ลุ้นรัก...นางร้ายเจ้าเสน่ห์
เขียนโดย ploynin
วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 10.55 น.
แก้ไขเมื่อ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) 15. รุกเท่านั้นจึงทำให้เธอได้รู้(จบตอน)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“อันนี้สวยดีนะครับเดย์ ผมว่าเหมาะกับคุณมากเลยนะ” ผมจับสร้อยข้อมือที่ทำจากกะลามะพร้าวขัดมันวาวเส้นหนึ่งชูขึ้น ก่อนนำมาเทียบที่ข้อมือบางสวยของว่าที่ภรรยาของผมเพื่อดูว่าเธอจะชอบมั้ย จริงๆ ก็นึกกลัวอยู่ว่ามันจะต่ำต้อยด้อยค่าเกินไปรึเปล่าสำหรับการซื้อเป็นของขวัญให้ผู้หญิง ซึ่งผู้หญิงตรงหน้าผมนี้เป็นคนแรกที่ผมคิดจะซื้อของราคาถูกขนาดนี้ให้
“ก็สวยดีค่ะ แต่เดย์ไม่ค่อยชอบใส่อะไรที่ข้อมือหรือนิ้วมือน่ะค่ะ” เธอตอบปฏิเสธผมอย่างสุภาพ “ทำไมละครับ” ถามเพราะปกติแล้วผู้หญิงชอบใส่เครื่องประดับเสมอ เอ... หรือจะเป็นจริงอย่างที่กังวล อีกอย่างเครื่องประดับที่เธอได้อาจมีราคาแพงมากๆ เพราะเสี่ยๆ พวกนั้นต้องการเอาอกเอาใจเธอจึงต้องซื้อของประดับหรูหราเพื่อซื้อใจเธอก็ได้ และเพราะมันเป็นแค่สร้อยข้อมือที่ทำจากกะลามะพร้าว ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมากมายอีกด้วย ผมคิด
“เวลาพิมพ์งานหรือเขียนงานมันเกะกะน่ะค่ะ ซื้อไปก็ไม่ได้ใส่อยู่ดี” เธออธิบาย ซึ่งผมก็สังเกตว่าเธอเองก็ไม่ค่อยใส่เครื่องประดับที่ข้อมือหรือนิ้วมือเลยด้วยซ้ำ ยกเว้นแหวนสีเงินเกลี้ยงที่อยู่ตรงนิ้วนางข้างขวาเท่านั้น ซึ่งผมเห็นแล้วรู้ทันทีว่ามันเป็นทองคำขาว(แพลทตินั่ม)แน่นอน
“หรอครับ แต่ผมว่ามันเหมาะกับคุณนะ งั้นถือว่าผมซื้อให้คุณเพื่อเป็นที่ระลึกที่เรามาเที่ยวที่นี่ด้วยกันนะครับ” ผมตัดบทไม่ให้เธอปฏิเสธ เพราะผมอยากมีสิ่งของให้เธอเป็นที่ระลึกถึงผมบ้าง
“เอ่อ...” ดูเธอจะลำบากใจผมจึงต้องรีบหาวิธี
“อย่าปฏิเสธเลยครับ ถ้าเกรงใจละก็ คุณก็หาซื้ออะไรที่คิดว่ามันเหมาะกับผมแล้วเราเอามาแลกกันเป็นที่ระลึกดีมั้ยครับ”
“ของที่เหมาะกับคุณเอสนะหรอค่ะ”
“ครับ คิดว่าที่นี่มีอะไรที่เหมาะกับผมบ้างก็อันนั้นละครับแล้วเราเอามาแลกกัน” เธอทำสีหน้าลังเลแต่สายตาก็มองไปรอบๆ และเหมือนเธอจะเจออะไรบางอย่างซึ่งผมแปลกใจกับคำถามมากกว่า
“คุณเอสชอบทานกาแฟมั้ยค่ะ หรือเป็นพวกชาหรือเครื่องดื่มอะไรก็ได้”
“ครับ” ผมดื่มของพวกนี้แน่นอนอยู่แล้ว
พอได้คำตอบ ร่างบางก็ยิ้มหวานให้ผมเป็นยิ้มที่กระชากใจกันสุดๆ เลยที่รัก จากนั้นก็เดินผ่านผมไปที่ร้านเครื่องแก้วเบญจรงค์ ผมจะตามไปก็ถูกมือของเพื่อนรักจับไหล่ยึดไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวเพื่อน อย่าเพิ่งลอยตามน้องฉันไป”
“ทำไม”
“เขาไปซื้อของที่ระลึกให้แก เขาคงไม่อยากให้แกรู้ก่อนหรอว่าจะซื้ออะไรให้”
“สงสัยเราคงได้ไม่ถ้วยชามหรือไม่ก็แก้วกลับกันอีกแล้วละค่ะ” แหววมองตามร่างบางไปยิ้ม
“ครับ?” ผมขานพร้อมมองพี่แหววอย่างสงสัย
“น้องเดย์เขาชอบงานพวกเครื่องแก้วแล้วก็เครื่องเคลือบเบญจรงค์นะค่ะ” เธอเฉลย “เจอร้านที่ไหนเป็นแวะเข้าไปทุกที”
“ใช่” ไอ้เอ็มเพื่อนผมสำทับ “นี่ผมก็จะใช้ไม่ทันแล้วนะเนี๊ยะพี่แหวว”
“หมายความว่าแกได้บ่อยสิ” ผมถามอย่างอิจฉา
“ค่ะ พี่กับคุณเอ็มได้บ่อย ได้มาแล้วน้องเดย์เขากำชับว่าให้ใช้นะค่ะ ไม่ให้เก็บ” เธอตอบยิ้มๆ
‘แต่ผมจะเก็บ’ ผมคิดในใจยิ้มเป็นปลื้มและเหมือนเพื่อนผมมันจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่มันเลยมองผมยิ้มๆ อย่างเหนือกว่าทำให้ผมนึกรำคาญใจ “ทำไม” เลยถามมันไปตรงๆ
“ถ้าแกคิดจะเก็บ รับรองถ้าเธอรู้คราวหน้าจะไม่มีอะไรมาฝากแกเลย แถมจะห่างแกด้วย”
“ทำไม”
“เขาถือว่า ของใช้มีให้ใช้ไม่ใช่ เป็นการไม่ให้เกียร์ติคนให้ ถึงแกจะบอกว่ามันเป็นของที่ระลึกก็ตาม”
ผมเลยได้คิดว่านอกจากฉลาดเฉลียวแล้ว ว่าที่ภรรยาของผมยังละเอียดอ่อนอีกด้วย ยิ่งทำให้ผมเป็นปลื้มสุดๆ
“เดี๋ยวพี่เข้าไปตามก่อนนะค่ะ ไม่งั้นได้กวาดพวกถ้วยโถโอชามมาฝากเราหมดร้านแน่” พี่แหววบอกแล้วปลีกตัวออกไปทันที
“พี่เองก็ได้ของฝากน้องเดย์บ่อยๆ เป็นของฝากที่ได้ใช้จริงๆ ค่ะ” คุณเปิ้ลที่มาด้วยย้ำให้ได้ฟังอีกครั้ง “แล้วต้องใช้ให้เห็นด้วยนะค่ะ เธอจะเป็นปลื้มเลยละค่ะ”
“หรอครับ งั้นคงต้องใช้สินะ” พึมพำกับตัวเอง แต่อีกใจก็นึกเสียดายเพราะว่าเป็นของคนที่ผมรู้สึกพิเศษด้วย แต่คิดได้ไม่ทันไรก็ต้องเขม่นกับความหวานของมันสองตัว
“ที ไปทางโน้นหน่อย” สองคนพูดกันนุ้งนิ้งแล้วเดินจากไปทันที มันไม่สนเพื่อนอย่างผมเลยครับทำเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัวของมันแค่สองคน เห็นแล้วอิจฉาครับ
“พี่ขอตัวไปรอที่รถนะค่ะ เดินมากไม่ไหว” คุณเปิ้ลขอตัว แล้วเดินตรงไปที่รถเลย
ในที่สุดผมก็ยืนหัวโด่อยู่กลางตลาดคนเดียวครับ ไม่รู้จะทำอะไรเลยหันไปเลือกสร้อยข้อมือที่เป็นงานฝีมือทำจากกะลามะพร้าวขัดเพิ่มอีกสองเส้น เอาไปฝากคู่หูดูโอประจำบ้านด้วยครับ ก็จะใครซะอีกละ แม่ผมกับป้าน้อยไง แม่ผมท่านเป็นคนชอบงานฝีมือครับ ไม่ใช่ของหรูหราอะไร ท่านบอกว่าของทำมือเป็นงานฝีมือที่ต้องใส่ใจทำดังนั้นมันจะแพงก็ไม่แปลก ส่วนของจากโรงงานจะซื้อเมื่อไหร่ที่ไหนก็ซื้อได้ท่านเลยไม่ใส่ใจเท่าไหร่ อีกอย่างท่านบอกว่าท่านชอบงานฝีมือที่เป็นงานชิ้นเดียวในโลกอะไรประมาณนั้น ทุกวันนี้ของที่บ้านที่คุณพ่อซื้อให้คุณแม่มักเป็นของทำมือที่มีขายเฉพาะในพื้นที่เท่านั้น และดูท่านจะมีความสุขกับของฝากเหล่านั้นถึงแม้ราคาค่างวดมันจะไม่ได้แพงมากมายอะไรก็ตาม
ผมเดินดูนั่นนี่อยู่แถวๆ หน้าร้านเครื่องเบญจรงค์ สักพักร่างบางแสนสวยที่ต้องเป็นของผมสักวันหนึ่งก็เดินออกมาด้วยใบหน้าเบิกบานพร้อมพี่แหวว สองสาวเดินคุยกันตรงมาที่ที่ผมยืนรออยู่ จากนั้นเธอก็ยื่นถุงมาให้พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มหวาน
“ของที่ระลึกค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ผมยื่นมือไปรับพร้อมกับส่งถุงของฝากของผมให้เธอเหมือนกัน
“ขอบคุณค่ะ”
“แหม อิจฉาจัง ไม่เห็นมีใครมาแลกของที่ระลึกกับพี่บ้างเลย” พี่แหววแซวตรงๆ ผมยิ้มแล้วหันไปมองร่างบางตรงหน้าจึงเห็นว่าใบหน้าหวานนั้นออกแดงๆ อมชมพูพูดค้อนพี่แหววที่อยู่ข้างๆ
“ก็เดย์ซื้อให้พี่แหววแล้วไง อิจฉาอะไรอีกละค่ะ”
“ก็อิจฉาที่มีการแลกกันไงค่ะ”
“ก็พี่แหววไม่แลกกับเดย์เองนะ”
“ก็พี่จะแลกแล้วน้องเดย์ดันจ่ายเงินก่อนทำไมอ่ะ พี่งอนแล้วนะ”
เท่าที่ผมจับใจความได้เป็นประมาณว่าเดย์เขาจะซื้อของที่ระลึกมาแลกกับผม โดยที่พี่แหววเองก็คิดจะซื้อให้เดย์เขาเหมือนกัน แต่คงเป็นของที่เดย์เขาถูกใจจริงๆ เลยจับไปวางแล้วจ่ายเงินเองทำให้พี่แหววที่คิดจะซื้ออะไรที่ถูกใจให้น้องสาวเลยไม่ได้ซื้อกัน
“โอ๋ๆ พี่แหววอย่างอนเดย์นะ เอาอย่างนี้แล้วกัน หลังทำงานนี้เสร็จน้องกุ๊กไก่กับคุณกิตจะมาพาเที่ยวหาดใหญ่ พี่แหววเลี้ยงข้าวเดย์ทุกมื้อในระหว่างเที่ยวโอเคมั้ยค่ะ” ร่างบางกล่าวยิ้มๆ แบบง้องอน
เธอมีนัดเที่ยวต่อหรอนี่ ทำไมผมไม่รู้ละ แถมนัดกับไอ้หมอนั่นที่เป็นข่าวกันก่อนหน้า ทำไม! สนิทกันหรอ หรือว่าเธอมีใจให้ไอ้หมอนั่น ไม่ได้การล่ะ ผมต้องรีบหาทางแก้แล้วตอนนี้
“จะไปเที่ยวไหนกันต่อหรอครับ ผมไปด้วยคนได้มั้ย ผมก็เพิ่งเคยมาสงขลาครั้งแรกเหมือนกัน กะจะอยู่เที่ยวอยู่แล้วแต่ไม่มีไกด์ครับ” เปลี่ยนแผนทันทีเพราะตอนแรกที่ผมให้เลขาหลีกตารางงานให้เพราะผมต้องการพาเธอเที่ยว และถ้าโชคดีเราอาจจะได้เที่ยวกันสองคน แต่นี่เธอนัดเที่ยวกับผู้ชายคนอื่นไว้ก่อนผมเลยต้องเปลี่ยนแผนขอติดสอยห้อยตามไปเพื่อกันท่าไอ้หมอนั่นออกไป และทำคะแนนส่วนตัวด้วย ผมคิด
“ดีเลยสิค่ะ พี่กับน้องเดย์คุยกับคุณกิตติภพไว้ว่าไปพักที่โรงแรมของคุณกิตติภพแล้วก็จะออกเที่ยวตลอนกันสักวันหนึ่งก่อนจะไปพักกันแถบริมทะเลอีกคืน เติมพลังก่อนกลับกรุงเทพฯ นะค่ะ” เป็นพี่แหววที่เผยแผนการเที่ยวให้ฟัง ผมยิ้มยินดี ก็แน่หละ ผมจะไปด้วยไง
“พี่เอ็มกับพี่ทีไปไหนค่ะ” อยู่ๆ เธอก็ถามขึ้น คงมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นมันสองตัวแน่ๆ
“เห็นบอกว่าจะไปดูอะไรกันตรงโน้นนะครับ” ผมชี้ไปทางที่สองคนนั่นเดินไป
“หรอค่ะ แล้วคุณเอสจะไปไหนต่อมั้ยค่ะ”
“ไม่แล้วละครับ แล้วเดย์ล่ะ”
“เดย์ซื้อของแล้วก็เดินเที่ยวจนขาล้าไปหมดแล้วอ่ะค่ะ” พูดยิ้มอายๆ
“งั้นพวกเราไปรอสองคนนั่นที่ร้านคอฟฟี่ชอปตรงโน้นดีมั้ยครับ” ผมชี้ไปที่ร้านกาแฟบรรยากาศดีร้านหนึ่งที่อยู่ระหว่างที่จอดรถกับตัวตลาดน้ำ ซึ่งสองสาวก็เห็นด้วย
พอเราเข้ามานั่งในร้านได้ก็เลือกโซนที่ค่อนข้างมิดชิดแต่สามารถมองได้ทั่วของร้าน พนักงานเดินมาบริการเมนูพร้อมกับนำน้ำเย็นมาวางบริการก่อน
“รับอะไรดีค่ะ” พนักงานสาวยิ้มหวานให้ผมแล้วมองผมเป็นตาเดียวโดยไม่ได้สนใจคนที่มาด้วยกันกับผมเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็จะพูดหวานหว่านเสน่ห์ไป ถ้าถูกใจก็นัดต่อกัน แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว เพราะคนที่ผมสนใจอยู่ตรงหน้าแล้วไงล่ะ
“เดย์จะสั่งอะไรดีครับ” ผมยิ้มให้ร่างบางตรงหน้าที่นั่งตรงข้ามผมส่วนพี่แหววนั่งข้างๆ กำลังจับของที่ซื้อมาวางบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่
“ร้อนๆ อย่างนี้ขอเป็นคาลาเมลเย็นแล้วกันค่ะ แล้วก็เครปเค้ก 1 ชิ้น” มองเมนูแล้วสั่งพร้อมส่งยิ้มให้พนักงานสาวที่ละสายตาจากผมเพื่อจดรายการที่ถูกสั่งก่อนหันไปมองร่างบางที่ผมยื่นเมนูให้แบบตาค้าง ซึ่งเดย์เองก็ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
พอเราสั่งเครื่องดื่มแล้วก็ของกินเล่นเล็กน้อยกันเสร็จ พนักงานสาวเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์ แล้วผมก็เห็นเธอเรียกเพื่อนมาคุยทำทีทำท่าชี้ไม้ชี้มือมาทางโต๊ะของเรา ผมมองอยู่อย่างนั้นจดพี่แหววสังเกตเห็น
“เป็นอะไรค่ะคุณเอส”
“ผมว่าเราคงไม่เป็นส่วนตัวอีกแล้วพี่” ผมพูดพร้อมกับมองนำสายตาพี่แหววไปด้านหลังพี่แก
แล้วก็เป็นจริงอย่างที่ผมว่า เพราะหลังจากที่ผมพูดก็มีเหล่าพนักงานทั้งชายและหญิงหลายคนเดินถือกระดาษกับปากกามาทางโต๊ะของเรา หน้าตาแต่ละคนบ่งบอกถึงความตื่นเต้นดีใจกันทั้งนั้น
“พี่เดย์ใช่มั้ยค่ะ” เสียงใสเอ่ยถามร่างบางนางร้ายของผมทำให้เธอหันกลับไปมองตามต้นเสียงแล้วยิ้มให้อย่างอบอุ่น
“อ๊าย! พี่เดย์จริงๆ ด้วย แฟนคลับค่ะ” เธอบอกพร้อมกับยืนกระดาษและปากกาขอลายเซ็น
“พี่เล่นเป็นตัวร้าย ไม่คิดว่าจะมีคนอยากได้ลายเซ็นนะ” เธอพูดเขินๆ แต่ก็ยอมยื่นมือไปรับกระดาษกับปากกาที่ถูกยื่นส่งมาให้ไปลงชื่อพร้อมข้อความเล็กน้อยให้กับเหล่าแฟนคลับที่ขอ
จากนั้นความเป็นส่วนตัวของพวกเราก็ไม่มีเหลือเพราะนางร้ายคนสวยของผมต้องให้แฟนคลับถ่ายรูปและแจกลายเซ็นให้แต่ดูเหมือนเธอก็ยินดีทำ ส่วนผมก็มีบ้างที่มีคนมาขอลายเซ็นแต่ไม่เยอะเหมือนนางร้ายเจ้าเสน่ห์ตรงหน้า ก็ละครที่ผมเล่นยังไม่ออนแอร์ผมก็เลยยังไม่เป็นที่รู้จักมากเท่าไรนัก จะมีบ้างก็คนที่เขาตามผลงานของร่างบางว่าจะมีเรื่องอะไรต่อไป ผมก็เพิ่งสังเกตว่านอกจากพระเอกนางเอกแล้ว ตัวร้ายอย่างพวกเราก็เป็นที่ดึงดูดได้เหมือนกัน แต่ที่ผมสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือแฟนคลับของว่าที่ภรรยาผมนั้นจะมีหนังสือติดมาด้วยทุกคน เพื่อขอให้เธอเซ็นชื่อลงไปในนั้น ผมก็ไม่นึกแปลกใจเพราะผมรู้ว่าเธอทำงานแปลด้วย แล้วหนังสือที่แต่ละคนถืออยู่ก็เป็นหนังสือแปลทั้งนั้นด้วย ซึ่งเชื่อได้ว่านั่นคือผลงานแปลของเธอ
“ถึงแม้จะมีข่าวกับคนนั้นคนนี้บ้าง แต่น้องเดย์เขาไม่เคยเสียแล้วก็ แล้วส่วนใหญ่ข่าวก็จะซาไปเอง” พี่แหววพูดขึ้นลอยๆ ทำให้ผมละสายตาจากหวานใจหันไปมองเธออย่างอายๆ ผมรู้ว่าเธอรู้ว่าผมมีเจตนาที่จะจีบน้องสาวเธอแน่นอน ดูจากสายตารู้ทันของเธอแล้วผมจึงตัดสินใจหาแนวร่วมใหม่เพิ่มเติมจากไอ้เพื่อนรักตัวดีที่บอกว่าจะช่วย แต่ตอนนี้เรื่องมันก็ไม่ได้ไปถึงไหนเลย
“ครับ พี่แหวว ผมรู้ว่าพี่รู้ว่าผมต้องการอะไร”
“ก็พอรู้ค่ะ” เธอตอบผมตาวาวแบบล้อๆ
“แล้วพี่จะขวางหรือจะช่วยครับ” ผมถามเธอตรง
“ตรงดีจัง เอ... แล้วพี่จะตอบว่าไงดีละ”
“พี่แหววครับ...” พูดเสียงอ่อนเสียงหวานออดอ้อนไว้ก่อน
“อันนี้ก็ต้องขึ้นกับน้องเดย์เขานะค่ะ พี่ช่วยได้แค่โอกาส แต่คนตัดสินใจคือ” เธอเหลือบสายตามองไปที่ร่างบางเล็กน้อยเป็นที่รู้ความหมายกัน
“ครับ อันนั้นผมเข้าใจ ขอบคุณนะครับที่ไม่ขัดขวาง”
“พี่ไม่ขวางหรอกค่ะ ความจริงก็อยากให้น้องสาวพี่มีคนดูแลเหมือนกัน เพราะน้องเดย์เล่นลุยงานคนเดียวทุกอย่าง ถึงจะเก่งแค่ไหนแต่น้องก็เป็นแค่ผู้หญิง คิดเองทำเองดีอยู่แล้ว แต่จะให้ดีกว่าต้องมีหัวใจด้วย”
“หมายความว่าไงครับ”
“พี่เห็นน้องเดย์ทุกวันนี้ดีพร้อมทุกอย่างค่ะ แต่ภายในจะเป็นน้ำแข็งขึ้นทุกวัน” พี่แหววเปรย
ผมมองหน้าพี่เขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร มองกลับไปดูที่ร่างบางที่โปรยรอยยิ้มโดยมีแฟนคลับฮห้อมล้อมแล้วผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี มีแต่ทีท่าของพี่เขาเท่านั้นที่ดูหนักใจ แต่คำอธิบายที่ผมอยากได้นั้นดูพี่แหววเองก็ให้คำตอบผมไม่ได้เหมือนกัน เธอจึงได้แต่ยิ้มเจือนๆ อย่างบอกไม่ถูก
“นินทาอะไรเดย์อยู่รึเปล่าค่ะ” เธอกลับมานั่งที่แล้วพูดขึ้นด้วยสายตารู้ทันมองไปที่พี่แหววคนเดียว
“เปล้า!” พี่แหววปฏิเสธเสียง
‘พี่ครับ ถ้าจะปฏิเสธเสียงสูงขนาดนี้ยอมรับไปเลยไม่ดีกว่าหรอ’ ผมนึกในใจ
“ว่าแต่พี่เอ็มกับพี่ทีหายไปนานจัง โทรตามหน่อยดีมั้ยค่ะกลัวพี่เปิ้ลเขาจะรอกลับนะค่ะ”
“ครับ” ผมตอบพร้อมควักมือถือตัวเองออกมากดหาเบอร์พวกมันรอไม่นานก็ได้ยินเสียงที่กรอกตอบกลับมา
“อยู่ไหนกันแล้ววะ” ผมไม่จำเป็นต้องพูดสุภาพกับเพื่อน
“...”
“ไปไม่บอกเลย”
“...”
“เอ่อ ไอ้เราก็รอไปสิ” ผมบ่นอย่างไม่ใส่ใจ
“...”
“เออ แค่นี้แหละ” แล้วกดวางสาย
พอละสายตาจากโทรศัพท์จึงได้เห็นสายตาส่งคำถามของสองสาวต่างวัยที่อยู่ตรงหน้าเลยต้องตอบตามตรง
“มันสองคนไปเที่ยวกันต่อครับ”
“ดูสิ พอแฟนมาแล้วลืมกันเลย” พี่แหววพูดเสียงงอนๆ แต่ดูแล้วไม่จริงจังเท่าไร
“แหม ก็คนเขารักกันเขาก็ต้องอยากเที่ยวด้วยกันสองคนเป็นธรรมดาสิค่ะ” ร่างบางเอ่ยยิ้มๆ
“ว่ากระทบพี่เปล่าเนี๊ยะ”
“พี่แหววพาลแล้ว ถ้าเดย์ว่ากระทบพี่แหววก็ต้องว่ากระทบตัวเองด้วยนั่นแหละ” เธอพูดกึ่งอมยิ้ม
“งั้นเรากลับกันเลยมั้ยค่ะ” เธอชวนด้วยรอยยิ้มเพราะเห็นพี่สาวเริ่มงอแง
“เดี๋ยวค่ะ รอพี่ก่อนนะ เหมือนพี่จะลืมซื้ออะไรสักอย่าง” อยู่ดีๆ พี่แหววก็พูดขึ้นทำให้เราสองคนมองไปที่คุณพี่กันเป็นตาเดียว
“ลืมอะไรค่ะ เดย์เดินไปซื้อเป็นเพื่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ขอเดินวนอีกรอบแล้วกัน เพราะพี่เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลืมซื้ออะไร แต่ความรู้สึกบอกว่าลืมแน่ๆ น้องเดย์กับคุณเอสนั่งรอพี่ที่นี่แหละค่ะ เอ่อ...ของนี่เดี๋ยวพี่เอาไปไว้ที่รถให้ด้วยแล้วกัน ส่วนคุณน้องก็นั่งตากแอร์กันที่ร้านนี่แหละค่ะไม่ต้องไปร้อนที่รถ พี่ซื้อเสร็จจะแวะมาเรียก” พูดปุ๊บพี่แหววก็รวบถุงของทุกคนที่วางไว้ทั้งหมดแล้วเดินออกไปจากร้านกาแฟที่เรานั่งกันอยู่ทันทีโดยไม่รอคำค้านใดๆ
“อีกแล้วหรอนี่” ร่างบางตรงหน้าผมขึ้นพูดแต่สายตายังมองตามที่พี่แหววที่เดินออกจากร้านไปเหมือนงอนๆ ที่ทิ้งเธอไว้ไม่ให้ไปด้วย
“อะไรหรอครับ” ผมถามเพราะผมไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้เป็นยังไง
“ก็พี่แหววนะสิค่ะ ลืมอะไรไม่รู้อีกแล้ว สงสัยงานนี้ได้เดินตลาดจนขาลากแน่เลย”
“เป็นบ่อยหรอครับ”
“ก็ไม่บ่อยนะค่ะ แต่ถ้าเป็นทีพี่เขาต้องใช้เวลาในการหาซื้อของที่ว่าลืมซื้อนั่นนานเลย แถมพอกลับถึงที่พักนะ บ่นซะเดย์ฟังหูจะเปื่อย” เธอพูดติดตลกทำแก้มป่องๆ น่ารัก ทำให้ผมขำตามอย่างอารมณ์ดี
“งั้นเราสองคนก็นั่งรอพี่เขาที่นี่แล้วกันนะครับ” ผมตัดสินใจชวน และดูจากท่าทีแล้วพี่แหววเหมือนต้องการจะเปิดโอกาสให้ผมได้อยู่กับเธอตามลำพัง ถ้าอย่างนั้นผมจะขัดศรัทธาได้ไงจริงมั้ย
“ค่ะ คุณเอสจะสั่งอะไรเพิ่มมั้ยค่ะ” เธอมองตรงหน้าผมเห็นว่ามีแค่กาแฟแก้วเดียว
“ครับ” ผมตอบตกลงพร้อมกับเรียกพนักงานมาสั่งของกินเพิ่ม “แล้วเดย์จะรับอะไรเพิ่มมั้ยครับ” เพราะเห็นในจานตรงหน้าเธอเครปเค๊กที่เธอสั่งได้หายไปแล้ว
“อืม... เดย์ขอชาร้อนแก้วหนึ่งนะค่ะ” เธอสั่งเพิ่มโดยไม่ต้องมองเมนู และดูเหมือนเธอคงไม่อยากสั่งอะไรทานเพิ่มแล้ว คงปิดที่ชาร้อนแก้วนี้เอง แต่เราก็ไม่ได้ทานกันทันที เพราะนอกจากพนักงานในร้านแล้วลูกค้าในร้านที่เข้ามาก็ต่างเข้ามาทักทายกับเราสองคนแล้วขอถ่ายรูปด้วยเหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกที
“พี่สองคนเป็นแฟนกันรึเปล่าค่ะ” เป็นหนึ่งคำถามจากแฟนคลับที่เข้ามาขอลายเซ็น คงเพราะเธอเห็นเราอยู่กันสองคนละมั้งถึงได้ถามแบบนี้
“เปล่าค่ะ อย่าพูดไปนะค่ะ เดี๋ยวพี่เขาเสียหายนะ” ร่างบางของผมเขาตอบกลับน้องแฟนคลับไปยิ้มๆ ให้เข้าใจ แต่ผมไม่เข้าใจว่าผมจะเสียหายได้ยังไง เธอเองต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเสียหายเสียชื่อเสียงของตัวเอง
“งั้นก็คบกับคุณกิตติภพเจ้าของโรงแรมในเครือเอ็มเพลสโฮเทลหรอค่ะ เพราะหนูไม่เห็นพี่ออกมาแก้ข่าวเลย” น้องอีกคนถามต่อ แต่ดูเหมือนเธอจะทำตัวเป็นนักข่าวแล้วนะ เอ... หรือสองคนนี้เป็นนักข่าวจริงๆ
“เปล่าหรอกค่ะ พี่กับคุณกิตติภพเราเป็นคนรู้จักกันเท่านั้น อีกอย่างที่เป็นข่าวคราวนั้น เราก็เพิ่งได้เจอกันเองค่ะในงานเลี้ยงขอบคุณพนักงานของสำนักพิมพ์” เธอตอบอย่างไม่ปิดบังซึ่งเหมือนเป็นการระบายให้ฟังมากกว่า ผมว่าเธอเองก็คงอึดอัดและเกรงใจไอ้หมอนั่นมากเลยทีเดียว
“พี่เดย์ค่ะ งานแปลต่อไปเป็นเรื่องอะไรค่ะ” จากเรื่องส่วนตัวเปลี่ยนเป็นเรื่องงาน และคนที่พยายามถามเรื่องส่วนตัวก็คอยแต่จะแทรกถามอยู่เรื่อยๆ ซึ่งร่างบางพยายามไม่ตอบและตอบคำถามเกี่ยวกับงานของเธอเท่านั้น
เราสองคนนั่งอยู่ร้านนี้ได้ไม่นานจริงๆ เพราะเริ่มจะมีคนเข้ามาเยอะมากขึ้น นอกจากเหล่าแฟนคลับแล้วผมสังเกตว่าบางคนเป็นนักข่าวด้วย ผมดูท่าไม่ดีเลยชวนเธอออกจากร้าน ซึ่งเธอก็ตกลงด้วยดี แต่ที่ไม่ดีคือเหล่าแฟนคลับและผู้อยากรู้อยากเห็นดูจะเพิ่มขึ้น จากการที่เราทำทีเป็นเดินหนีตอนนี้เราต้องเดินเร็วๆ ซอกแซกหนีกันแล้ว และสุดท้ายเราก็หลงตลาดกันทั้งคู่ แต่โชคดีที่หลุดออกมากันได้ เราสองคนเดินกันมาจนสุดทางก็เจอถนนใหญ่ เราสองคนหยุดเดินเพื่อพักเหนื่อยกันเล็กน้อย ดูจากสถานที่แล้วคงเป็นหน้าตลาดแน่ๆ
Trr… Trr… เสียงเรียกเข้าทำให้ร่างบางตรงหน้าเปิดกระเป๋าถือของตัวเองเพื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พอเห็นหน้าจอผมสังเกตว่าใบหน้าของเธอยิ้มออกมาอย่างยินดี
“คะ พี่แหวว”
“น้องเดย์อยู่ไหนกันค่ะนี่ พี่กลับมาจะเรียกขึ้นรถไม่เห็นมีใครเลย”
“พอดีเดย์เจอแฟนคลับแล้วก็นักข่าวนะค่ะพี่ คุณเอสเลยพาเดย์หลบออกมาก่อนที่จะมีคนมารุมเยอะจนไปไหนไม่ได้” เธอตอบแบบลนๆ
“หรอค่ะ งั้นตอนนี้อยู่ไหนกันค่ะ”
“อยู่หน้าตลาดน้ำค่ะ พี่แหววมารับหน่อยสิค่ะ” เธอพูดอ้อนๆ ผมละอยากให้เธอพูดอ้อนผมแบบนี้บ้างจัง
“ตายแล้ว พี่วนรถดูสองรอบคนขับบอกไม่เห็นตอนนี้เลยขับรถกำลังจะกลับที่พักแล้วค่ะ”
“อ้าว แล้วเดย์กลับยังไงล่ะค่ะ” น้ำเสียงเธอเหมือนขวัญเสียแล้วครับ พร้อมกับมองไปรอบๆ ตัว
“ไม่เป็นไรครับพี่แหวว เดี๋ยวผมพาเดย์กลับเอง” เป็นผมเองที่แย้งโทรศัพท์ของเธอมาเพื่อจะคุยกับปลายสาย
“งั้นฝากด้วยนะค่ะ”
“ครับ” แล้วกดวางสาย ทำให้คนที่มองอยู่ใจเสียดูจากแววตาของเธอ
“คุณเอส แล้ว..” เธอเหมือนจะถามอะไรต่อแต่ผมไม่เปิดโอกาสหรอครับ
“เดี๋ยวเราเรียกแทกซี่กลับครับ” ผมรีบตอบทำให้เธอนึกเบาใจ ก่อนมองซ้ายมองขวาหารถแท็กซี่
“ค่ะ งั้น”
“แต่ว่า ไหนๆ เราก็เป็นเด็กหลงด้วยกันทั้งคู่แล้ว มาเที่ยวแบบเด็กหลงกันดีมั้ยครับ” ผมเสนออย่างนึกสนุก ไม่ยอมให้คนใจเสียมีโอกาสคิดมาก
“ไม่ดีมั้งค่ะ เดี๋ยวพี่ๆ เขาเป็นห่วง”
“โอกาสไม่ได้มีให้เราเป็นเด็กหลงง่ายๆ นะครับ” ผมยังชวน เพราะตอนนี้เท่าที่ผมสังเกต นอกจากเธอจะใจเสีย ระแวงเพราะแปลกที่แล้ว บางส่วนในแววตาของเธอเหมือนกำลังนึกสนุกกับคำชวนของผม ดูท่าผมจะเดาทางเธอถูก เพราะจากข้อมูลที่ผมได้มาแล้ว เธอชอบเที่ยวในที่ๆ ไม่คุ้นเคย ประมาณกางแผนที่แล้วไปกันประมาณนั้น แต่ที่ดูเธอไม่ค่อยนึกสนุกคงเพราะไปกับคนไม่รู้จักกันดีอย่างผมเสียมากกว่า
“...”
เหมือนเธอกำลังคิดช่างใจ แต่ผมไม่เปิดโอกาสให้เธอปฏิเสธแล้ว จึงรีบดึงมือของเธอให้เดินตามผมไปอย่างด่วนๆ
“ไปครับ เดี๋ยวเราแวะเซเว่นก่อน หาซื้อหนังสือนำเที่ยวกันแล้วก็แผนที่ วันนี้เรามาลุยหาดใหญ่กันดีกว่า”
หลังจากผมดึงเธอมาเข้ามาหาซื้อพวกคู่มือนำเที่ยวในร้านสะดวกซื้อแล้ว เหมือนเธอจะหมดความกังวลเรื่องก่อนหน้าไป เปลี่ยนจากความกังวลเป็นหนังสือและแผนที่ที่อยู่ตรงแผงหนังสือ จากนั้นก็ซื้อติดไม้ติดมือเพื่อเป็นไกด์นำเที่ยวกัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ