ลุ้นรัก...นางร้ายเจ้าเสน่ห์

-

เขียนโดย ploynin

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 10.55 น.

  18 ตอน
  1 วิจารณ์
  21.38K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) เมื่อนางร้ายเป็นข่าว(จบตอน)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 6 เมื่อนางร้ายเป็นข่าว

          “คุณเดย์ มาแล้วหรอค่ะ วันนี้คนไข้ไม่ยอมทานข้าวเลย เอาแต่บอกว่าจะรอคุณเดย์ก่อน” หญิงสาวเปิดประตูเข้ามาในห้องพักของมารดาก็พบพยาบาลที่ตรงหรี่มารายงานทันที ร่างบางพอได้รู้ก็ให้พยาบาลนำอาหารเข้ามาให้มารดาของเธอ นั่งลงแล้วรีบชวนบุพการีคุยเพื่อชีชวนให้ทานอาหาร

          “แม่น้ำ เดย์นะค่ะ” ร่างบางจับมือมารดาขึ้นมากุมพร้อมบีบเบาๆ เพราะเห็นว่าหลังจากคุยกันสักพัก มารดายังเหม่อลอยเหมือนตัวเองอยู่คนเดียว

          เมื่อได้รับการสัมผัสอย่างอบอุ่นจากลูกสาวรวมถึงคำพูดนุ่มนวลทำให้แม่น้ำ หรือชลดาค่อยๆ หันมามองตามเสียง ยิ้มแล้วหันกลับไปเหม่อลอยเหมือนเดิม

          “แม่น้ำทานข้าวนะค่ะ”

          “เดย์ น้องเดย์ จะรอน้องเดย์” พูดเหมือนตอบรับแต่ลักษณะท่าทางนั้นเหมือนรอคอยอยู่อย่างนั้น

          “แม่น้ำ เดย์อยู่นี่นะ แม่น้ำทานข้าวกับเดย์หน่อยนะค่ะ เดย์ทานข้าวไม่อร่อยเลยถ้าไม่น้ำไม่ทานด้วย” เสียงปะเหลาะตบท้ายเรียกร้อยยิ้มอ่อนๆ ของคนป่วยได้เล็กน้อยก่อนจะยอมทานอาหารที่ร่างบางป้อนให้ ร่างบางป้อนข้าวมารดาจนเกือบหมดมารดาก็ไม่ยอมอ้าปากอีก ร่างบางพยายามโน้มน้าวจนมารดายอมทานข้าวจนหมดก่อนปิดด้วยผลไม้เนื้อนิ่มย่อยง่าย

          ช่วงที่อยู่กับมารดา เดย์พยายามชวนคุยไปเรื่อง ซึ่งปกติแล้ววันๆ หนึ่งเธอคุยอะไรกับใครๆ ได้ไม่นาน เหมือนจะถามคำตอบคำเสียมากกว่า หากจำเป็นจึงพูดคุยด้วยมากขึ้น ส่วนแหววนั้นสนิทกันจึงปรึกษาได้ทุกอย่าง ส่วนมารดานั้น เธอมาเยี่ยมแล้วพูดคุยเรื่องต่างๆ ที่พบเห็นในชีวิตประจำวันให้ฟัง ถึงแม้มารดาจะไม่มีทีท่าสนใจเลยสักนิดก็ตาม ร่างบางอยู่กับมารดาราวสองชั่วโมงก็ถึงเวลาพักผ่อนของมารดา คุณหมอจ่ายยานอนหลับให้เพราะเห็นว่าคนไข้ไม่ค่อยพักผ่อนเลย และเมื่อหญิงสาวเดินออกจากห้องพักของมารดาหลังฝากฝังพยาบาลพิเศษแล้วก็ตรงไปห้องพักแพทย์ซึ่งคุณหมอเจ้าของไข้กระซิบบอกให้เธอออกมาคุยเกี่ยวกับอาการของมารดา

          “คุณชลดาช่วงนี้ไม่ค่อนพักผ่อน หมอเลยจ่ายยานอนหลับให้” คุณหมอชี้แจง

          “แม่น้ำ ร่างกายส่วนใหญ่ปกติใช่มั้ยค่ะ”

          “ครับทางเราดูแลเป็นอย่างดี ส่วนสภาพจิตใจของเธอบอบช้ำและคนไข้เหมือนพยายามปฏิเสธความจริง ทำให้ส่วนสมองจมจ่อมอยู่กับการปิดกั้น จนลืมเรื่องของร่างกายไป”

          “ส่วนสภาพจิต” เดย์เปรยเบาๆ กับตัวเองถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

          “แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ คนไข้มีโอกาสหาย แต่ต้องใช้เวลาปลอบโยนเพื่อกอบกู้จิตใจกลับคืนมา”

          เดย์พูดคุยกับคุณหมอเจ้าของไข้ อยู่สักพักเพื่อให้แน่ใจว่ามารดาของตนเองปลอดภัยสบายดี โรคทางใจใช้ใจรักษาไม่พอ เวลาเป็นสิ่งสำคัญ แต่ใจของคนที่ต้องคอยรักษาบางทีมันก็ล้าจนแทบหยุดเต้น ร่างบางจมกับความคิดระหว่างนั่งรถกลับมาที่คอนโด พอถึงที่หมายก็ลงจากรถเพื่อกลับขึ้นห้องของตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวไปถึงลิฟท์ ก็ได้ยินเสียงเรียกเธอไว้ก่อน

          “น้องเดย์” ร่างบางหันไปก็พบว่าเป็นบิดาของตนที่ลงจากรถเก๋งราคาแพงของตัวเองตรงมาที่เธอพร้อมถุงอะไรสักอย่างในมือ

          “ทำไมกลับบ้านดึกจังเลยลูก พ่อรอหนูตั้งเกือบชั่วโมงแน่ะ”

          “รอทำไมค่ะ” น้ำเสียงเรียบเฉยเป็นปกติหลังจากที่เขาแยกทางกับชลดามารดาของร่างบางตรงหน้า

          “พ่อเอาของฝากมาให้” พร้อมยื่นถุงในมือมา

          เดย์มองถุงของที่อยู่ในมือของบิดาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ไม่มีความรู้สึกยินดียินร้ายกับสิ่งนั้นเลย แต่ก็ยื่นมือไปรับมาแล้วกล่าวของคุณอย่างเสียไม่ได้

          “คุณพ่อไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย เดย์ขอตัวก่อนนะ มีงานที่ต้องทำต่อ” ร่างบางเอ่ยไล่ทางอ้อม

          “เดี๋ยวสิลูก พ่อมีเรื่องจะพูดด้วย” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความสำคัญของเรื่องที่ต้องการบอก ทำให้ร่างบางถอนหายใจออกมา “ไม่นานลูก” บิดาสำทับอีกครั้งเพื่อให้ลูกสาวได้เปิดโอกาสให้เขาได้พูด

          “งั้นเชิญคุณพ่อค่ะ” ร่างบางเดินนำบิดาไปที่ลิฟต์เพื่อขึ้นไปห้องพักที่อยู่ชั้นบน

          “พ่อซื้อน้ำหอมจากฝรั่งเศส กลิ่นที่ลูกชอบมาให้ แล้วก็มีที่พิเศษกว่านั้นอีกนะ แต่ลูกต้องเปิดดูเอง” ผู้เป็นบิดาเปิดเรื่องหลังจากที่เข้ามาในห้องลูกสาวแล้ว ซึ่งเดย์เองก็ยังนิ่ง เดินเข้าครัวเพื่อหาน้ำมาต้อนรับ

          “พ่อว่าลูกน่าจะไปอยู่เพนท์เฮาส์ที่คอนโดของเราดีกว่านะ” บิดายังชวนคุยในขณะเดียวกันก็สำรวจห้องลูกสาวไปด้วย “เมื่อเช้าไนท์อยู่ที่นี่หรอ” เพราะท่านสังเกตเห็นจานอาหารที่ยังไม่ได้ล้าง ท่านรู้ดีว่าลูกสาวไม่ทานอาหารเช้า จะมีก็แต่กาแฟดำแก้วเดียวเท่านั้น เหมือนตัวท่านเอง

          “ค่ะ เดย์ไปส่งที่โรงเรียนเมื่อเช้า”

          “มาอ้อนอะไรอีกละสิ ลูกคนนี้”

          “มีเรื่องมาปรึกษานิดหน่อยนะค่ะ”

          “หรอ ลูกคนนี้ เป็นผู้ชายแท้ๆ ทำไมไม่ปรึกษาพ่อนะ”

          “คงเห็นว่าคุณพ่อยุ่งๆ มั้งค่ะ”

          “แต่พ่อมีเวลาให้ลูกทุกคนเสมอนะ”

          “คุณพ่อมีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่าค่ะ”

          “เดย์! ลูกไม่เหนื่อยหรอที่ใช้ชีวิตอย่างทุกวันนี้น่ะ ลูกมีทางเลือกที่ดีกว่านะ”

          “คุณพ่อค่ะ ถ้าจะพูดเรื่องการเลือก เดย์เลือกแล้ว แล้วเดย์ก็เลือกแม่น้ำ ผลที่ตามมา เดย์พร้อมรับเสมอ”

          “น้ำเขาโชคดี ที่มีเดย์อยู่ ถ้าเดย์ไม่บรรลุนิติภาวะซะก่อน พ่อคงพูดกับเราได้ง่ายกว่านี้”

          “คงบังคับได้ง่ายกว่านี้” ร่างบางแก้ไขคำพูดให้คนเป็นพ่อ พร้อมมองตาเพื่อสื่อความหมายที่ถูกต้องให้พร้อมแสยะยิ้มที่คนเป็นพ่อรู้ว่าไม่ควรพูดเรื่องนี้อีก ไม่อย่างนั้นคงเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย

          “เอาเป็นว่าพ่อจะไม่พูดเรื่องนี้อีก ที่พ่อบอกมีเรื่องสำคัญจะบอกคือ พ่อซื้อนี่ให้ลูก เก็บไว้ดีๆ” บิดายื่นซองเอกสารซองใหญ่มาให้

ร่างบางมองด้วยสายตาเมินเฉย แต่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะรู้ดีว่า ถึงปฏิเสธอย่างไรก็คงไม่เป็นผล ได้แต่ยื่นมองออกไปรับมาเปิดดู จึงรู้ว่าเป็นโฉนดที่ดิน แต่ที่ไหนนั้นเธอก็ไม่ได้สนใจ เก็บเอกสารกลับเข้าซองก่อนเดินนำมันไปไว้ที่โต๊ะทำงานแล้วกลับมานั่งที่โต๊ะรับแขกเหมือนเดิม

“ตอนนี้พ่อจ้างคนดูแลให้ก่อน เผื่อเดย์อยากพักผ่อน ลูกจะได้มีที่พักที่ใครก็กวนใจลูกไม่ได้”

“ขอบคุณค่ะ”

“พ่อมีธุระเท่านั้น พ่อไปละ ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีนะลูก อย่าโหมงานหนักนัก” บิดาเดินตรงไปที่ประตูทางออกซึ่งร่างบางก็เดินตามมาส่ง ก่อนจะปิดประตูลง บิดาก็หันมาลูบลงบนศีรษะขอบลูกรัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ร่างบางเองก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่มองตามจนบิดาลงลิฟต์ไปแล้วค่อยปิดประตู

วันนี้ทั้งวันเธอเหนื่อยอยู่แล้ว แต่ที่เหนื่อยที่สุดเห็นจะเป็นคนสุดท้ายที่มาหา ระหว่างเธอกับบิดาเหมือนมีหลุมขนาดใหญ่กั้นกันไว้ไม่ให้เหมือนเดิมอีกต่อไป ท่านบอกทางให้เลือก เธอเลือกแล้ว และเธอก็บอกทางให้ท่านเลือก ท่านก็เลือกแล้ว ตอนนี้ที่เป็นอยู่ ท่านเองและตัวเธอก็ต้องยอมรับผลของมัน ครอบครัวที่เคยมีความสุข กลับกลายเป็นความแตกแยก เพราะคำว่า ‘เงิน’ และ ‘ทรัพย์สมบัติ’ เท่านั้นที่เป็นตัวการ และวิธีการที่ได้มันมาของคนเป็นพ่อคือการสละครอบครัวที่อบอุ่นของตัวเอง

ไม่ใช่เธอไม่เห็นใจคนเป็นพ่อ เนื่องจากท่านเป็นลูกชายคนเดียวมีภาระหน้าที่ที่ต้องมีความกตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดเช่นเดียวกับเธอ และแม่ของเธอก็ไม่เป็นที่ยอมรับของครอบครัวนั้น เธอจึงต้องยอมรับแม่ของเธอและอยู่ดูแลท่าน ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสำหรับคนเป็นลูก ไม่ใช่เธอไม่รักพ่อ ไม่กตัญญูต่อท่าน แต่แม่เป็นคนที่เสียหายและสูญเสียมากที่สุด พ่อไม่มีเธอท่านอยู่ได้ และอยู่ได้ด้วยดี แต่แม่น้ำไม่เหลือใคร และไม่มีอะไรเหลือ

“เดย์ ถูกต้องแล้วที่เลือกทางนี้ มันไม่ใช่ไม่มีความสุขเสียทีเดียว เธอมีความสุขกับความถูกต้องที่เธอเลือก ส่วนความสุขสบายทางกาย เป็นเรื่องภายนอกที่แต่ละคนเขาก็ดิ้นเพื่อให้ได้มา ซึ่งเธอเองก็คนธรรมดาที่เลือกแล้วว่าจะสุขสบายแค่ไหน” ร่างบางนั่งพึมพำกับตัวเองสักพักที่ปลายเตียง ก่อนถอนหายใจเรียกสติตัวเองคืนเพื่อทำตามตารางที่ได้วางแผนไว้เมื่อวานให้แล้วเสร็จ

 

กลับมาทางผมเลยละกัน ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกทรมานชะมัด ร่างกายของเธอเปรียบเหมือนน้ำมันที่สามารถทำให้ผมติดไฟขึ้นมาได้ง่ายๆ ตอนนี้ผมบอกแล้วว่าผมกำลังทรมาน พยายามใช้ดัชนีนายทั้ง 5 ช่วยปลดปล่อยความต้องการ หลังจากที่ฉากเมื่อครู่ผมเล่นจริงและมันก็ทำให้ผมอยากจริงๆ ถ้าเพื่อนในก๊วนรู้เข้าว่าผมถึงกับต้องมาใช้วิธีนี้ในการช่วยตัวเองมันคงหัวเราะกันสามวันสามคืนไม่หยุดแน่ โดยเฉพาะไอ้ไอ แล้วใครจะให้พวกมันได้รู้ละ หลังจากผู้กำกับสั่ง คัท! ผมก็วิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน อยู่ในนี้มากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ทำอะไรก็บอกไปแล้วนิ ระหว่างที่ทำก็นึกถึงใบหน้าหวาน ยิ่งตอนที่ผมสัมผัสตัวเธอ โอ้ย! นี่เธอเป็นยาปลุกรึเปล่านะแม่คุณ ผมเริ่มพอจะระงับตัวเองได้ก็อยู่ในนี้ปาไปเกือบชั่วโมง ดีนะที่ผมไม่มีคิวแล้ว ไม่งั้นยุ่งแน่ๆ

พอออกจากห้องน้ำ ผมสอดส่องมองหาว่าเธออยู่ไหน ก็เห็นเธอนั่งทำงานโดยมีเอกสารอยู่ในมือ ผมนั่งมองเธอ แต่ใครๆ คงคิดว่าผมรอเกรท เพราะเกรทยังถ่ายในส่วนของเธอไม่เสร็จ ในช่วงที่เกรทไปทำงานผมก็นั่งอยู่ในมุมหนึ่งที่มองเห็นร่างบางของนางร้ายได้ชัดเจน จนทำให้ผมรู้ว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในกอง ร่างบางทำอยู่สองอย่างคือ คอยแต่งหน้าให้นักแสดงคนอื่นๆ กับงานอะไรสักอย่างที่เป็นเอกสารในมือของเธอ ผมนั่งมองเธอทำงานเพลิน ในขณะที่ผมเองก็มีงานที่ต้องทำอยู่ในมือเหมือนกัน ใช่! รายงานงบการเงินที่ให้เลขาหน้าห้องเตรียมมาให้นั่นแหละ ระหว่างที่รอเธอเลิกงาน ผมก็ทำงานของผมไปแล้วมองเธอไปด้วย เพลินดีเหมือนกัน ไม่คิดว่าชีวิตนี้ผมจะได้ทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นมัธยมที่เจี๋ยมเจี้ยมที่คิดริรักใครแล้วก็มัวแต่อายไม่กล้าเข้าหา ก็นั่นมันใช่ผมซะที่ไหนกัน แต่ตอนนี้ผมยอมรับเลยว่ามันใช่ผมจริงๆ

ผมรู้สึกไปเองรึเปล่า ผมคิดว่าเมื่อมีเธออยู่ใกล้ๆ หรือแค่เห็นเธออยู่ในสายตา มันทำให้ผมใจเย็นขึ้นเยอะ มีสมาธิมากขึ้น ซึ่งปกติแล้วถึงผมจะเก่ง แต่ความใจเย็นนั้นอยู่ในระดับต่ำขั้นวิกฤตเลยก็ว่าได้ แต่เชื่อเถอะว่า ผมไม่เย็นใจและใจเย็นขนาดปล่อยเธอลอยนวลไปได้นานๆ หรอก เพียงแต่ตอนนี้ผมยังไม่สบช่องทางเท่านั้นเอง แต่เชื่อว่าอีกไม่นานอย่างแน่นอน

“เอสค่ะ รอเกรทนานมั้ยค่ะ”

มาละ! ระรื่นมาเชียว ผมคิดในใจ เกรทเป็นผู้หญิงแบบที่ผมชอบนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอเสร็จผมไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานที่เธอเมาจนไม่มีสติ แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ผมไม่คิดอยากจะสานสัมพันธ์กับเธอเลยนี่สิ

“ก็ไม่นะครับ พอดีผมมีงานด้วยก็เลยไม่รู้สึกว่าได้รอ”

“แหม! สุภาพบุรุษมากเลยนะค่ะ”

ไม่ว่าเปล่า ยังก้มนมหกมาบีบจมูกผมจับส่ายไปมาอีก ผมก็ได้แต่ยิ้มรับก่อนเก็บเอกสารที่นั่งดูค้างไว้ใส่กระเป๋า แล้วเหลือบไปเห็นร่างบางของเดย์ที่กำลังเดินตรงออกไปนอกสตูดิโอหลังจากที่เธอเก็บของเสร็จแล้ว

“งั้นเราไปกันเลยมั้ยค่ะ” นางเอกสาวชวนผม

“ครับ”

เราสองคนเดินไปที่รถของผมที่จอดเอาไว้ที่ลานจอดรถของสตูดิโอ พอขับออกมาก็เจอร่างบางที่ผมหมายปองกำลังจะเดินตามทางไปหน้าปากซอย ซึ่งดูแล้วเปลี่ยวมากทีเดียว ผมเลยจอดรถเพื่อให้เธอขึ้นมาด้วย

เธอยอมขึ้นมา ซึ่งผมก็เบาใจเพราะถ้าเธอยังดื้อไม่ยอมขึ้น สงสัยสันดารเดิมผมคงได้ออกมาอีกแน่ อะไรนะหรอ ก็ผมจะอุ้มเธอขึ้นรถเลยนะสิ แล้วคราวนี้ก็อย่าหวังเลยว่าความสัมพันธ์ของเรามันจะเริ่มจากสิ่งดีๆ อีก

แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกกังวลที่สุดเห็นจะเป็นคำพูดคำจาที่ส่อความหมายในการเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผมนี่แหละ ผมกลัวเธอเข้าใจผิดเหลือเกิน แต่ผมตั้งใจแล้วว่าผมต้องเคลียร์เรื่องของเกรทให้เร็วที่สุด เนื่องจากตลอดเวลาที่ผมสังเกตมา เดย์เขาเป็นคนที่ค่อนข้างจริงจัง และให้ความสำคัญกับลำดับเสียด้วย กลัวเธอคิดว่าเกรทมาก่อน แล้วเธอมาทีหลัง แล้วดูจากนางเอกคนนี้ก็รู้ว่าเธอเป็นคนแรงๆ หากเธอไม่คิดจะปล่อยผมจริงๆ แล้วผมดันหลวมตัวมีอะไรกับเธอแล้วละก็ คงยากขึ้นไปอีกที่เดย์จะยอมคบกับผมอย่างแน่นอน

ผมส่งร่างบางลงตรงถนนใหญ่หน้าปากซอย เนื่องจากเธอขอลงแค่ตรงนี้ และเกรทเองก็เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการให้เธอลง ถึงแม้ผมจะเป็นคนขับรถก็ตาม พอเธอลงจากรถแล้วก็ขอบคุณตามมารยาท ร่างบางมองหาแท็กซี่ที่จะเรียก ผมจึงยังไม่ออกรถไป ทั้งที่อีกคนที่นั่งอยู่กับผมบอกให้ผมออกรถไปสักที แต่ผมให้เหตุผลกับเธอไปว่า

“คุณเดย์เขายังไม่ขึ้นรถ อีกอย่างตรงนี้ถึงจะอยู่ตรงถนนใหญ่แต่ก็ยังเปลี่ยวอยู่นะครับเกรท ผมว่าทางที่ดีรออีกหน่อยให้เธอขึ้นรถ จนแน่ใจว่าเธอปลอดภัยแน่นอนแล้วเราค่อยไปก็ได้นะครับ อย่างน้อยเธอก็เป็นเพื่อนร่วมงานของเรานะ”

“ค่ะ!”

นางเอกสาวกระแทกเสียงไม่พอใจ แต่ผมไม่จำเป็นต้องแคร์เธอนิ ผมหันไปสนใจเดย์ที่ตอนนี้โบกแท็กซี่ได้แล้วและกำลังจะขึ้นรถ และในจังหวะก่อนจะขึ้นนั้นเธอหันมาพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณ แล้วขึ้นรถไป ผมขับตามไปอีกหน่อย จริงๆ อยากรู้ว่าเธอจะไปไหน แต่ก็รำคาญคนข้างๆ ที่คอยบอกจะไปโน่นนี่นั่น สุดท้ายผมเลยตัดสินใจไปส่งเธอที่คอนโด เธอชวนผมขึ้นไปนั่งพักก่อน แต่ผมอ้างผมติดงานด่วนแล้วชิ่งออกมาทันที

ผมตรงกลับบ้านทันทีเพราะไม่มีอารมณ์จะไปที่ไหน พอเข้าบ้านมาได้ก็เจอลูกคู่ของคุณแม่กับแม่บ้านคนสนิทนั่งดูละครเหมือนเดิม แต่ตอนที่ผมนั่งลงนั้นละครก็ใกล้จบเต็มที สองสาวไม่ได้สนใจผมเลย สนแต่ละครที่กำลังฉายอยู่ที่จอพลาสมาขนาด 60 นิ้วที่คราวนี้แขวนอยู่ที่ผนังห้อง  เห็นก็รู้แล้วว่าเพิ่งซื้อมาใหม่ สองคนนี้ดูละครแล้วอินกันน่าดู จนละครจบผมก็ได้ยินเสียงรถวิ่งเข้ามาจดที่หน้าบ้าน

“ไปยั่ยนิ่ม คุณผู้ชายกลับมาแล้ว ไปดูสิ กินอะไรมารึยัง” มารดาเดินเร็วๆ มาที่หน้าบ้านเพื่อตอนรับในขณะที่แม่บ้านตรงรี่ไปเพื่อช่วยถือกระเป๋าเอาไปเก็บ

“ไหนว่าจะกลับพรุ่งนี้ค่ะคุณ”

“พอดีธุระเสร็จเร็ว คิดถึงคุณด้วยเลยรีบกลับ อีกอย่างเพื่อนผมมันไม่ยอมอยู่ต่อ เห็นมันรีบซื้อของฝากใหญ่แล้วกลับเลย แต่ติดที่ต้องรอเครื่องเพชรเพราะเห็นว่าสั่งทำน่ะ มันเองก็ไม่กะใจจะเที่ยวผมเลยกลับมาก่อน”

“อ๊าว! เจ้าสัวชัยเขาไปด้วยหรอค่ะ คงไม่พาภรรยาไปด้วยแน่เลยถึงได้รีบกลับ”

“คงงั้น เห็นเดินซื้อพวกน้ำหอมแล้วก็เครื่องเพชรนะ แต่แบบมันไม่น่าจะเป็นของภรรยาเขาหรอก คงซื้อให้ลูกสาวแหละ”

“ลูกสาว? เจ้าสัวชัยเขามีลูกสาวด้วยหรอค่ะ ฉันเห็นเขามีลูกชายคนเดียวนิค่ะ”

“ชัยมันเพิ่งบอกกับพี่นี่แหละ”

“กี่ขวบค่ะ สงสัยลูกเล็กแน่เลย ท่าจะรักมากเสียด้วย เตรียมเครื่องเพชรให้ด้วยนินา”

“กี่ขวบผมก็ไม่ได้สนใจด้วยสิ ว่าแต่ที่รัก ผมหิวข้าวมากเลย ตั้งแต่ลงเครื่องมาผมยังไม่ได้กินอะไรเลยนะนี่ มีอะไรให้ผมกินบ้างมั้ย”

สองสามีภรรยาคุยกันอีกเล็กน้อยก็พากันไปที่ห้องอาหาร ซึ่งตรงนั้นก็มีลูกชายคนเดียวของบ้านนั่งรออยู่แล้ว

“อ้าว เอส ลูกยังไม่ได้ทานข้าวหรอลูก” มารดาถามงงๆ เพราะคิดว่าลูกชายน่าจะเรียบร้อยมาแต่ข้างนอกแล้ว เพราะแต่ไหนแต่ไรก็เป็นอย่างนี้มาตลอด

“ยังครับ พอจะขออะไรกินสักหน่อยก็เห็นมัวแต่อิน ผมเลยไม่อยากขัดจังหวะ อาศัยอานิสงส์คุณพ่อกลับมานะครับนี่ ไม่งั้นผมคงได้หิ้วท้องไว้กินพรุ่งนี้แน่เลย” ไม่วายแขวะทั้งมารดาทั้งแม่บ้านไปด้วย

“คุณดูละครกันอยู่หรอ วันนี้เรื่องอะไรละ” ถามอย่างไม่จริงจังเท่าไร เขาเองก็รู้ดีว่าภรรยาเขานั้นติดละครขนาดไหน แต่ก็ไม่ได้ติดทุกเรื่อง เรื่องดีๆ เธอก็ดูจนติดงอมแงม เรื่องไม่ดีจริงหรือเล่นได้ไม่ถูกใจเธอก็ไม่ดู

“ตาเอสก็ว่าไปนั่น” ค้อนลูกชายที่ปากดีแซวไม่เลิก “วันนี้ก็เรื่องปลายฝันวันวานค่ะ น้องพลับพลึงเป็นนางเอก ฉันละชอบนางเอกคนนี้จริงๆ น่ารักน่าชัง” นายหญิงของบ้านเอ่ยชม

“แล้วนางร้ายเป็นไงครับแม่” ชายหนุ่มถามมารดาหยั่งเชิง เพราะอยากรู้ว่ามารดาตนจะคิดยังไงกับนางร้ายคนสวย

“คนนี้ก็ดังจริงค่ะ แม่ชอบนะ เขาสวยสง่าดี เล่นร้ายได้ใจสุด” คนเป็นมารดาชมเปราะ

“หรือครับ”

“ว่าแต่ตาเอส ช่วงนี้แม่เห็นลูกไม่ค่อยว่างเลย ตามตานัทก็เห็นบอกว่ามีงานๆ พอโทรถามตาดลเอาตารางงานลูกมาให้ดูแม่ก็เห็นลูกเว้นเวลาว่างๆ ไว้ตั้งเยอะนี่ เอาเวลาไปทำอะไร อย่าบอกนะว่า” มารดามองตาดุคาดคั้น

“ไอ้นัท ไอ้ดล หน่อย ไอ้พวกฆ้องปากแตกคอยดูนะ พ่อจะหักโบนัสสิ้นปีให้เข็ด” บ่นงึมงำ แต่ก็ต้องสุดเพราะหันมาเจอสายตาคาดคั้นของมารดา

“ก็ มีงานอื่นนิดหน่อยนะครับแม่ ช่วยไอ้เอ็มมันเล่นละคร”

พอได้ยินเท่านั้นแหละ มารดาถึงกับสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ เพราะเคยได้รับการขอร้องวิงวอนจากเพื่อนของลูกชายหลายต่อหลายครั้งให้ช่วยพูดให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของหล่อนช่วยมาเล่นละครให้ แต่ไม่เคยสำเร็จสักที เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหน้าและเบื้องหลัง คุณผู้หญิงของบ้านคิดในใจ แต่ปากนั้นเอ่ยให้กำลังใจ

“อ๋อ หรอ แม่ก็นึกว่าหลีกตารางไปเที่ยวเล่นเหมือนเคย แล้วลูกแสดงเรื่องอะไรล่ะ”

“เรื่อง...”   ลูกชายบอกไปไม่ปิดบัง

“แล้วแม่จะคอยดูผลงานนะลูก ว่าแต่ลูกเล่นเป็นอะไรจ๊ะ” ไม่วายถามถึงบท

“แล้วแม่ว่าอย่างไอ้เอ็มมันจะเอาบทอะไรมาให้ผมเล่นละครับ”

“คงไม่ใช่พระเอก” มารดาทายขำๆ เธอรู้ดีว่าลูกชายเธอไม่ได้เป็นพระเอกแน่นอน เพราะเพื่อนของลูกรักเสนอบทแต่ละเรื่องที่เคยๆ มาเมื่อก่อน ไม่มีบทตัวดีเลยสักเรื่อง

“แม่ก็รู้อยู่แล้ว”

“แล้วเรายอมหรอ”

“ก็แค่อยากลอง ช่วงนี้เบื่อๆ”

“จ๊ะ แม่เชื่อ แล้วจะคอยดูผลงานนะ ว่าไงค่ะคุณ ลูกเราจะดังแล้วนะ” หันไปถามสามีที่เอาแต่นั่งทานข้าวเงียบๆ อยู่นาน

“ขอแค่เรื่องที่มันเล่นไม่ล่มซะก่อน ผมก็เบาใจว่ามันไม่ทำงานใครเขาเสีย”

“คุณพ่อก็ว่าไปนั่น ว่าแต่ผมรู้มาว่าพ่อเป็นเพื่อนก๊วนเดียวกับเจ้าสัวชัยบดินเกียรติ ผมอยากรู้ว่าคุณลุงเข้าเป็นคนยังไง”

“ถามทำไม” คนเป็นพ่อถามยังเชิง เพราะร้อยวันพันปีลูกชายไม่เคยสนใจเพื่อนๆ ของเขาคนใดเลย แต่วันนี้ดันถาม

“ก็อยากรู้” ตอบไม่จริงจังนัก แต่ก็ยังต้องการคำตอบอยู่

“ก็เป็นคนดีคนหนึ่ง รักครอบครัวดี”

“แล้วมีบ้านเล็กบ้านน้อยมั้ย”

“แกไปรู้อะไรมา”

“เปล่า ผมก็แค่สงสัย เพราะคุณลุงเขาร่ำรวย แล้วเห็นคุณแม่เคยบอกว่าท่านดูไม่ค่อยแก่เหมือนอายุจริงสักเท่าไร ผมว่า เป็นผู้ชาย ยังไงท่านก็ต้องมีบ้าง”

“เอาตัวเองเป็นมาตรฐานหรือไง” บิดากล่าวล้อๆ แต่ก็ตอบตามตรง “เรื่องนั้นฉันไม่รู้ มันเป็นเพื่อน ไม่ใช่เมีย เอ่อ ถ้าแม่แกมีบ้านน้อยก่อน อันนั้นฉันถึงอยากจะรู้”

“รู้แล้วจะทำไมค่ะ” คุณผู้หญิงของบ้านถามหยั่งเชิง

“ก็จะได้ให้ไอ้บ้านเล็กมันรู้ฤทธิ์ของไอ้แก่คนนี้นะสิ”

คำตอบสร้างเสียงสรวลเสเฮฮาให้กับคนเป็นภรรยาและลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

“หรือคุณมี” ถามอย่างเอาเรื่องภรรยา

“บ้า! หาเรื่อง เดี๋ยวเถอะไม่ได้เป็นสุขหรอก” ภรรยาขู่ปราม

หลังจากนั้นการสนทนาก็ไม่มีข้อมูลอะไรที่ชายหนุ่มจะเอามารู้จักคู่แข่งตัวฉกาจที่ว่าที่ภรรยาในอนาคตยอมรับไมตรี อย่างที่นางเอกสาวว่า พอสองพ่อลูกทานข้าวอิ่มแล้ว ทุกคนก็ต่างพากันกลับเข้าห้องพัก คุณผู้หญิงของบ้านดูความเรียบร้อยก่อนจะตามขึ้นห้องของตัวเองอย่างเคยนิสัย

“คุณว่าลูกเรามีเรื่องปิดเราอยู่รึเปล่าค่ะ” คุณผู้หญิงของบ้านเอ่ยปรึกษาหลังจากที่สามีเธอเดินออกมาจากห้องน้ำหลังอาบน้ำแต่งตัวเตรียมเข้านอนเสร็จ

“มีแน่ เจ้าลูกคนนี้มันทำอะไร เคยมีหรือที่ไม่หวังผล”

“เมื่อเช้าชั้นได้ยินยัยน้อยว่าได้ยินตาเอสโทรสั่งงานเจ้านัทประมาณ ‘ว่าทีเมีย’ อะไรนี่แหละค่ะ” ร่างสูงของสามีเดินมาล้มตัวนอนก่อนมองหน้าภรรยาสุดรักอมยิ้มเจ้าเล่ห์ต้นฉบับของลูกชายตอนนี้

“มันก็กำลังหาลูกสะใภ้ให้เรานะสิ”

“คุณว่าอย่างนั้นหรอค่ะ ถ้างั้นฉันต้องกลับไปดูข่าวเมื่อเช้าแล้วว่ามีอะไรบ้างทำไมทำให้ลูกเราหัวเสียขนาดนั้น” ว่าพรางใช้ความคิด “ว่าแต่คุณค่ะ ฉันซื้อทีวีใหม่แล้วนะ” บอกก่อนเอนหลังลงที่นอนตามสามี ทำให้คนเป็นสามีสะดุดกึก

“อีกแล้วหรอ ดีนะที่บ้านเรารวย ไม่งั้นคุณอดดูละครแน่ แล้วความซวยมันต้องมาลงที่ผมแน่เลย” ว่าไม่จริงจังนักก่อนได้รับรางวัลเป็นฝ่ามือนิ่มตีเข้าที่อกแกร่งงอนๆ “อะไร ก็มันจริง” ไม่วายสำทับทำให้ภรรยาที่รักงอนจนต้องนอนหันหลังให้ ทำให้ต้องรีบง้อ จนคุยกันรู้เรื่องแล้วนอนกอดกันหลับพักผ่อนเหมือนทุกที

つづく.

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา