางบรรเทาอาการเวียนหัวได้พ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าไปเถิด”
พระองค์รับคำสั้นๆจากนั้นก็ถอนหายใจเสียงเบา
“หม่อมฉันทูลลา”
“ไปได้”
สิ้นสุดคำห้องทั้งห้องดูเหมือนจะเงียบกริบ มีเพียงพระองค์นั่งเฝ้าฉันอยู่ข้างเตียง ตอนนี้ฉันเอาแต่มองเพดาน หากเป็นฝันจริงความอัดอั้นเมื่อครู่จะระบายกับพระองค์ได้หรือไม่...เพียงแค่พระองค์ที่ดูเหมือนเข้าใจทุกสิ่งในใจนี้ เพียงแค่พระองค์ที่ฉันรู้สึกอบอุ่นเหมือนมีที่หลบภัยซ่อนกายจากความรู้สึกสับสนมากมายที่กำลังประดังแระเด
ฉันเงยหน้ามองอยู่พักใหญ่ ส่วนพระองค์ก็ไม่พูดอะไรสักคำ ฉันจึงคิดว่าเรื่องราวเหล่านี้คงเป็นแค่ฝัน เพราะยามฝันจะไม่ค่อยมีคนพูดกับเรา ยกเว้นจิตใต้สำนึกอยากให้เขาพูดกับเราแบบนั้น ฉันจึงกล้าปริปากเป็นครั้งแรก
“ฝ่าบาทอาจคิดว่าหม่อมฉันเจ็บปวดเพราะฤทธิ์สุรา...แต่ไม่เลย...” จู่ๆน้ำตาฉันก็เอ่อคลอที่กลั้นไว้เมื่อครู่กำลังจะกลั้นไม่อยู่ “เพราะสุราเพียงขังอยู่ในกาย...แต่น้ำตาหม่อมฉันขังอยู่ในใจ...ดังนั้นสิ่งที่เจ็บปวดกว่าคือใจหม่อมฉัน ไม่ใช่กาย...”
ฉันหลับตาแน่นปล่อยน้ำตาไหลอาบแก้มช้าๆ อีกฝ่ายไม่พูดอะไร ทำตัวเป็นผู้รับฟังที่ดี มือหนึ่งกุมรอบมือฉันไว้เพื่อปลอบประโลม ฉันหันไปมองมือคู่นั้นพลางซุกหน้าลง แม้ไม่มีคำพูดปลอบใดๆแต่หัวใจหนาวเย็นกลับอบอุ่นคลายกังวลเมื่อมีมือนี้กุมไว้ ฉันร้องไห้เสียงดังกับพระองค์อย่างพ่ายแพ้จมดิ่งไปกับรอยน้ำตาแล้วหลับไป...
รุ่งเช้าตื่นขึ้นพร้อมเสียงอื้ออึงในหัว ตบศีรษะตัวเองลั่นก็ยังไม่ได้สติดีเท่าที่ควร ดูเหมือนผิงเอ๋อกำลังเดินเข้ามาหา ความทรงจำเมื่อวานอยู่ครบเกือบทั้งหมดรวมทั้งเรื่องการปรากฏตัวของหานตง แต่สิ่งที่เรือนรางคือความฝันเมื่อคืนว่าสิ่งที่ได้ยินและรับรู้เป็นความฝันหรือเรื่องจริงกันแน่?
“ผิงเอ๋อ...ข้าอยากดื่มน้ำ”
ฉันยื่นมือออกไป อีกข้างกุมหัวตัวเองแน่น ผิงเอ๋อดูห่างเหินชอบกล นางไม่ตอบรับสักคำหรือนางยังโกรธที่ฉันไปไหนไม่บอกกล่าว ฉันรับน้ำมาไว้ในมือแล้วยกดื่มรวดเร็ว คอแห้งผากเลยสดชื่นขึ้นบ้าง ดื่มเสร็จจึงปรับสีหน้า นวดๆคลึงๆขมับให้คลาย กลิ่นกำยานที่อยู่บนหัวนอนทำให้อาการปวดไม่หนักมากในเช้านี้ ผิงเอ๋อปรนนิบัตรฉันได้ดีจนฉันเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา เมื่อเห็นว่านางไม่พูดไม่จาจึงคิดว่านางคงโกรธหนัก พออาการปวดหัวดีขึ้นเลยทำหน้าขี้เล่นหันไปหานางเพื่อขอโทษ แต่กลับทำแก้วในมือตกแตกเสียงดังเมื่อรู้ว่าใครกำลังยืนอยู่ข้างเตียงและส่งน้ำมาให้
“ฝ่าบาท!”
ร่างสูงองอาจในชุดมังกรทองทำมือฉันเย็นเฉียบ รีบถลาลงจากเตียงไปคุกเข่าพลางพูด “หม่อมฉัน...หม่อมฉันสมควรตาย! ไม่ใช่สิต้องถวายพระพรก่อน! ถวายพระพรฝ่าบาท!” น้ำเสียงอึกอัก หัวใจเต้นเร็วรัว ใครจะไปคิดว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นเรื่องจริง ถ้าเช่นนั้นคนที่อุ้มฉันไว้ไม่ใช่พระองค์หรอกหรือ! แย่แล้ว!
“ลุกขึ้นเถิด”
ตอนนี้สติไม่ตื่นก็ต้องตื่นเต็มตา ขันทีผู้น้อยปรี่เข้ามาเก็บเศษกระเบื้องแล้วถอยตัวจากไป ฉันยังไม่กล้าลุกไปไหนทั้งนั้น ก้มมองพื้นเงาวับนิ่งเงียบ ดูเหมือนห้องนี้จะไม่มีใครแม้แต่น้อยมีเพียงฉัน พระองค์และขันทีอีกสองสามคนยืนอยู่นอกห้องเป็นเงาทอดมารางๆให้เห็น
“หม่อมฉัน...หม่อมฉัน”
ถูกเห็นในสภาพหน้าอาย ทั้งยังเมามาย ลี่เซียนนะลี่เซียน! เจ้าทำต่อหน้าบุรุษที่ไหนไม่ทำ แต่ทำตัวไม่สมเป็นกุลสตรีต่อหน้าพระองค์! แค่คิดถึงเรื่องราวเมื่อคืนฉันก็อายจนแทบอยากปลิวหายไปกับอากาศ แต่ใจหนึ่งกลับคิดว่าตนกล้าใช้จักรพรรดิยกน้ำมาปรนนิบัตร คงต้องใจกล้ารับผลที่จะตามมาเช่นกัน
ใจเต้นถี่รัวรอคำสั่งถัดไป ยิ่งนานฉันยิ่งปวดเกร็งไปทั่วร่าง
“ลุกขึ้นได้ ยังไงเสียเราก็ปรนนิบัตรอุ้มเจ้ามาทั้งคืน เพียงยื่นน้ำให้คงไม่เป็นไรนัก หากเราคิดลงโทษจริงเจ้าคงไม่มีชีวิตอยู่ถึงรุ่งเช้า”
คำพูดนี้เหมือนทุบฉันให้สลบ ฉันเงยใบหน้าร้อนแดงขึ้นสบพระพักตร์ คราวนี้เห็นทีได้เห็นพระพักตร์พระองค์เต็มสองตา ใกล้เพียงเอื้อมมือเพราะพระองค์ก้มตัวลงต่ำมาจ้องฉัน ใบหน้าเราสองเลยใกล้เสียยิ่งกว่าใกล้
อย่างที่วาดฝันไว้...ท่าทางอ่อนโยน สุขุม สง่างามในคราเดียว แววตาพระองค์สงบนิ่งล้ำลึก รูปหน้าโดดเด่นสะดุดตา ยิ้มหนึ่งเลิกขึ้นน้อยๆ ทำให้หัวใจฉันเต้นถี่จนยากควบคุมแต่ไม่ยากลืมเลือนในความทรงจำ
“ขอบ ขอบพระทัยฝ่าบาท...”
“เจ้าเหมือนสตรีนางหนึ่งที่เรารู้จักนัก นางเองก็มีนิสัยมุทะลุเช่นนี้” ฉันล้มเซไปด้านหลัง นั่งแข็งทื่อบนพื้นเย็น ยังมีสตรียุคนี้บ้าบิ่นเหมือนฉันด้วยหรือ? นางเป็นใครกัน? ฟังพระองค์พูดต่อ มองฝ่ามือเรียวควักเรียกขันทีผู้หนึ่งเข้ามาใกล้แล้วออกคำสั่ง “เตรียมเกี้ยวส่งคุณหนูเยี่ยกลับตำหนักหวาง”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เวลาแห่งความสุขมักผ่านมาในชีวิตช่วงสั้นๆ ฉันรีบรุดยืนขึ้นอย่างเสียดายใจยังไม่อยากกลับไปแม้แต่น้อย ยากนักที่จะได้พบพระองค์อีก ขึ้นชื่อว่าฮ่องเต้จะอีกกี่วันหรือกี่เดือนหรือกี่ปีจะได้ชิดใกล้เช่นนี้? ฉันมองแผ่นหลังที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเศร้าสร้อย จนเผลอก้มหน้ามองปลายเท้าอยู่นาน
“แผลเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
พระองค์พูดขัดบรรยากาศเงียบสงบเมื่อครู่ ฉันจึงยิ้มออกมาแล้วกล่าวทูล
“หายดีแล้วเพคะ เพียงสี่ครั้งก็หาย...”
“ดี” ตรัสเพียงสั้นๆแล้วเข้าใกล้ประชิดตัวทำเอาฉันถอยไปก้าวเพราะประหม่า พระองค์โอบตัวฉันเข้าใกล้ วินาทีนั้นขาฉันสั่นพรับจนแทบยืนไม่อยู่ พระองค์เลิกแขนเสื้อขึ้น สายตามองรอยแผลฉันพลางพูด “ยังมีรอยอยู่บ้าง เราจะให้สี่กงกงจัดยาส่งไปให้”
ฉันมองนิ้วเรียวของพระองค์ลูบรอยแผลเบามือ แปลกที่พระองค์ทำให้หลายความรู้สึกถาโถมเข้ามาขณะนี้ กดดัน ตื่นเต้น เขินอาย คิดอะไรไม่ออกเหมือนปกติ จากนั้นก็จูงฉันเดินไปตู้ๆหนึ่ง หยิบขวดยาเปิดออกแล้วทรงทาแผลให้ด้วยมือพระองค์เอง พอเสร็จก็จับข้อมือค้างไว้ ส่วนฉันก็ไม่ใจกล้าพอจะขยับหนี แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าควรหวงเนื้อหวงตัวหรือไม่ เพราะหากฉันเป็นคนในแคว้นฉีเรียกได้ว่าเป็นของๆพระองค์ไปโดยปริยาย แต่พระองค์ไม่ใช่กษัตริย์หนุ่มเจ้าสำราญ ส่วนฉันก็ไม่ใช่หญิงงามล่มเมือง ฉันเลยสำเหนียกตัวเองได้ว่าคงไม่มีเสน่ห์ให้พระองค์คิดไกล ดังนั้นหากพระองค์จะจับไว้ก็ตามใจ
เรานิ่งเงียบอยู่นาน ต่างฝ่ายต่างไม่พูด ต่างฝ่ายต่างไม่ขยับ จะมีที่ขยับคงเป็นสายตาของพระองค์แต่ไม่ใช่สายตาของฉันที่ประสานอยู่ ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูดังขึ้น ขันทีผู้หนึ่งสะดุดเท้าหยุดกับที่เมื่อเห็นฝ่าบาทกำลังจับข้อแขนฉัน ท่าทีกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูก จากนั้นพอเห็นพระองค์ปล่อยแขนฉันลงแล้วเดินห่างไป จึงค่อยๆย่างเท้าเข้ามารายงาน
“เกี้ยวมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ...” เขาเหลือบตามองฉันทีหนึ่งแล้วหลุบตาลง ยอบกายแล้วถอยฉากไป
ฉันพ่นหายใจยาว ในหัวคิดว่าเสียงลำโพงในวังจะสะพรัดไปไวขนาดไหน คงไม่ใช่ว่าขันทีผู้นั้นจะคิดอะไรเกินเลยหรอกนะ...เพราะสิ่งที่ตามมาไม่ใช่เรื่องยินดี แต่คือปัญหาอีกร้อยแปด ฉันส่ายหน้าเบาๆหันมองเกี้ยววางอยู่ด้านหน้าตำหนัก พระองค์เองก็เห็นแล้วจึงหันใบหน้ามาหาฉันทรงตรัสว่า “กลับได้แล้ว”
ฉันก้มหน้าลงรับคำก่อนจะรีบเงยมองพระพักตร์เป็นครั้งสุดท้าย
“ลี่เซียนทูลลา”
แม้ไม่อยากจากแต่จำต้องหันหลังจาก ฉันกุมมือซุกแน่นในแขนเสื้อเดินไปสองก้าวยังไม่ทันจะยกเท้าออกจากห้องเสื้อคลุมสีฟ้าเงินตัวหนึ่งถูกคลุมทับไหล่ความยาวห่อหุ้มมิดปลายเท้า ฉันหันหน้ากลับไปมองพระองค์อีกครั้ง เห็นพระองค์สรวลขึ้นเล็กน้อย
“เนื้อตัวเจ้าไม่ต่างจากวันนั้นนัก เสื้อคลุมเราคงพอช่วยคลายหนาวได้บ้าง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ฉันกุมเสื้อคลุมตัวยาวไว้แน่น มองตามแผ่นหลังที่หันให้แล้วเดินหายไปอีกฝั่งของห้อง ขันทีคนเดิมเชิญฉันขึ้นเกี้ยวจนถึงตอนนี้ยังไม่กล้ามองตาฉันแม้แต่น้อย ฉันไม่รู้ว่าต่อมาเกิดอะไรขึ้นรู้เพียงมือคู่นี้กุมเสื้อคลุมสีฟ้าลายมังกรไว้แน่นตลอดทาง มัวแต่จมอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง ดังนั้นพอเกี้ยวหยุดสติถึงได้กลับมาอยู่หน้าตำหนักหวางด้วย ท่านพ่อท่านแม่ ผิงเอ๋อ หลิ่งถิงและเจ้าบ้านกับฮูหยินเก้ายืนกระสับกระส่ายอยู่ พอเห็นฉันลงจากเกี้ยวก็รีบถลากันเข้ามาหา ใบหน้าร้อนรนอย่างเห็นได้ชัดจนฉันงงงวยกับท่าทีนี้
“หลิ่งถิงบอกว่าฝ่าบาทดูแลเจ้าเมื่อคืน”
ตอนแรกฉันยังไม่เข้าใจได้แต่ตอบว่า “ใช่” กับท่านแม่ ท่านแม่หน้าซีดส่วนท่านพ่อก็เอาแต่ถามว่า
“เมื่อคืนเจ้าค้างตำหนักไหนเหตุใดกลับมาเอารุ่งเช้า” น้ำเสียงท่านพ่อเคร่งเครียดส่วนใบหน้าก็มืดดำคล้ำ
“ลูกค้างตำหนักใหญ่ ฝ่าบาททรงให้หมอหลวงมาดูอาการลูก รุ่งเช้าจึงให้คนมาส่ง”
หลิ่งถิงยืนนิ่งไปนานแล้วส่วนมือของท่านพ่อที่กุมเมื่อครู่คลายออกไปช้าๆ ใบหน้าทุกคนเหมือนๆกันหมดคือเหมือนเห็นฉันเป็นวัตถุแปลกประหลาดในสายตา ทั้งสงสัย เคลือบแคลงและไม่มั่นใจ ในแววตาของหลิ่งถิงยังมีอีกสิ่งนั่นคือ...ความเศร้าหมอง ตอนนั้นเองที่ฉันรู้ว่าทุกคนคิดไปถึงขั้นไหน แม้ฉันจะไม่มีความคิดเช่นนั้นแต่สายตาคนนอกย่อมมองว่าฉันได้ปรนนิบัตรฝ่าบาทเป็นที่เรียบร้อย หรือไม่ก็เสียงข่าวโคมลอยได้แพร่สะพัดจากตำหนักใหญ่มาถึงตำหนักหวางเรียบร้อย ทุกคนเลยพร้อมหน้าพร้อมเพรียงรอฉัน ส่วนยศศักดิ์ฉันก็ถูกยกสูงในความคิดของพวกเขาไปทันที ทุกคนเลยไม่มั่นใจว่าตอนนี้ควรเรียกฉันอย่างไรหรือทำตัวกับฉันอย่างไร
“พวกท่านคิดอะไรกันแน่ ข้ายังไม่ได้รับใช้ฝ่าบาทเสียหน่อย!”
พอฉันกล่าวโต้งๆไม่มีอ้อมค้อมใบหน้าหลิ่งถิงก็แดงระเรื่อทันที ส่วนคนอื่นได้แต่กระอักกระอ่วนไปเป็นแทบ
“กลับไปคราวนี้เห็นทีพ่อต้องเข้มงวดกับเจ้าแล้ว!” ท่านพ่อดุฉันเสียงดังจากนั้นก็หันไปหาท่านแม่ “ส่งนางไปเรือนบุปผางาม รับการอบรมกับเจ้าเรือนไม่ต้องกลับจวนสกุลเยี่ยอีก!”
“ท่านพ่อ!”
“ท่านพี่!”
ท่านพ่อไม่สนใจแม้แต่น้อย สะบัดพัดพรึบพรับด้วยโทสะ ตัดใจส่งตัวฉันไปอบรมมารยาทจนกว่าจะถึงเวลาเข้าคัดตัวสาวงาม วันนั้นกลับไปถึงจวนฉันเอาแต่นั่งคอตก พอรู้คร่าวๆว่าเรือนบุปผางามคือสถานที่อบรมมารยาทหญิงสาวก่อนเข้าวัง เข้มงวดกับทุกอย่างเป็นอย่างมาก แม้จะดูแลหญิงสาวทุกคนเป็นอย่างดีเพราะทุกนางล้วนแล้วแต่มีฐานะไม่ธรรมดาทั้งนั้น แต่ยามสอน หากทำสิ่งใดผิดพลาดเข้าตีก็เป็นตี จะหนักจะเบาก็ขึ้นกับผลที่ตนทำ ยังดีหน่อยที่ผิงเอ๋อยังติดตามฉันเข้าไปรับใช้ได้ ไม่ใช่หัวเดียวเข้าไปแบบนั้น ท่านแม่ดูระทมใจที่สุดเพราะตอนแรกยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนกว่าฉันจะเข้าวัง นางยังมีเวลาอยู่กับฉันและตัดใจอีกระยะยาว แต่ตอนนี้ท่านพ่อได้โกรธถึงขีดสุดกับเรื่องที่เกิดขึ้นฉันจึงโดนระเห็จออกจากจวนไปตามระเบียบ
วันรุ่งขึ้นฉันยืนร้องไห้ตาแดงอยู่หน้าประตูจวน ท่านแม่เองก็ร้องไห้หนักไม่แพ้กัน เอาแต่กอดฉันราวหัวใจแหลกสลาย ส่วนท่านพ่อได้แต่ยืนนิ่งยังไม่ลดอารมณ์ ฉันกอดท่านแม่อยู่นานสองนานจากนั้นจึงผละออกมาช้าๆ เดินตรงไปหน้าท่านพ่อแล้วคุกเข่าขอโทษ
“ลี่เซียนขออภัยที่ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง ท่านพ่อลงโทษลี่เซียนเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว ลี่เซียนจะระลึกสิ่งที่ท่านสอนและระลึกถึงวันเวลาในจวนนี้”
จู่ๆฉันก็นึกถึงช่วงเวลาสั้นๆ ถึงแม้จะสั้นมากก็ตามแต่ความผูกพันดูเหมือนจะยาวนานกว่าวันเวลานัก น้ำตาฉันนองหน้าเงยขึ้นมองท่านพ่อแล้วลุกขึ้นสวมกอดท่านไว้
“ลี่เซียนขอโทษ”
ท่านพ่อค่อยๆโอบกอดฉันตอบ จากนั้นก็ร้องไห้ออกมา
“พ่อรักเจ้ามาก พ่อรักเจ้ามาก!”
ตอนนั้นเองที่หน้าจวนมีแต่ความรู้สึกคิดถึงและความรักส่งผ่านระหว่างกัน ผิงเอ๋อที่ยืนมองเงียบๆร้องไห้ออกมา เหล่าข้ารับใช้เองก็คุกเข่าร้องไห้ระงม ท่านพ่อปาดน้ำตาบนใบหน้าให้ รู้สึกผิดที่คิดจะส่งตัวฉันไปห่างอก แต่ในเมื่อพูดแล้วคงไม่อาจคืนคำได้ ท่านกุมมือฉันส่งขึ้นรถม้า
“ดูแลตัวเจ้าให้ดี หากไม่ดื้อซนท่านเจ้าเรือนจะปล่อยตัวเจ้ากลับจวนเราไวขึ้น”
ฉันพยักหน้ารับคำพลางกล่าวว่า “ลูกจะพยายาม”
ใจฉันหายวาบตอนผิงเอ๋อปิดประตูรถม้า มองจวนตัวเองที่เคลื่อนออกห่างเรื่อยๆ ท่านพ่อกอดท่านแม่แน่น ภาพนี้ทำให้ฉันเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่ที่ส่งลูกออกเรือนได้อย่างดี เข้าใจหัวอกหญิงสาวในยุคนี้ว่าต้องทนทุกข์กับการจากลาครอบครัวไปอยู่ในสถานที่อื่นมากขนาดไหน เพราะสิ่งเหล่านี้ช่างทรมานใจฉันมากเหลือเกิน
รถม้าเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ฉันทิวทัศน์นอกหน้าต่างด้วยใจหดหู่ เรือนบุปผางามจะเป็นอย่างไรสำหรับฉัน โรงเรียนเด็กดื้อ? โรงเรียนดัดสันดาน? โรงเรียนดัดมารยาท? หากเปรียบกับยุคก่อนคงไม่พ้นสามสิ่งนี้ ขณะที่กำลังมองออกไปพลางครุ่นคิดอย่างหนักใครบางคนได้ขวางหน้ารถม้าจนรถม้าต้องหยุดกึก ฉันเสตัวจนหัวชน ขมวดคิ้วแน่น ใครกันใจกล้าได้ขนาดนี้! แต่พอเห็นใบหน้าเล่อล้าถลาเข้ามาหาที่หน้าต่างฉันก็ชักสีหน้ากล่าวไปทันที
“มาส่งข้าอีกคนหรืออย่างไร!”
เขายกยิ้มดูเหมือนจะชอบใจยกใหญ่ เมื่อตอนถูกท่านพ่อพูดว่าส่งตัวไปเรือนบุปผางาม เขาก็เอาแต่ยิ้มใส่ไม่หยุดไม่คิดจะช่วยฉันร้องขอห้ามปรามสักคำ ทำเอาฉันถึงกับโมโหไม่น้อย
“ลี่เซียน!”
“อะไร?”
ฉันถามคำตอบคำเสมองทางอื่นไม่สนใจ
“เรือนบุปผางามที่เจ้าถูกท่านอาส่งตัวมาอยู่ติดหลังจวนข้า!”
“แล้วอย่างไร? คิดว่าข้าดีใจหรือ? ที่เรือนบุปผางามอยู่ติดสกุลเก้าของเจ้า!”
หลิ่งถิงยิ้มไม่สนใจพลางตอบ “แต่ข้ายินดียิ่ง! หากไปหาเจ้าข้าเพียงปีนข้ามไป หากโดนเจ้าไล่ออกมาข้าเพียงปีนกลับ”
“เหอะ! คิดว่าข้าจะให้เจ้าปีนเข้ามาง่ายๆหรือ? หากเจ้าปีนมาข้าจะบอกท่านเจ้าเรือน หากเจ้าปีนกลับไปข้าก็จะคว้าไม้ไล่เจ้าไปด้วย!”
ฉันถลึงตาใส่ ชักสีหน้าเท่าไหร่เขาก็ไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย ยังคงยิ้มหน้าบานขัดอารมณ์จนอยากจะทึ้งผมเขาให้ร่วงโกร๋น ยิ้มอยู่เพียงครู่เจ้าคนโง่ก็โบกไม้โบกมือให้ใครบางคน
“หานตง!”
พอเขาพูดชื่อนี้ฉันก็รีบมุดหน้ากลับเข้าไปในรถม้าทันที
“หลิ่งถิง...เจ้ากำลังคุยกับผู้ใดอยู่หรือ?”
“ลี่เซียนถูกส่งตัวมาเรือนบุปผางามจนกว่านางจะเข้าคัดเลือกสาวงาม”
ไอ้เจ้าโง่! เจ้าบ้าหลิ่งถิง! ใครใช้ให้พูดทุกเรื่องกับคนๆนี้กัน! ฉันหันไปมองเขาเขม็งแต่ดูเหมือนเขาจะไม่หันมามองตอบแม้แต่น้อย เลยได้กดอารมณ์โกรธไว้ภายในรถม้าผู้เดียว
“เช่นนี้เอง เจ้าถึงยิ้มเริงร่า” เสียงสุขุมพูดพลางหยุดเป็นจังหวะ จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามามองฉันในเกี้ยวพลางพูด “เรือนชั่วคราวของข้าในแคว้นฉีอยู่ติดเรือนบุปผางามของเจ้าเพียงสองก้าว คราวนี้เห็นทีเราสามคนคงได้พบหน้ากันบ่อยขึ้น”
“อืม” ฉันตอบเย็นชาพลางหันไปหาผิงเอ๋อ “ออกรถ” ผิงเอ๋อพยักหน้างุนงงพลางเร่งคนขับรถม้าออกรถไป หลิ่งถิงโวยวายยกใหญ่ที่ฉันไม่ร่ำรา ปากบอกแต่ว่าฉันโกรธเขาจริงๆหรือ ส่วนหานตงผู้นั้นได้แต่ยิ้มค้างเงียบๆ เขาคงเห็นฉันเป็นสตรีที่ไร้มิตรภาพที่สุดในแคว้นฉี แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจสิ่งใดเพียงคิดว่าต่อจากนี้จะรับมือกับเขาและหลิ่งถิงอย่างไรดี จะรับมือกับความรู้สึกดำมืดในหัวใจตนกับเขาได้แค่ไหน และเรือนบุปผางามจะวุ่นวายเพียงไรหากมีหลิ่งถิงกระโดดข้ามกำแพงไปมา หรือมีเขามาให้ฉันขับไล่ออกไปอีกคน แม้มีคนเยี่ยมเยียน แต่ทั้งสองคนเป็นคนที่ทำให้ฉันปวดหัวได้พอๆกัน พอคิดถึงตรงนี้ฉันก็กุมขมับแน่น...ลี่เซียนนะลี่เซียน นี่คือวาสนาหรือการกลั่นแกล้งของสวรรค์กันแน่!
อัพครั้งแรก : 11/2/58 รีไรท์ : 12/2/58 (แก้คำผิดเพราะมึน)
สวัสดีเจ้าค้า!!!
เหม่ยช่วงนี้อาจมาเป็น % นะเจ้าคะ >< ฮูหยินทำใจกันเล็กน้อยเพราะช่วงนี้งานยุ่งมากมายเจ้าค่ะ เอาหล่ะ!!! หานตงมาแล้วเจ้าค่ะ! หลิ่งถิงเองก็ไม่ยอมแน่นอน! ว่าแต่ฝ่าบาทหายไปไหน ไยไม่มาดูแลแม่นางน้อยของเรา (หรือฮูหยินที่มโนเป็นตัวเองก็ต้องถามแล้วหล่ะเจ้าคะว่าอยากให้หนุ่มคนไหนดูแล555) ลืมบอกเจ้าคะฮูหยินทั้งหลายของเหม่ย ตอนนี้ระบบเม้นสามารถตอบเม้นย่อยของแต่ละคนได้ ดังนั้นถ้าว่างนับตั้งแต่บทนี้เป็นต้นไปเหม่ยจะตอบเม้นย่อยฮูหยินทุกคนเลยเจ้าคะ ยังไงขอมาตรการจากบันทึกองค์หญิงจำเป็น งดคำหยาบคายเพื่อหน้านิยายสะอาดคลีนเจ้าค่ะ! ขอบคุณฮูหยินทุกท่าน รักฮูหยินเช่นเดิม ><" เหม่ยสุดสวยเอง555
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ