Guildmystic มนตราพันธนาการ

10.0

เขียนโดย อาม่า

วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 09.53 น.

  6 บท
  4 วิจารณ์
  8,258 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 มกราคม พ.ศ. 2558 10.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) Chapter 6

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

            Chapter 6

                ถึงรู้จักกันเพียงไม่นาน แต่สการ์เล็ตก็พอจะรู้ว่าคาอิลมีความสุขสนุกสนานนักกับการได้กลั่นแกล้งปั่นหัวนาง ทว่าราวสิบกว่าวันมานี้รู้สึกว่าเขาเงียบลงจนน่าแปลกใจ เพราะแม้ยังมีรอยยิ้มยียวนและคำพูดกวนประสาทไม่ห่างหาย หากก็ไม่บ่อยได้ทุกครั้งที่มีโอกาสเหมือนเช่นเคย ราวกับเขามีเรื่องให้ขบคิดจนไม่มีเวลามาหาเรื่องหยอกเย้าผู้ใด

                จะว่าไปก็ดีแล้ว เพราะตอนนี้นางก็กำลังปวดหัวกับราชกิจที่ควรเป็นของรัชทายาทและปัญหาการหายตัวไปของผู้ดูแลพี่ชาย

                ทั้งที่นางผู้นั้นไม่น่าจะมีที่ไหนให้กลับไปได้อีก

                “ไปไหนของเจ้ากันนะ ฮิลดราเลีย...”

                เจ้าหญิงพึมพำเสียงแผ่ว ทว่าพ่อมดผู้มีประสาทสัมผัสการรับเสียงราวกับสัตว์ป่าก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน เขาเงยหน้าขึ้นจากหนังสือสารานุกรมว่าด้วยการกำเนิดสัตว์ลึกลับแห่งน่านทะเลมรกตแล้วเอ่ยถาม

                “หญิงผู้นั้นคงไม่ใช่แค่สาวใช้ธรรมดา ท่านจึงได้เป็นห่วงเป็นใยนัก”

                “นางเป็นคนในความดูแลของพี่ข้าโดยตรง ถ้าเขากลับมาเป็นปรกติเมื่อไร ข้าก็ไม่รู้จะบอกเขาว่าอย่างไร” สการ์เล็ตวางปากกาขนนกและปิดเอกสารซึ่งทำเสร็จพอดี จึงถือโอกาสนี้ในการพักมือไปด้วย

                “ฮิลดราเลียเป็นคนที่น่าสงสารมาก นางถูกพ่อแม่แท้ ๆ ขายไปเป็นทาสในคฤหาสน์ของคหบดีคนหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงไม่ดีนักในเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กสาว โชคดีที่ท่านพี่ไปพบเข้าพอดี จึงขอซื้อต่อนางมา”

                รัชทายาทหญิงแห่งเรสทอเรียลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปยังหน้าต่างก่อนจะผลักบานกระจกให้เปิดกว้าง สายลมอ่อนที่เจือไปด้วยกลิ่นแห่งมวลไม้จึงพัดเข้ามาจนเส้นเกศาสีน้ำตาลทองปลิวไหว นางมองออกไปภายนอกซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของอาณาจักรอันเป็นที่รักได้ไกลสุดสายตา

                “พี่ข้าตั้งใจจะออกกฎหมายยกเลิกทาสและห้ามซื้อขายมนุษย์ แต่ยังติดที่ผู้มีอิทธิพลหลายฝ่ายซึ่งจะเสียผลประโยชน์หากกฎหมายนั้นบัญญัติขึ้นมา การออกกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งนั้นจำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากหลายฝ่าย ท่านพี่จึงเฝ้ารอเวลาที่จะได้ขึ้นครองราชย์เพื่อที่จะได้ใช้อำนาจนั้นต่อรองกลาย ๆ ให้ผู้ที่หมายใช้ประโยชน์จากเขายอมให้เขาใช้ประโยชน์บ้าง” สการ์เล็ตก้มลงมองมืออันแสนบอบบางของตัวเองและออกแรงกำขอบหน้าต่างแน่นอย่างไม่รู้ตัว

                “การถูกตีค่าเป็นเพียงแค่สิ่งของที่ซื้อขายได้หาใช่มนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด การถูกพ่อแม่แท้ ๆ ที่ให้กำเนิดมานำไปขายยิ่งน่าขมขื่นยิ่งกว่า ตอนนี้ข้าเองก็พอเข้าใจถึงความรู้สึกของฮิลดราเลียขึ้นมาบ้างแล้ว... แต่อย่างเจ้าคงไม่เข้าใจสินะ”

                เจ้าหญิงลำดับแรกแห่งเรสทอเรียตวัดสายตาหันกลับไปจ้องพ่อมด แต่แสงสะท้อนจากกระจกบนกรอบแว่นทำให้ไม่อาจเห็นแววตาของเขาได้ ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องทรงงานอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สการ์เล็ตจะกลับไปนั่งที่โต๊ะของตนตามเดิม นางก้มหน้าลงมองมือซึ่งยกขึ้นมาประสานกันเหนือสมุดงาน

                “หากพี่ข้าไม่อาจกลับมาเป็นดังเดิม ภาระของเขาข้าตั้งใจจะรับเอาไว้และทำให้สำเร็จลุล่วง ชีวิตข้าไม่ได้มีไว้เพื่อตัวเองทั้งหมด ดังนั้นข้าจึงอยากให้เจ้าไตร่ตรองคิดดูใหม่ ช่วยรับสิ่งอื่นใดไปแทนตัวข้าไม่ได้หรือ”

                “ข้าไม่เคยต้องการสิ่งใดนอกเหนือจากสิ่งที่ได้เอ่ยปากไปแล้ว”

                คำตอบของคาอิลทำให้สการ์เล็ตกำมือแน่นจนข้อขึ้นขาว หากประโยคต่อมากลับทำให้นางเงยหน้ามองพ่อมดด้วยดวงตาเป็นประกาย

                “เรื่องเจ้าชายอลันท่านไม่ต้องกังวลไปหรอก แค่หาคนดูแลและคุ้มกันให้ดี อีกไม่นานเขาจะกลับมาเป็นปรกติเอง”

                “แปลว่าเจ้าช่วยเขาได้อย่างนั้นหรือ” สการ์เล็ตถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิดจนคาอิลกระตุกยิ้ม

                “เรื่องนั้น... ก็แล้วแต่ว่าท่านจะคิดไตร่ตรองรับคำร้องขอของข้าหรือไม่”

                สการ์เล็ตเกือบจะเอ่ยออกไปว่าได้ แต่ขืนรับคำสุ่มสี่สุ่มห้าไปคงไม่ดีแน่ ๆ

                “เจ้าทำให้ได้เสียก่อนสิ”

                เจ้าหญิงจ้องใบหน้าที่ยิ้มยียวนของอีกฝ่ายเขม็งอย่างไม่ไว้ใจ

                นัยน์ตาของพ่อมดหนุ่มยามปรกตินั้นเห็นชัดเจนผ่านกระจกแว่นว่าเป็นสีน้ำเงิน น่าแปลกนักที่ตอนแรกหญิงสาวเห็นว่าริ้วรอบขอบม่านตาของเขาเป็นสีม่วงเรืองออกมาจาง ๆ นางจึงลอบจ้องพิจารณาอยู่บ่อยครั้ง และตอนนี้สการ์เล็ตก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าใบหน้าคมขาวซีดบัดนี้ดูซูบเซียวและมีขอบคล้ำที่ใต้ตา

                ”กลางค่ำกลางคืนไม่ได้นอนหรืออย่างไร เจ้าน่ะ”

                “กลางค่ำกลางคืนในบางครั้ง... มันก็มีอะไรน่าสนุกให้ทำมากกว่าการนอนนี่ครับ”

                สายตาและน้ำเสียงยั่วเย้าของชายหนุ่มทำให้ดวงพักตร์งดงามของเจ้าหญิงขึ้นสีเรื่อ ทว่านางก็ยังทำเป็นดุกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง

                “เจ้าจะทำอะไรก็เรื่องของเจ้า แต่อย่ามาทำรุ่มร่ามกับคนของข้านักก็แล้วกัน”

                “หึงหรือครับ”

                สการ์เล็ตกระตุกยิ้มมุมปาก รู้สึกถึงอะไรบางอย่างในเส้นประสาทที่ขาดดังผึง นางเงยหน้ามองพ่อมดแว่นด้วยสายตาเหยียดก่อนกล่าวเน้นเสียงหนักคำ

                “หึงเจ้าน่ะเหรอ ไม่มีทาง!”

                คาอิลหัวเราะร่วนในลำคอพลางมองสตรีสูงศักดิ์ก้มหน้าก้มตาทำงานด้วยดวงพักตร์ที่แดงก่ำกว่าเดิม ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรืออายกันแน่ สายตาพ่อมดหนุ่มจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากแดงระเรื่อซึ่งเคยรับรสสัมผัสมันมาแล้ว เขาทดลองการสัมผัสด้วยรูปแบบที่คล้ายกันกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และสรุปผลว่าการจะเติมเต็มความต้องการของตนได้นั้นขึ้นอยู่กับบุคคลที่เล่นด้วย

                เมื่อถึงเวลาค่ำของทุกวัน หากไม่มีกิจธุระสำคัญ สการ์เล็ตเป็นต้องคอยไปดูแลรัชทายาทอลันเสมอ นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หรือเพราะฮิลดราเลียซึ่งเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลเจ้าชายอย่างสนิทสนมที่สุดหายตัวไปกันแน่ อลันจึงได้มีท่าทางเซื่องซึมขึ้นมา ยังดีที่พี่ของนางดูจะถูกใจในตัวคาอิลเป็นอันมาก จึงร่าเริงได้บ้างเวลาที่เจ้าพ่อมดแว่นมาเล่นด้วย

                สการ์เล็ตมองทั้งสองหนุ่มซึ่งกำลังเล่นซนกันเหมือนเด็กอย่างเอ็นดู แล้วก็นึกขึ้นมา นางไม่เคยรู้เลยว่าเวลาส่วนตัวของคาอิลกินอยู่อย่างไรและทำอะไรบ้าง จึงได้ปล่อยปละละเลยจนมีสุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรมอย่างนั้น

                อันที่จริงแล้วหญิงสาวก็ไม่ได้อยากจะใส่ใจนักหรอกว่าพ่อมดคนนี้จะเป็นอย่างไร เพียงแค่อยากหาข้ออ้างในการทำบางอย่างให้กับตนเองมากกว่า

                คิดได้ดังนั้นเจ้าหญิงจึงแสร้งกระแอมไอขึ้นมาก่อนที่เจ้าพ่อมดแว่นจะลากลับ

                “มะรืนนี้เป็นวันหยุดของข้า ไม่ต้องทำงานแล้วก็มีเวลาว่าง ข้าว่าจะไปเยี่ยมบ้านของเจ้าสักหน่อย” นางเว้นระยะคำพูดครู่หนึ่งเพื่อคิดหาคำที่ฟังขึ้นอีกนิด “...ก็แค่ไปดูความเป็นอยู่ของลูกจ้างบ้างเท่านั้นล่ะ”

                คาอิลเลิกคิ้วและทำหน้าเหมือนกำลังไตร่ตรองว่าควรตอบรับหรือปฏิเสธจะดีกว่ากัน ซึ่งผิดกับทุกครั้งที่เขามักจะตอบสวนทันทีเสมอ สการ์เล็ตจึงชิงโอกาสนี้รีบพูดเสียก่อน

                “คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”

                “อ้อ! เชิญเลยครับ ข้าไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” เขาตอบพร้อมกับขยับยิ้มมุมปาก “นอกเสียจากเจ้าหญิงจะมีปัญหาอะไรกับข้า... หรือเปล่าล่ะครับ”

                แววตาพราวอย่างเจ้าเล่ห์ทำให้หญิงสาวเดาความหมายของมันออก นางจึงกระแทกเสียงตอบไม่ดังนัก

                “ไม่มีแน่ ถ้าเจ้าไม่ทำให้มันมี!“

                การเย้าแหย่ให้ดวงพักตร์ของเจ้าหญิงคนงามขึ้นสีเข้มด้วยแรงอารมณ์และมองดูคิ้วเรียวสวยขมวดเป็นปมนั้น นับเป็นความสำราญอย่างหนึ่งที่คาอิลใช้สร้างความกระปรี้กระเปร่าให้กับตัวเองซึ่งแทบไม่ได้นอนหลับพักผ่อนเลยในสิบกว่าวันที่ผ่านมา ทุกครั้งที่กลับถึงบ้านพักเขายังคงนั่งเปิดตำราไปเรื่อย ๆ จากหนังสือจำนวนมากที่เลือกมาวางกองบนโต๊ะในห้องคับแคบของตน

                ยาพิษที่แอบเหลือเก็บเอาไว้เพียงเล็กน้อย ถูกแยกสารประกอบจนจำแนกได้ว่าทำมาจากอะไรบ้าง จะมีก็แต่อาคมกำกับตัวยาซึ่งยังไม่อาจรู้ว่าเป็นมนตร์ประเภทใด

                ทว่าจากการวิเคราะห์โดยใช้เพียงส่วนประกอบซึ่งเป็นสมุนไพรประเภทหลอนและกล่อมประสาททั้งหมด กับผลที่เกิดจากการใช้ยานั้นก็พอจะทำให้คาอิลจำกัดได้แล้วว่ามันคืออะไร ซึ่งหากเป็นยาตัวเดียวกับที่เขาคิดเอาไว้ ถึงไม่ต้องรักษาแต่งดเสพมันไปสักระยะหนึ่ง ไม่นานก็คงจะหายเอง

                นอกเสียจากว่าผู้ต้องสาปมนตราชนิดนี้จะมีปมใดอยู่ในใจซึ่งยังคงกระตุ้นอาคมให้ทำงาน

                อย่างเจ้าชายรัชทายาทนั้นอาจไม่มีปัญหาใด ปล่อยเอาไว้ก็คงหายเอง แต่แม่สาวที่เอาแต่ซุกขดตัวอยู่ในมุมห้องของเขานี่สิ...

                คาอิลมองจานอาหารซึ่งวางเอาไว้ใกล้ ๆ ฮิลดราเลียก่อนที่เขาจะออกจากบ้านไปในตอนเช้า มันเคยอยู่อย่างไรก็ยังคงอยู่อย่างนั้น ไม่มีร่องรอยของการแตะต้องอยู่เลย จอมเวทหนุ่มคาดหวังว่าเมื่อนางหิวอาจจะยอมหยิบมันไปรับประทานเองบ้าง หากสุดท้ายก็คงต้องป้อนให้อีกเหมือนเคย

                อดีตผู้ดูแลรัชทายาทยังคงมีปฏิกิริยาหวาดกลัวทุกครั้งที่พ่อมดหนุ่มเข้าใกล้ แต่พอได้สบตากลับยอมรับอาหารจากเขาไปรับประทานโดยดี

                คาอิลนั่งมองหญิงสาวรับประทานอาหารไปอย่างเงียบ ๆ พลางคิดถึงวิธีแก้มนตราต้องสาปที่รัชทายาทกับสาวใช้ได้รับ จะว่าง่ายก็ง่าย แต่จะว่ายากก็ใช่เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับจิตใจของผู้ถูกอาคมกับผู้ไข เพราะพวกเขาไม่ได้ถูกย้อนวัยให้เป็นเด็ก แต่กำลังถูกกักขังอยู่ในช่วงหนึ่งของจิตใจที่เปราะบางเท่านั้นเอง

                ฮิลดราเลียรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็กลับไปขดตัวอยู่มุมห้องตามเดิม จอมมนตราจึงจับใบหน้าของหญิงสาวให้กระชับ และประทับหน้าผากแนบชิดกับนางเพื่อถ่ายเทจิตเข้าสู่ส่วนลึกของวิญญาณอีกฝ่าย ที่จริงแล้วเขาไม่ได้อยากทำเท่าไหร่ เพราะมันเสี่ยงอันตรายเกินไป หากเสียสมาธิหรือล่วงล้ำจนลึกเกินไปก็อาจสูญเสียจิตใจหรือตายด้วยกันทั้งคู่

                แต่คาอิลจำเป็นต้องทำ เขาต้องรับผิดชอบที่เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้หญิงสาวตกอยู่ในสภาพนี้

                ร่างจิตของพ่อมดหนุ่มดำดิ่งสู่ก้นบึ้งภายในใจของฮิลดราเลีย มันมืดมิดสุดหยั่ง ทว่าสุดท้ายเขาก็ได้โผล่พ้นมายังทุ่งหญ้าสีเทาแห่งหนึ่ง

                คาอิลกวาดสายตาไปโดยรอบซึ่งมีแต่ทุ่งหญ้า ท้องฟ้า และบรรยากาศอันหม่นหมองไร้ชีวิตชีวา เสียงโหวกเหวกที่แว่วมากับสายลมทำให้เขาหันกลับไปมองยังด้านหลัง สุดปลายสายตาที่จอมคาถาก้าวมาถึงคือซากปรักหักพังอันทึมทึบของคฤหาสน์เก่าผุหลังหนึ่ง เขาเดินผ่านกำแพงซึ่งทลายลงจนเหลือเพียงค่อนครึ่ง กระทั่งมาถึงบริเวณที่เหมือนจะเคยเป็นโพรงของเตาผิง มีกลุ่มเด็กชายหญิงยืนล้อมรอบและกำลังหยิบกรวดหินขว้างปาเข้าไปภายในโพรงนั้นพร้อมกับส่งเสียงด่าทอ

                “ยัยอัปลักษณ์”

                “นางปีศาจ”

                “เพราะแกเป็นปีศาจ พ่อแม่ของแกถึงจะเอาแกไปขาย”

                “ใครซื้อแกไปก็คงโชคร้ายล่มจม อย่างแกน่าจะตาย ๆ ไปซะเถอะ”

                คาอิลมองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาเย็นชา เขาโบกมือเพียงครั้งเดียวคมอากาศพลันตวัดตัดกลางลำตัวของเด็กทั้งกลุ่ม ไม่มีเสียงกรีดร้องหรือหยดเลือดนอกจากรอยยิ้มเยาะหยันของร่างที่ล้มลงนอนเกลื่อนกระจายกันบนพื้น

                ถึงอย่างไรเด็กพวกนี้ก็เป็นเพียงภาพลวงที่เวทมนตร์สร้างขึ้นมาเพื่อทำลายจิตใจของผู้ต้องสาปเท่านั้น

                พ่อมดหนุ่มเดินผ่านซากครึ่งท่อนเหล่านั้นเข้าไปก่อนจะย่อตัวลงหน้าโพรงเตาผิง เขามองเด็กหญิงผมดำนั่งคุดคู้งอตัวก้มหน้ามือกุมศีรษะอยู่ภายในและเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว

                “ฮิลดราเลีย...”

                ไม่มีเสียงตอบรับนอกจากอาการสั่นเทาของร่างเล็กที่คุดคู้อยู่ในโพรง คาอิลมองเด็กหญิงด้วยสายตาสังเวชก่อนเอ่ยเรียกอีกครั้ง

                 “ฮิลดราเลีย ออกมาเถอะ ข้าไม่ได้มาทำร้ายเจ้า...”

                “เพราะว่าแกก็เป็นพวกเดียวกันสินะ”

                เสียงใสกังวานพูดแทรกและตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคักของกลุ่มเด็กชายหญิง คาอิลหันไปมองด้านหลัง จึงพบกับร่างที่ถูกตัดขาดครึ่งท่อนของเด็กกลุ่มเมื่อครู่กำลังลอยขึ้นลงและล้อมวงไปมาราวกับกำลังเต้นรำพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะเยาะยานคางน่าสยดสยอง

                “แกเองก็เป็นปีศาจ เป็นพวกเดียวกับนางอัปลักษณ์นั่น”

                “แกเองก็ตายไปซะเถอะ ไม่มีที่ไหนให้พวกแกอยู่ในโลกนี้หรอก”

                คาอิลถอนหายใจก่อนโบกมือขึ้นอีกครั้ง ร่างอันน่าสมเพชเหล่านั้นก็ถูกตัดขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนจะสลายหายไปกับสายลมที่พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าเมื่อเขาหันกลับไปหาฮิลดราเลียก็พบกับเด็กชายผมดำคนหนึ่งที่มีใบหน้าและดวงตาละม้ายคล้ายกับตนเองมายืนขวางอยู่ในระยะประชิด

                “พวกเขาพูดถูกแล้ว เราเป็นปีศาจ ถึงจะทำดีแค่ไหนสุดท้ายก็ไม่มีใครมาใยดีหรอก”

                เด็กชายคนนั้นเงยหน้า ดวงเนตรสีน้ำเงินสะท้อนแสงสีม่วงแปลกตาจ้องสบประสานกับคาอิล

                “หรือเพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีอนาคตที่รออยู่ ก็เลยคิดจะทำตัวเป็นผู้เสียสละอย่างนั้นหรือ” ดวงตาของเด็กชายร่างเล็กค่อย ๆ เบิกกว้าง มันฉายแววเศร้าและคับแค้นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ “สุดท้ายนางก็จะเหมือนกับคนอื่น ๆ ใช้ประโยชน์จากเจ้าทั้งที่ในใจนึกรังเกียจและทิ้งเราเอาไว้ในนรกให้อยู่อย่างเดียวดายโดยไม่เหลียวแล... เหมือนท่านแม่”

                มือเล็กบางเข้าโอบล้อมรอบลำคอพ่อมดหนุ่มและค่อย ๆ ผสานเนื้อหนังหลอมรวมเป็นร่างเดียวกับเขา เรียวปากที่แนบอยู่ริมใบหูคลี่ยิ้มแสยะอย่างน่ากลัว

                “เราจะทำเพื่อคนอื่นไปทำไม อยู่ที่นี่เถอะ... เราจะอยู่กันในที่แห่งนี้อย่างสงบสุข จะไม่มีใครมาทำร้ายเราได้อีก ไม่ว่ากายหรือใจ เพราะอย่างนั้นเรา...”

                “พล่ามพอหรือยัง”

                คาอิลพูดตัดบทพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งบีบใบหน้าของเด็กชายและดันออกห่างจากร่างตน จอมอาคมเอียงศีรษะมองร่างเล็กดิ้นขลุกขลักด้วยสายตาเย็นเยียบก่อนยกยิ้มมุมปาก

                “ไอ้เล่ห์หลอกเด็กพรรค์นี้ใช้กับข้าไม่ได้ผลหรอกนะ”

                แสงสีแดงเรืองรองออกมาจากมือที่อุดปากเด็กน้อยซึ่งมีสีหน้าเหลือกลาน ก่อนจะระเบิดร่างนั้นจนไหม้เป็นจุณ คาอิลสะบัดมือราวกับจะสลัดเศษธุลีที่ติดอยู่ออกให้หมดก่อนจ้องมองเข้าไปโพรงเตาผิงและนิ่วหน้า เขาขยับเข้าไปดึงแขนเด็กหญิงแล้วลากออกมาข้างนอก เด็กน้อยพยายามดิ้นรนรั้งแขนตัวเองกลับและทำท่าจะหนี ทว่าพ่อมดหนุ่มก็พูดด้วยเสียงอันดังจนนางถึงกับชะงัก

                “อย่าหนี! ฮิลดราเลีย”

                คาอิลดึงมือเด็กหญิงไปประทับที่หน้าอกของตนแล้วพูด “จงฟังและสัมผัสหัวใจของข้า”

                มือที่ทำท่าจะชักกลับในคราแรกกลับแนบเข้าหาแผ่นอกหนาหนั่น เด็กน้อยนิ่งค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยขึ้นสบตาพ่อมดด้วยสีหน้าที่หลากหลาย

                “เจ้ามองเห็นใช่ไหม”

                คาอิลถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไร้รอยยิ้มอย่างที่เคย หากก็ยังเห็นแววอาทรในดวงเนตร ฮิลดราเลียจ้องสบตาเขาแล้วพยักหน้าช้า ๆ

                “เจ้ารับรู้ใช่หรือเปล่า... ว่าข้าเคยรู้สึกเช่นไรและในภายหน้ามีอะไรที่รอข้าอยู่”

                เด็กน้อยพยักหน้าอีกครั้ง น้ำปริ่มดวงตาเหมือนจะร้องไห้ ทว่าครั้งนี้... ไม่ใช่เพื่อตัวเอง

                “ถึงกระนั้นข้าก็ยังยืนหยัด เลือกเดินบนทางที่ตนเองภาคภูมิใจและไม่มีใครมาเหยียดหยามได้อีก”

                หยาดน้ำร่วงรินจากสองตา ฮิลดราเลียโผเข้ากอดคาอิลแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น ผู้ใช้มนตราลูบศีรษะเด็กน้อยเบา ๆ อย่างปลอบโยน

                “พวกเราที่ถูกผู้คนชิงชังดั่งเห็นเป็นปีศาจ ไม่สามารถเลือกเกิดเองได้ตามใจตน แต่เรายังสามารถเลือกที่จะเป็น จงเก็บความเจ็บช้ำนั้นไว้ในใจและใช้มันผลักดันฝ่าขวากหนามต่อไปภายหน้า แล้วจงดำเนินชีวิตบนเส้นทางที่จะไม่ทำให้ตนเองต้องละอายและไม่มีใครมาหยามหมิ่นเราได้อีก”

                “ข้าจะทำได้หรือ...” ฮิลดราเลียเอ่ยถามเสียงสั่นพลางหยัดร่างจากคาอิล บัดนี้นางกลับมาสู่สภาพความเป็นจริงในปัจจุบันแล้ว เนตรสีนิลกระพริบปัดม่านน้ำซึ่งบดบังดวงตาจนพร่าเลือนให้ไหลลงสู่เบื้องล่าง

                “ทำได้อย่างแน่นอนหากเจ้าตั้งใจจริง”

                คาอิลยิ้มอ่อนโยนและใช้นิ้วเรียวเกลี่ยเช็ดหยาดน้ำบนพวงแก้มหญิงสาว เมื่อเห็นว่าน้ำตาหยุดไหลแล้วเขาจึงพูดต่อ

                “ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ อย่างไรความผิดที่ทำไปแล้วก็ต้องมีการชดใช้ ไม่ว่าเจ้าจะทำไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม ส่วนหนึ่งในหน้าที่ของข้าทำให้ไม่อาจละเลยต่อผู้ที่ทำผิดกฎแห่งกิลด์มิสทิคได้ แม้แต่ตัวข้าเอง สักวันก็ต้องรับผลของสิ่งที่ทำเช่นกัน”

                อดีตสาวใช้แห่งปราสาทเรสทอเรียมองใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังของพ่อมดหนุ่มแล้วพยักหน้าช้า ๆ อย่างยอมรับแล้วซึ่งความผิดของตน คาอิลจึงร่ายมนตร์เกิดเป็นกลุ่มควันขาวลอยคลุ้งขึ้นปกคลุมรอบร่างฮิลดราเลียก่อนจะค่อย ๆ หดตัวลงจนเหลือเพียงแมวดำซึ่งมีดวงตาสีนิลนั่งอยู่แทนที่ของนาง เขาอุ้มเจ้าสัตว์ตัวน้อยขึ้นมาในอ้อมอกและลูบขนของมันอย่างอ่อนโยน

                “ข้าจะส่งเจ้าให้กับคนที่ข้าไว้ใจที่สุด เขาจะดูแลและมอบความยุติธรรมให้แก่เจ้าอย่างแน่นอน”

                คาอิลพาร่างอันอ่อนล้าของตัวเองไปที่เตียงแล้วล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรงโดยมีเจ้าแมวดำนอนอยู่เคียงข้าง ดวงตาสีน้ำเงินเรืองประกายแสงสีม่วงจ้องมองแน่วนิ่งบนเพดาน ทว่าความคิดกลับกระหวัดถึงคำพูดของเด็กชายที่ละม้ายคล้ายกับตนในโลกสีเทาของฮิลดราเลีย

                “หรือเพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีอนาคตที่รออยู่ ก็เลยคิดจะทำตัวเป็นผู้เสียสละอย่างนั้นเหรอ”

                “ข้าไม่ใช่คนดีอย่างนั้นหรอก” คาอิลพูดเสียงแผ่วก่อนจะหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า

                “ข้าเพียงแค่ทำในสิ่งที่อยากทำที่สุด ก่อนจะไม่เหลือเวลาให้ทำอีกแล้วก็เท่านั้นเอง”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา