คิร่ากับศิลาแห่งภูติ
3.3
เขียนโดย Giants_tee
วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 10.37 น.
5 ตอน
3 วิจารณ์
8,104 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 07.41 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) บทนำแห่งสงคราม 50 %
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ.......................มาต่อ มาต่อ (><)
แสงอาทิตย์อ่อนๆที่ใกล้ลับขอบฟ้าทำให้ทั่วทั้งห้องเปลี่ยนเป็นสีทอง เมื่อกลับมาถึงเด็กหนุ่มล้มตัวลงนอนที่เตียงอย่างเหนื่อยล้า ร่างกายของเขาต้องมีบางอย่างผิดปกติเป็นแน่ นับวันความเจ็บปวดราวกับถูกบีบรัดที่อกซ้ายมักกำเริบขึ้นบ่อยครั้ง ความเจ็บปวดที่ดูจะถี่ขึ้นทุกขณะ
กัสได้เพียงเก็บงำความเจ็บปวดนี้ไว้เพียงลำพัง จะมีก็แค่เอเลนน่าเท่านั้นที่รับรู้ถึงความลับนี้ของเขา ภาพเอเลนน่าสมัยเด็กที่ถึงกับร้องจ้ายามเมื่อหลงอยู่ในปราสาทกับตัวเขาที่เจ็บปวดจนล้มลงต่อหน้านางพลานผุดเข้ามา แม้จะกังวลกับความเจ็บปวดที่เกิดแต่ก็ยังอดยิ้มไม่ได้ทุกครั้งเมื่อนึกถึงหน้าเจ้าหญิง
เจ้าหญิงตัวน้อยที่สั่งไม่ให้เค้าตายด้วยน้ำตาท่วมใบหน้า
“ชมรอบปราสาทกับองค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง”
นีย่าเดินเข้ามาพร้อมเอ่ยถามบุตรชายด้วยรอยยิ้ม นางยังคงดูวุ่นวายกับการพยายามตามเก็บข้าวของที่กระจายภายในบ้าน
“แม่เตรียมอาหารเย็นให้ลูก ทำไมไม่ออกไปกินละ”
เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายเป็นคำตอบ นีย่าแทบจะวางมือจากสิ่งที่ทำทั้งหมดก่อนก้าวมาหยุดนั่งลงข้างๆ นางเอื้อมมือแตะหน้าผากของเด็กหนุ่มอย่างห่วงใย
“อย่ากังวลไปเลยท่านแม่ ข้าแค่รับมือเจ้าหญิงจอมดื้อของท่านมาจนเหนื่อยทั้งวันก็เท่านั้น” กัสยิ้มตอบเพื่อกลบเกลื่อน
นีย่ามองดูบุตรชายด้วยความเห็นใจ นางรู้จักเอเลนน่า โรเดริค เจ้าหญิงแห่งโซมาเรียเป็นอย่างดี ความงดงามและน่ารักของเด็กสาวเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมือง เพียงแต่การที่นางเป็นบุตรตรีคนเดียวของเมนนอส โรเดริค กษัตริย์แห่งโซมาเรีย ไม่ว่าใครหน้าไหนจึงต่างคอยประจบเอาอกเอาใจ เอเลนน่ากลายเป็นเด็กสาวที่ทั้งดื้อทั้งรั้นจนเป็นที่เกรงกลัวของคนแทบจะทั้งปราสาท หากแต่ที่น่าแปลกคือบุตรชายตรงหน้าเธอเสียอีกทีเอเลนน่ากลับยอมอ่อนข้อด้วยเสมอมา
“แน่ใจรึว่าพรุ่งนี้จะไม่เข้าไปร่วมงานที่ปราสาท”
“แม่ก็รู้ดีว่าข้าไม่ควรเหยียบเข้าไปในปราสาทอีก ท่านอาจจะลืมแต่ข้าไม่เคยไม่คิดถึงมัน แม้ท่านเมนนอสจะทรงเมตตาแต่ข้าไม่เคยลืมว่าคนที่ทำให้ราชินีแห่งโซมาเรียต้องสิ้นใจคือใคร”
“เอเลนน่าต้องเสียแม่ของนางไปเพราะข้า...”
“มันไม่ใช่ความผิดของลูก ราชินีทรงถูกบางอย่างทำร้ายลูกก็รู้ดีนี้หนา!!?”
“มันเป็นเป็นความผิดของข้าท่านแม่” กัสเลี่ยงหลบตาขณะเอ่ย วันหนึ่งเมื่อเจ้าหญิงทรงรู้ความจริงนางจะเกลียดข้า”
นีย่าได้เพียงมองบุตรชายด้วยความเศร้า การเสียราชินีแห่งโซมาเรียไปเมื่อสามปีก่อนคือสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ต้องออกจากปราสาทมาอยู่ยังชานเมืองห่างไกลผู้คน แม้นีย่าจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นางก็เชื่ออย่างหมดใจว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่มีทางทำร้ายราชินีที่แสนอ่อนโยนคนนั้นเป็นแน่
“องค์หญิงคงยินดีหากลูกจะไปแสดงความยินดีกับนาง อย่าให้สิ่งที่ลูกพยายามทำมาต้องสูญเปล่าสิ”
นิย่าหยิบขวดใบเล็กที่ภายในบรรจุผลึกสีเงินแวววาวในแก้วที่ถูกหล่อจนดูคล้ายภูติตัวเล็กที่มีปีกแผ่บนแผ่นหลัง กัสคุ้นเคยกับสิ่งที่รับมาจากอีกฝ่ายดี เขาเองคือผู้ที่บรรจงทำสิ่งนี้มากับมือเพื่อเป็นของขวัญให้กับเจ้าหญิง
ท่ามกลางผู้คนมากมายในงานเลี้ยงต้อนรับที่ถูกจัด คงไม่มีแขกใดจะสร้างความตื่นเต้นให้แก่ผู้คนได้มากเท่าเหล่าทูตจากเวลล์ เสียงพูดคุยของบรรดาทูตจากเมืองต่างๆเงียบหายไปตั้งแต่ทั้งสามย่างกรายเข้ามาในงาน
ปักษาในชุดผ้าไหมสีขาวเงางามตามแบบฉบับของชาวตะวันออก ปีกสีขาวใหญ่ถูกหุบเก็บไว้เบื้องหลังโดยมีอาวุธคือดาบและธนูแนบไว้ไม่ห่าง ปักษาที่ดูหนุ่มที่สุดในคณะคือผู้ก้าวนำทั้งหมดเข้ามา รูปร่างที่สูงและร่างกายที่กำยำทำให้ชายหนุ่มดูหน้าเกรงขาม ดวงตาสีเขียวอำไพบนหน้าช่างดูคุ้นตา ปักษาตรงหน้าทำให้เมนอสนึกไปถึงสหายเก่าแก่ชาวปักษา เพียงแต่ชายหนุ่มตรงหน้าดูอ่อนเยาว์เกินกว่าจะเป็สหายเก่าของพระองค์
“ข้าเกรดีสในนามของราชาปักษาเกรนธอนผู้ปกครองเวลล์เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเยี่ยมเยือนนครของพระองค์” ปักษาหนุ่มกล่าวทักทาย
“ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับสหายจากเวลล์ รวมทั้งสหายจากที่ต่างๆ ขอบใจทุกท่านที่ให้เกียรติมาเยือนนครของข้า เมนนอสกล่าวพร้อมโบกมือเชิญให้แขกทุกคนนั่งในที่ที่ถูกจัดเตรียม”
“ท่านเกรนธอนสบายดีรึ” เมนนอสเอ่ยถามเกรดีสที่ถูกจัดให้นั่งไม่ห่างไปจากพระองค์
“ท่านพ่อสบายดีฝ่าบาท ท่านยังฝากความคิดถึงมาและเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ได้มาเยี่ยมเยือนพระองค์ด้วยตนเอง แต่ท่านฝากสิ่งนี้มาให้”
ว่าพลางผู้ติดตามจากเวลล์ก็หยิบหีบที่บรรจุโถเหล้าอย่างดีที่ผลิตขึ้นจากผลไม้ที่พบได้แค่ในเขตตะวันออก ราชาเฒ่ายิ้มรับของตรงหน้าอย่างพึงพอใจ
“ทุกท่านคงเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางไกล วันนี้ข้าถือเป็นเกียรติที่ได้จัดเลี้ยงต้อนรับ ขอทุกคนสนุกให้เต็มที่” ทันทีที่กล่าวอาหารมากมายก็ถูกนำมาบริการแก่เหล่าทูต นางระบำเริ่มต้นร่ายรำอย่างอ่อนช้อยไปพร้อมกับเสียงดนตรีขับกล่อม ทุกคนต่างดื่มกินและพูดคุยอย่างสนุกสนาน
เมนนอสทอดมองผู้คนในงานที่ส่วนใหญ่คือเหล่าบรรดาเจ้าชายของเมืองต่างๆ อย่างพอใจ จนกระทั่งพระองค์สังเกตว่าเจ้าหญิงคนงามมิได้มาประทับเคียงข้างดังเคย จึงสบตากับนางกำนัลของบุตรสาวที่มีท่าทางร้อนรนอยู่ไม่ไกลไปจากพระองค์
“ฝ่าบาทเพคะ เจ้าหญิงทรงรู้สึกประชวร จึงของประทานอภัยที่ไม่ได้มาร่วมต้อนรับเหล่าทูต”
นางกำนัลเอ่ยอย่างรนรานขณะก้มหน้าไม่กล้าสบตา เมนนอสเพียงส่งสายตาอย่างรู้ทันไปให้ก่อนโบกมือไล่นางกำนัลไป งานฉลองของเอเลนน่าที่อายุครบสิบเจ็ด ครั้งนี้เมนนอสตั้งใจจัดเป็นพิเศษเพื่อให้บุตรสาวเลือกเจ้าชายจากเมืองใดเมืองหนึ่งเป็นคู่ครอง เอเลนน่าเองกว่าจะรับรู้แผนการก็สายไปที่จะขัดขวาง หนังสือเชิญถูกส่งไปยังเมืองๆต่างทั่วแดนใต้ แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังรู้สึกหนักใจเมื่อนึกถึงท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของบุตรสาว
เริ่มแล้วรึ ราชาเฒ่าคิดอย่างปลงตก พระองค์รู้จักความดื้อรั้นของบุตรสาวดี คิดแล้วก็ต้องโทษตัวพระองค์เองที่ตามใจบุตรสาวคนเดียวจนเคยตัว หวังว่าพรุ่งนี้เอเลนน่าคงยอมออกจากห้อง ไม่งั้นพระองค์คงต้องเลือกใช้ไม้แข็งกับนางบ้าง
“อาหารเป็นอย่างไรบ้าง ถูกปากกันหรือไม่” กษัตริย์เฒ่าเอ่ยปากถามทูตจากเวลล์
ปักษาทั้งสามยิ้มตอบให้แก่พระองค์อย่างนอบน้อม เมนนอสมองเกรดีสอย่างพิจารณา พลางนึกถึงสายสัมพันธ์ของพระองค์กับชาวตะวันออก ในอดีตสมัยพระองค์ยังคงเป็นแค่เจ้าชายที่เอาแต่ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ แต่ด้วยความไม่ระวังกลับได้รับบาดเจ็บขณะท่องตามลำพังอยู่กลางป่า ช่วงความเป็นความตายนั้นเองเมนนอสได้รับความช่วยเหลือจากเกรนธอนมนุษย์ปักษาตนแรกที่พระองค์พบ เมื่อหายจากการบาดเจ็บเมนนอสได้ขอติดตามและท่องเที่ยวไปกับเกรนธอน จนกระทั้งพระองค์ถูกเรียกตัวกลับมาครองบันลังก์จึงต้องลาจากกัน
การพบกันอีกครั้งสำหรับทั้งสองคือสิบเจ็ดปีก่อน นครของพระองค์กำลังจะแพ้สงครามให้กับไทแทน เผ่าปีศาจที่นิยมกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหารและอาคัยอยู่ในเขตทางเหนือของแซนทอเรีย เดิมทีพวกไทแทนมักไม่ข้ามฝั่งจากทางเหนือลงมายังแดนใต้ที่มนุษย์อาศัย แต่อยู่ๆไทแทนมากมายกลับรวมทัพและบุกเข้ามาอย่างหนักหน่วง ยามเมื่อมนุษย์เข้าตาจนก่อนที่โซมาเรียเมืองสุดท้ายจะพ่ายแพ้ก็ปรากฏกองทหารปักษาที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เพียงไม่นานหลังการปรากฏตัวของเหล่าปักษาไทแทนก็แตกพ่ายและถอยร่อนกลับไปยังดินแดนของตน เมนนอสได้พบกับเกรนธอนอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนั้นสหายปักษากลับมาในฐานะราชาผู้นำทัพ
หลังสิ้นสงครามปักษาบางส่วนยังคงพำนักอยู่ในเมืองตามคำเชิญ พระองค์ได้รู้จักกับเกรดีสซึ่งขณะนั้นยังเป็นเพียงเด็กน้อยที่ติดตามราชาเกรนธอนเข้ามาในเมือง เมนนอสจำปักษาน้อยคนนั้นได้ดีเพียงแต่ตอนนี้เกรดีสไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป แต่เติบโตเป็นปักษาหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยลักษณะของนักรบตามเผ่าพันธุ์ของตนอยู่ตรงหน้าเขา
งานต้อนรับดำเนินไปจนดึก ทูตบางส่วนทยอยเข้ามากล่าวลากลับที่พักด้วยความเหน็ดเหนื่อย ปิดท้ายด้วยแขกจากเวลล์ เมนนอสพยักหน้ารับรู้เมื่อมองสบไปยังแขกคนสำคัญ พระองค์กล่าวเชิญเกรดีสมาคุยต่อเป็นการส่วนตัว ปักษาหนุ่มรับคำเชิญอย่างนอบน้อมเช่นเคย
“เสด็จพ่อ...” เอเลนน่าเอ่ยขึ้นทันที่เมื่อพบกับบิดาที่นั่งดื่มชาอยู่กับแขกจากเวลล์ เดิมทีนางคิดว่าบิดาอาจจะเรียกมาเพื่อต่อว่าเรื่องการหนีงานต้อนรับ แต่ดูเหมือนเด็กสาวจะคิดผิด
“มีเรื่องอะไรกับลูกหรือกระหม่อม” แม้วาจาจะกล่าวกับบิดาแต่สายตากลับมองผ่านไปที่แขกที่นั่งดื่มชาอยู่ก่อน
“มานั่งข้างพ่อสิเอเลนน่า”
เอเลนน่าที่ยังคงแปลกใจได้เพียงมองหน้าบิดาและนั่งลงไปข้างๆ
“ยินดีด้วยสำหรับวันเกิดครบรอบสิบเจ็ดปีองค์หญิง...” เกรดีสเอ่ยพร้อมโค้งศีรษะให้เล็กน้อย เอเลนน่าแม้จะอยู่ในอาการที่สงบแต่ก็อดไม่ได้ที่แอบมองชายหนุ่มเบื้องหน้า ผมสีดำยาวที่ตัดกับดวงตาสีเขียวที่ดูสุขุมช่างขัดกับหน้าสวยๆนั้นเสียจริง ถึงแม้บุรุษตรงหน้าจะอยู่ในลักษณะนั่งแต่ก็ยังดูรู้ว่าชายคนนี้คงมีรูปร่างที่สูงใหญ่
ปักษาตรงหน้าแทบจะไม่มีอะไรต่างไปจากมนุษย์เลยหากแผ่นหลังไม่มีปีกขนาดใหญ่ ปีกสีขาวนวลดูไม่ต่างอะไรกับปีกของนกที่เธอเลี้ยงไว้ ดูขนปีกสีพิลึกนั้นสิ แล้วหญิงสาวที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยเป็นอันต้องสะดุดทันที เมื่ออยู่ๆเจ้าของปีกก็เอ่ยคำพูดต่อมาราวกับรู้ทัน
“ปีกของข้าคงดูแปลกตาสำหรับท่านหญิง หากไม่รังเกียจจะลองจับก็เชิญ”
“ข้าไม่ได้อยากจับซะหน่อย!” เอเลนน่ารีบแก้ตัวก่อนจะต้องก้มหน้าดื่มชาแก้เก้อเมื่อถูกอีกฝ่ายจับได้
“เอาล่ะๆ ที่เรียกมาวันนี้ก็เพื่อให้เจ้าได้เจอกับแขกคนสำคัญ นี้คือท่านเกรดีสบุตรชายของราชาเกรนธอนจากเวลล์ รู้จักเอาไว้สิ”
เอเลนน่าโค้งให้แก่เกรดีสทั้งที่ใบหน้ายังดูไร้อารมณ์
“เป็นเกียรติที่ได้รู้จักเพคะ” เสียงนางเอ่ยขึ้นอย่างเสียมิได้เมื่อถูกดวงตาดุๆของบิดาส่งมาให้ เกรดีสเองกลับมองดูท่าทางของเอเลนน่าอย่างอารมณ์ดี นางดูจะจำเค้าไม่ได้ทั้งที่เมื่อครั้งอดีตเจ้าหญิงมนุษย์ตรงหน้าเคยเกาะติดตน แต่ก็คงไม่แปลกที่นางจะจำไม่ได้เพราะตอนนั้นนางก็ยังเป็นแค่เพียงเด็กน้อยแบเบาะ
“เสด็จพ่อหากไม่มีสิ่งใดอีกหม่อนฉันขอตัวเพคะ” เอเลนน่ากล่าวพร้อมโค้งให้ทั้งคู่อีกครั้งก่อนลุกเดินจากไปโดยไม่รีรอให้ใครรั้งตัว
“คงเพราะข้าตามใจมากไปหน่อยหวังว่าท่านคงไม่ถือสานาง” เมนอสมองมาที่ปักษาหนุ่มด้วยสายตาเชิงขอโทษแทนบุตรสาวจอมเอาแต่ใจของพระองค์
มีเพียงรอยยิ้มเป็นคำตอบ ก่อนที่ความเงียบจะเข้ามาแทนที่เมื่อเหลือเพียงคนทั้งสอง เมนนอสจึงเริ่มเอ่ยเข้าเรื่องด้วยสีหน้าจริงจัง
“มาครั้งนี้คงมิได้มาเพียงอวยพรให้แก่บุตรสาวของข้าเพียงอย่างเดียวหรอกสินะ นานแล้วที่ชาวปักษาไม่ได้มาเยือนโซมาเรียแห่งนี้ หวังว่าการมาครั้งนี้คงนำข่าวดีมากับท่านด้วยนะ”
“ถูกของฝ่าบาทที่ข้ามิได้มาแค่เยี่ยมเยือน” ปักษาหนุ่มเอ่ยตอบแววตาดูต่างจากก่อนหน้า “การมาครั้งนี้มีเหตุ และแน่นอนที่ข้านำข่าวมาฝากพระองค์อย่างที่ทรงหวัง เพียงแต่ข้าคิดว่ามันคงไม่ใช่ข่าวดีซักเท่าไร”
ราชาเฒ่ารอรับฟังข่าวอย่าสงบขณะทีเกรดีสเอ่ยต่อ
“อย่างที่ฝ่าบาททรงรู้ ตอนนี้พวกไทแทนเริ่มรวบรวมกำลังขึ้นอย่างเงียบๆบริเวณทางเหนือ จำนวนของพวกมันมากขึ้นทุกที เกรงว่าหากพวกไทแทนรวบรวมกำลังพลได้มากกว่านี้ไม่นานเมืองทางแดนใต้คงจะเป็นที่แรกที่พวกมันจะส่งกำลังมาโจมตีอย่างแน่นอน”
เมนอสมีสีหน้าแปรเปลี่ยน พระองค์เองก็พอจะรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกปีศาจได้คร่าวๆจากเมืองที่อยู่ติดชายแดนทางเหนือที่ถูกโจมตีเป็นระยะ กษัตริย์เฒ่าได้เพียงลุกเดินออกไปนอกระเบียง ขณะหยุดยื่นนิ่งทอดมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มที่ต่ออยู่กับแดนเหนืออย่างกังวล ไม่ช้าปักษาหนุ่มก็ลุกก้าวไปหยุดยืนอยู่เคียงข้างพระองค์
“ผู้เฒ่าของเราเกรงว่าอีกไม่นานราชาของพวกมันคงตื่นจากการหลับใหล และท่านพ่ออยากให้ข้ามาที่นี้เพื่อเตือนท่าน!”
อากาศรอบตัวของทั้งสองดูหนาวลงทันตา เมนนอสมองหน้าปักษาหนุ่มอย่างตกตะลึงเมื่อพระองค์เข้าใจเสมอมาว่าราชาไทแทนถูกนักรบปักษาฆ่าตายไปตั้งแต่สงครามในครั้งอดีต
“มันยังมีชีวิตอยู่อีกรึ!!?” ราชาเฒ่าเอ่ยถามด้วยหวังจะได้เห็นรอยยิ้มบนหน้าปักษาหนุ่ม หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่ายิ้มแย้มเหมือนทุกครั้ง ความตึงเครียดปรากฏขึ้นบนหน้าของราชาแห่งโซมาเรียในทันที
“หากเราสองเผ่าพันธุ์ร่วมมือกันอีกคงไม่ยากที่จะจัดการมันแน่นอน น้ำเสียงดูมีหวังของเมนนอสดังขึ้นก่อนหยุดลงเมื่อมองไปที่เกรดีสที่มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“สี่ตนในแผ่นดินนี้เท่านั้นที่มีพลังเทียบเท่าราชาแห่งไทแทน ตัวท่านรู้จักหนึ่งในนั้นดีฝ่าบาท มนุษย์ทางแดนใต้ให้การบูชานางตั้งแต่อดีต” ปักษาหนุ่มกล่าวพลางยกมือชี้ไปทางรูปปั้นสตรีที่ยืนนิ่งอยู่กลางลานกว้างหน้าปราสาท
“หากเจ้าหมายถึงเทพีแห่งแดนใต้ ไม่เคยมีใครในดินแดนของช้าเห็นนางมาก่อน จะมีก็เพียงคำบอกเล่าจากบรรพบุรุษของเราเท่านั้นว่านางมีตัวตนจริง สำหรับข้านางแทบจะเป็นเพียงเรื่องเล่าหรือนิทานที่พวกแม่ๆจะเล่าให้ลูกฟังเพียงเท่านั้น”
“สำหรับมนุษย์นางอาจจะเป็นเพียงนิทานฝ่าบาท แต่สำหรับเราเหล่าปักษานางคือนาฟ ภูติน้ำซึ่งครอบครองอาณาเขตทางใต้ทั้งหมด ส่วนทางตะวันออกที่ข้าจากมาถูกครอบครองโดยภูติแห่งลม ตะวันตกคือภูมิแห่งไฟ และภูติหิมะคือผู้ที่ครอบครองดินแดนทางเหนือไปจนจรดเส้นเขตดินแดนของแซนทอเรีย
เกรดีสยังคงเอ่ยต่อไป
“ภูติเหล่านี้เดิมทีแบ่งเขตกันปกครองอย่างชัดเจน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตใดมานับแต่อดีต มนุษย์น้อยคนนักที่จะได้พานพบ แต่เหล่าภูติมีตัวตนจริงในแผ่นดินแห่งนี้อย่างแน่นอน”
เมนนอสแสดงสีหน้าไม่เข้าใจกับเรื่องราวที่ได้รับฟัง เกรดีสมองดูปฏิกิริยาของราชามนุษย์อย่างชั่งใจ ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะเข้าใจและยอมรับอะไรได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่มนุษย์ตรงหน้าปักษาหนุ่มคือนักรบที่เต็มไปด้วยความกล้า ไม่ช้าสายตายอมรับก็ปรากฏขึ้นบนหน้าของอีกฝ่าย
“มันถึงเวลาแล้วที่พระองค์ควรที่จะได้รับรู้เรื่องนี้ เรื่องของเหล่าภูติ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้นของสงครามที่เกิดเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน...
......................................................................................
ฝากนิยายด้วยนะคะ อย่างลืมคอมเม้นให้กำลังใจเค้าด้วยนะตะเอง (^3^)
แสงอาทิตย์อ่อนๆที่ใกล้ลับขอบฟ้าทำให้ทั่วทั้งห้องเปลี่ยนเป็นสีทอง เมื่อกลับมาถึงเด็กหนุ่มล้มตัวลงนอนที่เตียงอย่างเหนื่อยล้า ร่างกายของเขาต้องมีบางอย่างผิดปกติเป็นแน่ นับวันความเจ็บปวดราวกับถูกบีบรัดที่อกซ้ายมักกำเริบขึ้นบ่อยครั้ง ความเจ็บปวดที่ดูจะถี่ขึ้นทุกขณะ
กัสได้เพียงเก็บงำความเจ็บปวดนี้ไว้เพียงลำพัง จะมีก็แค่เอเลนน่าเท่านั้นที่รับรู้ถึงความลับนี้ของเขา ภาพเอเลนน่าสมัยเด็กที่ถึงกับร้องจ้ายามเมื่อหลงอยู่ในปราสาทกับตัวเขาที่เจ็บปวดจนล้มลงต่อหน้านางพลานผุดเข้ามา แม้จะกังวลกับความเจ็บปวดที่เกิดแต่ก็ยังอดยิ้มไม่ได้ทุกครั้งเมื่อนึกถึงหน้าเจ้าหญิง
เจ้าหญิงตัวน้อยที่สั่งไม่ให้เค้าตายด้วยน้ำตาท่วมใบหน้า
“ชมรอบปราสาทกับองค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง”
นีย่าเดินเข้ามาพร้อมเอ่ยถามบุตรชายด้วยรอยยิ้ม นางยังคงดูวุ่นวายกับการพยายามตามเก็บข้าวของที่กระจายภายในบ้าน
“แม่เตรียมอาหารเย็นให้ลูก ทำไมไม่ออกไปกินละ”
เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายเป็นคำตอบ นีย่าแทบจะวางมือจากสิ่งที่ทำทั้งหมดก่อนก้าวมาหยุดนั่งลงข้างๆ นางเอื้อมมือแตะหน้าผากของเด็กหนุ่มอย่างห่วงใย
“อย่ากังวลไปเลยท่านแม่ ข้าแค่รับมือเจ้าหญิงจอมดื้อของท่านมาจนเหนื่อยทั้งวันก็เท่านั้น” กัสยิ้มตอบเพื่อกลบเกลื่อน
นีย่ามองดูบุตรชายด้วยความเห็นใจ นางรู้จักเอเลนน่า โรเดริค เจ้าหญิงแห่งโซมาเรียเป็นอย่างดี ความงดงามและน่ารักของเด็กสาวเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมือง เพียงแต่การที่นางเป็นบุตรตรีคนเดียวของเมนนอส โรเดริค กษัตริย์แห่งโซมาเรีย ไม่ว่าใครหน้าไหนจึงต่างคอยประจบเอาอกเอาใจ เอเลนน่ากลายเป็นเด็กสาวที่ทั้งดื้อทั้งรั้นจนเป็นที่เกรงกลัวของคนแทบจะทั้งปราสาท หากแต่ที่น่าแปลกคือบุตรชายตรงหน้าเธอเสียอีกทีเอเลนน่ากลับยอมอ่อนข้อด้วยเสมอมา
“แน่ใจรึว่าพรุ่งนี้จะไม่เข้าไปร่วมงานที่ปราสาท”
“แม่ก็รู้ดีว่าข้าไม่ควรเหยียบเข้าไปในปราสาทอีก ท่านอาจจะลืมแต่ข้าไม่เคยไม่คิดถึงมัน แม้ท่านเมนนอสจะทรงเมตตาแต่ข้าไม่เคยลืมว่าคนที่ทำให้ราชินีแห่งโซมาเรียต้องสิ้นใจคือใคร”
“เอเลนน่าต้องเสียแม่ของนางไปเพราะข้า...”
“มันไม่ใช่ความผิดของลูก ราชินีทรงถูกบางอย่างทำร้ายลูกก็รู้ดีนี้หนา!!?”
“มันเป็นเป็นความผิดของข้าท่านแม่” กัสเลี่ยงหลบตาขณะเอ่ย วันหนึ่งเมื่อเจ้าหญิงทรงรู้ความจริงนางจะเกลียดข้า”
นีย่าได้เพียงมองบุตรชายด้วยความเศร้า การเสียราชินีแห่งโซมาเรียไปเมื่อสามปีก่อนคือสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ต้องออกจากปราสาทมาอยู่ยังชานเมืองห่างไกลผู้คน แม้นีย่าจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นางก็เชื่ออย่างหมดใจว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่มีทางทำร้ายราชินีที่แสนอ่อนโยนคนนั้นเป็นแน่
“องค์หญิงคงยินดีหากลูกจะไปแสดงความยินดีกับนาง อย่าให้สิ่งที่ลูกพยายามทำมาต้องสูญเปล่าสิ”
นิย่าหยิบขวดใบเล็กที่ภายในบรรจุผลึกสีเงินแวววาวในแก้วที่ถูกหล่อจนดูคล้ายภูติตัวเล็กที่มีปีกแผ่บนแผ่นหลัง กัสคุ้นเคยกับสิ่งที่รับมาจากอีกฝ่ายดี เขาเองคือผู้ที่บรรจงทำสิ่งนี้มากับมือเพื่อเป็นของขวัญให้กับเจ้าหญิง
ท่ามกลางผู้คนมากมายในงานเลี้ยงต้อนรับที่ถูกจัด คงไม่มีแขกใดจะสร้างความตื่นเต้นให้แก่ผู้คนได้มากเท่าเหล่าทูตจากเวลล์ เสียงพูดคุยของบรรดาทูตจากเมืองต่างๆเงียบหายไปตั้งแต่ทั้งสามย่างกรายเข้ามาในงาน
ปักษาในชุดผ้าไหมสีขาวเงางามตามแบบฉบับของชาวตะวันออก ปีกสีขาวใหญ่ถูกหุบเก็บไว้เบื้องหลังโดยมีอาวุธคือดาบและธนูแนบไว้ไม่ห่าง ปักษาที่ดูหนุ่มที่สุดในคณะคือผู้ก้าวนำทั้งหมดเข้ามา รูปร่างที่สูงและร่างกายที่กำยำทำให้ชายหนุ่มดูหน้าเกรงขาม ดวงตาสีเขียวอำไพบนหน้าช่างดูคุ้นตา ปักษาตรงหน้าทำให้เมนอสนึกไปถึงสหายเก่าแก่ชาวปักษา เพียงแต่ชายหนุ่มตรงหน้าดูอ่อนเยาว์เกินกว่าจะเป็สหายเก่าของพระองค์
“ข้าเกรดีสในนามของราชาปักษาเกรนธอนผู้ปกครองเวลล์เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเยี่ยมเยือนนครของพระองค์” ปักษาหนุ่มกล่าวทักทาย
“ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับสหายจากเวลล์ รวมทั้งสหายจากที่ต่างๆ ขอบใจทุกท่านที่ให้เกียรติมาเยือนนครของข้า เมนนอสกล่าวพร้อมโบกมือเชิญให้แขกทุกคนนั่งในที่ที่ถูกจัดเตรียม”
“ท่านเกรนธอนสบายดีรึ” เมนนอสเอ่ยถามเกรดีสที่ถูกจัดให้นั่งไม่ห่างไปจากพระองค์
“ท่านพ่อสบายดีฝ่าบาท ท่านยังฝากความคิดถึงมาและเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ได้มาเยี่ยมเยือนพระองค์ด้วยตนเอง แต่ท่านฝากสิ่งนี้มาให้”
ว่าพลางผู้ติดตามจากเวลล์ก็หยิบหีบที่บรรจุโถเหล้าอย่างดีที่ผลิตขึ้นจากผลไม้ที่พบได้แค่ในเขตตะวันออก ราชาเฒ่ายิ้มรับของตรงหน้าอย่างพึงพอใจ
“ทุกท่านคงเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางไกล วันนี้ข้าถือเป็นเกียรติที่ได้จัดเลี้ยงต้อนรับ ขอทุกคนสนุกให้เต็มที่” ทันทีที่กล่าวอาหารมากมายก็ถูกนำมาบริการแก่เหล่าทูต นางระบำเริ่มต้นร่ายรำอย่างอ่อนช้อยไปพร้อมกับเสียงดนตรีขับกล่อม ทุกคนต่างดื่มกินและพูดคุยอย่างสนุกสนาน
เมนนอสทอดมองผู้คนในงานที่ส่วนใหญ่คือเหล่าบรรดาเจ้าชายของเมืองต่างๆ อย่างพอใจ จนกระทั่งพระองค์สังเกตว่าเจ้าหญิงคนงามมิได้มาประทับเคียงข้างดังเคย จึงสบตากับนางกำนัลของบุตรสาวที่มีท่าทางร้อนรนอยู่ไม่ไกลไปจากพระองค์
“ฝ่าบาทเพคะ เจ้าหญิงทรงรู้สึกประชวร จึงของประทานอภัยที่ไม่ได้มาร่วมต้อนรับเหล่าทูต”
นางกำนัลเอ่ยอย่างรนรานขณะก้มหน้าไม่กล้าสบตา เมนนอสเพียงส่งสายตาอย่างรู้ทันไปให้ก่อนโบกมือไล่นางกำนัลไป งานฉลองของเอเลนน่าที่อายุครบสิบเจ็ด ครั้งนี้เมนนอสตั้งใจจัดเป็นพิเศษเพื่อให้บุตรสาวเลือกเจ้าชายจากเมืองใดเมืองหนึ่งเป็นคู่ครอง เอเลนน่าเองกว่าจะรับรู้แผนการก็สายไปที่จะขัดขวาง หนังสือเชิญถูกส่งไปยังเมืองๆต่างทั่วแดนใต้ แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังรู้สึกหนักใจเมื่อนึกถึงท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของบุตรสาว
เริ่มแล้วรึ ราชาเฒ่าคิดอย่างปลงตก พระองค์รู้จักความดื้อรั้นของบุตรสาวดี คิดแล้วก็ต้องโทษตัวพระองค์เองที่ตามใจบุตรสาวคนเดียวจนเคยตัว หวังว่าพรุ่งนี้เอเลนน่าคงยอมออกจากห้อง ไม่งั้นพระองค์คงต้องเลือกใช้ไม้แข็งกับนางบ้าง
“อาหารเป็นอย่างไรบ้าง ถูกปากกันหรือไม่” กษัตริย์เฒ่าเอ่ยปากถามทูตจากเวลล์
ปักษาทั้งสามยิ้มตอบให้แก่พระองค์อย่างนอบน้อม เมนนอสมองเกรดีสอย่างพิจารณา พลางนึกถึงสายสัมพันธ์ของพระองค์กับชาวตะวันออก ในอดีตสมัยพระองค์ยังคงเป็นแค่เจ้าชายที่เอาแต่ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ แต่ด้วยความไม่ระวังกลับได้รับบาดเจ็บขณะท่องตามลำพังอยู่กลางป่า ช่วงความเป็นความตายนั้นเองเมนนอสได้รับความช่วยเหลือจากเกรนธอนมนุษย์ปักษาตนแรกที่พระองค์พบ เมื่อหายจากการบาดเจ็บเมนนอสได้ขอติดตามและท่องเที่ยวไปกับเกรนธอน จนกระทั้งพระองค์ถูกเรียกตัวกลับมาครองบันลังก์จึงต้องลาจากกัน
การพบกันอีกครั้งสำหรับทั้งสองคือสิบเจ็ดปีก่อน นครของพระองค์กำลังจะแพ้สงครามให้กับไทแทน เผ่าปีศาจที่นิยมกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหารและอาคัยอยู่ในเขตทางเหนือของแซนทอเรีย เดิมทีพวกไทแทนมักไม่ข้ามฝั่งจากทางเหนือลงมายังแดนใต้ที่มนุษย์อาศัย แต่อยู่ๆไทแทนมากมายกลับรวมทัพและบุกเข้ามาอย่างหนักหน่วง ยามเมื่อมนุษย์เข้าตาจนก่อนที่โซมาเรียเมืองสุดท้ายจะพ่ายแพ้ก็ปรากฏกองทหารปักษาที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เพียงไม่นานหลังการปรากฏตัวของเหล่าปักษาไทแทนก็แตกพ่ายและถอยร่อนกลับไปยังดินแดนของตน เมนนอสได้พบกับเกรนธอนอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนั้นสหายปักษากลับมาในฐานะราชาผู้นำทัพ
หลังสิ้นสงครามปักษาบางส่วนยังคงพำนักอยู่ในเมืองตามคำเชิญ พระองค์ได้รู้จักกับเกรดีสซึ่งขณะนั้นยังเป็นเพียงเด็กน้อยที่ติดตามราชาเกรนธอนเข้ามาในเมือง เมนนอสจำปักษาน้อยคนนั้นได้ดีเพียงแต่ตอนนี้เกรดีสไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป แต่เติบโตเป็นปักษาหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยลักษณะของนักรบตามเผ่าพันธุ์ของตนอยู่ตรงหน้าเขา
งานต้อนรับดำเนินไปจนดึก ทูตบางส่วนทยอยเข้ามากล่าวลากลับที่พักด้วยความเหน็ดเหนื่อย ปิดท้ายด้วยแขกจากเวลล์ เมนนอสพยักหน้ารับรู้เมื่อมองสบไปยังแขกคนสำคัญ พระองค์กล่าวเชิญเกรดีสมาคุยต่อเป็นการส่วนตัว ปักษาหนุ่มรับคำเชิญอย่างนอบน้อมเช่นเคย
“เสด็จพ่อ...” เอเลนน่าเอ่ยขึ้นทันที่เมื่อพบกับบิดาที่นั่งดื่มชาอยู่กับแขกจากเวลล์ เดิมทีนางคิดว่าบิดาอาจจะเรียกมาเพื่อต่อว่าเรื่องการหนีงานต้อนรับ แต่ดูเหมือนเด็กสาวจะคิดผิด
“มีเรื่องอะไรกับลูกหรือกระหม่อม” แม้วาจาจะกล่าวกับบิดาแต่สายตากลับมองผ่านไปที่แขกที่นั่งดื่มชาอยู่ก่อน
“มานั่งข้างพ่อสิเอเลนน่า”
เอเลนน่าที่ยังคงแปลกใจได้เพียงมองหน้าบิดาและนั่งลงไปข้างๆ
“ยินดีด้วยสำหรับวันเกิดครบรอบสิบเจ็ดปีองค์หญิง...” เกรดีสเอ่ยพร้อมโค้งศีรษะให้เล็กน้อย เอเลนน่าแม้จะอยู่ในอาการที่สงบแต่ก็อดไม่ได้ที่แอบมองชายหนุ่มเบื้องหน้า ผมสีดำยาวที่ตัดกับดวงตาสีเขียวที่ดูสุขุมช่างขัดกับหน้าสวยๆนั้นเสียจริง ถึงแม้บุรุษตรงหน้าจะอยู่ในลักษณะนั่งแต่ก็ยังดูรู้ว่าชายคนนี้คงมีรูปร่างที่สูงใหญ่
ปักษาตรงหน้าแทบจะไม่มีอะไรต่างไปจากมนุษย์เลยหากแผ่นหลังไม่มีปีกขนาดใหญ่ ปีกสีขาวนวลดูไม่ต่างอะไรกับปีกของนกที่เธอเลี้ยงไว้ ดูขนปีกสีพิลึกนั้นสิ แล้วหญิงสาวที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยเป็นอันต้องสะดุดทันที เมื่ออยู่ๆเจ้าของปีกก็เอ่ยคำพูดต่อมาราวกับรู้ทัน
“ปีกของข้าคงดูแปลกตาสำหรับท่านหญิง หากไม่รังเกียจจะลองจับก็เชิญ”
“ข้าไม่ได้อยากจับซะหน่อย!” เอเลนน่ารีบแก้ตัวก่อนจะต้องก้มหน้าดื่มชาแก้เก้อเมื่อถูกอีกฝ่ายจับได้
“เอาล่ะๆ ที่เรียกมาวันนี้ก็เพื่อให้เจ้าได้เจอกับแขกคนสำคัญ นี้คือท่านเกรดีสบุตรชายของราชาเกรนธอนจากเวลล์ รู้จักเอาไว้สิ”
เอเลนน่าโค้งให้แก่เกรดีสทั้งที่ใบหน้ายังดูไร้อารมณ์
“เป็นเกียรติที่ได้รู้จักเพคะ” เสียงนางเอ่ยขึ้นอย่างเสียมิได้เมื่อถูกดวงตาดุๆของบิดาส่งมาให้ เกรดีสเองกลับมองดูท่าทางของเอเลนน่าอย่างอารมณ์ดี นางดูจะจำเค้าไม่ได้ทั้งที่เมื่อครั้งอดีตเจ้าหญิงมนุษย์ตรงหน้าเคยเกาะติดตน แต่ก็คงไม่แปลกที่นางจะจำไม่ได้เพราะตอนนั้นนางก็ยังเป็นแค่เพียงเด็กน้อยแบเบาะ
“เสด็จพ่อหากไม่มีสิ่งใดอีกหม่อนฉันขอตัวเพคะ” เอเลนน่ากล่าวพร้อมโค้งให้ทั้งคู่อีกครั้งก่อนลุกเดินจากไปโดยไม่รีรอให้ใครรั้งตัว
“คงเพราะข้าตามใจมากไปหน่อยหวังว่าท่านคงไม่ถือสานาง” เมนอสมองมาที่ปักษาหนุ่มด้วยสายตาเชิงขอโทษแทนบุตรสาวจอมเอาแต่ใจของพระองค์
มีเพียงรอยยิ้มเป็นคำตอบ ก่อนที่ความเงียบจะเข้ามาแทนที่เมื่อเหลือเพียงคนทั้งสอง เมนนอสจึงเริ่มเอ่ยเข้าเรื่องด้วยสีหน้าจริงจัง
“มาครั้งนี้คงมิได้มาเพียงอวยพรให้แก่บุตรสาวของข้าเพียงอย่างเดียวหรอกสินะ นานแล้วที่ชาวปักษาไม่ได้มาเยือนโซมาเรียแห่งนี้ หวังว่าการมาครั้งนี้คงนำข่าวดีมากับท่านด้วยนะ”
“ถูกของฝ่าบาทที่ข้ามิได้มาแค่เยี่ยมเยือน” ปักษาหนุ่มเอ่ยตอบแววตาดูต่างจากก่อนหน้า “การมาครั้งนี้มีเหตุ และแน่นอนที่ข้านำข่าวมาฝากพระองค์อย่างที่ทรงหวัง เพียงแต่ข้าคิดว่ามันคงไม่ใช่ข่าวดีซักเท่าไร”
ราชาเฒ่ารอรับฟังข่าวอย่าสงบขณะทีเกรดีสเอ่ยต่อ
“อย่างที่ฝ่าบาททรงรู้ ตอนนี้พวกไทแทนเริ่มรวบรวมกำลังขึ้นอย่างเงียบๆบริเวณทางเหนือ จำนวนของพวกมันมากขึ้นทุกที เกรงว่าหากพวกไทแทนรวบรวมกำลังพลได้มากกว่านี้ไม่นานเมืองทางแดนใต้คงจะเป็นที่แรกที่พวกมันจะส่งกำลังมาโจมตีอย่างแน่นอน”
เมนอสมีสีหน้าแปรเปลี่ยน พระองค์เองก็พอจะรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกปีศาจได้คร่าวๆจากเมืองที่อยู่ติดชายแดนทางเหนือที่ถูกโจมตีเป็นระยะ กษัตริย์เฒ่าได้เพียงลุกเดินออกไปนอกระเบียง ขณะหยุดยื่นนิ่งทอดมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มที่ต่ออยู่กับแดนเหนืออย่างกังวล ไม่ช้าปักษาหนุ่มก็ลุกก้าวไปหยุดยืนอยู่เคียงข้างพระองค์
“ผู้เฒ่าของเราเกรงว่าอีกไม่นานราชาของพวกมันคงตื่นจากการหลับใหล และท่านพ่ออยากให้ข้ามาที่นี้เพื่อเตือนท่าน!”
อากาศรอบตัวของทั้งสองดูหนาวลงทันตา เมนนอสมองหน้าปักษาหนุ่มอย่างตกตะลึงเมื่อพระองค์เข้าใจเสมอมาว่าราชาไทแทนถูกนักรบปักษาฆ่าตายไปตั้งแต่สงครามในครั้งอดีต
“มันยังมีชีวิตอยู่อีกรึ!!?” ราชาเฒ่าเอ่ยถามด้วยหวังจะได้เห็นรอยยิ้มบนหน้าปักษาหนุ่ม หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่ายิ้มแย้มเหมือนทุกครั้ง ความตึงเครียดปรากฏขึ้นบนหน้าของราชาแห่งโซมาเรียในทันที
“หากเราสองเผ่าพันธุ์ร่วมมือกันอีกคงไม่ยากที่จะจัดการมันแน่นอน น้ำเสียงดูมีหวังของเมนนอสดังขึ้นก่อนหยุดลงเมื่อมองไปที่เกรดีสที่มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“สี่ตนในแผ่นดินนี้เท่านั้นที่มีพลังเทียบเท่าราชาแห่งไทแทน ตัวท่านรู้จักหนึ่งในนั้นดีฝ่าบาท มนุษย์ทางแดนใต้ให้การบูชานางตั้งแต่อดีต” ปักษาหนุ่มกล่าวพลางยกมือชี้ไปทางรูปปั้นสตรีที่ยืนนิ่งอยู่กลางลานกว้างหน้าปราสาท
“หากเจ้าหมายถึงเทพีแห่งแดนใต้ ไม่เคยมีใครในดินแดนของช้าเห็นนางมาก่อน จะมีก็เพียงคำบอกเล่าจากบรรพบุรุษของเราเท่านั้นว่านางมีตัวตนจริง สำหรับข้านางแทบจะเป็นเพียงเรื่องเล่าหรือนิทานที่พวกแม่ๆจะเล่าให้ลูกฟังเพียงเท่านั้น”
“สำหรับมนุษย์นางอาจจะเป็นเพียงนิทานฝ่าบาท แต่สำหรับเราเหล่าปักษานางคือนาฟ ภูติน้ำซึ่งครอบครองอาณาเขตทางใต้ทั้งหมด ส่วนทางตะวันออกที่ข้าจากมาถูกครอบครองโดยภูติแห่งลม ตะวันตกคือภูมิแห่งไฟ และภูติหิมะคือผู้ที่ครอบครองดินแดนทางเหนือไปจนจรดเส้นเขตดินแดนของแซนทอเรีย
เกรดีสยังคงเอ่ยต่อไป
“ภูติเหล่านี้เดิมทีแบ่งเขตกันปกครองอย่างชัดเจน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตใดมานับแต่อดีต มนุษย์น้อยคนนักที่จะได้พานพบ แต่เหล่าภูติมีตัวตนจริงในแผ่นดินแห่งนี้อย่างแน่นอน”
เมนนอสแสดงสีหน้าไม่เข้าใจกับเรื่องราวที่ได้รับฟัง เกรดีสมองดูปฏิกิริยาของราชามนุษย์อย่างชั่งใจ ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะเข้าใจและยอมรับอะไรได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่มนุษย์ตรงหน้าปักษาหนุ่มคือนักรบที่เต็มไปด้วยความกล้า ไม่ช้าสายตายอมรับก็ปรากฏขึ้นบนหน้าของอีกฝ่าย
“มันถึงเวลาแล้วที่พระองค์ควรที่จะได้รับรู้เรื่องนี้ เรื่องของเหล่าภูติ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้นของสงครามที่เกิดเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน...
......................................................................................
ฝากนิยายด้วยนะคะ อย่างลืมคอมเม้นให้กำลังใจเค้าด้วยนะตะเอง (^3^)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ