D.May Reign - ดี.เมย์ ปริศนาบัลลังก์นักเชิด
เขียนโดย Tsmit
วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.13 น.
แก้ไขเมื่อ 5 มกราคม พ.ศ. 2558 22.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) Episode 6 - ฆาตกร
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความVI
ฆาตกร
“เมื่อครู่มีรายงานเข้ามาว่ามีคนน่าสงสัยมาด้อมๆ มองๆ อยู่แถวนี้” นายตำรวจบุ้ยหน้าไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านของคุณเอกสิทธิ์ “ไม่ทราบว่าคุณมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ”
“เอ่อ...ฉัน...” เมย์อ้ำๆ อึ้งๆ ด้วยความรู้สึกถูกโจมตี ในหัวพยายามคิดหาคำตอบอะไรสักอย่าง แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดสักเท่าไหร่ก็มีแต่ความว่างเปล่า
“ผมขอดูบัตรประชาชนหน่อยได้มั้ยครับ”
แย่แล้ว
เธอมีกระเป๋าเงินอยู่ก็จริง แต่ถ้าให้อีกฝ่ายดูบัตรประชาชนเขาก็จะรู้ชื่อของเธอได้น่ะสิ แล้วเขาก็อาจจะเอาชื่อของเธอไปตรวจดูในฐานข้อมูลอาชญากรก็ได้
“คุณครับ?” เสียงของคนตรงหน้าสูงขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับจ้องตรงมาที่เธออย่างสงสัย
หญิงสาวหลบสายตาของคนตรงหน้า ก้มมองไปยังเท้าของตัวเองพลางใช้นิ้วมือเกี่ยวผมของตัวเองด้วยความรู้สึกประหม่าโดยไม่รู้ตัว เธอรู้สึกได้ถึงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นรัวอยู่ในอกอย่างบ้าคลั่ง
ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าการยืนเงียบอยู่แบบนี้มันจะยิ่งทำให้ดูมีพิรุธ แต่ในหัวสมองของเธอกลับว่างโล่ง คิดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น ส่วนคนที่เป็นต้นตอของเรื่องบ้าๆ ทั้งหมดนี่ก็ดันหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้
จะทำยังไงดี
ถ้ามัวแต่ยืนเงียบอยู่แบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วเธอคงจะต้องถูกจับแน่นอน
“คุณเป็นอะ...” คนตรงหน้าขยับตัวเล็กน้อยทำให้หญิงสาวต้องสะดุ้งพร้อมกับรีบถอยห่างจากอีกฝ่ายโดยพลัน แต่แล้วเสี้ยววินาทีถัดมาเธอก็ต้องรู้สึกเสียใจที่ทำแบบนั้นลงไป เพราะว่ามันยิ่งเป็นการทำให้เธอดูน่าสงสัยมากกว่าเดิมเข้าไปอีก
ดังนั้นทางออกสุดท้ายจึงเหลืออยู่เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น
เมย์ตัดสินใจออกวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อที่จะหนีจากนายตำรวจ ได้ยินเสียงเขาตะโกนโวยวายทันทีหลังจากนั้น แต่ว่าเธอไม่สนใจ พร้อมกับรีบเร่งฝีเท้ามากขึ้นอีกจนกระทั่งวิ่งออกมาถึงถนนใหญ่
ทางเดินเท้ามีผู้คนเดินขวักไขว่กันไปมาอยู่พอสมควร แต่อย่างน้อยก็ยังคงพอมีช่องว่างที่ทำให้หญิงสาวสามารถแทรกตัวผ่านกลุ่มคนทั้งหลายไปได้ เธอไม่รู้หรอกว่าตำรวจคนนั้นตามมาหรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากเสี่ยงที่จะหันกลับไปมองข้างหลัง ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ
ทันใดนั้นเองก็มีมือปริศนาพุ่งออกมาจากตรอกมืดๆ เข้ามาคว้าตัวหญิงสาวก่อนที่จะฉุดเธอเข้าไปในนั้น มือปริศนาอีกข้างของเขาปิดปากเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้ส่งเสียงใดๆ
กลัว!
ใครกันน่ะ จับตัวเธอเอาไว้ทำไม เขาเข้ามาซ่อนตัวอยู่ในนี้เพื่อที่จะจับเธองั้นเหรอ!?
ความรู้สึกตื่นตระหนกกลายเป็นแรงผลักดันให้เมย์ออกแรงดิ้นจากการถูกเกาะกุม จนในที่สุดก็รู้สึกได้ว่าแรงต้านของศัตรูผ่อนคลายลง ดังนั้นเธอจึงสะบัดมือของเขาออกแล้วหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แต่แล้วก็ต้องรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะทันทีที่เห็นใบหน้าของคนตรงหน้า
ดี!
ชายหนุ่มส่งรอยยิ้มแป้นมาให้ก่อนที่จะยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบริมฝีปาก จากนั้นก็จัดถุงมือของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง แรงดิ้นของเธอเมื่อครู่คงจะทำให้ถุงมือของเขาเกือบจะหลุดออกมา
หญิงสาวมีคำถามจำนวนมากอยากจะถามคนตรงหน้า แต่สัญญาณเมื่อครู่ที่บอกให้เงียบๆ ของเขาก็ทำให้เธอต้องกลืนคำถามพวกนั้นลงคอไปจนหมด แล้วยืนเงียบอยู่เคียงข้างเขาอย่างช่วยไม่ได้
เมย์ค่อยๆ ชะโงกหน้าออกจากที่กำบังทีละนิดพลางกลั้นหายใจเอาไว้โดยไม่รู้ตัว เพ่งสายตาไปยังปากทางเข้าซึ่งมีคนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่หลายคน ก่อนที่จะต้องรีบขยับตัวหลบด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนใส่ชุดคล้ายเครื่องแบบตำรวจรวมอยู่ในจำนวนนั้นด้วย แต่แล้วก็ชักจะไม่แน่ใจว่าคนที่เห็นเมื่อครู่นั้นใช่ตำรวจจริงๆ หรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่กล้าพอที่จะชะโงกหน้ากลับออกไปอีกครั้ง จึงทำได้แค่เพียงยืนเอาหลังชิดกำแพงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เวลาสองนาทีช่างให้ความรู้สึกนานเหมือนเป็นชั่วโมง จนเธอเกือบลืมไปแล้วว่าทำไมพวกเธอถึงต้องมายืนซ่อนตัวอยู่แบบนี้ ตรอกอันคับแคบทำให้เธอรู้สึกอึดอัดที่จะต้องมายืนเบียดอยู่กับดี แต่อย่างน้อยก็ยังคงพอมีที่ให้ยืนบ้างและอากาศในวันนี้ก็ไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้น จะว่าไปก็คงจะถือว่าเป็นโชคดีของเธอด้วยก็ได้ล่ะมั้งที่เขาชอบใส่เสื้อผ้าปิดตั้งแต่คอลงมาจนถึงเท้า ไม่อย่างนั้นเธอคงจะต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนมากกว่านี้อย่างแน่นอน
“ปลอดภัยแล้วล่ะ” เสียงกระซิบอย่างแผ่วเบาของคนข้างกายดังขึ้นที่ข้างหู ทำให้หญิงสาวต้องขยับตัวออกห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้เกินไปแล้ว
ดีเดินถอยห่างไปพร้อมกับขยับตัวออกไปจากที่กำบัง เขาเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงปากทางเข้าก่อนที่จะหันกลับมามองเธอ แสงสว่างจากข้างนอกทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มถูกซ่อนอยู่ภายใต้เงามืด แต่เมย์ก็ยังคงจับความรู้สึกได้ว่าเขากำลังจ้องตรงมาทางนี้เหมือนกับว่ากำลังรอให้เธอเดินตามไปสมทบด้วยอีกคน
หญิงสาวตัดสินใจเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างลังเล เธอไม่แน่ใจว่าตำรวจคนนั้นยังอยู่แถวนี้อยู่หรือเปล่า เพราะถ้าหากว่ายังคงมีตำรวจป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้เธอก็ไม่ควรที่จะออกไป แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าควรจะต้องหลบอยู่อย่างนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน
“มีงานด่วน” จู่ๆ ชายหนุ่มก็โพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เรียกสติของเมย์ให้กลับมาสนใจสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ในขณะนี้
“งาน?” หญิงสาวทวนถามอย่างไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า ยังจะมีงานอะไรอีกน่ะ แค่พาเธอมาเป็นสตอล์กเกอร์จนเกือบจะทำให้ถูกตำรวจจับแบบนี้มันยังน่าปวดหัวไม่พออีกเหรอไง
ดีมองสบสายตากลับมาด้วยสีหน้าเรียบสนิทราวกับไร้อารมณ์ความรู้สึก
“เราต้องไปกันแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะเดินออกไปจากตรอก สวนกับผู้คนตรงทางเดินเท้าไปข้างหน้าโดยที่ไม่ได้หันหลังกลับมามองอีก ทิ้งให้เมย์ต้องยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยความรู้สึกลังเล ไม่แน่ใจว่าควรจะตามเขาไปดีหรือไม่
แต่ไม่ว่าจะยังไง สุดท้ายแล้วเธอก็ยังคงจะหนีไปไหนไม่ได้อยู่ดี
เมื่อตัดสินใจได้แล้วหญิงสาวจึงออกวิ่งตามอีกฝ่ายไปในที่สุด
งานด่วนที่ว่านั่นอาจจะเป็นการไปตามสืบชีวิตของนักธุรกิจคนไหนสักคนก็ได้ ถึงแม้ว่าเธออยากจะถามคนตรงหน้ามากแค่ไหน แต่เธอก็ค่อนข้างมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวว่าคงจะได้รับคำตอบอันแสนไร้สาระกลับมาอีกเช่นเคย เพราะฉะนั้นไม่ถามให้เสียอารมณ์จะดีกว่า
แต่ถึงอย่างนั้น ลึกๆ ในใจแล้วเธอกลับรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้คาดเดาคำตอบของคำถามนั้นเอาไว้อยู่แล้ว และกำลังหวั่นวิตกว่ามันอาจจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาก็ได้ ในเมื่อการเป็นสตอล์กเกอร์ไม่น่าจะใช่งานที่ต้องอาศัยความเร่งด่วน เพราะฉะนั้นจึงน่าจะเป็นงานที่เขาใช้เป็นข้ออ้างในการกักตัวเธอเอาไว้...
ล่าวิญญาณ
ก่อนหน้านี้เธอมัวแต่ตกใจจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าขณะนี้ มือซ้ายของดีกำลังหิ้วกระเป๋ากีฬาอันแสนคุ้นตาอยู่...
ไม่จริง
ทันทีที่เห็นกระเป๋าใบนั้นเมย์ก็แทบอยากจะวิ่งหนีออกไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ไม่กล้าทำจริงๆ และไม่คิดว่าตัวเองจะหนีไปที่ไหนได้ จนกระทั่งเดินตามคนตรงหน้ามาจนถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมือง ถึงแม้จะคิดกังวลมาโดยตลอดว่าเขาอาจจะพาเธอไปเจอกับภาพอันน่าสะอิดสะเอียนเหมือนที่อาคารจอดรถนั่นอีกครั้ง
แต่เธอก็ไม่คิดเลยว่ามันจะกะทันหันถึงขนาดนี้
“รายนี้เป็นวิญญาณร้ายประเภทที่สอง ฉันคิดว่ามันคงจะฆ่าเป้าหมายที่นี่แหละ แต่ก็ยังไม่รู้จุดยืนยันแน่ชัด” ดีหยุดยืนตรงเสาต้นหนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าตั้งอยู่กึ่งกลางของชั้นนี้พอดี
ฆ่าเป้าหมาย... ในที่แบบนี้เนี่ยนะ คำบอกของเขาทำให้เมย์ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสับสนเพราะว่ามันช่างต่างจากสิ่งที่เธอเคยเห็นในหนังหรือในการ์ตูนเสียเหลือเกิน วิญญาณร้ายจะจัดการฆ่าเป้าหมายในตอนกลางวันต่อหน้าคนเป็นสิบเป็นร้อยคนแบบนี้เชียวเหรอ มันควรที่จะต้องลงมือในเวลากลางคืนหรือในเวลาที่ไม่มีผู้ไม่เกี่ยวข้องคนอื่นอยู่ด้วยไม่ใช่หรือไง แต่เธอก็ต้องกลืนข้อสงสัยนี้ลงคอไปเพราะกลัวว่าเขาจะหาว่าเธอแบ่งแยกอะไรบ้าๆ นั่นอีก
“วิญญาณร้ายประเภทที่สอง?” หญิงสาวเอ่ยถามถึงคำประหลาดของเขาอีกคำหนึ่งแทน
“ฉันเคยอธิบายให้เธอฟังไปแล้วนี่ พวกที่สิงคนอื่นแล้วมาฆ่าเหยื่อยังไงล่ะ”
ใช่ เธอเองก็รู้สึกคุ้นๆ อยู่เหมือนกันว่าดีเคยพูดถึงเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เขาคงไม่ได้จะคาดหวังให้เธอจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดได้หรอกนะ ในเมื่อสิ่งที่เขาพูดกว่าครึ่งมันเป็นเรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้ แถมยังไม่มีประเด็นอะไรเลยด้วยซ้ำ
เมื่อดีเห็นว่าเธอเงียบไป เขาจึงถอนหายใจออกมา
“จำไว้นะเมย์ วิธีการแก้แค้นของพวกมันมีอยู่แค่สามแบบเท่านั้นแหละ แบบแรกคือพวกที่ใช้พลังวิญญาณสร้างร่างเนื้อแล้วมาฆ่าเหยื่อ สองคือพวกที่สิงคนอื่นแล้วใช้ร่างภาชนะนั้นมาฆ่าเหยื่อ และสามคือพวกที่สิงตัวเหยื่อเองเพื่อที่จะทำลายของรักของเหยื่อ แต่จะไม่จัดการเหยื่อ”
ชายหนุ่มวางกระเป๋ากีฬาของตัวเองลงกับพื้นพร้อมกับย่อตัวลงไปนั่งยองๆ เขารูดซิปเปิดกระเป๋าก่อนที่จะหยิบขวดโหลใบยักษ์ใบเดิมออกมาซึ่งเธอจำได้ว่าเคยมีใบชาแห้งถูกบรรจุเอาไว้ในนั้น
“เป้าหมายครั้งนี้เป็นคนที่เธอน่าจะรู้จักดีเลยล่ะ เขาเป็นนักแสดง เห็นว่าค่อนข้างมีชื่อเสียง เล่นละครอยู่หลายเรื่องเหมือนกัน ชื่อว่าเก๋ พรสินี เธอรู้จักมั้ย”
“ฉันไม่ดูทีวี”
“แต่ถึงเธอดู เธอก็คงจะไม่รู้จักเขาหรอก เพราะว่าบทที่เขาเล่นมันก็ไม่ได้เป็นบทเด่นอะไรอยู่แล้ว” เสียงเรียบพูดต่อขณะก้มตรวจสอบขวดโหลในมือโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง
หญิงสาวกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายให้กับคำพูดขัดแย้งกันเองของเขา พยายามทำความคุ้นชินว่าคนตรงหน้าเป็นพวกที่ชอบพูดเองเออเอง
“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าดาราคนนั้นอยู่ที่นี่ในตอนนี้” เธอถามเสียงเบาด้วยความสงสัย พร้อมกับมองไปรอบๆ ตัวอย่างกังวลว่ามีใครกำลังมองมาทางนี้อยู่หรือเปล่า ยิ่งมีคนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะมากเท่าไร่เธอก็ยิ่งรู้สึกกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินเรื่องที่พวกเธอคุยกัน
“เป้าหมายมีกำหนดการเรียนเต้นจนถึงสี่โมงเย็น” ดีเก็บขวดโหลยัดกลับเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้งพร้อมกับลุกขึ้นยืน “เราต้องรีบขึ้นไปข้างบนกันแล้วล่ะ”
คำตอบของเขาทำให้เมย์นึกถึงคำว่าสตอล์กเกอร์ขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากดีจะตามสืบชีวิตของเอกสิทธิ์แล้ว เขายังจะไปตามดาราที่ชื่อเก๋ด้วยเหรอเนี่ย ทำแบบนี้มันไม่ถือว่าผิดกฎหมายเหรอไง ถึงแม้ว่าเขาจะต้องการช่วยเหลือทั้งสองคนก็เถอะ แต่เธอก็ไม่คิดว่าการตามติดชีวิตของคนอื่นแบบนี้จะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
แต่ทว่า
แล้วอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องกันล่ะ
ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าหากว่าดีไม่คอยตามดูสองคนนั้น แล้วพวกเธอจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร
เมื่อคิดได้ดังนั้น...เธอก็ชักจะเริ่มรู้สึกเห็นด้วยกับดีขึ้นมาเสียแล้ว แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ยังคงตระหนักได้ถึงความไม่เหมาะสมของมัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการช่วยสองคนนั้น แต่พวกเธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปยุ่งกับชีวิตของคนอื่น
สับสน
สรุปแล้วก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดีว่าสิ่งที่พวกเธอกำลังทำอยู่นั้นมันถูกหรือผิดกันแน่
หญิงสาวส่ายหน้าพยายามไล่ความคิดไร้สาระออกไปในระหว่างที่เดินตามดีเข้าไปในลิฟท์ แต่แล้วความเงียบท่ามกลางกลุ่มคนจำนวนหนึ่งซึ่งยืนรวมกันอยู่ภายในกล่องเหล็กอันเล็กๆ ใบนี้ก็ทำให้เธอต้องรู้สึกอึดอัด อีกทั้งยังทำให้คิดฟุ้งซ่านไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอาคารจอดรถเมื่อเช้าและการล่าวิญญาณที่พวกเธอกำลังจะทำต่อจากนี้ คนอื่นๆ ที่อยู่ในลิฟท์นี้ไม่มีใครรู้ว่าพวกเธอกำลังจะทำอะไร พวกเขาไม่รู้ว่ามีวิญญาณอยู่จริงๆ หรืออาจจะรู้ก็ได้ แต่ก็คงมองไม่เห็น คนพวกนี้เขา...
เดี๋ยวก่อนนะ
คนพวกนี้...พวกเขาเป็น คน จริงๆ หรือเปล่าน่ะ?
คำถามนั้นก่อให้เกิดความรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งร่างขึ้นมาโดยพลัน หญิงสาวค่อยๆ หันไปมองเหล่าคนที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันทีละนิด เผลอกลั้นหายใจด้วยความหวาดกลัวโดยอัตโนมัติ หนึ่ง...สอง...สาม...สี่....ห้า...
นอกจากเธอกับดีแล้วยังมีคนอีกห้าคน แต่จะมีใครสักคนที่เป็นวิญญาณอยู่หรือเปล่า แล้วเธอจะแยกมันออกได้อย่างไร
ในเมื่อทั้งห้าคนนั้นดูเหมือนคนทั่วไปทุกประการ
“เมย์?” เสียงเรียกของดีช่วยดึงให้เธอกลับมาตั้งสติได้อีกครั้งหนึ่ง จึงรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเหงื่อออกพลั่กโดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองตัวเลขสี่บนหน้าจอดิจิตอลก่อนจะตวัดสายตาไปยังชายหนุ่มตรงหน้าผู้กำลังยืนรออยู่นอกตัวลิฟท์
“ขะ...ขอโทษค่ะ” เมย์รีบพุ่งตัวออกมาจากลิฟท์ทันทีโดยที่ไม่กล้าหันกลับไปมองข้างหลังอีก เมื่อกี้นี้เธอคงจะเหม่อลอยจนดูเหมือนว่าเป็นคนป้ำเป๋อน่าดู
“อีกไม่กี่นาทีก็จะเลิกเรียนแล้วล่ะ แล้วเขาก็คงจะมาใช้ลิฟต์ตัวนี้เหมือนกับอาทิตย์ก่อนๆ พวกเราจะต้องสะกดรอยตามเขาไปเพราะฉะนั้นยืนรออยู่ตรงนี้แหละ ต้องรอให้วิญญาณร้ายมันโผล่ออกมาเอง ถ้าเธอเห็นมันเมื่อไหร่ก็รีบบอกฉันทันทีเลยนะ”
หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ รับคำสั่งของอีกฝ่าย ปัญหาคือเธอไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมองหาคนที่ถูกสิงเจอมั้ยน่ะสิ
ไม่กี่นาทีต่อมาก็มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเดินตรงมาทางลิฟท์ตามที่ดีพูดเอาไว้จริงๆ แต่เนื่องจากเธอไม่เคยเห็นดาราที่มีชื่อว่าเก๋มาก่อน และทั้งหกคนก็เป็นผู้หญิงหน้าตาสละสลวย หุ่นผอมเพรียว เหมาะสมที่จะเป็นดารากันทั้งนั้น แล้วเธอจะไปรู้ได้ยังไงกันว่าคนไหนคือคนที่พวกเธอต้องช่วย
แต่อย่างน้อย ก็ยังดีที่กลุ่มคนทั้งหมดนี้ก็ไม่มีใครถูกสิงอยู่
เมย์และดีแสร้งทำเป็นว่ากำลังยืนรอลิฟท์ไปพร้อมๆ กับกลุ่มหญิงสาวทั้งหกคนนั้น จนกระทั่งลิฟท์เลื่อนลงมาเปิดประตูรับ เธอกับดีก็เดินตามทั้งหกคนเข้าไปในลิฟท์ด้วย แล้วเธอก็ต้องรู้สึกอึดอัดเป็นครั้งที่สองเมื่อต้องมายืนรวมอยู่กับคนอื่นๆ จึงพยายามไม่ไปคิดฟุ้งซ่านถึงเรื่องวิญญาณ จริงอยู่ที่เธอไม่รู้ว่าจะมีใครในหกคนนั้นเป็นวิญญาณหรือเปล่า แต่ไม่ว่ามันจะมีหรือไม่มี ก็ขอแค่ว่าอย่ามายุ่งกับเธอก็พอ เพียงแค่เรื่องล่าวิญญาณนี่ก็ทำให้เธอต้องหวาดผวามากพออยู่แล้ว
ลิฟต์เปิดรับคนจากชั้นอื่นบ้างเป็นประปรายจนกระทั่งเลื่อนลงมาจอดที่ชั้นหนึ่ง กลุ่มคนทั้งหกพากันเดินออกจากลิฟท์ออกไปตามๆ กัน เธอกับดีจึงต้องเดินตามพวกเขาออกมาด้วย ทันทีที่ได้ก้าวขาออกมาจากตัวลิฟท์เมย์ก็รู้สึกว่าตัวเองหายใจได้สะดวกขึ้นราวกับว่าไม่มีอะไรบางอย่างที่ไร้ตัวตนมาวางทับอยู่บนหน้าอกอีกต่อไป
เสียงพูดคุยกันอย่างสนิทสนมดังมาจากกลุ่มคนทั้งหกตรงหน้า พวกเขาคงจะเป็นกลุ่มเพื่อนสนิทที่มาเรียนเต้นด้วยกัน หรือไม่ก็อาจจะเป็นดารากันทั้งหกคนเลยก็ได้เพราะว่าในหมู่คนรอบข้างมีบางคนถึงกับชี้นิ้วมาทางนี้ด้วยความสนใจ ดังนั้นเมย์จึงวิตกกังวลเล็กน้อยว่าจะมีใครสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของเธอกับดีหรือเปล่า
ในระหว่างที่กำลังเดินตามกลุ่มคนทั้งหกคนตรงหน้าไปเรื่อยๆ หญิงสาวก็อดที่จะคิดสงสัยไม่ได้ว่าดีรู้เรื่องวิญญาณร้ายกำลังจะมาทำร้ายคนที่ชื่อเก๋ได้อย่างไร ทั้งที่เขาเองก็ยืนซ่อนตัวอยู่ในตรอกนั้นกับเธอแท้ๆ แต่จู่ๆ ก็โพล่งเรื่องนี้ออกมา ราวกับว่าเขาได้ติดต่อกับใครมาก่อนอยู่แล้วอย่างนั้นแหละ
หรือว่าดีจะมีผู้ช่วยอีกคนอยู่หรือเปล่า
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ เมย์ยิ่งรู้สึกสัยเกี่ยวกับการล่าวิญญาณอะไรนี่ ทำไมการล่าวิญญาณครั้งนี้ถึงได้ต่างออกไปจากเมื่อตอนเช้าที่ต้องใช้กล้อง ดีไม่ต้องการกล้องของเธอแล้วเหรอไง
ทันใดนั้นเองหญิงสาวก็สังเกตเห็นว่ามีคนคนหนึ่งในกลุ่มคนทางด้านซ้ายมือที่กำลังเดินสวนมาทางนี้ มีใบหน้าของคนสองคนซ้อนทับกันอยู่ กำลังถลึงตาจ้องตรงมาที่หนึ่งในกลุ่มหญิงสาวทั้งหกตรงหน้าด้วยสายตาอาฆาต
ไม่นะ
“ดี...” เมย์ยืนตัวแข็งอยู่กับที่โดยอัตโนมัติ เบิกตากว้างมองไปยังชายร่างผอมสวมหมวกแก๊ปผู้มีใบหน้าซ้อนทับกับวิญญาณร้ายของหญิงสาววัยรุ่น
ดีหันมาตามเสียงเรียกก่อนที่จะหันขวับไปยังชายร่างผอมคนนั้นตามสายตาของเธอ เมย์ลอบถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งอกที่วิญญาณร้ายครั้งนี้ไม่ได้มีสภาพอย่างสัตว์ประหลาดเหมือนวิญญาณของคนที่ชื่อบอยเมื่อตอนเช้า
“แฟนคลับอาละวาดจนพลั้งมือฆ่าดาราสินะ” ชายหนุ่มพึมพำออกมา แล้วหันมาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างกับว่าไม่ได้รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อย “เธอเดินเข้าไปหามันแล้วลากตัวเข้าไปในห้องน้ำเลยนะ”
“ฮะ เดี๋ยว...จะให้ทำตอนนี้เลยเนี่ยนะ”
“เอากระเป๋าไปด้วย พอเข้าไปในห้องน้ำแล้วก็เทใบชาแห้งใส่มันซะ เดี๋ยวฉันจะไปเอาป้ายทำความสะอาดมาตั้งเอง” ดีออกคำสั่งต่อพร้อมกับจับหูหิ้วกระเป๋ากีฬายัดใส่ลงในมือของเธอ แล้วเขาก็เดินนำไปตามทางที่มีป้ายสัญลักษณ์บอกทางไปห้องน้ำก่อนที่จะหายตัววับไปกับกลุ่มคนจำนวนมาก ทิ้งให้เธอต้องยืนอ้าปากค้างเหมือนคนบ้า มองตามทิศที่เขาหายตัวไปอยู่เพียงคนเดียว
แม้ว่าของที่อยู่ในมือจะไม่ได้หนักอึ้งอะไรจนเรียกได้ว่าเบาหวิวเลยด้วยซ้ำ แต่หน้าที่ที่เขายัดเยียดมาให้พร้อมกันกับกระเป๋าใบนี้นั้นกลับช่างหนักหน่วงแสนสาหัส จนทำให้เธอแทบอยากจะร้องตะโกนออกมาดังๆ เสียเหลือเกิน
หญิงสาวสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วทำใจกล้า เดินเข้าไปคว้าแขนของหนุ่มร่างผอมที่กำลังถูกสิงอยู่โดยไม่พูดไม่จา ทำให้เขาหันขวับมามองเธออย่างระแวง
“นี่คุณ!...คุณจะทำอะไรน่ะ!?”
เมย์พยายามออกแรงดึงให้อีกฝ่ายเดินมาด้วยกัน แต่เขากลับต้านแรงของเธอเอาไว้จนดูเหมือนกับว่าพวกเธอกำลังจะก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันในไม่ช้า และทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มหันมามองทางนี้ด้วยความสงสัย รวมทั้งกลุ่มดาราสาวทั้งหกนั้นเองก็ชายตามาทางพวกเธอแวบหนึ่งด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะหันกลับไปทางเดิมอย่างไม่สนใจแล้วกันเร่งฝีเท้าเดินจากไปเร็วขึ้นอีก
‘ร่างภาชนะ’ สะบัดแขนให้หลุดออกจากการเกาะกุมสุดแรงจนถึงกับทำให้กระเป๋าของดีหลุดจากมือเธอไปด้วย จากนั้นเขาก็ทำท่าว่าจะรีบวิ่งไล่ตามหกคนนั้นไป
เธอไม่ชอบดูละคร จึงไม่รู้จักมารยาหญิงอะไรทั้งนั้น
เธอไม่ชอบการหลอกลวง จึงเกลียดการพูดโกหก
“ฉันรู้นะว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไร!” เมย์รีบโพล่งออกไปทันทีโดยที่หวังว่ามันจะช่วยรั้งตัวอีกฝ่ายเอาไว้ได้
ได้ผล
หนุ่มร่างผอม หรือวิญญาณสาววัยรุ่นซึ่งน่าจะมีอายุไม่เกินยี่สิบปีชะงักไป แล้วค่อยๆ หันกลับมามองเธอช้าๆ
ดวงตาลึกของอีกฝ่ายคือดวงตาของมนุษย์ก็จริง แต่มันกลับให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเหลือเกินยามที่เธอจ้องมองลึกเข้าไปในนั้น ซ้ำยังมีดวงตาแห่งความเหงาหงอยซ้อนทับกันถึงสองคู่ มันเหมือนกับว่าเธอไม่ได้กำลังมองพวกวิญญาณ แต่กำลังมอง ‘ตัวเอง’ อยู่ต่างหาก
ความรู้สึกเสียวสันหลังวาบด้วยความหวาดผวาแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างในทันทีเมื่อใบหน้าซ้อนทับกันทั้งสองตรงหน้าค่อยๆ ขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้ หญิงสาวเผลอกลั้นหายใจเอาไว้ด้วยความหวาดหวั่น พร้อมกับก้าวขาถอยห่างออกจากอีกฝ่ายอย่างระแวง เขาถลึงตาใส่เธอจนทำให้เธอต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาน่ากลัวทั้งสองคู่นั้นไปในที่สุด แล้วเหลือบมองต่ำลงไปยังกระเป๋าคาดเอวของคนตรงหน้า จึงเห็นว่ามือขวาที่กำลังซุกอยู่ในนั้นค่อยๆ เคลื่อนออกจากกระเป๋าทีละน้อย
เผยให้เห็นด้ามเหล็กสีเงินอันวาววับ
มีด!
เมย์รีบก้าวถอยหนีห่างจากคนตรงหน้าโดยพลัน แต่ความตกใจกลัวก็ทำให้สติของเธอขาดหาย ยืนนิ่งค้างอยู่เป็นรูปปั้นอย่างคนทำอะไรไม่ถูก
ปลายมีดโผล่พ้นออกมาจากกระเป๋า พุ่งตรงเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว
ไม่นะ!
ทันใดนั้นเองใบชาแห้งจำนวนมากก็ถูกสาดเข้าใส่ร่างของหนุ่มร่างผอมตรงหน้ามาจากทางด้านหลัง เรียกเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังมาจากเหล่าคนรอบข้างซึ่งพากันวิ่งหลบไปจากบริเวณนี้โดยพลันหลังจากที่สังเกตเห็นมีดในมือของหนุ่มร่างผอม
ร่างของชายหนุ่มค่อยๆ ทรุดตัวลงขณะวิญญาณของผู้เป็นเจ้าของร่างตัวจริงและวิญญาณของหญิงสาววัยรุ่นกำลังฉีกกระชากกันและกันจนเลือดสีสดสาดกระจายไปทั่วพื้น เผยให้เห็นดียืนอยู่ฝั่งตรงข้ามข้างๆ กับกระเป๋าพร้อมด้วยขวดโหลใบเดิมในมือ กำลังมองตรงมาทางเธอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเคย
แต่แล้วไม่กี่วินาทีถัดมาวิญญาณร้ายของหญิงสาวก็หลุดออกมาจากร่างของชายหนุ่ม ผิดกับเจ้าสัตว์ประหลาดเมื่อตอนเช้าที่ใช้เวลาต่อสู้กับผู้เป็นเจ้าของร่างอยู่นานพอสมควร วิญญาณร้ายของสาววัยรุ่นตรงหน้านี้กลับยอมแพ้ไปอย่างง่ายดาย แล้วรีบเคลื่อนตัวเข้าไปร้านอาหารด้านข้างด้วยความเร็วสูงก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่สาวเสิร์ฟคนหนึ่งทันควัน
เมย์รีบหันไปหาดีด้วยความตื่นตระหนกหลังจากที่ได้เห็นวิญญาณร้ายเข้าสิงคนเป็นๆ ต่อหน้าต่อตา
อุตส่าห์ไล่มันออกจากร่างของหนุ่มร่างผอมคนนั้นไปได้แล้วแท้ๆ แต่มันกลับไปสิงคนอื่นแทน ถ้าไล่ไปแล้ว มันกลับเอาแต่สิงคนทั่วไปอยู่แบบนี้ก็แย่น่ะสิ แบบนี้ก็ต้องคอยไล่กันอยู่เรื่อยๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุดเลยเหรอไง
ดีถอนหายใจ แต่กลับให้ความรู้สึกเบื่อหน่าย ดูไร้อารมณ์ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนใดๆ ทั้งสิ้น ต่างจากเธอที่กำลังหวาดวิตกว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปกันคนละขั้ว
สาวเสิร์ฟชักกระตุกรุนแรงอย่างน่ากลัว ตาเหลือกขึ้นจนเห็นเพียงแค่ตาขาว น้ำลายฟูมปาก ถ้วยชามในมือร่วงหล่นลงพื้นแตกเป็นชิ้นๆ เป็นเหตุให้พนักงานอีกคนรีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองตัวด้วยความเป็นห่วง และกลายเป็นเป้าสายตาของลูกค้าภายในร้านและคนข้างนอกไปในทันใด
ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างของสาวเสิร์ฟผู้เคราะห์ร้ายก็นิ่งไปอย่างฉับพลัน แขนสองข้างห้อยต่องแต่งมาด้านหน้า แล้วยืนนิ่งอยู่ในสภาพนั้น เพื่อนร่วมงานที่กำลังช่วยพยุงอยู่หันรีหันขวางอย่างร้อนรน บางทีอาจจะกำลังอยากได้ความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง
ทันใดนั้นเองอยู่ๆ สาวเสิร์ฟก็แสยะยิ้มกว้าง พุ่งตัวออกมาจากร้านอาหารด้วยความเร็วสูง แล้ววิ่งหายเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังยืนเกาะกลุ่มรวมตัวอยู่ทางด้านหลังของดี ซึ่งเป็นทางที่กลุ่มดาราทั้งหกคนนั้นเดินผ่านไปเมื่อก่อนหน้านี้
เจ้าวิญญาณร้ายนั่นมันคงจะต้องการจะไปฆ่าคนที่ชื่อเก๋นั่นแน่ๆ
ดีก็คงจะรู้ตัวด้วยเช่นกัน จึงได้หันไปสาดใบชาแห้งที่ยังคงเหลืออยู่ในขวดโหลใส่ด้านหลังของสาวเสิร์ฟ ทำให้อีกฝ่ายต้องบิดตัวอย่างทุรนทุรายไปพร้อมกับที่วิญญาณของหญิงสาวทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด คนรอบข้างพากันเขยิบถอยหนีห่างออกจากสาวเสิร์ฟผู้โชคร้ายที่ดูเหมือนจะเกิดอาการชักกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง หลายคนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายคลิปวิดีโอ แต่มีบางคนที่ชี้ไปยังใบชาแห้ง แล้วเริ่มพากันถอยหนีด้วยความหวาดกลัว เมื่อมีคนหนึ่งจุดประเด็นเรื่องใบชาแห้งขึ้นมา คนอื่นๆ จึงถอยกรูดตามกันอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาคงจะนึกว่าใบชาเป็นอันตรายจนทำให้สาวเสิร์ฟคนนั้นต้องแสดงอาการทรมานออกมา
ไม่มีใครมองเห็น
มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่มองภาพตรงหน้าเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในขณะนี้
ห้าวินาทีถัดมา วิญญาณร้ายก็ยอมถอดตัวเองออกมาจากร่างของสาวเสิร์ฟ แล้วพุ่งเข้าใส่ใครสักคนในกลุ่มคนแถวนั้นเป็นรายต่อไปโดยพลัน ทำให้ใครคนนั้นแสดงอาการชักไปทั่วร่างเช่นเดียวกับสาวเสิร์ฟ เมย์พยายามวิ่งเข้าไปหากลุ่มคนทั้งหลาย แต่กลับถูกคนจำนวนมากดันออกมา ทำให้เธอมองไม่ชัดว่าวิญญาณร้านเข้าไปสิงใครกันแน่
เมย์หันไปทางกลุ่มดาราสาวทั้งหกคนก่อนหน้านี้ที่เดินทิ้งระยะห่างไปจากบริเวณนี้ค่อนข้างไกลพอสมควร แต่มันกลับยิ่งทำให้ตกเป็นเป้าสายตาได้อย่างง่ายดายในเมื่อทั้งหกนั้นไม่ได้ยืนรวมอยู่กับกลุ่มผู้คนจำนวนมากที่มามุงดูเหตุการณ์อีกต่อไป
ทันใดนั้นเองก็มีชายวัยกลางคนในชุดลำลองคนหนึ่งวิ่งออกไปจากกลุ่มคนทั้งหลายที่กำลังยืนมุงดูสาวเสิร์ฟกันอยู่ แล้วตรงปรี่เข้าไปหาดาราสาวทั้งหกคนนั้น
เมื่อเห็นดังนั้นเมย์จึงรีบวิ่งตามอีกฝ่ายไปทันทีโดยวิ่งอ้อมกลุ่มคนที่ยืนชุลมุนกันอยู้หน้าร้านอาหารออกไปหน่อย
“รีบหนีไปเร็ว!!” หญิงสาวตะโกนเสียงลั่นด้วยความตื่นตระหนก ภาวนาขอให้พวกเขาได้ยินเสียงของเธอด้วยเถอะ
หนึ่งในหกคนนั้นหันหลังกลับมามอง ก่อนที่จะรีบสะกิดเรียกเพื่อนคนอื่นๆ อีกห้าคนอย่างตื่นตระหนกทันทีที่เห็นว่ามีคนแปลกหน้ากำลังวิ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง ทั้งหกคนจึงแตกออกเป็นสามกลุ่ม วิ่งหนีกระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง ส่วนชายวัยกลางคนผู้ถูกวิญญาณร้ายสิงสู่ก็ยังคงวิ่งไล่สองคนที่กำลังหนีไปตามทางเดิน แสดงว่าหนึ่งในสองคนนั้นคงจะเป็นเป้าหมายตัวจริงของมัน
เมย์หยุดฝีเท้า ไล่สายตามองตามผู้ถูกสิงที่กำลังวิ่งไล่สองคนนั้นด้วยความวิตก
“ไม่น่ารอด” เสียงบ่นพึมพำของดีดังขึ้นที่ข้างตัว ทำให้หญิงสาวต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
“นายจะไม่ทำอะไรหน่อยเหรอ!?”
“ร่างภาชนะนั่นไม่น่าจะไปไหวแล้วล่ะ...” เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย ก่อนจะยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นน้อยๆ ราวกับว่ากำลังรู้สึกสนุกอยู่ก็ไม่ปาน “นั่นไง ถูกยามจับตัวเอาไว้แล้ว”
หญิงสาวหันไปมองภาพการถูกจับกุมตัวของชายผู้โชคร้าย ยามประจำห้างสองคนกำลังใช้แรงกดอีกฝ่ายลงกับพื้นจนทำให้เขาขยับตัวไปไหนไม่ได้อีก แต่เธอกลับต้องมองภาพดังกล่าวอย่างวิตก เขาคนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย เขาถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงต่างหาก แล้วเธอก็ไม่คิดว่ามันจะยอมอยู่ในร่างของคนที่ถูกจับแบบนี้ต่อไปอีกนานแน่
“แต่...แต่วิญญาณร้ายมันยังอยู่นี่ ถ้าเกิดว่ามันไปสิงคนอื่นต่ออีกล่ะ” เสียงหวาดหวั่นถามคนข้างกายอย่างเป็นกังวล
เมย์ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เธอพูดถูก เราเสียเวลามากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ต้องรีบจัดการไม่ให้มันไปสิงคนอื่นต่ออีก” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบก่อนที่จะเดินตรงไปทางยามทั้งสองคนซึ่งกำลังยืนพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่
แต่แล้วเมย์ก็ต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นเขาเดินผ่านยามทั้งสองคนนั้นไป โดยเดินตรงเข้าไปหาดาราสาวทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงด้านหลังแทน ทั้งคู่มีสีหน้าซีดเผือด และอยู่ในสภาพตื่นตระหนกพอๆ กัน
ดีหยุดยืนเมื่อเข้าไปใกล้สองคนนั้นพร้อมกับวางกระเป๋ากีฬาในมือลงกับพื้น ก่อนที่จะก้มลงไปรูดซิปเปิดกระเป๋า แต่ดาราสาวทั้งสองกลับยังคงมองตรงไปยังชายวัยกลางคนที่นอนราบอยู่กับพื้นเบื้องหน้า ทั้งคู่คงจะกำลังหวาดผวาถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้จึงทำให้ไม่รู้สึกตัวถึงคนรอบข้าง
เมย์ยืนมองการกระทำของดีด้วยความสนใจ เขาคิดจะทำอะไรน่ะ หรือว่าจะใช้ใบชาที่เหลืออยู่กับเป้าหมายเพื่อเป็นยันต์ป้องกันหรือเปล่า หรือไม่ก็อาจจะให้เก็บเอาไว้กับตัว?
หญิงสาวเบือนสายตากลับมายังวิญญาณร้ายที่ยังคงอยู่ในร่างของชายวัยกลางคนอย่างสงบเงียบ บางทีมันอาจจะกำลังหาจังหวะที่พวกเธอเผลอเพื่ออาศัยโอกาสนั้นในการเข้าสิงเหยื่อคนใหม่อยู่...
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นเปรี้ยงขึ้นท่ามกลางเสียงอื้ออึงของผู้คนรอบข้าง เมย์สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ รีบตวัดสายตากลับไปยังดีทันที แต่แล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้าง มองภาพเหลือเชื่อที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง
ชายหนุ่มโยนปืนสีเงินกลับลงไปในกระเป๋าของตัวเอง จากนั้นก็รวบหูหิ้วหยิบมันขึ้นมาวางพาดเอาไว้อยู่บนบ่าซ้าย เดินกลับมาทางเธอโดยที่ทิ้งภาพความวุ่นวายและเสียงกรีดร้องลั่นด้วยความตกใจของดาราสาวอีกคนเอาไว้อยู่เบื้องหลัง
สีหน้าเรียบสนิท ไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น
เมย์รู้สึกว่าตัวเองเผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะ ขนลุกชันไปทั่วทั้งร่างด้วยความหวาดผวา ทั้งที่ในหัวมีเสียงร้องตะโกนบอกให้รีบหนีไปจากตรงนี้ แต่ขาทั้งสองข้างกลับแข็งทื่อราวกับเป็นอัมพาตเสียจนขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้
ทั้งที่กลัวแสนกลัว แต่ก็ทำได้แค่เพียงจ้องเขม็งไปยังใบหน้าเรียบนิ่งของคนตรงหน้า
ฆาตกร!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ