ตามล่ามนตรา
เขียนโดย Next1412
วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.28 น.
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 10.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
บทนำ
ลมทะเลพัดกระโชกมาที่สำเภาลำใหญ่ ที่ล่องอยู่กลางน้ำทะเลสีฟ้าครามรวมกับท้องฟ้าสีครามสวยงามราวกับมีน้ำทะเลบนผืนฟ้า กลิ่นเกลือเค็มที่ปะปนอยู่กับน้ำทะเลอันกว้างใหญ่ลอยมาแตะจมูกเหล่าผู้คนที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ เหล่าลูกเรือกำลังขนเสบียงไปมาอย่างกันอย่างชุนละมุน หญิงสาวอายุ 17 ปียืนที่ยืนตากลมทะเลอยู่บนเสากระโดงเรือใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูทิศทางด้านหน้าว่าถึงจุดหมายปลายทางแล้วหรือยัง
“อีก 1 กิโลเมตร จะถึงที่จอดเทียบท่าของจักรวรรดินิโคลเรียแล้ว!!!เร่งมือหน่อย!!!!!!!”หญิงสาวเอากล้องลงออกจากระยะห่างจากตาแล้วก้มลงไปตะโกนบอกลูกเรือทุกคนให้เร่งมือขนของ
“รับทราบครับ!!ท่านนาเอล!!!”เหล่าลูกเรือด้านล่างตะโกนตอบกลับมาแล้วขนสินค้าออกมาวางบนเรือ
“นิโคลเรีย....คิดถึงอดีตจัง.....”หญิงสาวหวนนึกถึงความทรงจำในวัยเด็กของตัวเองพลางถอนหายใจเบาๆ ‘ข้าคงไม่ได้เจอน้องสาวของตัวเองอยู่ดี ต่อให้มาที่แห่งนี้กี่ร้อยครั้งก็ตาม...’
ไม่กี่ชั่วอึดใจต่อมาเรือสำเภาวาณิชย์ที่ขนาดใหญ่ที่บรรทุกสินค้ามาจำนวนมากก็มาจอดเทียบท่าเรือที่จักรวรรดินั้นได้เตรียมไว้ให้ เหล่าลูกเรือก็แบกบันไดไม้มาวางพาดเพื่อใช้เป็นสำหรับทางเดินลงจากเรือ เหล่าฑูตแห่งจักรวรรดินิโคลเรียก็เดินออกมาต้อนรับพร้อมกับพลทหารที่คอยตามมาอารักขา 4 คน ที่ยืนอยู่ข้างหลังเงียบๆ ไม่นานนัก นาเอล เจ้าของเรือวาณิชย์ที่เพิ่งมาจอดเทียบท่าเมื่อไม่นานมานี้ก็เดินลงบันไดลงมาช้าๆ อย่างระมัดระวัง
“ยินดีต้อนรับสู่จักรวรรดินิโคลเรีย ข้ามีนามว่า อนีมูน ฟีโอร่า เป็นทูตที่มาทำหน้าทีแทนนักวาณิชย์ที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานมานี้” หญิงสาวร่างเล็กที่ได้ชื่อว่าเป็นทูตโค้งคำนับอย่างพอเหมาะแล้วกล่าวต้อนรับนักวาณิชย์อย่างมีมารยาท
“ข้ามีนามว่า นาเอล เป็นนักวาณิชย์หญิงแห่งแดนตะวันออก เป็นเกียรติมากที่ได้พบท่าน”เมื่อนาเอลลงมาเหยียบพื้นด้านล่างก็กล่าวทักทายตอบกลับไปพร้อมกับประสานมือไว้ในระดับอกแล้วโค้งให้อนีมูนอย่างพอประมาณ
“ข้าไม่ค่อยคุ้นหน้าท่านเลย ปกติวาณิชย์แห่งแดนตะวันออกมักจะเป็นชายวุโสทั้งนั้นเลยนี่นา ชื่อท่านก็แปลๆ ชื่อก็ไม่มีแซ่อีก”อนีมูนเงยหน้ากลับมายืนเช่นเดิมแล้วสังเกตุใบหน้าและการแต่งกายของนาเอลราวกับพิจารณา
“นักวาณิชย์แห่งแดนตะวันออกท่านก่อนได้ชรามากแล้วเลยมาเดินเรือสินค้าไม่ได้จึงให้ข้าที่เป็นลูกบุญธรรมมาทำหน้าที่แทนข้าถึงไม่มีใบหน้าส่วนไหนที่คล้ายคลึงกับนักวาณิชย์คนก่อนไงล่ะ”นาเอลตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆแล้วมองไปรอบๆบริเวณท่าเรือราวกับหาใครบางคน
“ข้าเข้าใจแล้วอย่างไงก็ทำตัวตามสบายนะหากขนาดเหลืออะไร ขัดแย้งตรงไหนก็เรียกข้าได้ทุกเมื่อ”อนีมูนเอ่ยประโยคสุดท้ายแล้วเดินออกไปจากท่าเรือแห่งนี้
“ข้าขอตัวไปเดินดูสินค้าตามท้องตลาดก่อนนะเดี๋ยวข้าจะกลับมา ส่วนพวกเจ้าก็พักกันไปก่อนเถอะ”นาเอลหันไปบอกลูกเรือนายหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังนาเอลมานานเพื่อรอรับคำสั่ง
“ครับ!”
-----------------------------------------------------------------------------------------
ณท้องตลาดตามหมู่บ้านจักรวรรดินิโคลเรีย
เส้นถนนที่ถูกสร้างไว้เป็นทางเดินให้สำหรับเดินผ่านไปมาก็กลับกลายเป็นถนนที่แคบลงเนื่องจากผู้คนสามัญชนคนธรรมดาเยอะเกินไปเดินเบียดเสียดกันไปมาเยอะเกินจนหาช่องว่างในการเดินต่อไปไม่ได้เสียงพ่อค้าแม่ค้าประจำท้องถิ่นตะโกนเรียกลูกค้าคลอไปกับเสียงพูดคุยของเหล่าผู้คนที่เดินกันไปมาจนน่ารำคาญ
“คนเยอะชะมัดเลยแหะ...”นาเอลที่พยายามเดินฝ่าผู้คนมาเมื่อกี้เดินออกมาจากเส้นทางมาหยุดยืนพักที่หน้าร้านขายเครื่องประดับแห่งหนึ่งเพื่อหาอากาศหายใจสักพัก “นั่นซอยแคบสินะบางทีอาจจะเป็นทางลัดก็ได้ และบางที่อาจจะได้เจอกับ...เอมม่าก็เป็นได้.......”นาเอลเดินเข้าไปที่ซอยแคบๆแห่งหนึ่งซึ่งเป็นทางที่เธอไม่เคยเดินผ่านมาเลยใจจริงการสำรวจตลาดเป็นเพียงแค่ข้ออ้างในการเดินออกมาจากเรือ แต่ใจจริงแล้วเธอเดินออกมาหาเอมม่าผู้เป็นน้องสาวที่พลัดพรากกันมาตั้งแต่เล็ก
“นี่น้องสาวมาทำอะไรที่แห่งนี้หรอ?”มีชายคนหนึ่งเดินมาจับบ่านาเอลจากด้านหลังทำให้นาเอลสะดุ้งโหยงทันที
“อ...เอ่อล...หลงทางค่ะ ถ้าหาทางออกเจอจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ!!”นาเอลปัดมือของชายร่างสูงออกแล้วก้าวเท้าถอยหลังไปให้ห่างๆจากชายร่างสูงทันที
“ไหนๆก็มาแล้วเดี๋ยวพี่พาเดินเล่นก็ได้นะ......”ชายคนนั้นยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปหานาเอลช้าๆราวกับคนผิดปกติทางจิต(?)
“ช่วยด้วยยยยยยยย!!!!!!!”นาเอลวิ่งออกมาจากจุดนั้นแล้ววิ่งไปอย่างไร้จุดหมายพร้อมตะโกนร้องให้คนช่วยไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาช่วยเพราะที่แห่งนี้เป็นสลัมนั่นเอง ด้วยชุดกระโปรงประจำบ้านเกิดของเธอมันยาวจนวิ่งไม่ถนัดทำให้นาเอลวิ่งช้าลงไปนิดหน่อย
“ทางนี้!!”ในระหว่างที่นาเอลวิ่งอยู่ก็มีมือใหญ่ๆมาคว้าข้อมือของนาเอลไว้แล้วดึงนาเอลเข้าไปหลบในซอยแคบที่แยกออกมา
“หายไปไหนแล้วนะ......”ชายร่างสูงที่พยายามไล่ตามเธอมาเมื่อกี้หยุดวิ่งทันทีเพราะคลาดเคลื่อนจากเธอไปแล้ว
“เฮ้อรอดแล้วสินะ.....ขอบใจมากเลยนะที่ช่วยข้าไว้น่ะ..... ”นาเอลถอนหายใจช้าๆด้วยความโล่งใจ
“มาทำอะไรที่สลัมแบบนี้?”เสียงชายคนหนึ่งที่ดึงเธอมาหลบในที่แห่งนี้เอ่ยถามขึ้น
“ข...ข้าแค่หลงทาง!! ล...แล้วก็....ม...ไม่นึกว่า....จ...จะมาเจอแบบนี้...”นาเอลตอบอย่างตะกุกตะกักแล้วแก้ตัวทันที
“งั้นหรอ....ข้าคิดว่าเจ้าควรออกไปจากที่นี่ดีกว่านะ”ชายที่ช่วยเธอไว้มองท่าทางนาเอลอยู่สักพักก็เดินนำออกไปจากซอยสลัมแห่งนี้
“เจ้าเป็นใครกัน?แล้วรู้ได้ไงว่าข้าอยู่ที่นี่??รองเท้าก็ไม่ใส่เจ้าเป็นทาสของที่นี่งั้นหรอ?”
“ข้าชื่อว่ารูจ โจนาธาน ข้าได้ยินเสียงเจ้าตะโกนน่ะอีกอย่างข้าไม่ใช่ทาสแต่เป็นนักเดินทางเฉยๆ ถึงในอดีตจะเคยเป็นทาสแล้วก็ตามดูท่าทางแล้วเจ้าคงเป็นนักวาณิชย์สินะ”
“ใช่ข้าเป็นนักวาณิชย์แห่งแดนตะวันออก”
“ใบหน้าเจ้าไม่เหมือนชาวตะวันออกเจ้าคงจะเคยเป็นทาสที่โดนจับมาขายสินะ”รูจหยุดเดินแล้วหันมาถามนาเอล
“ร...รู้ได้อย่างไงว่าข้าเคยเป็นทาส...?”นาเอลหยุดเดินตามแล้วอึ้งกับคำถามเล็กน้อย
“ก็ที่ข้อมือเจ้ามีรอยช้ำและแผลเป็นรอบข้อมือแบบนี้ แผลแบบนี้น่ะมีแต่ทาสเท่านั้นที่มี”รูงคว้าข้อมือข้างขวาของนาเอลขึ้นมาทำให้แขนเสื้อที่กว้างหล่นลดลงมาที่ข้อศอกเผยให้เห็นแผลรอบๆข้อมือของนาเอล
“แล้วมันแปลกตรงไหน??”นาเอลขมวดคิ้วแล้วชักข้อมือลงมา
“ข้าขอเตือนอะไรเจ้านะ ตอนนี้จักวรรดิโรมาเนียและจักรวรรดินิโคลเรียกำลังตามหาตัวทาสที่เป็นนักวาณิชย์อยู่”
“แล้วทำไมข้าต้องสนด้วย?”
“จะบอกอะไรให้ ถ้าเจ้าคิดได้ควรกลับไปที่แดนตะวันออกในวันนี้เลยก็ได้ คนที่เป็นทาสในยุคอดีตมีชนเผ่าหนึ่งที่สามารถใช้เวทย์ในการสาปแช่งได้ แต่ชนเผ่านั้นได้ถูกจับไปเป็นทาสแห่งประเทศหนึ่งแล้วพวกเขาได้ก่อพิธีกรรมสาปแช่งพระราชาหรือก่อกบฏนั่นแหละ พวกเขาก็ได้จับชนเผ่าพวกนั้นมาประหารชีวิต แต่ทว่าบางคนก็หนีออกมาจากลานประหารได้ แต่ชนเผ่านั้นก็หายสาบสูญไปแล้ว จนผ่านมา 20 ปี ก็เกิดการแข่งขันความเจริญของจักรวรรดินิโคลเรียกับจักรวรรดิโรมาเนีย ทำให้เหล่าพระราชาอย่างเจริญรุ่งเรืองขึ้นเลยเชื่อในอำนาจเวทย์มนต์ของชนเผ่าที่ล่มสลายไปเมื่อ 20 ปี ก่อน เวทย์มนต์สาบแช่งนั้นจะสามารถสังหารพระราชาได้ และเจ้าคงรู้ว่าถ้าพระราชาแคว้นใดสิ้นพระชนม์ จักรวรรดิจะโดนโจมตีทันทีจนนำมาแก่การล่มสลาย และอีกอย่าง.......”รูจหยุดพูดไว้แค่นั้นก็มองหน้านาเอลนิ่งๆ
“อีกอย่าง?”
“ข้าน่ะมีสัมผัสที่ดีกว่าคนทั่วไปอีก ข้าสัมผัสได้ว่าเจ้ามีกลิ่นไอของเวทย์มนต์อยู่........”
“ขอบคุณสำหรับคำเตือนแต่ว่าข้าจำไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องพรรคนั้นหรอก ข้าก็แค่นักวาณิชย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไปกันต่อเถอะ”นาเอลถอนหายใจแล้วยิ้มให้รูจพร้อมกับเดินนำหน้าออกจากซอยแห่งนี้ไป
“ข้าคงส่งเจ้าแค่นี้ล่ะ ถ้ามีโอกาสคงจะได้เจอกันอีก...”รูจกล่าวประโยคลาสุดท้ายแล้วเดินแยกกับนาเอลออกไปอีกทาง
“อ่าว...”นาเอลกำลังจะอ้าปากกล่าวลาแต่รูจก็ดันหายไปจากสายตาแล้ว
----------------------------------------------------------------
“ร้อนจังเลยแหะ”หญิงสาวนักวาณิชย์คนหนึ่งเดินไปตามถนนสายหลักที่เคยผ่านมาประจำยามบ่าย เธอใช้หลังมือปาดเหงื่อที่ผุดออกมาจากบริเวณหน้าผากตัวเอง แล้วรวบผมสีทองที่ยาวสบายไปถึงหลังมาพาดไว้ที่บ่าข้างซ้ายเพื่อให้ลมพัดเข้ามาให้ความเย็นได้ทั่วถึง
ตุบ!!
หญิงสาวผมสีทองเดินไปชนกับใครบางคนเข้าจนล้มลงไปก้นกระแทกกับพื้นเข้าอย่างแรง
“เจ้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”ร่างที่หญิงสาวชนเข้ายื่นมือมาให้หญิงสาวจับแล้วเอ่ยถามอาการ
“อ่า ไม่เป็นไรค่ะ”หญิงสาวเอื้อมมือไปจับมือของชายหนุ่มที่ยื่นเข้ามาให้แล้วฉุดดึงตัวเองให้ลุกขึ้นทันที
“ขอโทษทีนะ เผอิญข้าวิ่งไล่ตามนกมาเลยไม่ทันดูทางต้องขอภัยจริงๆ ข้าชื่อ เฟิง เป็นนักวาณิชย์แห่งแดนใต้”
“ข้าชื่อ เอเลนอร์ ดิ เอสเทลล่า เป็นนักวาณิชย์แห่งแดนตะวันตก ว่าแต่ท่านตามนกทำไมกันหรอ??”หญิงสาวปัดฝุ่นตามตัวออกแล้วหันไปแนะนำตัวแล้วเอะใจกับคำพูดของชายหนุ่มที่ว่า ‘ตามนก’
“ก็ข้าชอบนกน่ะ อีกอยากนกที่ข้าไล่ตามน่ะตัวเล็กแต่สีสวยมากเลยเชียวล่ะ”
“งั้นหรอ ทำไมท่านถึงชอบนกล่ะ?”เอเลเนอร์ถามไปอีก ในใจเธอคิดว่า ‘ เป็นถึงนักวาณิชย์แต่มาไล่จับนกเนี่ยนะ =_=;’
“ก็ตอนเด็กเผลอไปเหยียบปีกนกที่บาดเจ็บเข้าเลยรู้สึกผิด หลังรักษานกตัวนั้นเสร็จก็เริ่มสนใจพวกนก และศึกษาจริงจังจนกลายเป็นคนชอบนกขึ้นมา”
“ดีจังนะ ท่านได้มีเวลาทำสิ่งที่ตนเองชื่นชอบน่ะ”เอเลเนอร์ยิ้มเศร้าๆแล้วถอนหายใจช้าๆเพื่อไว้อาลัยให้กับชีวิตตนเอง
“เอ๋ แล้วทำไมท่านถึงไม่มีวลาล่ะ?”
“ข้าน่ะเกิดในตระกูลขุนนางของอังกฤษ ตามจริงแล้วข้าต้องไปทำหน้าที่ขุนนางมากกว่าแทนที่จะมาทำอาชีพวาณิชย์ซะอีกแต่ก็นะ ข้าเกลียดการโดนบังคับข้าเลยหนีออกมาทำอาชีพที่ตัวเองอยากจะทำ พอได้ทำแล้วมันก็อยากจะตั้งใจทำให้ถึงที่สุดเลยไม่ได้เอาเวลาไปทำในสิ่งที่อยากทำนอกเหนือจากนั้น”
“อ๋อ แล้วท่านชอบอะไรล่ะ??”
“ดอกไม้น่ะ ยิ่งถ้าเป็นดอกกุหลาบสีขาวล่ะก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่เลย”
“นี่ข้าให้นะ”เฟิงเดินไปซื้อดอกกุหลาบสีขาวมาให้เอเลเนอร์
“ห..ให้ข้าหรอ?”เอเลเนอร์ตกใจเล็กน้อยแล้วมองดอกกุหลาบสีขาวที่เฟิงซื้อมาให้
“แน่นอนสิ ก็ท่านคุยกับข้าอยู่ 2 คน จะให้ข้าให้ใครล่ะ?”เฟิงยิ้มกว้างให้เอเลเนอร์แล้วยื่นดอกกุหลาบสีขาวสะอาดตาให้
“ขอบคุณนะ...”เอเลเนอร์รับดอกกุหลาบสีขาวมาอย่างเขินๆ เพราะไม่เคยมีใครถามเรื่องส่วนตัวเธอเลยและคนนี้เป็นชายคนแรกที่พึ่งพบเจอแล้วถามถึงเรื่องที่ชอบแบบนี้
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าขอตัวก่อนนะ หวังว่าเราคงได้เจอกันอีกนะ”เฟิงพูดจบก็เดินออกไปอีกทาง
“ทำไมข้าอารมณ์ดีขึ้นนะ.........”เอเลเนอร์ยิ้มให้ดอกกุหลาบที่ได้มาพร้อมกับดมกุหลาบสีขาวดอกนั้นอย่างถนุถนอมแล้วเดินไปอีกทาง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ