บันทึกรักข้ามเวลา <ตีพิมพ์ สนพ.ปริ๊นเซส สถาพรบุ๊ค>

9.8

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.20 น.

  20 บทที่
  3 วิจารณ์
  33.80K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559 04.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ของขวัญสุดพิเศษที่พิเศษสุด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 3
ของขวัญสุดพิเศษที่พิเศษสุด
แวบแรกข้าคิดว่าบุรุษผู้นี้ดูไม่ได้เรื่อง โง่เขลาเบาปัญญานัก! นึกว่าเขาเสี่ยงฉลากมาเป็นท่านอ๋องน้อยได้เสียอีก...แต่แล้ววันหนึ่งข้ากลับรู้ว่าบุรุษผู้นี้มิได้โง่เขลา...เป็นข้าเองที่โง่เขลายิ่งกว่า ไม่เคยรู้เลยว่าสองมือแข็งแกร่งนี้ได้โอบอุ้มข้าไว้...เนิ่นนานเท่าไหร่...
เมืองหลวงชิงฉวนครึกครื้นเช่นทุกวัน รอบข้างยังคงน่าตื่นตาเป็นพิเศษ เหล่าพ่อค้าทั่วแดนไหลสะพรั่งไม่ขาดสาย ยิ่งช่วงอากาศอบอุ่นของเดือนสามเช่นนี้ยิ่งทำให้พ่อค้าแม่ขายกระตือรือร้นมากนัก ปีนี้เป็นปีที่ห้าในรัชสมัยของจักรพรรดิหยางเฟิ่งแห่งราชวงศ์หมิง สงครามได้ถูกเว้นพักจากสัญญาฉบับหนึ่งซึ่งถูกประทับตราโดยพระหัตถ์ของจักรพรรดิหวางเจิ้งอี้เฟยเป็นเวลาห้าปี เมื่อบ้านเมืองสงบสุข การค้าภายในแคว้นจึงรุดหน้าเฟื่องฟู จักรพรรดิหมิงทรงเปิดการค้าเสรี แคว้นฉีจึงกลายเป็นท่าใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางศูนย์รวมของทุกแว่นแคว้น
ในทุกวันมีขบวนพ่อค้าต่างเมืองมารวมตัวกันค้าขายที่นี่ เครื่องหอม ผ้าแพร วัตถุดิบชั้นเยี่ยมสิ่งเหล่านี้ถูกส่งเข้ามาในห้างร้านสกุลเก้าเพื่อแปรเปลี่ยนสิ่งของเป็นกำไรมหาศาล สกุลเก้าผูกขาดการค้าขายในฉิงฉวนแต่เพียงผู้เดียวมีผู้สืบสกุลคือท่านอ๋องน้อยเก้าหลิ่งถิง ท่านอ๋องน้อยผู้นี้ถือเป็นหนึ่งในบุรุษที่บรรดาเหล่าคุณหนูทั้งหลายต่างปรารถนา เพราะหากได้ตัวเก้าหลิ่งถิงอำนาจและเงินทองจะหายไปไหนเล่า? ที่ฉันรู้เรื่องพวกนี้เพราะผิงเอ๋อเอาแต่พูดจ้อใส่ฉันไม่หยุดขณะเดินเลือกลายผ้าในร้าน จากเรื่องที่นางเล่าเห็นได้ชัดว่าสกุลเก้าไม่ใช่จู่ๆก็สามารถเข้าหาพวกเขาได้โดยง่าย มิน่าเล่า...ท่านพ่อท่านแม่ถึงรีบไปคฤหาสน์เก้าตั้งแต่รุ่งเช้า
“คุณหนู...หากไปช้าคุณหนูอาจโดนโทษใหญ่ได้นะเจ้าคะ”
ฉันเหลือบตามองนาง จับลายผ้าที่เลือกลง ถอนหายใจยาวๆหนึ่งครั้งจากนั้นก็กระตุกผ้าขนสัตว์ชั้นดีสีชมพูสว่างมาอย่างเร่งรีบ จริงอย่างนางว่าหากช้ากว่านี้เห็นทีจะเสียมารยาทต่อสกุลเก้า พลอยทำให้ท่านพ่อท่านแม่เดือดร้อนอีกเปล่าๆ เสี่ยวเอ่อร์รับผ้าไปไว้ในมือขณะที่ผิงเอ๋อเอาแต่เหม่อมองลายผ้าสีฉูดฉาดอยู่ตรงนั้น นางทำหน้าเหมือนอยากจะถามแต่ไม่กล้าถาม แต่พอจะเอ่ยปากถามก็หยุดไปดื้อๆ ฉันจึงคลี่ยิ้มน้อยๆอย่างขี้เล่นแล้วตอบให้นางหายสงสัย
“ของขวัญท่านอ๋องน้อยไงเล่า!”
“ของขวัญท่านอ๋องน้อยหรือเจ้าคะ?” นางเลิกคิ้วงุนงงแต่ก็ไม่ได้ถามอีกและครั้งนี้ในเมื่อนางไม่ถามฉันก็คร้านจะตอบนางปล่อยให้ความสงสัยถูกเฉลยในอีกหลายชั่วยามข้างหน้า
คฤหาสน์เก้าใหญ่โตสมฐานะ รอบบริเวณกว้างใหญ่เสียจนมองไม่เห็นรั้วเพื่อนบ้าน ฉันก้าวเท้าลงจากรถม้าข้างหลังคือผิงเอ๋อที่คอยประกบกายไม่ห่าง เมื่อก้าวเข้าไปข้างในก็พบดอกไม้นานาพรรณในสวนแข่งกันคลี่กลีบบานสะพรั่ง สีสันสวยงามจนตรึงตา ด้านซ้ายคือทะเลสาบจำลองด้านขวาคือเส้นทางลัดเลาะไปเรือนรับแขก สาวใช้พาฉันเข้าไปในสถานที่จัดงานวันเกิดกลางสวนแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีแต่ดอกไม้สีส้มเต็มไปหมดเกือบทุกพันธ์ไม้หายากถูกนำมาประดับทั่วบริเวณเท่าที่ฉันจะนึกได้ ท่านพ่อท่านแม่เห็นฉันแล้ว พวกเขาส่งยิ้มน้อยๆพยักหน้าเรียกเข้าไปหาฉันจึงค่อยๆเดินเข้าไปด้วยท่วงท่าเรียบง่ายแต่งดงามเพื่อไม่ให้เสียหน้าตระกูลเยี่ย ชายชราอายุคราวเดียวกับท่านพ่อสวมชุดขุนนางอยู่ทางขวามองฉันด้วยแววตาชื่นชมพลางกล่าวกับท่านแม่ว่า
“ดูเข้าสิ! เยี่ยลี่เซียนผู้นี้โตขึ้นแล้วงดงามเหมือนเจ้าไม่มีผิด!”
ท่านแม่หัวเราะมองฉันที่กำลังคลี่ยิ้มรับคำก่อนจะพูดตอบ
“ลี่เซียนคาระและขอบคุณท่านอา...คารวะท่านน้า”
ฉันหันไปย่อกายลงน้อยๆให้หญิงสูงอายุข้างเขา ตั้งแต่เข้ามาที่นี่นอกจากท่านพ่อท่านแม่เห็นจะมีคนสองคนนี้ที่ดูมีสง่ามากที่สุดดังนั้นจึงคาดเดาไม่ยากว่าใครเป็นเจ้าบ้านสกุลเก้าและฮูหยินเก้า
“เสียดายนักที่ถูกคัดชื่อเข้าวังหลวง”
“ขอบคุณฮูหยินเก้า”
ท่านแม่เข้าใจนัยความหมายพูดขอบคุณพร้อมย่อกายคารวะ นางประคองท่านแม่ไม่ถือพิธีดูท่าฮูหยินผู้นี้จะเป็นคนสบายๆกว่าที่คิดไว้ นางมองฉันประหนึ่งเห็นหยกชิ้นงามแต่ทำได้เพียงแค่มอง หากฉันไม่ถูกคัดเลือกรายชื่อเข้าร่วมการคัดตัวสาวงามครั้งนี้ เห็นทีฮูหยินเก้าจะสู่ขอฉันให้ลูกชายนางคนใดคนหนึ่งในตระกูลแน่
ฉันลอบถอนหายใจเบาๆ อายุสิบสามถือได้ว่าเป็นวัยแรกแย้ม หากโสดก็จะถูกจับแต่งงาน แต่หากไม่ก็ต้องดูว่าอีกฝ่ายมีความสำคัญทางอำนาจแก่ตระกูลเช่นใดจากนั้นค่อยผูกไมตรีปรองดองทีหลัง หรือกรณีที่แย่ที่สุดก็อาจถูกบีบบังคับแต่งออกเรือนไปกับคนอื่นทั้งที่ไม่ได้รัก....แต่ไม่ว่าทางใดหญิงสาวผู้มีฐานะไม่อาจเลือกคู่ครองด้วยตัวนางเอง พอคิดถึงตรงนี้ฉันก็รู้สึกว่าตัวฉันเองมีวาสนาดีจริงหรือ? ที่แม้แต่คู่ชีวิตก็ไม่อาจชี้นิ้วเลือกได้ ทั้งที่เงินทองมีตั้งมากมายหรืออาจเป็นคำสาปในโลกยุคนี้ที่ฉันต้องยอมรับชะตา...
สติฉันถูกเรียกคืนเมื่อมีเสียงสดใสดังอยู่ด้านหลัง บุรุษผู้หนึ่งเดินอ้อมตัวเข้ามาหาจนผิงเอ๋อที่ยืนอยู่ด้านหลังฉันกระเด็นไปอยู่ด้านข้างแทน เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของฉัน หมุนตัวฉันให้หันมามองเขา
“ลี่เซียน!”
แรกเห็นคือแววตาเขาที่มีชีวิตชีวาผิดคนอื่น ใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลาราวสติไม่เต็มแต่ทว่าดวงหน้ากลับคมคายมีความรู้ ดูปัญญาดีแต่ก็ปัญญาอ่อนในเวลาเดียวกัน เขาสำรวจชุดฉันการใหญ่พลางมองใบหน้าทะมึนของฉันที่กำลังหรี่ตาลง “ชุดเจ้า!...”
“ใช่ชุดข้า!” ฉันย่อกายคารวะเขาลวกๆทีหนึ่ง “ทำไมหรือ?” พอเห็นฉันพูดแทรกก่อนพูดจบดวงตาเขาก็วาบประหลาดใจ ตอนแรกฉันไม่คิดว่าชายผู้นี้คืออ๋องน้อยเก้าหลิ่งถิงแต่พอเขาเอ่ยคำว่า ชุดเจ้า ออกมาใจฉันก็สะกิดขึ้นพร้อมโทสะ แววตาจ้องมองอ๋องน้อยเขม็งไม่ยอมแพ้
“ลี่เซียน!”
ท่านพ่อพูดห้ามเพราะท่าทีเสียมารยาทของฉันแต่ดูเหมือนฮูหยินและขุนนางเก้าจะไม่ใส่ใจ นางมองฉันที่กำลังหน้าเสียเพราะถูกดุ พลางพูดขึ้น
“ท่านเยี่ยอย่าได้ใส่ใจ ให้เด็กๆทำความรู้จักกันไว้ ยิ่งไม่ถูกหน้ายิ่งสามัคคี”
นางหรี่ตาขี้เล่นใส่ท่านแม่กับท่านพ่อพลางมองเก้าหลิ่งถิงที่ใบหน้าขวยเขินด้วยความอาย
เขินแป๊ะอะไร! ฉันถลึงตาใส่ ท่าทีเขาทำฉันหงุดหงิดมาก ถึงจะรู้ว่าฮูหยินพูดหยอกเพราะอยากให้ฉันเป็นสะใภ้ แต่อีตาบ้าขี้แกล้งแถมยังโง่เขลาเช่นนี้ฉันไม่มีชี้นิ้วเลือกเด็ดขาด ขนาดเสี่ยงเซียมซียังไม่กล้าเอา!
“จริงสิ!...ถิงเอ๋อร์เจ้าพาคุณหนูเยี่ยไปชมสวนของเจ้าหรือยัง?”
“ยังเลยท่านแม่!” เขาตอบเสียงไว เห็นทีคงจะพยายามแกล้งอะไรฉันอีกในที่ลับตาคน จากนั้นจึงหันหน้าไปหาท่านพ่อฉัน
ท่านพ่อเหมือนจะรู้นัยความหมายไม่กล้าพูดอะไรนอกจากพยักหน้าอนุญาต เป็นอันรู้กันว่าท่านอ๋องน้อยอยากให้ฉันร่วมชมสวนดอกไม้ในวันเกิดปีนี้ เขาเอาความเอ็นดูฉันของฮูหยินเก้ามาใช้ให้เป็นประโยชน์อาจบอกได้ว่าหัวคิดการพยายามแกล้งคนของเขาน่านับถือไม่ธรรมดาทีเดียว แต่ฉันยังใจเย็นที่ไม่ได้ไปกับเขาเพียงสองคนเพราะยังมีผิงเอ๋อติดตาม ยังไงสองหัวยังดีกว่าหัวเดียว
“ได้ยินว่าผิงเอ๋อนวดไหล่เก่งมาก ท่านแม่กำลังเมื่อยตัวจากการต้อนรับแขกให้นางไปปรนนิบัตรท่านดีหรือไม่?”
ท่านพ่อยิ้มเจื่อนแต่ไม่อาจทำอะไรได้เพราะฐานะของสกุลเก้าที่มีบารมีเหนือกว่าสกุลเยี่ยเรา ผิงเอ๋อหันหน้ามาหาฉันขวับแต่ก็ถูกฮูหยินเก้าเรียกตัวไปจนได้ แม่ลูกคู่นี้นอกจากรับส่งคำพูดกันเป็นธรรมชาติยังมีแผนเหนือเมฆเหมือนชั้น ฉันจึงจัดท่านอ๋องน้อยเก้าไปอยู่ในหมวดอันตรายระดับหนึ่งทันทีแต่เพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้นเพราะฉันคิดว่าท่าทีโง่เขลายังพอให้จะรับมือได้เองบ้าง
“ดีเลย...ผิงเอ๋อเจ้ามานี่เสีย”
ผิงเอ๋อใบหน้าร้อนรนแต่ก็เดินไปหาฮูหยินเก้าแต่โดยดี สายตานางเป็นห่วงเป็นไยจนฉันที่ยืนห่างยังรับรู้ได้ พูดจบฮูหยินเก้าก็ออกเดินพาท่านพ่อท่านแม่จากไปพร้อมบ่าวไพร่ จงใจทิ้งฉันไว้กับอ๋องน้อยเก้าสองคน แต่มีหรือฉันจะยอม หึ!
“ท่านน้า!” ฉันรีบวิ่งปรี่ไปหานางพลางจูงมือเก้าหลิ่งถิงไปเป็นพยานครั้งนี้ด้วยด้วย “ลี่เซียนมีของขวัญให้ท่านอ๋องน้อยแต่กลัวว่าท่านอ๋องจะไม่ใช้ของข้า ท่านน้าช่วยรับประกันได้หรือไม่ว่าเขาต้องใช้สิ่งที่ข้าเตรียมไว้” ฉันทำหน้าตาน่าเอ็นดู แต่ในใจกลับยิ้มร่าที่ทุกสิ่งกำลังเข้าตามแผน
“ได้สิ ถิงเอ๋อร์อย่าให้นางขายหน้าเชียว!”
“ท่านแม่! แต่! แต่.....”
พอถึงตรงนี้เก้าหลิ่งถิงก็จับมือฉันกระตุกน้อยๆให้พอรับรู้ตามองเขม็งเหมือนสะกิดใจอะไรได้บางอย่าง ฉันจึงแอบยิ้มมีเลศนัยกลับ ก่อนจะหันตัวไปย่อคารวะฮูหยินเก้าอย่างผู้ชนะ เล่นกับฉันคงยากหน่อยนะเจ้าเด็กน้อย!
“ขอบคุณฮูหยิน”
หลิ่งถิงหน้าเจื่อนไปอย่างเห็นได้ชัด บุ้ยหน้าพร้อมกับมองมารดาตนที่กำลังยิ้มขยิบตาส่งมาแล้วเดินจากไปโดยไม่ได้สงสัยอะไรแม้แต่น้อย เขากุมมือฉันอีกครั้ง ลากแล้วก็ลากไปตามทางอย่างเบามือแต่ว่าแข็งขืน  เห็นท่าทางก็รู้ได้ว่าไม่สบอารมณ์อย่างมาก พอไปถึงกลางสวนดอกไม้ของเขารอบข้างมีเพียงดอกเหมยฮวาบานสะพรั่งไปตลอดทาง ไม่มีใครตามพวกเรามาสักคนเดียว มีเพียงสายลมอ่อนๆพัดตามมาให้ดอกไม้ปลิวกระจายดั่งสรวงสวรรค์ พอเจอความงดงามสะกดอารมณ์หลิ่งถิงก็หยุดลากฉันต่อ เราหยุดยืนอยู่กลางสวนดอกไม้ จากนั้นเขาก็เอาแต่มองฉันเอื้อมมือรับกลีบดอกเหมยฮวาลงปลายนิ้ว
“งดงามมาก”
ฉันอดกล่าวไม่ได้ คลี่ยิ้มบริสุทธิ์อย่างเป็นสุข ลืมไปชั่วขณะว่าเมื่อครู่กำลังพยายามแกล้งใคร หลิ่งถิงเองก็เหมือนจะลืมไปด้วยเพราะเขายกยิ้มกว้างใส่พลางพูดอวดฉันไม่หยุดปาก
“เจ้าชอบดอกเหมยฮวาที่สุด! ข้าเลยลงแรงปลูกเองนับเดือน จำสัญญาครั้งเยาว์วัยได้หรือไม่? เจ้าบอกว่าคนเช่นข้าไม่อาจปลูกดอกเหมยฮวามากมายเพื่อบานรับทุกฤดู ตั้งแต่วันนั้นข้าจึงปลูกมันแล้วรอดอกเหมยฮวาบานสะพรั่งที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้ เพียงเพระต้องการให้เจ้าเห็นเป็นคนแรก!” ท่าทีตื่นเต้นยินดีของเขาปิดไม่มิด เขากุมมือฉันขึ้นมาจากนั้นจึงพูดต่อ “ไม่นึกว่าดอกไม้เหล่านี้จะพร้อมใจบานรับวันเกิดข้าพอดี เจ้าว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือไม่?”
ความจริงใจไร้การเสแสร้งของเขาทำให้ฉันรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย ตามองเขาสลับกับห่อผ้า คิดแล้วคิดอีกว่าการแกล้งเขาจะทำให้ตนสะใจ...หรือสงสาร...หรือเสียใจกันแน่? เขาทำให้ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำล้วนมาจากใจทั้งสิ้น แม้จะขี้แกล้งแต่เห็นได้ชัดว่าเขาเพียงแกล้งเพราะเราเป็นสหายสนิทโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก สิ่งหนึ่งคือทั้งที่พวกเรายังเด็กแต่เขากลับทำตามสัญญาครั้งเยาว์วัย หากฉันไม่สำคัญมากก็เป็นเขาที่บ้าบอเอามากๆ เพราะการปลูกดอกเหมยฮวาต้องใช้ทั้งความอดทนมานะ นอกจากจะเสียแรงกายแรงใจไปยังต้องอดทนพอจะปลูกให้มันบานรับทุกฤดูเช่นนี้ แต่ต้นไม้ดอกไม้ย่อมมีชีวิตจิตใจ หากคนปลูกใส่ใจด้วยความรักจากใกล้ตายก็อาจฟื้น จากไม่ผลิดอกอาจคลี่กลีบสวยบานให้เห็น
เขาเห็นฉันลังเลเอาแต่จดจ่อกับห่อผ้าจึงแย่งมันไปไว้ในมือพลางพูด
“ของขวัญข้าหรือ!”
เขาดีใจยกใหญ่ แต่ฉันกลับยื้อมือแย่งมันคืนสุดแรง
“ไม่ใช่!”
ข้างความสงสารเสียใจกำลังชนะ ฉันพยายามแย่งเอาห่อผ้ามาให้ได้แต่เขากลับชูมือขึ้นสูงพลางเลิกคิ้วเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็มองฉันที่อยู่ต่ำกว่าอย่างท้าทาย สายตาบ่งบอกมาเป็นคำพูดว่า หากสูงเท่าข้าแล้วค่อยมาแย่งไปเถิด! มือหนึ่งกดตัวฉันไว้ให้ต่ำกว่าเดิม อีกมือพยายามแกะห่อผ้าออก ฉันร้อนรนสุดชีวิตเมื่อของที่อยู่ข้างในหล่นออกมากระทบพื้น หลับตาแน่นปี๋เพราะไม่อาจมองหน้าเขาได้อีก
ไม่นานก็ลืมตาตามเสียงขยับกาย หลิ่งถิงอึ้งไปสักพักใหญ่ ย่อตัวเก็บผ้าคลุมตัวนอกประดับขนสัตว์สีชมพู ที่ฉันจงใจเร่งคนเย็บปักเย็บมันระหว่างทาง เขาเลิกคิ้วแล้วตั้งคำถาม “ของ...ข้า?” เสื้อคลุมขนสัตว์ฟูนุ่มผืนนี้หากเปรียบเทียบในยุคที่จากมาคงบอกได้ว่ามันคือ โค้ทขนมิ้งค์สีชมพูเหมาะกับผู้หญิงวัยชิค ไม่ใช่ท่านอ๋องน้อยรูปร่างกำยำวัยหนุ่ม หากเขาใส่ก็ไม่ต่างจากนักเต้นระบำในผับบาร์
ฉันกุมมือสองข้างขึ้นแล้วยิ้มเจื่อนใส่ พยักหน้าน้อยๆเพื่อบอกว่า ใช่! ข้าซื้อให้เจ้านั้นแหละ! ทีแรกพอเขาเห็นว่าเสื้อคลุมสุดจี๊ดนี้เป็นของเขา เขาก็มองมันกล้าๆกลัวๆ จะสวมต่อหน้าเลยก็ไม่กล้า ฉันจึงพยายามแก้สถานการณ์เพราะครั้งแรกดันเลือกมาเพื่อแกล้งเขา แต่พอเห็นสิ่งที่เขาทำก็ละอายใจเกินกว่าจะแกล้งต่อ ตอนนี้เลยหาคำพูดดูดีมาหลอกล่อคนตรงหน้า ใช้วาจาให้เป็นประโยชน์
“ข้าชอบสีชมพูมากเจ้าก็รู้ ข้าเลยอยากเห็นเจ้ามีเสื้อผ้าประดับสีชมพูเสียบ้าง” หลิ่งถิงหรี่ตามองฉัน คิดว่าเขาจะหลอกได้ง่ายเสียอีก! แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้ แล้วพูดต่อ “ข้าเลือกมาหลายเดือนเต็มๆ ทั้งยังเย็บเองกับมือ...” พอคำว่าเย็บเองกับมือหลุดออกมา หลิ่งถิงก็ตรวจรอยเย็บรอบตัวเสื้อ ความจริงฝีมือเย็บปักของหญิงสาวยุคนี้ล้วนดีทุกคน แต่ด้วยความที่ฉันเร่งนาง งานตรงหน้าเลยขรุขระราวหญิงสาวเพิ่งหัดจับเข็มด้าย 
“เป็นเจ้าเย็บจริงด้วย! ดูรอยเย็บพวกนี้สิ! ฝีมือเย็บปักเจ้ายังไม่ได้เรื่องเช่นเดิม ฮ่าๆๆๆๆ” เขาหัวเราะร่วนไม่ได้มองใบหน้าแดงจัดของฉันแม้แต่น้อย ฉันแสร้งสะบัดใบหน้าหนี ส่วนเขาก็หยุดหัวเราะทันทีแล้วรีบร้อนมายืนอยู่ตรงหน้า
“หากเจ้าไม่พอใจก็โยนมันทิ้งเสีย! ไม่จำเป็นต้องมาเก็บให้เสียน้ำใจข้า!” พูดไม่ว่ามือยื้อแย่งเสื้อแล้วโยนพื้นทันที หลิ่งถิงมองหน้าฉันสำนึกผิด รับเสื้อคลุมไว้แล้วรีบสวมกระชับตัว
“ของเจ้าให้ข้า ข้าจะไม่ใส่มันได้อย่างไร...” เสียงเขาเบาลงจากนั้นมือก็หมุนตัวฉันให้มองเขาเต็มตา
ตอนแรกฉันยังแกล้งโกรธเขาไม่เลิก ให้เขาไม่กล้าทำแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง แต่พอเห็นสภาพชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าอ๋องน้อยผู้เก่งกาจมากความสามารถกำลังสวมเสื้อคลุมสีฟ้าตัดกับขนสัตว์สีชมพูก็อดหัวเราะตัวสั่นไม่ได้ ฉันฝืนหัวเราะเสียงเบาโยกตัวมาอยู่ครู่ จากนั้นก็หันหน้าไปมองเขาพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มกล่าวว่า
“เหมาะมาก เหมาะมากจริงๆ!”
พูดเสร็จก็หันหลังไปแอบหัวเราะต่อ
“จริงหรือ!?”
หลิ่งถิงยังคงไม่สงสัยอะไรทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าหลายคนบอกว่าเขาฉลาดได้อย่างไรขนาดฉันแกล้งเขาเขายังไม่รู้ตัวสักนิดเอาแต่ตื่นเต้นดีใจยกใหญ่ จากนั้นก็เขยิบกายมาใกล้เพื่ออวดเสื้อคลุมตัวเก่งเป็นมาดมั่น
“ไปเถอะ!”
เขาหมุนตัวอวดเสื้อรอบหนึ่งจนฉันเกือบหลุดหัวเราะออกมา จากนั้นก็จับมือฉัน วินาทีที่เขาบอกว่า “ไปเถอะ!” ด้วยแววตาอ่อนโยน ฉันดันเผลอหยุดความรู้สึกแกล้งเป็นหัวใจสั่นไหวไปเสียได้ รอบข้างมีดอกเหมยฮวาพัดขึ้นให้บรรยากาศ และพอสายลมพัดผ่านไปสติฉันก็กลับมา รู้ตัวอีกทีก็โดนเขาลากมาอยู่สถานที่จัดเลี้ยงเสียแล้ว...
ผู้คนตรงนั้นกำลังสังสรรค์เหล้าสุราและอาหารชั้นดีกันอยู่ ดูก็รู้ว่าแต่ละคนที่เข้าจวนสกุลเก้ามาล้วนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น เมื่อเสียงครื้นเครงที่ดังอยู่หายไปพร้อมๆกับทุกสายตาที่จ้องมองเสื้อคลุมเจ้าของวันเกิด ฉันก็แทบอยากหายไปพร้อมกับเสียงพวกเขาทั้งหมดทันที เพราะที่ตรงนั้นไม่ได้มีเพียงเหล่าบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนัก แต่มีทั้งท่านพ่อท่านแม่หรือแม้กระทั่งเจ้าบ้านสกุลเก้าและฮูหยินกำลังจ้องหลิ่งถิงค้างตะลึงงัน ส่วนผิงเอ๋อที่กำลังทุบไหล่ให้นางก็หยุดมืออ้าปากค้างทันที
“เหมาะไหม!”
หลิ่งถิงถามเหมือนเหยียบฉันให้จมธรณี เขาเดินไปหาแขกเหรื่อที่เดินผ่านทางก่อนถึงฮูหยินเก้า พลางถามว่า “เหมาะไหม? เหมาะไหม!?” ยกใหญ่ ฉันเดินตัวลีบตามหลังเขาไปเรื่อยๆ ใครบ้างจะกล้าบอกว่าไม่เหมาะ ทุกคนพยักหน้าช้าๆเป็นเสียงเดียวและพอพวกเขาพยักหน้าหลิ่งถิงก็จะบอกว่า “ลี่เซียนเป็นคนเย็บให้ข้า!”
ฉันเดินหน้างุดอยู่นาน ในใจคิดว่ากลับไปคงโดนโทษใหญ่เป็นแน่ จนเมื่อถึงตรงหน้าฮูหยินเก้าเลยเงยหน้าขึ้น ท่านพ่อสบตาฉันแววตาติเตียนจนรับรู้ความกดดันได้ แต่เจ้าคนไม่รู้ถึงแรงอัดมหาศาลอย่างหลิ่งถิงยังคงเอาแต่อวดไม่เลิก
“ท่านพ่อ! ท่านแม่! เหมาะไหม!”
หัวใจเต้นตุบตับเมื่อมองใบหน้าอื้ออึ้งของคนทั้งสอง หากหลิ่งถิงแก้แค้นฉันด้วยวิธีนี้นับว่ามันได้ผลดีเยี่ยมเลยทีเดียว ตอนนี้ทุกอย่างยังเงียบสนิท จนกระทั่งฮูหยินเลื่อนตามองฉันแล้วคลี่ยิ้มน้อยๆออกมาจึงมีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นหึ่ง
“เหมาะมากเหมาะมาก! ลี่เซียนเลือกลายผ้าไม่เหมือนใครทีเดียว!”
นางเดินเข้ามาจับขนสัตว์พลางพูด
“เนื้อนุ่มดีมาก ไม่หนาวไม่ร้อนเหมาะกับฤดูกาลเช่นนี้ ลายผ้าประณีตงดงามมีสีสันฉูดฉาดไม่เหมือนใคร อีกทั้งขนสัตว์สีชมพูยังสะดุดตาเพราะไม่มีบุรุษใดกล้าสวมใส่ เจ้าอาจเป็นคนแรกที่ได้สวมชุดทันสมัยเช่นนี้”
ท่านพ่อหลุบตาลงไม่พูดสิ่งใด ส่วนฉันก็ไม่แน่ใจว่าฮูหยินพูดจริงหรือประชดกันแน่ แต่พอบุรุษผู้หนึ่งยกจอกเหล้าขึ้นพร้อมพูดว่า
“เห็นทีค่ำนี้ข้าต้องให้ภรรยาเย็บให้บ้างแล้ว!”
ฉันโล่งใจทันที เขาดื่มเหล้าส่วนหลิ่งถิงก็ยิ้มพลางคราวะเล็กน้อย
“ข้าไม่หวงเชิญท่านอาใส่ตามได้เลย”
 
ตอนกลางคืนหนาวเย็นลง ผิงเอ๋อสวมเสื้อคลุมตามสมัยนิยมสีส้มสดใสให้ ฉันนั่งเรียงหน้าตามยศศักดิ์ที่ได้รับ งานเลี้ยงนี้ฝ่าบาทเป็นผู้ประทานให้แก่เก้าหลิ่งถิง บริเวณเลี้ยงจึงถูกจัดขึ้นในพระตำหนักหวางภายในวังหลวง
ฉันขึ้นรถม้าเดินทางไปพร้อมท่านพ่อท่านแม่ ใจคิดว่าจะถูกดุยกใหญ่ แต่ท่านแม่กลับพูดเสียงเบาว่า ฉันคิดอะไรแปลกแตกต่างซึ่งเป็นสิ่งที่ฮูหยินเก้าชอบเข้าทางนางพอดี ฉันจึงโล่งใจเสียยิ่งกว่าโล่ง ส่วนท่านพ่อก็ไม่โทษอะไรฉันได้แต่ส่ายหน้าอ่อนใจ
ดูท่าเสื้อผ้าของยุคสมัยจะถูกฉันเปลี่ยนแปลงไปเพราะเมื่องานสังสรรค์ยามเย็นเริ่มขึ้นบุรุษหลายคนได้สวมเสื้อคลุมสีสดใสเข้าร่วมงาน บ้างเป็นขนสัตว์สีเขียว บ้างก็เป็นสีแดงแสบตา ฉันถึงกับยืนรู้สึกผิดหน้าประตูอยู่นานทั้งที่ท่านพ่อท่านแม่หรือสกุลเก้าจะไม่เอาเรื่องเลยก็ตาม ตอนนี้ฝ่าบาทยังไม่เสด็จได้แต่ให้พระสนมเก้าผู้พี่ของหลิ่งถิงมาแทน ตอนนั้นฉันจึงรู้ได้ว่าอำนาจของสกุลเก้าแผ่ไปทั่วราชสำนักขนาดไหน พี่สาวเป็นถึงผิน* น้องชายเป็นท่านอ๋องน้อย ส่วนผู้เป็นบิดาเป็นขุนนางเก่าแก่...รากไม้ของสกุลเก้าแข็งแรงจนยากจะถอนหรือหากถอนคงต้องทุ่มสิ่งใดไปหลายปีนับจากนี้
หลิ่งถิงนั่งห่างจากฉันอยู่เบื้องหน้า เขาหันมาขยิบตาให้ตลอดเวลาเมื่อเราสบตากัน ส่วนฉันก็ได้แต่ยิ้มเหย่เกตอบกลับไป สายตาส่องหาแต่ฝ่าบาทว่าเมื่อใดจะเสด็จ ได้ยินจากขันทีคนสนิทว่าพระองค์ติดราชกิจจนอาจจะมาร่วมงานเลี้ยงไม่ได้ ยิ่งมืดลงเท่าไหร่โอกาสได้พบพระพักตร์ก็ลดลงแทบเป็นศูนย์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนเข้าวังหลวงมาในใจลึกๆยังหวังจะได้พบพระองค์อีกครั้ง
งานเลี้ยงสนุกสนานสำหรับบรรดาชายหนุ่มและแก่แม้กระทั่งท่านพ่อท่านแม่ก็พลอยเต้นรำกันไม่หยุดเห็นแล้วสบายใจบอกไม่ถูก แต่ฉันที่นั่งตบมือตามจังหวะเพลงอย่างเบื่อหน่ายได้แต่ถอนหายใจยาวช้าๆ เต้นรำก็เต้นไม่เป็น ร้องเพลงยิ่งทำไม่ได้เข้าไปใหญ่
“เบื่อขนาดนั้นเลย?”
เสียงหลิ่งถิงเรียกฉันให้หันไปหา จากนั้นก็นั่งลงข้างๆพร้อมขวดสุรา เป็นเพราะพระสนมเอกเสด็จออกไปจากตำหนักแล้วทุกคนเลยไม่ถือมารยาทกัน ใครอยากนั่งใกล้ใครก็ตามสะดวกสบาย
“ดื่มให้ข้าสักจอก?”
เขารินน้ำจันทร์แล้วยื่นส่งมาให้ ฉันรับสุราอุ่นมาไว้ในมือ สมองก็คิดว่าทั้งชาติที่แล้วและชาตินี้ไม่เคยแตะต้องของมึนเมาเลยสักครั้ง แต่ในยุคโบราณหากผู้สูงศักดิ์กว่ารินจอกเหล้าให้ถือว่าเป็นการให้เกียรติ และหากขอบคุณก็จำเป็นต้องดื่มไปตามระเบียบ เขามองหน้าฉันแล้วพยักพเยิดให้ดื่ม ฉันจึงตัดสินใจหลับตากระดกเข้าไปรวดเดียว
แสบคอมาก ร้อนจนร่างกายพลันอบอุ่นเลยไม่แปลกใจว่าหน้าหนาวคนชอบนิยมดื่มหนัก ฉันไอสำลักออกมาน้อยๆ มองหลิ่งถิงที่ลนลานหยิบผ้าขึ้นมาช่วยเช็ดริมฝีปาก
“แค่กๆๆๆ”
“เจ้าดื่มเก่งแต่ไหนแต่ไร เพียงสุราชั้นดีในวังกลับล้มไม่เป็นท่า”
ฉันค้อนตาโมโหใส่ แต่ก็พบใบหน้าขี้เล่นมีแววกังวลอยู่ให้เห็น หลิ่งถิงวางขวดสุราลงไม่กล้าให้ฉันยกถึงสามจอก
“น้ำจันทร์ในวังหลวงฤทธิ์แรงกว่านัก!”
ฉันแสร้งพูดไป ตบอกให้คลายแสบร้อน หลิ่งถิงยกสุราขึ้นดื่มมองหน้าฉันอยู่นานสองนานก็ลากมือเดินออกไปจากตำหนัก ไม่มีใครสนใจตัวเอกในงานเลี้ยงเช่นเขา ไม่มีใครสนใจที่ใครสองคนหายไปในความมืดเพราะทุกคนมัวแต่สังสรรค์เฮฮาจนลืมเดือนตะวัน ก่อนไปหลิ่งถิงยังยกขวดน้ำเมาไปอีกสอง ไม่น่าเชื่อว่าตาหน้าจืดชืดแบบเขาจะดื่มหนักเอาเรื่องเหมือนกัน
“เห็นทีใครหลายคนคงค้างในวังหลวงเป็นแน่ ยังไงพระสนมเอกคงจัดการเรื่องนี้ให้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะตำหนักหวางมีห้องรับรองแขกเหรื่อมากมาย...เจ้าเองหากอยากเมามายก็ทำได้ตามสะดวกใจ”
พูดไม่ว่ายังยื่นขวดเหล้าสีขาวมาให้ ฉันส่ายหน้าทันที ขนาดจอกเดียวหน้ายังเริ่มแดงหัวเริ่มมึน มีหวังดื่มไปจนหมดสติคงไม่กลับมาอีกหลายวัน
“ข้าเป็นสตรีจะให้เมามายต่อหน้าบุรุษก็เป็นการไม่สำรวม”
หลิ่งถิงฟังฉันพลางหัวเราะ
“เจ้ารู้จักว่าอะไรสำรวมไม่สำรวมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ข้าจะเข้าวังหลวงรับใช้ฝ่าบาทแล้วจะไม่รู้จักได้อย่างไร”
ฉันพูดประชดพลางมองหลิ่งถิงที่ยืนค้างไป ใบหน้าเขาเหมือนจริงจังขึ้นมาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกขวดในมือขึ้นดื่ม นานทีเดียวที่พวกเราไม่พูดไม่จาเอาแต่มองดวงดาวอยู่นอกระเบียงตำหนัก
“หากเจ้าไม่อยากรับใช้ฝ่าบาท...ข้าจะบอกพระสนมเอกให้ช่วยจัดการจะได้ไม่เป็นการฝืนใจเจ้า...”
น้ำเสียงเขาหนักแน่นต่างจากทุกครั้งแต่พูดไม่ทันจบฉันก็รีบชิงตอบทันที
“ข้าจำเป็นต้องทำเพื่อสกุลเยี่ย หญิงสาวมีหรือเลือกชะตาชีวิตตนได้?”
หลิ่งถิงหันมองหน้าฉัน แววตาเขาไม่เข้าใจเพียงสักนิด
“เจ้าเลือกได้หากเจ้าต้องการ เจ้าทำได้หากเจ้าอยากให้ชีวิตเจ้าไปทางใดเพราะข้าจะคอยช่วยให้ความปรารถนาเจ้าเป็นจริง”
ฉันยิ้มรับน้ำใจของเขา แต่ก็หันหน้ามองดวงดาวระยิบบนฟ้า ฉันเลือกแล้วว่าต่อจากนี้จะทำสิ่งใด เลือกแล้วว่าต้องการเห็นใบหน้าใคร ในเมื่อเลือกก็ไม่มีทางหันหลังกลับอีก
“ข้าเลือกแล้ว”
หลิ่งถิงจับไหล่ฉันให้หันมอง ดูเหมือนเขาจะเริ่มเมานิดหน่อย ฉันมองใบหน้าเขา มีรอยเศร้าหมองน้อยๆวาบผ่าน
“เช่นนั้น...” เขาหยุดพูดไปพลางก้มหน้านิ่ง ก่อนจะเงยขึ้นอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม “ข้าขอให้เจ้าโชคดี...”
“ขอบใจเจ้ามาก”
ฉันคลี่ยิ้มบางไปให้ ใบหน้าหลิ่งถิงกลับมาร่าเริงดั่งเดิมจากนั้นก็บิดขี้เกียจพลางร้องว่า “ฮ่า!!!!” ยกใหญ่
“ความจริงข้าออกมาริมระเบียงเพราะกำลังรอรับแขกสำคัญผู้หนึ่ง” หลิ่งถิงหันใบหน้าขี้เล่นมาหาจากนั้นก็หันกลับไปดื่มต่ออีก
“ใครงั้นหรือ?”
ฉันถาม
“พ่อค้าคนสำคัญแคว้นต้า เพิ่งมาถึงแคว้นฉีเมื่อหลายชั่วยามก่อน คงรอข้าอยู่หน้าประตูเมืองแล้ว”
ฉันเลิกคิ้วขึ้น ทำไมพ่อค้าผู้นี้จึงได้สำคัญนักแต่สกุลเก้าก็ติดต่อค้าขายแทบทุกแคว้น แต่พอเป็นแคว้นต้าฉันก็สะกิดใจไม่ชอบเท่าไหร่ เขาพูดพลางกึ่งจูงกึ่งลากออกไป ช่วยประคองตัวฉันขึ้นหลังม้าแล้วใช้ตราพาเราออกไปนอกวัง
 
ฟ้ายังคงกระจ่างใสเช่นเดิมแต่ถูกแต่งแต้มเป็นสีดำสนิทแทนสีฟ้าสด แสงสีภายนอกยังคงมีให้เห็นเพราะบรรดาหอนางโลมเพิ่งเปิดกิจการในช่วงกลางคืน หลิ่งถิงเอาหมวกคลุมศีรษะฉันไม่ให้ใครเห็นหน้า จับมือฉันให้กอดเอวเขาไว้เพราะกลัวตกม้า แล้วพาเราไปร้านอาหารเลิศรสแห่งหนึ่ง เสี่ยวเออร์จัดที่ให้เราในห้องรับรอง หลิ่งถิงทำไมต้องลากฉันมาที่นี่ก็ไม่รู้เพราะฉันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสกุลเก้าสักเสี้ยวอีกทั้งจะให้ช่วยคิดเงินก็ไม่ใช่อีก แต่หลิ่งถิงยังคงให้ฉันนั่งรอในห้องจนมีเสียงเรียกนอกประตูดังขึ้น
“เรียนท่านอ๋อง นายท่านอวิ้นมาแล้วขอรับ”
“ให้เขาเข้ามา”
สิ้นสุดคำหลิ่งถิงยังคงไม่ให้ฉันเอาหมวกลงเป็นเพราะหญงสาวยังไม่ออกเรือนมากับบุรุษเพียงสองคนอาจเป็นที่ครหา ฉันจึงเห็นแค่ชายเสื้อสีน้ำเงินเดินผ่านหน้าเข้ามาหลายคน เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมบอกได้ทันทีว่าเป็นชาวต้าไม่ผิดแน่เพราะเนื้อผ้าโปร่งสบายขัดกับอากาศเช่นนี้ในแคว้นเป็นเพราะพวกเขาอาศัยใกล้ทะเลาทราย ชาวแคว้นทะเลทรายมีภูมิประเทศตั้งห่างจากทะเลทรายหวังต้าไม่กี่ลี้  ชายคนหนึ่งดูโดนเด่นตั้งแต่แรกมองจากปลายชุดเบื้องล่างฉันมองไล่สายตาขึ้นดูลวดลายบนกระโปรงเสื้อเขา สีเสื้อดำสนิททำให้บุคลิกดูสุขุมเย็นชา ผิวไม่ขาวมากเป็นเอกลักษณ์ชาวแคว้น นิ้วมือใหญ่หยาบกร้านอาจเป็นเพราะจับคันธนู เมื่อสายตาฉันมองไล่ขึ้นใบหน้าก็กลับชะงักลงเพราะเสียงพูดของหลิ่งถิง
“หานตงของที่ข้าวานเจ้าช่วยหาเล่า?”
ดูเหมือนทั้งสองจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ฉันมองหน้าหลิ่งถิงที่อยู่ด้านข้าง เขามีท่าทางสบายๆ มือยื่นรับกล่องเล็กๆที่ถูกวางส่งมาตรงหน้า
กล่องนี้คือสิ่งใดกัน?
“ให้เจ้า”
หลิ่งถิงยื่นกล่องมาตรงหน้า ฉันรับไปอย่างงงๆวันเกิดเขาแท้ๆแต่ทำไมของขวัญถึงเป็นของฉันเล่า? แต่ในเมื่อให้แล้วไม่รับก็เป็นการเสียน้ำใจ ฉันจึงยิ้มรับมันไว้ มือลูบกล่องไม้สลักลวดลายหงส์ขาวมาในมือ เพียงแค่กล่องยังงดงามจนเผลอมองอยู่นานสองนานทำให้อดคิดไม่ได้ว่าของภายในกล่องจะงดงามแค่ไหน
“ของส่งเจ้าเข้าวังหลวง”
ฉันเงยหน้ามองหลิ่งถิงช้าๆ จึงรู้ว่าเขาดีกับฉันมากแค่ไหน ยิ้มพยักหน้า ตอนนี้รู้แล้วว่าทำไมถึงได้รับของขวัญเสียเอง หลิ่งถิงพยายามช่วยฉันหากฉันไม่ยินยอมเข้าคัดเลือกสาวงาม แต่หากฉันยินยอมเขาก็พร้อมจะร่วมอวยพรกับทางที่ฉันเลือกเดิน มือเปิดกล่องออก ข้างในเป็นต่างหูคู่หนึ่ง เม็ดทับทิมสีเหลืองสดใส ตัวทับทิมแกะสลักเป็นดอกเหมยฮวาที่ฉันชอบ หากมองดีๆจะมีคำว่า เก้า สลักอยู่
“ขอบคุณเจ้ามาก”
ฉันตื้นตันบอกไม่ถูกพยักหน้าขอบคุณน้อยๆ
“ไม่เป็นไร”
หลิ่งถิงยิ้มให้ จากนั้นก็ยื่นมือเข้ามาในผ้าคลุมศีรษะ สัมผัสใบหูช้าๆช่วยฉันใส่ต่างหูแล้วจึงถอนมือกลับไป
“คงงดงามมาก...”
เป็นเพราะเขายังไม่ยอมถอดผ้าคลุมศีรษะออกเลยไม่เห็นว่าหากฉันใส่ต่างหูที่เขาให้จะเป็นอย่างไร ฉันไม่สนสิ่งใด หวังให้เขาเห็นจึงยกมือถอดหมวกคลุมลงเอง
“งดงามเช่นเจ้าว่าหลิ่งถิง”
ก่อนที่หลิ่งถิงจะอ้าปากพูดได้มีเสียงของพ่อค้าหนุ่มดังแทรก ฉันหันใบหน้าไปหาทีแรกคิดว่าจะต่อว่าเขายกใหญ่ที่ไม่มีมารยาท อีกทั้งยังเอาแต่จ้องหน้าฉันทั้งยกยิ้ม แต่เมื่อเห็นใบหน้าเขาชัดๆน้ำตาก็พลันเอ่อคลอ
ยิ้มที่ฉันเห็นครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน...
สายตาที่จ้องมองมาพร้อมคำทักทายยามเช้าที่สวนสาธารณะ
ใบหน้าที่เลื่อนเข้ามาใกล้อย่างจงใจให้ฉันอาย
น้ำตาสุดท้ายที่เขามอบให้เมื่อวันก่อน...
สิ่งดีๆเหล่านี้ยังคงทำให้หัวใจฉันเต้นตึกตักเพราะความยินดี เจ็บช้ำและเจ็บปวดหัวใจ
“เสี่ยว...หมิง”
ฉันเค้นพูดชื่อนี้ออกมาอย่างยากลำบาก จงใจกลืนน้ำตาเมื่อครู่กลับลงลำคอ ไม่...ฉันจะไม่มีวันร้องไห้ให้คนเช่นนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ไม่มีวัน!
  อัพครั้งแรก : 8/2/58 รีไรท์ : 9/2/58
สวัสดีเจ้าค้า!!!
อัพซะช้าเลยยยย แหะๆ ^^" พอดีเหม่ยติดธุระเจ้าคะเลยมาปล่อยนิดๆหน่อยๆ แน่ใจว่าต้องมีฮูหยินไม่น้อยหลงรักท่านอ๋องน้อยเก้าหลิ่งถิงผู้นี้ >_< แหม๋ก็เฮียออกจะน่ารักเจ้าค่ะ ถึงจะดูเอ๋อๆไปหน่อยก็ตามที 555 ขอบคุณเจ้าค่ะที่ลากเหม่ยมาอัพจนได้ =3= เหม่ยมาแล้วจ้า มาแล้ววว ตอนนี้ที่ยุ่งๆก็ไม่ใช่อะไรเลย เหม่ยเปิดธุระกิจของตัวเองอีกเหม่ยเลยมาช้าเจ้าค่ะ งานยุ่งจริงๆ TAT แอร๊ยยย แต่ยังไงอัพจบแน่นอนเจ้าค่ะ! เค้าสัญญานะเจ้าคะ!!!
รักฮูหยินมากๆเลยเจ้าค่าาาาาาาาาาปล. ทิ้งระเบิดไว้ในตอนนี้ เดี๋ยวจะมีตอนพิเศษคั้นนิดหน่อยนะเจ้าคะ!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา