The Sun and Satan..ดุจตะวันกับซาตาน
เขียนโดย kinkmj
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 09.50 น.
แก้ไขเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 10.37 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) The Sun and Satan ดุจตะวันกับซาตาน Ch.9
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
- Chapter 9 -
:: ศาสตร์เจรจาพาทีและการใช้วงเวทอย่างชาญฉลาด ::
เฮ้อ…!
ซันถอนหายใจยาวระหว่างก้าวขาเข้าไปในเขตของสถาบันเทลไฟร์อย่างเซ็ง ๆ
เช้าวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันอื่น ๆ เด็กสาวยังคงเป็นเป้าสายตาของพวกปีศาจทุกชั้นปี รวมถึงพวกปีศาจพ่อค้าแม่ขายที่ตั้งร้านรวงอยู่เต็มสองฝั่งบริเวณทางเข้าของเทลไฟร์ ไม่ว่าซันจะเข้าใกล้ร้านไหน เจ้าของร้านนั้นก็ดูจะรีบขายรีบไล่ให้พ้น ๆ ไปซะ
นี่ก็หนึ่งสัปดาห์แล้วหลังจากวันที่เธอก่อเรื่องเอาไว้ในวิชาการต่อสู้ ตั้งแต่วันนั้นในช่วงย่ำซันก็ต้องไปเรียนพิเศษกับแอสทารอธแทน นั่นเป็นสาเหตุให้เกือบทุกวันเจ้ากริฟฟินสีดำจะมายืนรอรับที่หน้าประตูของเทลไฟร์ทันทีหลังหมดคาบเรียนช่วงรุ่ง เพราะตลอดภาคเรียนนี้คาบย่ำของปีหนึ่งส่วนมากเป็นวิชาการต่อสู้ของมาโซเชียสนั่นเอง
ในวันแรกจิ้งจอกสาวไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องไปหาแอสทารอธได้ที่ไหน และเพราะไม่รู้ก็เลยไม่ได้ออกไปหน้าประตูสักที ทำให้กริฟฟินผู้น่ารักที่คงรอจนเริ่มหงุดหงิดวิ่งฝ่าดงปีศาจเข้ามารับเธอถึงที่ ทำให้ชื่อเสียงของเธอโด่งดังมากยิ่งขึ้น
เพราะไม่มีใครในสถาบันแห่งนี้ที่ไม่รู้ว่ากริฟฟินสีดำเป็นพาหนะของเขตพระราชวังเทลไฟร์… อันที่จริงเป็นพาหนะส่วนตัวของราชาปีศาจเสียมากกว่าด้วยซ้ำไป
นับตั้งแต่วันนั้นมา จากที่ถูกมองด้วยเรื่อง ‘คลั่ง’ มาหลายวัน ก็เลยถูกมองเพราะเรื่อง ‘เด็กวัง’ ไปด้วย
ตอนแรกซันก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่พอเดินไปทางไหนก็มีแต่ปีศาจแตกฮือ ไม่มีใครเข้าใกล้ในรัศมีสองเมตร รวมทั้งเพื่อนร่วมชั้นบางคนก็ทำท่าเหมือนเห็นผีเวลาเจอกัน ทำเอาเธองงเป็นไก่ตาแตกจนเริ่มหาคำตอบว่าเป็นเพราะอะไร
อีกเรื่องหนึ่ง…ในวันแรก ๆ จิ้งจอกสาวพยายามหาโอกาสคุยกับนาเดียเพื่อขอโทษอยู่หลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มเพื่อนของแม่มดจะเป็นปราการที่หนาเกินความสามารถไปหน่อย เลยจำต้องล้มเลิกความคิดไป
‘เธอน่ะ น่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจด้วยกันซะอีก พวกพันธุ์ผสม น่ารังเกียจ ! ’ เมดูซา เด็กสาวผมสีเขียวหยักศก เพื่อนสนิทของนาเดียตอกหน้ากลับมาแบบรื่นหูจนเลือดซิบ ในตอนที่ซันพยายามเข้าไปคุยกับนาเดียเป็นรอบที่สาม
พอเจอแบบนี้เข้าไป จิ้งจอกเลยปลงตก ไม่พยายามเซ้าซี้เพื่อคุยกับนาเดียอีก
การคลั่งนี่มันก็คงจะร้ายแรงจริง ๆ สินะเนี่ย ความคิดที่วนเวียนในหัวตั้งแต่ถูกเมดูซาผรุสวาทมา
ด้วยความสงสัย ซันจึงเอาเรื่องนี้ไปถามนิคกับเจนและคำตอบที่ได้ในตอนนั้นก็ทำให้เธอยิ่งเครียดกว่าเดิม
ร้ายแรงสิ ไอ้การคลั่งในหมู่ปีศาจเนี่ยอันตรายมาก เพราะถ้าเธอเป็นแค่ลูกครึ่งมนุษย์ โอกาสในการคลั่งมันต่ำซะยิ่งกว่าต่ำ ยังไงมนุษย์ก็มีส่วนดำมืดในใจเยอะละนะ เลยไม่ค่อยคลั่งหรอก แต่จะถูกครอบงำไปเลย… อย่างของเธอมันคือคลั่งใช่ไหมล่ะ มันก็เลยมีโอกาสสูงที่เธอจะ...’ คำอธิบายจากนิค ก่อนที่เขาจะชะงักไป ดูลังเลที่จะพูดต่อ
มีโอกาสที่เธอจะมีเลือดเทพในตัวไงล่ะ แค่นี้ก็ไม่รู้’ เป็นเจนที่ต่อประโยคเสียแทน
‘เลือดเทพเนี่ยนะ ไม่น่าใช่มั้ง พ่อฉันเป็นจิ้งจอกขาว แม่ฉันเป็นธิดาอัคคี แล้วเลือดเทพมันจะมาทางไหนได้’ ซันรีบละล่ำละลักปฏิเสธ
นัยน์ตาสีอำพันของเจนหรี่ลงช้า ๆ ขณะที่จ้องมองมายังจิ้งจอก ใบหน้าสวยคมฉายแววครุ่นคิด
‘นิค นายเคยได้ยินเรื่องของธิดาอัคคีไหม’ แมวดำหันไปถาม สายตาเลื่อนไปทางมนุษย์หมาป่าสไตล์เกาหลีที่นั่งอยู่อีกข้างของซัน
‘มีใครบ้างไม่รู้จัก นางพญาแห่งไฟ สาวงามอันดับสองของโลกปีศาจ’ คำตอบที่ได้ทำให้ซันต้องเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ
‘แต่เท่าที่ได้ยินมา ธิดาอัคคีเพิ่งปรากฏตัวเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ มีคนเดียวทั้งเผ่าพันธุ์ ประวัติการกำเนิดเองก็ไม่มีใครรู้ มีเพียงแค่ปรากฏตัวขึ้น แล้วก็หายตัวไป ช่วงที่หายไปคงไปอยู่ที่โลกมนุษย์นั่นแหละ แต่สำหรับชาติกำเนิด บางทีคงเกี่ยวกับเลือดของเธอก็ได้’
‘แม่ฉันนี่เป็นที่รู้จักมากหรือ’
คำถามด้วยความไม่รู้ของจิ้งจอกผมแดงส่งผลให้เพื่อนทั้งสองมองหน้าเธอเหมือนเจอตัวประหลาด เด็กสาวจึงไม่ได้ถามอะไรอีก ตัดสินใจเงียบ ๆ ว่าจะลองติดต่อไปหากุมมี่สักครั้งเพื่อถามเพิ่มเติมเสียแทน
เสียงนาฬิกาขนาดใหญ่บนผนังป้อมปราการแต่ละป้อมดังเหง่งหง่างกังวานขึ้นมาจนซันสะดุ้งเบา ๆ ความคิดหยุดชะงักลงในทันที
แล้วปีศาจสาวก็เริ่มออกตัววิ่งอย่างรีบสุดชีวิต เพราะเธอรู้ดีว่าเสียงนาฬิกาเมื่อครู่คือเสียงเตือน…ว่าเหลืออีกเพียงสิบนาทีก่อนเข้าเรียน !
--------------
แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก
ซันหอบหายใจหนัก ๆ หลังจากวิ่งมาถึงป้อมหมายเลขสอง เธอก้าวขาอันหนักอึ้งขึ้นบันไดหิน ภาวนาให้ถึงห้องเรียนเสียที และแทบโห่ร้องอย่างดีใจ เมื่อเห็นตัวอักษรหน้าตาประหลาดบนป้ายสีทองสลักลายประดับเป็นรูปต้นแอปเปิ้ลกำลังแผ่กิ่งก้านสาขาที่ติดอยู่บนประตูไม้ของห้องเรียนในชั้นที่สามของป้อมปราการ
ตัวอักษรบนป้ายมีความหมายว่า ‘ศาสตร์เจรจาพาทีและการใช้วงเวทอย่างชาญฉลาด’
ซันหยุดพักให้หายเหนื่อยอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะใช้มือขาว ๆ ดึงประตูไม้เปิด ทำให้แสงสลัวทอดผ่านบานประตูออกมาจาง ๆ เธอยื่นหน้าเข้าไปกวาดตามองภายในห้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
อาจารย์ยังไม่มา
จิ้งจอกสาวก้าวเข้าไปด้านใน กวาดสายตาหาเพื่อนทั้งคู่ที่เธอพอจะมีอยู่ แล้วก็ไปหยุดตรงนิคที่นั่งอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งแถว ๆ กลางห้อง เขายกมือทักทายในขณะที่ซันเดินเข้าไปหา
“แล้วเจนล่ะ” เธอถาม พลางดึงเก้าอี้ออกห่างจากโต๊ะเพื่อหย่อนตัวลงนั่ง
“ไม่รู้สิ ยังไม่เห็น ปกติคุณเธอก็แว่บไปแว่บมาอยู่แล้วน่ะนะ” คนถูกถามตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก
“แต่นี่มันจะสายแล้วนะ เจนไม่เคยมาสายนี่ หรือว่ามีอะไรรึเปล่า นายซิปฟี่ไปหาเธอสิ” ซันว่า คิ้วขมวดมุ่น สังหรณ์ใจอย่างประหลาด
“ยายนั่นไม่รับฉันเป็นเพื่อน เธอก็ลองดูของตัวเองด้วยสิ”
คิ้วเรียว ๆ ของปีศาจสาวขมวดหนักขึ้นไปอีก เมื่อเรียกจอซิปฟี่ขึ้นมาดูแล้วพบว่าเจนยังไม่ได้รับเธอเป็นเพื่อนเช่นกัน แต่ในขณะที่กำลังชั่งใจว่าจะออกไปตามดีหรือเปล่า อาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามาในห้องเสียก่อน
ไปไหนของเธอนะเนี่ย เจน ซันได้แต่ลอบเป็นห่วงในใจ แต่สุดท้ายก็หันไปสนใจบทเรียนตรงหน้า
ศาสตร์เจรจาพาทีและการใช้วงเวทอย่างชาญฉลาด มีอาจารย์ประจำวิชาคือ โซโลมอน อดีตราชาผู้เคยทำพันธสัญญากับปีศาจชั้นสูงถึง 72 ตน โดยการใช้วงเวทอาคมในการควบคุมปีศาจผู้ถูกเรียก ภายหลังเมื่อสิ้นชีพก็ได้กลายเป็นปีศาจเสียเอง
เมื่อเขาเคยเป็นมนุษย์ที่สามารถคุมปีศาจชั้นสูงระดับเจ้าชายไว้ได้ จึงได้รับหน้าที่ให้กลายเป็นผู้ที่มาสอนวิธีป้องกันไม่ให้มนุษย์คนอื่นสามารถควบคุมปีศาจที่ถูกเรียกผ่านวงเวทได้เกินสมควรแบบตนเอง
อย่างว่าละนะ คนวางกับดักเป็น ก็ต้องรู้วิธีที่จะไม่ถูกกับดักนั้นเสียเองอยู่แล้ว
โซโลมอนเป็นชายวัยกลางคนไว้เครา เส้นผมเป็นสีน้ำตาลทองเหมือนชาวกรีกโบราณ มีรูปร่างสันทัด ดูองอาจสมกับที่เคยเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เขาดูเหมือนมนุษย์มาก เว้นแต่เพียงดวงตาที่กลายเป็นสีดำสนิททั้งหมด ไร้ส่วนของตาขาว ซึ่งเป็นผลจากการสาปแช่งของเบลเซบับ 1 ในบาป 7 ประการที่เคยถูกโซโลมอนเรียกทำพันธสัญญา
หลังจากนั้น โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ก็เข้ามารุมเร้าราชาผู้กระหายอำนาจจนทรมานแสนสาหัสก่อนจะสิ้นพระชนม์ด้วยดวงตาที่มืดบอดทั้งสองข้าง เขาถูกซาตานนำตัวมาและได้รับหน้าที่เป็นอาจารย์ที่เทลไฟร์ โดยมีผลตอบแทนคือสามารถมองเห็นได้ในยามรุ่ง แต่ในยามย่ำดวงตาก็จะกลับไปบอดสนิทเช่นเดิม
ถึงจะไม่ได้หายขาด แต่มีหรือผู้ที่มองเห็นแต่ความมืดจะไม่รีบคว้าโอกาสในการได้กลับมาเห็นโลกกว้างอีกครั้ง แม้จะเป็นเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงในแต่ละวันก็ตาม
“จากที่คราวก่อนได้สอนพวกเธอถึงวงเวทและสัญลักษณ์อาคมแบบต่าง ๆ ไปแล้ว… ในวันนี้ฉันจะเริ่มต้นสอนเรื่องการทำสัญญาเพื่อตกลงแลกเปลี่ยนกับผู้ขอทำสัญญา ซึ่งขอเตือนว่าเรื่องนี้มันสำคัญมากเสียจนพวกเธออาจกลายเป็นสุนัขเชื่อง ๆ ของมนุษย์แทนที่จะได้พลังมากขึ้นหรือได้กลับมานอนบนเตียงนุ่ม ๆ ในห้องนอนของตัวเองอีกครั้งถ้าไม่ตั้งใจเรียน ! และบางทีเธอคงอยากเป็นแบบนั้นนะ คุณโคลสัน ! ”
แท่งชอล์กสามสี่อันบินข้ามหัวซันไปกระแทกศรีษะของมิโนทอร์ร่างใหญ่ที่เอาแต่คุยเล่นกับเมดูซาที่นั่งข้าง ๆ อย่างออกรสเกินไปสักหน่อย
“โอ๊ย !” โคลสันร้อง เงยหน้ามองอาจารย์ประจำวิชาอย่างหัวเสีย
“กรุณาตั้งใจเรียน จะเกี้ยวกันก็ไปที่อื่น ! ” โซโลมอนตะคอกเสียงแหบห้าว ดวงตาที่ไร้ซึ่งแววตาใด ๆ จ้องหน้ามิโนทอร์อย่างตำหนิติเตียน
“ขอโทษครับ” โคลสันตอบเหมือนจะคำราม เขาสะบัดศีรษะที่มีเขาขนาดใหญ่สองข้างอย่างหัวเสีย แล้วใช้มือหนา ๆ ปัดเศษชอล์กสีขาวที่ร่วงกราวลงมาออกจากโต๊ะเรียน
โซโลมอนไม่ได้พูดหรือแสดงสีหน้าอะไร อดีตราชาหันกลับไปเข้าบทเรียนต่ออย่างไม่ใส่ใจอีก
“การดีลหรือการทำพันธสัญญากับพวกมนุษย์นั้นสำคัญมากอย่างที่พวกเธอคาดไม่ถึง ถ้าเธอพลาดสักนิด จากที่เป็นปีศาจอยู่ดี ๆ ก็อาจจะกลายเป็นพวกภูตชั้นต่ำ หรือกลายเป็นทาสรับใช้ไปโดยไม่รู้ตัวได้ง่าย ๆ เพียงเพราะทำข้อตกลงขาดไปแค่ตัวอักษรตัวเดียว” เขาอธิบาย “อย่าได้ทะนงตนว่าแข็งแกร่งที่สุด ฉลาดที่สุด ถ้ายังไม่รู้ซึ้งถึงความกระหายอำนาจและเจ้าเล่ห์ของมนุษย์ที่ต้องการพลังจากปีศาจ… มาดูตัวอย่างของวงเวท… ”
มือกร้านของชายวัยกลางคนจับชอล์กวาดรูปวงเวทบนกระดานดำอย่างคล่องแคล่ว
ทั้งห้องเต็มไปด้วยความเงียบงัน มีเพียงเสียงขีดชอล์กดังแกร่ก แกร่ก และเสียงลากปากกาไปบนกระดาษ รวมถึงปากกาสีรุ้งของซันที่ขยับจดเลคเชอร์ไม่หยุด
วงเวทที่โซโลมอนวาดให้ดูนั้นเป็นวงเวทขั้นพื้นฐาน มุมทั้งสี่ของวงเวทมีอักขระโบราณที่มีสัญลักษณ์ดาวห้าแฉกขนาดเล็กซ้อนทับอยู่ ส่วนใจกลางมีวงกลมสามวงซ้อนกันในลักษณะแบบสามเหลี่ยม
“อีกอย่างที่ควรรู้ วงเวทที่ใช้เรียกปีศาจ ไม่ได้มีแค่มนุษย์ที่ใช้มันได้ แม้แต่เทพหรือปีศาจด้วยกันก็ใช้ได้ ขอเพียงมีพลังเวทเพียงพอ หรือ สามารถดีลได้อย่างฉลาดพอ อย่างวงเวทนี้ที่เธอเห็นมันคือวงเวทพื้นฐาน ‘ชามิเอล’ สัญลักษณ์ดาวห้าแฉกที่มีอักขระโบราณทั้งสี่มุมคือตำแหน่งในการวางเทียนไขสำหรับ ‘บูชายัญ’ ที่จะหาได้จากเผ่า ‘แม่มด’ เท่านั้น ซึ่งฉันคิดว่าเธอคงเคยเห็นมันมาก่อน ใช่ไหม คุณนาเดีย ”
นาเดียสะดุ้ง ละล่ำละลักรับคำ “ค...ค่ะ ค่ะ!”
“เทียนไขแม่มดเป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่พวกผู้เรียกต้องมีจริง ๆ คือ ‘พลัง’ สำหรับการเรียกปีศาจระดับชั้นต่ำ ๆ เพียงแค่มีพลังเวทสูงกว่า หรือแค่ทำให้ฝ่ายที่ถูกเรียกนั้นเกรงกลัว หรือ ‘ถูกข่ม’ ได้ ก็ควบคุมและใช้งานได้ง่าย ๆ … แต่กลับกันหากพวกเธอเรียกปีศาจที่มีพลังสูงกว่าและยังกลัวเสียเอง นั่นคือหายนะ เพราะวงเวทจะควบคุมสถานการณ์ได้เพียงแค่ในระหว่างที่ทำข้อตกลงกับปีศาจตนนั้น แต่สิ่งที่จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถือไพ่เหนือกว่าจริง ๆ คือ ‘ดีล’ ”
เขาหยุดพูด กวาดสายตามองไปรอบห้อง
“ดีล คือการแลกเปลี่ยน ตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักมันใช่ไหม เพราะฉันเพิ่งสอนไปเมื่อคาบที่แล้ว… พวกเธอคงจำได้ว่าในวิชานี้ฉันจะสอนให้เธอไม่ต้องกลายเป็นทาสของพวกมนุษย์ ในเวลาที่มีพวกมนุษย์โง่ ๆ อยากจะให้ปีศาจช่วยทำงานอะไรให้สักหน่อย”
โซโลมอนขยับออกมาจากกระดานดำ ตอนนั้นเองภูตตัวเล็กผิวสีเขียวคล้ำก็ปรากฏตัวออกมาจากพื้นอันว่างเปล่า แล้วใช้ชอล์กวาดวงเวทลงบนพื้นเหมือนบนกระดานไม่ผิดเพี้ยน
เสร็จแล้วอาจารย์ประจำวิชาก็นำเทียนไขสีดำสี่เล่มไปวางตรงกลางของอักขระโบราณทั้งสี่จุด เมื่อวางครบ เทียนทั้งสี่ก็มีไฟติดพรึ่บขึ้นเองโดยไม่ต้องจุดแต่อย่างใด
“พวกเธอแต่ละคนมีพลังไม่ต่ำกันทั้งนั้น จึงคงไม่มีโอกาสถูกเรียกสักเท่าไร แต่ฉันจะแสดงให้ดูว่าการถูกเรียกทำพันธะมันเป็นอย่างไร”
โซโลมอนแสยะยิ้ม ร่างสันทัดก้าวมายืนตรงหน้าวงเวท แรงกดดันประหลาดแผ่ออกมาจนซันขนลุก เด็กสาวหันไปมองนิคที่นั่งติดกัน เขาก็หน้าซีดไม่ต่างกับเธอเลย
‘ข้าขอเรียก ด้วยอำนาจอาคมโบราณแห่งดาวห้าแฉก ข้าขอเรียกปีศาจที่มีพลังธาตุแห่งน้ำ จงมา...! ’
สิ้นประโยคอันเต็มไปด้วยมนตร์ขลังชวนให้อกสั่นขวันแขวนก็เกิดเสียงดัง ฟู่ คล้ายบางอย่างกำลังไหม้ ควันสีขาวอมเทาลอยฟุ้งไปทั่วห้องเรียน
จิ้งจอกสาวเพ่งมองไปหน้าห้องด้วยใจระทึก และเมื่อควันจางลง ความงงงันของเหล่านักเรียนก็เกิดขึ้น
ในวงเวทนั้น มีเด็กหนุ่มผิวขาว ผมสีฟาง ใบหน้าตกกระ นั่งหน้ามึนอยู่ ร่างท้วม ๆ นั่นคือ เคเลบ ปีศาจร่วมชั้นเรียนอีกคนหนึ่งของซันนั่นเอง เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ ชั่วขณะหนึ่งดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจสถานการณ์นัก…แต่พอเริ่มเข้าใจ ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็ค่อย ๆ ซีดขาวจนเผือดเหมือนแผ่นกระดาษ กระบนใบหน้าเข้มขึ้นมาจนเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
โคตรซวย...
“หึ เราได้ผู้โชคดีแล้วสินะ อย่างที่พวกเธอเห็น การเรียกปีศาจไม่ได้ยากอะไร”
มือคู่หนึ่งชูหวือขึ้นมาทันที แทบทุกคนหันไปมองเจ้าของมืออย่างอึ้ง ๆ ปนประทับใจในความกล้าของเธอ
“เชิญถาม คุณเมอดาเม่”
“ค่ะ อาจารย์ คือหนูอยากรู้ว่า ถ้าเราเป็นผู้เรียก แล้วจะมีวิธีสุ่มเรียกปีศาจที่ไม่รู้จักยังไงคะ แล้วถ้าเราถูกเรียกเสียเอง จะโดนเรียกได้ตลอดเลยหรือเปล่าคะ เราสามารถปฏิเสธการเรียกนั้นได้ยังไงคะ สมมติว่าหนูไม่ว่าง แล้วถูกเรียกกระทันหันก็จะไปโผล่ที่วงเวทเลยหรือคะ มีวิธีป้องกันไหม” เด็กสาวร่ายคำถามหยาวเหยียด ซันกำปากกาในมือไว้แน่น เพราะคำถามจากสาวสวยผมลอนคนนี้เป็นคำถามที่เธออยากรู้ทั้งสิ้น เลยต้องเตรียมจดอย่างเต็มสปีด
“อืม...เป็นคำถามที่ฉลาดมาก ข้อแรก การสุ่มเรียกหากเธอไม่รู้ชื่อของปีศาจที่ต้องการ สิ่งที่ต้องรู้คือเธอต้องการอะไรจากปีศาจตนนั้น เช่น ถ้าเธอต้องการจะไปเผาบ้านใครสักคน ก็ควรเรียกปีศาจธาตุไฟจริงไหม หรือหากต้องการที่จะลบความจำใครสักคน ก็ต้องเรียกหาปีศาจที่สามารถบิดเบือนความจำได้ แต่ก็ระวังว่าจะโดนลบความจำเสียเองด้วยล่ะ หึหึ”
อย่างนี้นี่เอง
“ส่วนถ้าถูกเรียกเสียเอง ปีศาจที่ถูกเรียกผ่านวงเวทจะไม่สามารถปฏิเสธการถูกเรียกได้ แต่สามารถปฏิเสธการดีลได้ เมื่อมีการปฏิเสธดีลไปแล้ว ผู้เรียกจะไม่สามารถเรียกปีศาจคนเดิมซ้ำได้อีก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีโอกาสเลย เพราะถ้าผู้เรียกรู้ชื่อของเธอแล้ว จะเรียกซ้ำได้อีกสามครั้ง ซึ่งถ้าถูกปฏิเสธดีลซ้ำ ๆ จนครบสามครั้ง แล้วยังคงดื้อด้านเรียกอีก วงเวทนั้นจะทำงานแค่บางส่วนหรือก็คือไม่สามารถป้องกันตัวเองจากปีศาจที่เรียกได้ มีพวกมนุษย์ไม่น้อยเช่นกันที่ถูกฆ่าทิ้งเพราะเหตุการณ์ทำนองนี้”
เมอดาเม่จดยิก ๆ ลงในสมุดของเธอ เช่นเดียวกันกับซันที่จดเลกเชอร์ครบทุกตัวอักษร ความรู้พวกนี้เป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับจิ้งจอกสาวมาก และอาจเป็นประโยชน์เมื่อถึงเวลาจริง ๆ ก็ได้ เธอจึงไม่อยากพลาดอะไรทั้งสิ้น
“ทีนี้เราควรจะสนใจคุณเคเลบกันได้แล้ว” โซโลมอนหันไปทางเด็กหนุ่มร่างท้วมที่นั่งนิ่งในวงเวทอย่างทำอะไรไม่ถูก
“เธอชื่อเคเลบสินะ”
เคเลบพยักหน้ารับตื่น ๆ
“เป็นปีศาจอะไร”
เคเลบลังเล แต่สุดท้ายก็ตอบออกไปตามตรง
“เคลปี[1]ครับ”
โซโลมอนเริ่มขมวดคิ้ว
“เอาละ เคเลบ ปีศาจเคลปี ฉันวานให้เธอช่วยกวาดห้องให้หน่อยได้ไหม”
“ด...ได้ครับ”
สิ้นคำนั้น วงเวทจางหายไปทันที เทียนไขทั้งสี่เล่มดับลง เคเลบลุกขึ้น ส่วนอดีตราชาไม่พูดอะไร เคลปีในร่างเด็กหนุ่มก็พาตัวเองไปหยิบไม้กวาดที่มุมห้องมากวาดห้องเรียนอย่างเอาเป็นเอาตาย
“นี่คือตัวอย่างที่ผิดพลาดมากในการดีล พวกเธอเห็นแล้วใช่ไหม เขายอมบอกทั้งชื่อ ทั้งประเภทของตนเอง รวมไปถึงตอบรับสิ่งที่ฉันบอกให้ทำแบบง่าย ๆ นั่นคือการดีลสำเร็จแล้วโดยที่เขาไม่ได้อะไรตอบแทนเลย และฉันสามารถเรียกใช้เขาได้ตลอดเวลาหากต้องการคนกวาดห้อง” โซโลมอนอธิบายด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก ดูเหมือนจะไม่ปลื้มที่เคเลบตื่นตระหนกจนไม่มีความรู้ที่พร่ำสอนไปเหลือในหัวเลยสักนิด
“คุณเคเลบ มานี่” เขาเรียก
เด็กหนุ่มร่างท้วมรีบทิ้งไม้กวาดเดินไปหาอย่างว่าง่าย
“ไหน ๆ ก็กวาดห้องแล้วก็นำขยะไปทิ้งด้วยนะ” ผู้เป็นอาจารย์พูด ดวงตามืดสนิทน่าขนลุกจับจ้องตรงไปยังปีศาจเคลปีที่ตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้
“ครับ ๆ ” ด้วยความกลัว เคเลบก็รับคำไปอีกครั้ง และเดินลิ่วไปคว้าถังขยะทันที ท่ามกลางเพื่อนร่วมชั้นที่ทั้งขำทั้งสงสาร
โซโลมอนถอนหายใจอย่างสุดเซ็ง
“กลับมานี่” เขาเรียกอีกครั้ง นิ้วชี้ที่มีเล็บยาวแหลมชี้ไปที่หน้าผากของเด็กหนุ่ม “เลิกพันธะ” เสียงแหบห้าวกล่าว
ซันเห็นสายใยสีขาวบาง ๆ ในอากาศระหว่างทั้งคู่จางหายไปช้า ๆ เธอสะกิดถามนิค แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เห็นอะไรอย่างที่เธอเห็นสักนิด เขาทำหน้างุนงงกลับมา ปีศาจสาวจึงไม่ได้ถามอะไรอีก
ในที่สุดเคเลบก็ได้กลับมานั่งที่ สีหน้าของเคลปีบิดเบี้ยว เหมือนกำลังอดกลั้นไม่ให้ร้องไห้ออกมา
“ส่วนมากครั้งแรกที่ถูกเรียก ปีศาจจำนวนมากจะตกเป็นทาสโดยไม่ทันได้ตั้งตัว และจะถูกใช้งานไปตลอด ผลตอบแทนก็แทบจะไม่มี อย่างที่เธอได้เห็นไปแล้ว …จงจำไว้ให้ดี มีน้อยนักที่จะได้รับการปลดปล่อยได้ง่าย ๆ หากไม่ได้มีข้อตกลงในการดีลเพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน”
“ถ้ามันอันตรายแบบนี้ทำไมไม่ยกเลิกไปเลยนะ” ซันเผลอพึมพำออกมา และเป็นอีกครั้งที่ไม่ค่อยจะเบาเท่าไรนัก เพราะดวงตาอันน่ากลัวของโซโลมอนตวัดมาทางเธอทันที
“หึ คุณดุจตะวัน เดิมทีราชาปีศาจก็เคยคิดจะยกเลิกการใช้วงเวท แต่มันเป็นศาสตร์ที่ฝังลึกไปแล้วในสามโลก และยิ่งเป็นปีศาจที่มีผู้ทำพันธะสัญญามากเท่าไร พลังของปีศาจคนนั้นก็จะเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นตามความโลภของมนุษย์ไงล่ะ พวกปีศาจชั้นต่ำถึงอยากเป็นที่รู้จักกันนักหนา จะได้ถูกเรียกใช้เพื่อเพิ่มพลัง เมื่อหมดสิ้นพันธะสัญญาแล้วค่อยเอาคืนก็คงไม่สายนี่นะ” อดีตราชาแค่นเสียงตอบ
ซันนิ่งคิด
การทำพันธสัญญาคือวิธีเพิ่มพลังให้ตัวเองสินะ
“สิ่งสำคัญที่สุดที่ปีศาจอย่างพวกเธอต้องรู้ไว้ก็คือ ห้ามให้ผู้ใดล่วงรู้ชื่อกำเนิดของเธอ มันคือกฎที่สำคัญที่สุด เมื่อใดที่วงเวทถูกวาดขึ้นและในวงกลมมีชื่อกำเนิดของเธอเขียนอยู่ในนั้น ฉันคงบอกได้แค่ว่า เธอจะกลายเป็นทาสไปตลอดกาล ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธการดีลไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธะได้จนกว่าผู้ที่ทำสัญญาจะปลดปล่อยเธอเสียเอง” โซโลมอนอธิบายต่อ ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา
บทเรียนวันนี้ก็จบเท่านี้ การบ้านของพวกเธอก็คือ ไปฝึกวาดวงเวทมาซะ คราวหน้าเราจะมาทดสอบวงเวทของพวกเธอกันว่าจะเรียกให้ปีศาจชั้นต่ำ ๆ โผล่ออกมาได้สักตนรึเปล่า ไปได้” อาจารย์ตัดบทฉับ พร้อมกับเอ่ยไล่ทันทีพร้อมกับเสียงระฆังจบคาบดังขึ้น
โซโลมอนจะเลิกคาบเรียนอย่างตรงเวลาที่สุด ถึงแม้เขาจะเข้าห้องสายก็ตาม เพราะสำหรับเขาแล้วช่วงเวลาในการมองเห็นนั้นสำคัญมากจนไม่สามารถปล่อยให้เวลาอันมีค่าสูญเปล่าไปได้แม้แต่วินาทีเดียว
ซันรวบลุกจากที่นั่ง มองไปรอบ ๆ ห้อง กวาดสายตาหาคนที่เธอเป็นห่วงอีกครั้ง
สุดท้ายเจนก็ไม่มาเรียน...
“นิค วิชาต่อไปเรามีเรียนอะไรน่ะ” จิ้งจอกสาวถามเพื่อน ตั้งใจว่าถ้าเป็นวิชาที่สามารถปลีกตัวได้จะหลบไปตามหาเพื่อนสาว
“วันนี้ช่วงรุ่งมีเรียนวิชาเดียว คาบสองวันนี้อะกริปป้างดน่ะนะ เห็นว่าเถาวัลย์หนามในสวนพฤกษ์ มันดันโตเร็วไปหน่อยจนเลื้อยออกมาทำร้ายใครต่อใครไปทั่ว เลยวุ่นวายกันใหญ่” นิคหันกลับมาตอบ
“แล้วมีใครบาดเจ็บรึเปล่า” ซันรีบถามเพิ่ม เริ่มสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีนัก
“ฉันก็รู้เท่าที่บอกเธอไปนั่นแหละ เมื่อช่วงก่อนเข้าเรียนได้ยินกลุ่มของเมดูซาคุยกันน่ะนะ จับใจความมาได้แค่นี้”
“ฉันสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเลย นิค”
หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวกับเจน
[1] เป็นปีศาจที่อยู่ตามทะเลสาบหรือบึงน้ำ มีรูปร่างเป็นม้า สามารถจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ชอบหลอกล่อมนุษย์ให้ขึ้นขี่แล้วพาลงไปในน้ำจนเสียชีวิต
-------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ