รักเหลือล้น [Yaoi , Boy's love]
เขียนโดย CryStaLSand
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 15.42 น.
แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 15.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) รักเหลือล้น 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ตอนที่ 4
“อื้อ..” ใบหม่อนส่งเสียงเบาๆ ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ เพราะรู้สึกอึดอัดกับแรงกอดแน่นของใครบางคน
(โอ๊ย! ทำไมมันอึดอัดยังงี้ว่ะเนี่ย) เขาบ่นในใจ พร้อมกับพยายามขยับตัวแต่ก็ทำไม่สำเร็จเพราะสู้แรงของคนที่กอดเขาอยู่ไม่ได้
“ถ้ายังไม่ตื่น จะหอมแก้มแล้วนะครับ” เด็กหนุ่มได้แต่กระพริบตาปริบๆเมื่อได้ยินประโยคนี้
“งั้นหอมล่ะนะ” ยังไม่ทันจะได้คัดค้านอะไร คนที่กอดเขาอยู่ก็หอมแก้มเขาทันที ใบหม่อนตกใจจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ โชคดีที่มีผ้าห่มคลุมอยู่ เลยไม่มีใครเห็นว่าตอนนี้ใบหน้าของเด็กหนุ่มมันแดงมากขนาดไหน
“ตายแล้ว! ตาธีทำอะไรน้องน่ะ”
และเมื่อได้เสียงร้องตกใจของคุณหญิงพิสมัย ใบหม่อนก็ค่อยๆดึงผ้าห่มที่คลุมหัวอยู่ออก และพบว่าคนที่หอมแก้มเขาเมื่อกี้ก็คือ หลานชายขี้โมโหของคุณย่านั่นเอง
ธีเดชเองก็ตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องของคุณย่า แต่พอได้เห็นหน้าคนที่เขาทั้งกอดทั้งหอมแก้ม ก็ยิ่งทำให้เขาตกใจมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
“นาย!/คุณ!” ทั้งคู่ตะโกนออกมาพร้อมกัน ก่อนที่ธีเดชจะรีบปล่อยตัวใบหม่อนแล้ววิ่งไปหาคุณย่าของเขา
“ทำไมหมอนั่นมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับคุณย่า”
“ก็ย่าเป็นคนพามาไงล่ะ ว่าแต่เราเถอะ ทำไมไปหอมแก้มน้องยังงั้น” คุณย่าตอบพร้อมถามกลับ แถมยังส่งสายตากดดันมาให้อีก
“ก็ปกติคุณย่าชอบนอนหลับอยู่ตรงโซฟานี่ครับ ผมก็เลยนึกว่าเป็นคุณย่า” ธีเดชตอบ แต่คุณหญิงพิสมัยไม่ได้สนใจฟังคำตอบของเขาเลยสักนิด กลับเดินตรงไปยังหลานชายคนใหม่พร้อมกับกอดปลอบใจ
“ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูกนะ ตกใจแย่เลยล่ะสิ โอ้ๆไม่เป็นไรนะ” ธีเดชมองดูย่าของตัวเองพูดปลอบใบหม่อนด้วยความงุนงง
“คุณย่าครับ ผมเป็นหลานคุณย่านะครับ ทำไมถึงไปปลอบคนอื่นล่ะ ผมเองก็ตกใจเหมือนกันนะครับ” คนขี้โมโหเริ่มโวยวาย
“ทำไมย่าต้องปลอบเราด้วย เราน่ะเป็นคนทำให้น้องตกใจนะ มาขอโทษน้องเดี๋ยวนี้เลย” คุณย่าสั่งเสียงจริงจัง แต่ชายหนุ่มกลับยืนหน้าบึ้งอยู่ที่เดิม
“ตาธี! มาหาย่าเดี๋ยวนี้นะ” คุณหญิงพิสมัยเริ่มเสียงดัง ธีเดชมองผู้เป็นย่าด้วยสายตาตัดพ้อ ก่อนจะเดินไปหาอย่างไม่เต็มใจนัก
“ย่าแค่ให้เราขอโทษน้องเฉยๆ ทำไมทำหน้าเหมือนจะตายยังงั้นล่ะ”
“ขอโทษ” ธีเดชพูดเสียงห้วนแถมไม่ยอมมองหน้าใบหม่อนอีกต่างหาก
“หนูหม่อนอย่าไปโกรธพี่ธีเลยนะ พี่เขาก็นิสัยเสียแบบนี้แหละ” คุณย่าว่าพร้อมลูบหัวใบหม่อน ธีเดชเห็นดังนั้นก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
“ตอนแรกผมก็คิดว่าที่เขาเป็นแบบนี้เพราะการเลี้ยงดูแล แต่พอมาเจอคุณย่า ผมถึงได้รู้ว่ามันเป็นที่นิสัยของเขาเองต่างหาก ผมไม่ถือสาเขาหรอกครับคุณย่า” ใบหม่อนบอกคุณย่า แล้วหันไปยิ้มให้คนขี้โมโห
“นี่นายว่าฉันอีกแล้วนะ!” ธีเดชพูดเสียงดังพร้อมทำท่าจะเดินเข้าไปหาใบหม่อน โชคดีที่คุณย่าห้ามไว้ได้ทัน
“พอได้แล้วตาธี ใจเย็นๆก่อนสิ ย่าว่าน้องเขาไม่ได้ตั้งใจจะว่าเราหรอก ใช่มั้ยจ๊ะใบหม่อน”
“ครับคุณย่า ผมแค่พูดให้ฟังเฉยๆ” เด็กหนุ่มว่าเสียงทะเล้นแล้วหันไปยิ้มกว้างให้คุณย่า ปล่อยให้ธีเดชยืนหน้าบึ้งอยู่แบบนั้น
“เอาล่ะ ย่าว่าเราลงไปทานข้าวเย็นกันดีกว่านะ ย่าชักจะหิวซะแล้วสิ” คุณหญิงพิสมัยบอก จากนั้นจึงลากแขนหลานชายทั้ง 2 ลงมาที่โต๊ะอาหาร
บรรยากาศในโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของคุณหญิงพิสมัยและใบหม่อน ทั้ง 2 พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่ยังมีอีกคนนึง ที่นั่งหน้านิ่งทานอาหารเงียบๆอยู่คนเดียว หลังจากทานอาหารเย็นกันมาได้สักพัก ธีเดชก็รวบช้อนแล้วจิบน้ำ จากนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมจะเดินไปจากโต๊ะอาหาร
“อ้าวตาธี อิ่มแล้วเหรอจ๊ะ ย่าเห็นทานไปแค่นิดเดียวเองนะ” คุณหญิงเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าหลานชายเพิ่งทานอาหารไปแค่นิดเดียว
“อิ่มแล้วครับ ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ” เขาบอกเสียงเรียบ
“จ้ะ ไปเถอะ” คุณย่าตอบรับ ก่อนจะหันมามองหน้าใบหม่อนเหมือนต้องการความเห็น
“สงสัยคุณธีเขาจะงอนคุณย่านะครับ”
“ชัวร์เลยจ้ะ ตาธีน่ะขี้งอนเป็นที่หนึ่งเลย ทั้งขี้โมโห ขี้งอน ขี้หวง แต่ก็กับคนที่เขารักเท่านั้นแหละจ๊ะ ถ้ากับคนอื่นล่ะก็ ต่อให้มานอนตายอยู่ตรงหน้า ตาธีน่ะไม่คิดจะสนใจหรอก” เธออธิบาย
“แต่ดูเหมือนว่าคุณธีเขาจะไม่ค่อยชอบหน้าผมเลยนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ๊ะ หนูหม่อนน่ะน่ารักจะตาย เดี๋ยวเจอกันบ่อยๆตาธีก็ชอบหนูหม่อนเองแหละ” คุณหญิงพูดแล้วลงมือทานอาหารต่อโดยไม่ได้มองเลยว่า ใบหน้าของเด็กหนุ่มกำลังขึ้นสีเพราะประโยคเมื่อกี้
(แล้วเราจะเขินทำไมว่ะ) ใบหม่อนด่าตัวเองในใจ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ตาธี ย่าขอเข้าไปหน่อยได้มั้ยจ๊ะ” คุณหญิงเคาะประตูเรียกหลานชาย
“เข้ามาได้เลยครับ” ธีเดชตะโกนตอบจากในห้องแต่งตัว คุณหญิงพิสมัยเปิดประตูเข้าไปในห้องของธีเดช แล้วไปนั่งรออยู่ที่โซฟา เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เดินมานั่งที่โซฟากับผู้เป็นย่า
“ว่าไงเรา งอนย่าเหรอ” คุณหญิงพิสมัยเริ่มเปิดประเด็น
“เปล่าครับ แค่น้อยใจนิดหน่อย” ธีเดชว่า ก่อนจะล้มตัวลงนอนหนุนตักคุณย่า
“หึๆ เรานี่น้า ตัวก็ออกจะใหญ่โต แต่กลับขี้น้อยใจเป็นเด็กๆไปได้” เธอว่าพร้อมลูบหัวหลานชายไปด้วย
“ก็ผมอุตส่าห์รีบกลับบ้านเพราะเมื่อวานคุณย่าบอกว่าเหงา แต่พอกลับมาคุณย่าก็มัวแต่เห่อหลานคนใหม่ ไม่เห็นสนใจผมเลย” เขาบอก แล้วดึงมือคุณย่ามากุมไว้
“ที่ย่าเอ็นดูหนูหม่อนก็เพราะว่าเขาเป็นคนดี เขาช่วยย่าไว้ตอนที่ย่าเป็นลม” ธีเดชรีบลุกขึ้นนั่งทันทีที่ได้ยินว่าคุณย่าของเขาเป็นลม
“คุณย่าเป็นลมเหรอครับ แล้วเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า ไปตรวจที่โรงพยาบาลหรือยังครับ” ชายหนุ่มถามออกมาเป็นชุด
“ย่าไม่ได้เป็นอะไรแล้วล่ะจ้ะ ที่ย่าเป็นลมก็เพราะวันนี้อากาศมันร้อนน่ะ”
“ผมว่าคุณไปตรวจสุขภาพบ้างเถอะนะครับ ผมกลัวว่าคุณย่าจะเป็นอะไรไปอีก” เขาว่าพร้อมกอดผู้เป็นย่าไว้แน่น
“ย่าน่ะแข็งแรงจะตายไป ไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกจ้ะ” คุณย่าบอกหลานชาย แล้วตบหลังเบาๆเพื่อปลอบใจ
“เอ่อ..ว่าแต่ ทำไมคุณย่าถึงชวนหมอนั่นมาบ้านเราล่ะครับ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ” เขาถามเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้
“ก็หนูหม่อนเขาเป็นเด็กน่ารัก ย่าชอบเขาตั้งแต่คราวก่อนที่ธีทะเลาะกับเขาแล้วล่ะ พอวันนี้ได้มาเจอกันอีก ย่าก็ยิ่งชอบแล้วก็รู้สึกถูกชะตากับหนูหม่อนมากๆเลยล่ะ”
“คุณย่าแน่ใจนะครับ ว่าเขาไม่ได้เข้ามาตีสนิทกับคุณย่า เพื่อหวังผลประโยชน์อย่างอื่น”
“นี่ตาธี ย่าน่ะ 70 กว่าแล้วนะ เจอคนมาก็เยอะแยะ ทำไมย่าจะไม่รู้ว่าใครมาดีหรือมาร้าย”
“ก็มันน่าแปลกนี่ครับ ปกติคุณย่าไม่ได้สนิทกับใครง่ายๆแบบนี้ซะหน่อย”
“เลิกอคติกับหนูหม่อนได้แล้ว เขาน่ะเด็กดี แถมยังน่าสงสารอีกด้วย”
ธีเดชมองหน้าผู้เป็นย่าด้วยความไม่เข้าใจ “น่าสงสารยังไงครับ หรือว่าเป็นอย่างในละคร ที่ตัวเอกกำพร้าพ่อแม่ เลยต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง แถมบางทียังต้องดูแลญาติที่ป่วยหนักอีกด้วย”
“อ้าว นี่ธีรู้เรื่องครอบครัวหนูหม่อนด้วยเหรอ” คุณย่าถามด้วยความประหลาดใจ
“เปล่าครับ ผมแค่พูดเล่นเฉยๆ เขาเป็นอย่างที่ผมพูดจริงๆเหรอครับ” ธีเดชตกใจที่คำพูดมั่วๆของเขา กลายเป็นจริงขึ้นมา
“ใช่จ๊ะ หนูหม่อนน่ะกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ 13 ขวบ จากนั้นก็ไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พออายุ 14 คุณลุงที่เป็นเพื่อนของพ่อก็มารับไปเลี้ยง แต่ตอนนี้คุณลุงคนนี้ป่วยอยู่โรงพยาบาล หนูหม่อนก็เลยต้องมารับช่วงดูแลร้านกาแฟแทน”
“คุณย่าแน่ใจเหรอครับ ว่าที่เขาเล่ามาทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริง” ชายหนุ่มถามเพราะยังไม่อยากปักใจเชื่อเท่าไหร่นัก
“เรื่องจริงแน่นอนจ้ะ เพราะย่าเช็คข้อมูลมาเรียบร้อยแล้ว” คุณย่าบอก ธีเดชพยักหน้ารับรู้แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ป้าเนียนครับ หม่อนล้างจานเสร็จแล้วนะครับ” ใบหม่อนบอก ขณะล้างมืออยู่ในครัว
“จริงๆมันเป็นหน้าที่ของป้านะคะ ถ้าคุณท่านรู้ว่าคุณหม่อนมาล้างจานเองแบบเนี่ย ป้าต้องโดนเอ็ดแน่ๆเลยค่ะ”
“ป้าเนียนก็อย่าบอกคุณย่าสิครับ” เด็กหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงทะเล้น ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง
“2 ทุ่มกว่าแล้ว งั้นหม่อนขอตัวกลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวฝากป้าเนียนบอกคุณย่าด้วยนะครับ”
“แล้วคุณหม่อนจะกลับยังไงคะ แถวนี้ไม่ค่อยมีรถแท็กซี่ผ่านมาซะด้วยสิ” ป้าเนียนว่าด้วยความกังวล
“งั้นก็ให้ตาธีไปส่งสิจ้ะ” คุณหญิงพิสมัยพูดแทรกขึ้นมา ทำเอาธีเดชรีบหันหน้าไปมองผู้เป็นย่าด้วยความตกใจ
“ทำไมผมต้องไปส่งเขาด้วยล่ะครับ” คนขี้โมโหรีบโวย
“ไม่ต้องหรอกครับคุณย่า ผมกลับเองได้” เด็กหนุ่มพูดด้วยความเกรงใจ
“ไม่ได้จ้ะ ย่าเป็นคนพาหนูหม่อนมา จะให้กลับเองได้ยังไง” คุณหญิงบอก ก่อนจะหันไปทำหน้าดุใส่หลานชาย “ตาธีไปส่งน้องด้วย เข้าใจมั้ย”
“ครับคุณย่า” ชายหนุ่มตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
รถสปอร์ตสีดำแล่นไปตามท้องถนนในยามค่ำคืนด้วยความเร็วสูง ทำเอาเด็กหนุ่มที่เพิ่งเคยนั่งรถแบบนี้เป็นครั้งแรกอดที่จะรู้สึกกลัวไม่ได้
“นี่คุณธี ขับช้าๆหน่อยได้มั้ย” ใบหม่อนบอกเจ้าของรถที่ตอนนี้เหยียบคันเร่ง จนเข็มความเร็วชี้ไปที่ตัวเลขเกินร้อยแล้ว
“คุณธี ได้ยินที่ผมพูดรึเปล่าเนี่ย” เด็กหนุ่มถามย้ำ พอเห็นว่าอีกคนยังนิ่งเฉยอยู่เช่นเดิม ใบหม่อนจึงยื่นมือไปหยิกแก้มธีเดชด้วยความหมั่นไส้
“โอ๊ย! ทำอะไรของนายเนี่ย” ชายหนุ่มโวยทันที
“อ้าว พูดได้แล้วเหรอ เห็นนั่งนิ่งเป็นหินอยู่ตั้งนาน ก็เลยลองหยิกดูน่ะ”
“นายนี่มันหน้าไหว้หลังหลอกจริงๆเลยนะ ต่อหน้าคุณย่าก็ทำตัวดีพูดจาดี แต่พอลับหลังก็มาหยิกฉันด่าว่าฉันแบบเนี่ย”
“หึๆ” ใบหม่อนขำออกมา เมื่อได้ยินธีเดชพูดเช่นนั้น
“ขำอะไรของนายน่ะ” ชายหนุ่มถามน้ำเสียงหงุดหงิด
“นี่คุณดูละครมากไปหรือเปล่าเนี่ย ชีวิตคนเรามันสั้นนะ ผมไม่ทำอะไรซับซ้อนยังงั้นหรอก เอาแค่ว่าใครดีมาผมก็ดีตอบ ถ้าใครไม่ดีมาผมก็หนีซะ มันก็แค่นั้นแหละ” ใบหม่อนพูดพร้อมหันมาสบตากับธีเดช
“กับฉันนายไม่เห็นจะหนีเลย มีแต่พูดด่าว่าฉัน” ธีเดชแย้ง
“ก็คุณไม่ใช่คนไม่ดีหนิ คุณเป็นคนขี้โมโหต่างหากล่ะ” เมื่อได้ฟังประโยคนี้ ก็ทำให้ธีเดชรู้สึกอบอุ่นใจแปลกๆ มันเหมือนกับว่าคนๆนี้เข้าใจในตัวตนของเขาจริงๆ
“คุณธีถึงร้านแล้ว จอดตรงนี้เลยครับ” ใบหม่อนรีบบอก เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงร้านแล้ว ธีเดชจึงค่อยๆลดความเร็วลง แล้วจอดรถตรงจุดที่เด็กหนุ่มบอก
ใบหม่อนพยายามดึงสายเบลท์ออกแต่ก็ดึงไม่ได้ซักที จนคนที่นั่งดูอยู่ทนไม่ไหวต้องช่วยดึงออกให้
“นายต้องกดตรงนี้ก่อน แล้วค่อยดึงออกแบบนี้” ธีเดชสาธิตวิธีดึงสายเบลท์ให้ใบหม่อนดู แล้วถามต่อ “เข้าใจหรือยัง” แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมากลับพบว่าหน้าของเขาทั้ง 2 ห่างกันแค่คืบเดียวเท่านั้นเอง
“ยังงี้เหรอครับ” ใบหม่อนลองดึงสายเบลท์ตามที่ธีเดชสอน โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกอีกคนจ้องมองอยู่ กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเด็กหนุ่มลอยไปปะทะจมูกของธีเดชเข้าอย่างจัง มันเป็นกลิ่นหอมที่เขาจำได้ดีเพราะได้ลองสูดดมไปแล้วเมื่อตอนเย็น ธีเดชมองหน้าใบหม่อนอยู่ครู่นึง “นายใช้น้ำหอมอะไรเหรอ หอมดีนะ” เขาเอ่ยถามอย่างลืมตัว
พอได้ยินคำถาม ใบหม่อนก็เงยหน้ามองคนพูดอย่างงงๆ แต่ก็ต้องรู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที เมื่อเห็นสายตาของธีเดชที่ใช้จ้องมองเขา
ธีเดชเองก็อึ้งไปเหมือนกันเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นใบหม่อนเขินจนหน้าแดงแบบนี้
“เอ่อ ผมไม่ได้ใช้น้ำหอมครับ ขอบคุณที่มาส่งครับ” ใบหม่อนรีบตอบ แล้วพยายามจะเปิดประตูลงจากรถ
“เดี๋ยวสิ” ธีเดชเรียก พร้อมกับเอี้ยวตัวมาจับแขนของเด็กหนุ่มเอาไว้ คนขี้แกล้งยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก เมื่อเห็นคนถูกแกล้งนั่งก้มหน้าก้มตาด้วยความเขินอาย
“ฉันได้ยินมาว่าตอนที่คุณย่าเป็นลม นายเป็นคนช่วยท่านเอาไว้” เขาก้มหน้าลงมาแล้วพูดใกล้ๆหูของเด็กหนุ่ม
“คะ ครับ” ใบหม่อนตอบเสียงสั่น เพราะรู้สึกได้ว่าตอนนี้หน้าของธีเดชมันเข้ามาใกล้มากกว่าเมื่อกี้ซะอีก
“ขอบใจนายมากที่ช่วยคุณย่าของฉัน” คนขี้แกล้งบอก ก่อนจะปล่อยแขนเด็กหนุ่มแล้วเปิดประตูให้
ทันทีที่ประตูเปิดออก ใบหม่อนก็พุ่งตัวออกไปจากรถอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหันมาพูดกับคนขับว่า “ขอบคุณครับ” เสร็จแล้วก็วิ่งหางจุกตูดเข้าไปในร้านทันที
“หึๆ ก็น่ารักดีเหมือนกันนี่หว่า” ธีเดชพูดกับตัวเอง แล้วจึงขับรถกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี
“แฮ่กๆๆ” พอวิ่งหนีเข้ามาในร้านได้สำเร็จ ใบหม่อนก็ทรุดนั่งลงหอบหายใจอยู่ที่หลังประตูอย่างหมดแรง เมื่อลองยกมือขึ้นทาบอก ก็พบว่าตอนนี้หัวใจเต้นแรงมาก แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าสาเหตุที่ทำให้หัวใจเต้นแรงแบบนี้ เป็นเพราะออกแรงวิ่งจนเหนื่อยหรือเป็นเพราะคนที่ขับรถมาส่งเขากันแน่
“นี่เราเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมวันนี้เขินทั้งวันเลยวะ” เขาต่อว่าตัวเองแล้วยกมือขึ้นตบหน้าเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจไปอาบน้ำเผื่อว่าน้ำเย็นๆจะช่วยให้สมองของเขาปลอดโปร่งขึ้นได้บ้าง
เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วใบหม่อนก็รีบกระโดดขึ้นเตียงแล้วเปิดโน๊ตบุ๊คเพื่อเช็คเมล์ทันที
“อ้าว OttO ส่งเมล์มาแล้วนี่นา” เขาว่าพร้อมคลิกเปิดดูเมล์ที่ได้รับ
คนในรูปที่อยู่กับนายอนุชาคือ สารวัตรอดิศร เป็นตำรวจที่มักจะหากินกับพวกแก๊งค้ายา,มาเฟีย และทำเรื่องผิดกฏหมายต่างๆ ฉันว่านายควรจะระวังตัวเอาไว้นะ ถ้าเกิดมันรู้ว่านายเข้าไปยุ่งกับเรื่องของมันล่ะก็ ชีวิตของนายต้องเป็นอันตรายแน่ๆ
“ไอ้หม่อนเอ๊ย เกือบซวยแล้วมั้ยล่ะ” ใบหม่อนเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมากลางหน้าผาก จากนั้นก็ปิดโน๊ตบุ๊คแล้วเตรียมตัวเข้านอน แต่พอหลับตาไปได้สักพัก ในหัวกลับฉายภาพคนที่เป็นต้นเหตุให้เขาเขินอายซ้ำไปซ้ำมาจนเขาต้องลืมตาตื่น
“พอๆ เลิกคิด เลิกฟุ้งซ่านซะที” เด็กหนุ่มบอกกับตัวเอง ก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมโปงแล้วข่มตานอนอีกครั้งนึง
หลังจากเอารถไปจอดเก็บไว้ในโรงรถ ธีเดชก็เดินผิวปากเข้ามาในบ้านอย่างอารมณ์ดี
“ว่าไงตาธี อารมณ์ดีกลับมาเชียวนะ” คุณย่าเอ่ยแซว เมื่อเห็นหลานรักกลับบ้านมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ” ธีเดชว่าแล้วรีบหุบยิ้มทันที
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วทำไมเมื่อกี้ยิ้มหน้าบานขนาดนั้นล่ะจ๊ะ” คุณย่าแซวต่อ
“ไม่มีอะไรจริงๆครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณย่าไปนอนดีกว่านะครับ” เขาว่าพร้อมจูงมือผู้เป็นย่าไปส่งที่ห้องนอน คุณหญิงพิสมัยเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่ยิ้มน้อยๆเหมือนรู้ทัน แล้วเดินตามหลานชายไปอย่างว่าง่าย
เมื่อส่งคุณย่าเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ธีเดชก็เดินตรงเข้าไปในห้องครัว เนื่องจากตอนเย็นเขาทานข้าวไปแค่นิดเดียว ทำให้ตอนนี้เขารู้สึกหิวขึ้นมาอีก
“อ้าวคุณหนู ยังไม่นอนอีกเหรอคะ” ป้าเนียนถาม เมื่อเห็นธีเดชเดินเข้ามาในครัว
“ป้าเนียนมีอะไรให้กินบ้างครับ ผมหิวอีกแล้วล่ะ” เขาบอกพร้อมลูบพุงให้ป้าเนียนดู
“งั้นเดี๋ยวป้าตั้งสำรับให้เอามั้ยคะ”
“ถ้าผมกินข้าวตอนนี้ต้องจุกแน่ๆเลย ป้าเนียนมีอย่างอื่นให้กินมั้ยครับ”
“อ่อ มีแซนวิชอยู่ในตู้เย็นค่ะ คุณหนูจะทานมั้ยคะ”
“เอาแซนวิชก็ได้ครับ” ชายหนุ่มบอกแล้วเดินไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร
ป้าเนียนเอาแซนวิชออกมาจากตู้เย็น เมื่ออุ่นแซนวิชเสร็จแล้วก็เอามาเสิร์ฟให้กับธีเดชที่นั่งยิ้มแป้นรออยู่ เขาหยิบแซนวิชมากัดคำนึง แล้วก็ต้องตกใจเพราะว่ามันอร่อยมาก
“อร่อยมากเลยครับป้าเนียน” เขาหันไปบอกป้าเนียน แล้วกินแซนวิชอีกคำนึง
“ถ้าอร่อย คุณหนูก็ทานให้หมดเลยนะคะ” ป้าเนียนบอกพร้อมยิ้มอย่างเอ็นดู
“แต่ปกติป้าเนียนไม่ชอบทำอาหารพวกนี้ไม่ใช่เหรอครับ” เขาถามด้วยความสงสัย
“แซนวิชนี่ป้าไม่ได้ทำหรอกคะ” เธอสารภาพออกมา
“อ้าว แล้วใครทำล่ะครับ” คำตอบของป้าเนียน ทำให้เขายิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก
“คุณหม่อนเป็นคนทำค่ะ” ธีเดชถึงกับตาโตด้วยความตกใจ เมื่อได้รู้ว่าใครเป็นคนทำ
“ว่าไงนะครับ ใบหม่อนเป็นคนทำเหรอครับ” เขาถามย้ำอีกครั้ง เผื่อว่าตัวเองจะหูฝาด
“ใช่ค่ะ คุณหม่อนเธอทำเอาไว้เมื่อตอนหัวค่ำน่ะค่ะ”
“แล้วเอามาให้ผมกินมันจะดีเหรอครับ เขาอาจจะทำเอาไว้ให้คุณย่าก็ได้นะครับ” ถึงจะรู้แล้วว่าใครเป็นคนทำแซนวิช แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าแซนวิชจานนี้ทำเอาไว้ให้ใคร
“คุณหม่อนเธอตั้งใจทำให้คุณหนูนั่นแหละค่ะ”
“จริงเหรอครับ” เขาถามอีกครั้ง ป้าเนียนยิ้มให้แทนคำตอบ
“เอ่อ คือมันดึกแล้ว ผมว่าป้าเนียนไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวกินเสร็จแล้วผมจะล้างจานเก็บให้เอง” ธีเดชบอกกับแม่นมของเขา พร้อมทั้งพยายามฝืนไม่ให้ตัวเองยิ้มออกมา
“งั้นป้าเนียนไปนอนแล้วนะคะ” เธอบอกแล้วแอบขำเบาๆ เมื่อเห็นว่าคุณหนูของเธอกำลังกลั้นยิ้มอยู่ แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินออกไปจากห้องครัว
พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้ว ธีเดชจึงหันมาให้ความสนใจกับแซนวิชในจานอีกครั้ง แล้วก็สังเกตเห็นว่าที่จานมีกระดาษโน๊ตแนบมาด้วยแผ่นนึง เขาหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาอ่าน พร้อมกับจังหวะหัวใจที่เริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
ผมเห็นคุณทานข้าวเย็นไปแค่นิดเดียว ก็เลยทำแซนวิชไว้ให้
ถือว่านี่แทนคำขอโทษจากผมก็แล้วกันนะครับ
...ใบหม่อน...
ธีเดชยิ้มกว้างออกมาเมื่ออ่านข้อความในกระดาษโน๊ตจบ รู้สึกหัวใจฟองโตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พลางนึกไปถึงภาพเด็กหนุ่มคนที่นั่งเขินหน้าแดงอยู่ในรถของเขาเมื่อตอนหัวค่ำ
จากนั้นก็หยิบแซนวิชขึ้นมากิน แต่ก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเพราะเขารู้สึกว่าตอนนี้แซนวิชมันอร่อยมากกว่าเดิมซะอีก
(อาการหนักซะแล้ว ไอ้ธีเอ๊ย) เขาบ่นกับตัวเองในใจ แล้วกินแซนวิชต่ออย่างสบายอารมณ์
แซนวิชที่ใบหม่อนทำให้ธี
(ขอบคุณภาพจาก google)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ