Kiss me Kill me [YURI]

6.0

เขียนโดย Nekoyu

วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.52 น.

  7 chapter
  0 วิจารณ์
  12.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557 03.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) 01 First Impressions

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     .................................................................................................................
 
Thai  of   Asia   University   หรือ มหาวิทยาลัยเอเชีย    มหาวิทยาลัยเอกชนขนาดใหญ่เด่นด้วยการสอดแทรกภาษาอังกฤษในหลักสูตรต่างๆ    เปิดรับทั้งระบบสมัครตรงรับระบบสอบเข้า25%และรับระบบโควตานักกีฬา25%     เป็นมหาวิทยาลัยใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่ถึง5ปีแต่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพ
   วันนี้เป็นเปิดภาคเรียนใหม่สำหรับนักศึกษารุ่นที่สามจึงมีกิจกรรมปรับสภาพขึ้น   ให้รุ่นพี่คณะต่างๆพากันไปรอรับนิสิตป้ายแดงด้วยความตื่นเต้น    ขนาดพี่สต๊าฟในสาขาอังกฤษธุรกิจที่ขึ้นชื่อเรื่องเคร่งครัดระเบียบวินัยที่สุดในคณะบริหารยังออกอาการตื่นเต้นจนแทบคุมมาดนิ่งๆไม่อยู่
 
  “เฮ้ย...เดี๋ยวจะมีเด็กมาเรียกพี่แล้วเว้ยเฮ้ย”   หนุ่มอ้วนพูดทะเล้นเรียกเสียงโห่จากเพื่อนๆที่นั่งจับกลุ่มกันอยู่   เพราะหน้าดุเลยโดนโหวตให้เป็นหัวหน้าพี่อบรมปีนี้แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนสบายๆติดจะคุยเก่งด้วยซ้ำ
 
 
 “น้องมาโน้นแล้ว”       สาวแว่นป้องปากตะโกนบอกเมื่อเห็นเด็กเฟรสชี่พากันเดินเป็นแถวตรงมาหารุ่นพี่ที่นั่งรออยู่ใต้ต้นไม้     แต่ในกลุ่มนักศึกษาปีหนึ่งของสายบริหารหมาดๆกลับมีดาวรุ่งเด่นสะดุดตาพวกพี่อย่างจัง     รุ่นน้องตัวสูงในชุดเสื้อยืดสีเข้มกางเกงยีนส์สีซีดที่เข้าคู่กับรองเท้าผ้าใบสีอ่อน   ใบหน้าเรียวได้รูปแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอ่อนๆ   นัยน์ตาสีเทาคู่คมแฝงแววดื้อดึง   จมูกโด่งรั้น   ริมฝีปากบางเรียวสวยและผมสีแดงเพลิงที่เป็นจุดเด่น  
 
 
 “โอโห่เฮ้ย  ปีนี้ใช่เล่นเลยว่ะ  มีลูกครึ่งด้วยผมแดงมาเลยว่ะ”    หนุ่มตี๋หนึ่งในพี่อบรมจงใจพูดน้องคนนี้เป็นลูกครึ่งก็จริงแต่เขาคิดว่าหัวแดงๆแบบนั้นไม่ใช่สีผมธรรมชาติแน่ๆ   ทำให้หัวหน้าทีมสุดเข้มรีบเดินไปหาเป้าหมายเพื่อทำหน้าที่ทันที
 
                “หัวนิแดงมาเลยนะ   แรงครับแรง”  
                เขาบอกเสียงเข้มข่มขวัญให้พวกที่นั่งอยู่ในแถวพากันผวา     
 
 
“ไหนยืนขึ้นสิ”
 แค่พูดเรื่องสีผมเด่นชัดขนาดนั้นเจ้าตัวก็รู้ตัวดีเลยลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่าย   ใบหน้าสวยไม่แสดงสีหน้าใดๆตาสีเทาที่เด่นไม่แพ้สีผมหรี่ลง
 
 
 “ชื่ออะไรครับ   ชื่อเล่นก็ได้”
รุ่นพี่ร่างใหญ่กอดอกถาม
 
 
 
 
เหอะ...ชื่อก็เขียนอยู่บนป้ายแท้ๆ  เจอหน้าทีถามชื่อกันทียังงี้จะให้ห้อยไว้เป็นแฟชั่นรึไง? 
เธอกรอกตาไปมา
 “มิ้นท์ค่ะ”   
แล้วบอกเสียงเรียบ 
 
 “น้องมิ้นท์นะ  พี่เข้าใจว่าอยู่ม.ปลายอัดอั้นมานานเลยอยากปล่อยผี   แต่ที่ไหนๆก็มีกฎครับ  ไม่ใช่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ !   ต่อให้น้องเป็นลูกครึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าน้องจะทำหัวแดงแฟชั่นจ๋ามาเรียนที่นี่ได้    หวังว่าพรุ่งนี้หัวน้องคงจะเป็นสีเดิมที่บรรพบุรุษให้มาได้ใช่ไหม   ตอบ ”  
 เสียงเข้มตวาดจนพวกที่อยู่ในแถวมองหน้ากันไปมา   แต่คนโดนตำหนิยืนนิ่งชักสีหน้าใส่รุ่นพี่
 
                หนุ่มร่างท้วมเลิกคิ้ว  โอ้โหตำหนิไปแล้วไม่มีสลดเลยจริงๆ
 “ถามไม่ตอบ  คุณมีปัญหาอะไรครับ  พูดครับพูด!  มายืนสวยเฉยๆผมไม่เข้าใจกับคุณหรอก”  
 เขากระแทกเสียงข่มขู่เต็มที่
 
 ...เธอเลยหยิบอย่างขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์     กระเป๋าสตางค์แบรนเนมสุดหรูที่เพิ่งเปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่ออาทิตย์ก่อนดึงดูดทุกสายตาให้มองพุ่งมาหาด้วยความตกตะลึง    ถึงที่นี่จะมีพวกคุณหนูบ้านรวยลูกเข้ามาเรียนกันเยอะ    แต่คุณเธอเล่นมีของแพงเวอร์จากต่างประเทศมาอยู่ในมือได้เนี่ยไม่ธรรมดาจริงๆ  
 
 
 “อ่าวๆ  นี่จะยัดเงินปิดปากพี่รึไง”   พี่อบรมร่างใหญ่แกล้งทำหน้าดุใส่ในใจแอบขำเล็กๆปีก่อนรุ่นเขาเองก็มีเหมือนกันพวกอวดร่ำอวดรวยใส่รุ่นพี่   
 
                “ก็แค่จะหาหลักฐานให้ดูน่ะค่ะว่าผมสีนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว   หรือว่าพี่หวังอยากจะได้จริงๆ”   
                ริมฝีปากบางเหยียดยิ้ม 
                 “นี่ค่ะ”  
                 บัตรประชาชนถูกยื่นใส่มือกร้าน
 
 “จะเอามาให้พี่ดูทำไมบัตรประชาชนน่ะ?”
เขาเลิกคิ้ว
 
 
“หลักฐานไงคะ”
 
ตอนแรกก็งงไปหลายวิพอมองเจ้าของบัตรอีกทีก็ถึงบางอ้อว่าเด็กมันอยากอวดว่าตัวเองเป็นลูกครึ่ง
“อ่อ  ไม่ต้องอวดครับพี่ดูรู้ว่าน้องเป็นลูกครึ่ง”
  เลยหัวเราะเสียงดังใส่
 
 
“ที่นี่พวกเด็กพิเศษมันเยอะลูกทหาร ตำรวจ สส.เยอะครับเยอะ   เป็นแค่ลูกครึ่งธรรมดาหาได้ดาดๆ” 
พอได้ยินประโยคเด็ดพวกเฟรสชี่ที่กำลังคิดว่าตัวเองมีดีบ้านรวยนามสกุลใหญ่ได้นั่งสะดุ้งกันเป็นแถว 
 
 
 “ จะเอาไว้อ้างที่ทำหัวแดงๆมารึไงคะน้อง”
  รุ่นพี่สาวแว่นก็ไม่เชื่อแถมยกมือป้องปากตะโกนให้ได้ยินกันถ้วนหน้า    ถ้าเด็กมันคิดจะโกหกก็จะได้หน้าแหกต่อหน้าเพื่อนๆให้อายตั้งแต่ปี1ยันจบปี4ไปเลย 
 
 รุ่นน้องได้แต่ยิ้มรับ
“ก็ลองพลิกดูอีกด้านสิคะมีรูปถ่ายหมู่ในตระกูลแด๊ดอยู่ญาติๆของแด๊ดผมสีนี้กันทุกคนค่ะ   ของมิ้นท์นี่ถือว่าสีอ่อนลงแล้วนะคะถ้าไม่ได้เป็นลูกครึ่งจะแดงยิ่งกว่านี้อีก”  
 นัยน์ตาสีเทาส่งสายตาท้าทาย   
 
โดนมองขนาดนี้เขาเลยพลิกบัตรในมือดูซะหน่อย    ด้านหลังมีรูปถ่ายฝรั่งผู้ชายวัยสามสิบต้นๆผมสีแดงเข้มอุ้มเด็กผู้หญิงตัวเล็กผมสีแดงเอาไว้แนบอก   ข้างๆกันนั้นมีรูปถ่ายสีค่อนข้างเก่าเป็นรูปหมู่ผู้คนในรูปมีหลากหลายเพศและอายุแต่ทุกคนมีผมสีแดงเข้มกันหมด    เขาถึงกับใบ้กินขึ้นมาทันใดหน้าแหกสิงานนี้ได้แต่เดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนเงียบๆแล้วยื่นบัตรให้ดู
 
 
“ของจริงนี่หว่า!”  
 หนุ่มตี๋ทำหน้าบอกบุญไม่รับ   ส่วนสาวแว่นเบ้หน้างานนี้เจ้าตัวเสียหน้าเต็มๆแถมยังรู้สึกหน้าแหกเข้าให้ซะเอง   พี่อบรมแต่ละคนนั่งนิ่งรูดซิบปากเงียบสนิทไม่เหมือนตอนทำท่าข่มใส่น้องก่อนหน้านั้นเลย   หนุ่มร่างใหญ่มองซ้ายมองขวาก็มีแต่คนส่ายหน้าใส่เลยถอนหายใจออกมา  ในฐานะหัวหน้าทีมคงต้องเป็นฝ่ายไปกู้หน้าเองซะแล้วหน่วยกล้าตายจึงเดินกลับมาหาน้องผมสีเพลิงอีกครั้ง
 
 
“โอเคครับน้องมิ้นท์   พวกพี่เข้าใจน้องผิดเอง  ก็นะคนเรามีผิดพลาดกันได้พวกพี่ก็โตกว่าน้องแค่ปีเดียวเอง  แต่อย่าถือโทษโกรธกันเลยเนอะ  เดี๋ยวต่อไปเราก็มาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมรั้วมหาลัยเดียวกันเหมือนพี่เหมือนน้องกันแล้ว”
เขาพูดยิ้มๆแล้วยื่นบัตรคืนให้
 
“ค่ะ  มิ้นท์เข้าใจว่าคนเรามีระดับความคิดไม่เท่ากัน”
บอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วรับของคืนมา แต่คำพูดที่ตรงจนเกินไปทำเอาใบหน้าคมเข้มถอดสีทันที    ในใจได้แต่คิดว่าเด็กปีนี้แรงจริงๆแต่จะพูดอะไรได้ล่ะเพราะตัวเองกับเพื่อนก็ผิดที่ใส่ความน้องเค้าก่อนนี่นา    เลยทำได้แต่ถอยออกมาเงียบๆ     วีรกรรมการหักหน้าพวกพี่ต่อหน้าเพื่อนร่วมรุ่นทำให้เกิดเสียงซุบซิบถึงนิสัยสุดแรงไปต่างๆนาๆ
 
 
“แรงว่ะเนอะป้าทิพย์”
สาวผมสั้นมาดห้าวกระซิบบอกเพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกัน
 
“ป้าบ้านแกสิ  เดี๊ยะเหนี่ยว”   
สาวหมวยเลยยกมือขึ้นทำท่าจะตบหัวตัวปากดีที่เอี้ยวตัวหลบซ้ายหลบขวา
 
“เออแต่จะว่าไปก็แรงเกิ้น”
 
“ดูน่ากลัวเนอะ”
เสียงหวานที่ดังมาจากข้างหลังทำให้สองสาวหันไปมองพร้อมกัน
 
ใบหน้าหวานที่เผยยิ้มน่ามอง   ดวงตากลมโต  ใบหน้าเรียวเล็กและผมสีน้ำตาลที่รวบเป็นทรงหางม้า ให้เธอคนนี้ดูน่ารักชนิดที่มองเท่าไรก็ไม่มีเบื่อ  สิ่งที่สะดุดพอๆกับหน้าตาคงจะเป็นนามสกุลที่อยู่บนป้ายห้อยคอ
 
งานนี้สาวหน้าหมวยรีบเอนตัวเข้ามากระซิบบอกเพื่อนตัวดี
“หลานอธิการน่ะ”
คนได้ยินถึงกับตาโต
 
“อ่า...เอ่อ  เราชื่อมินตรานะ  เรียกมินก็ได้”
สาวผมสั้นรีบแนะนำตัวใหญ่  รีบตีสนิทหลานอธิการเข้าไว้จะได้เกาะบารมีให้ตัวเองอยู่ในมออย่างเฉิดฉายกับเค้าบ้าง
 
“เราทิพยาดานะ  เรียกทิพละกัน”
คนหน้าหมวยเลยต้องแนะนำตัวไปด้วยที่จริงก็ไม่ได้อยากจะสนิทสนมอะไรด้วยนักหรอก  เห็นว่าเป็นหลานอธิการก็เลยคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อกันบ้าง
 
“ฟานะ  ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ”
สาวหน้าหวานบอกพร้อมรอยยิ้ม
 
....................................................................................................................
 
...... คนผมแดงเดินไปหามุมสงบปลีกตัวจากคนอื่นด้วยความรำคาญ    วีรกรรมเด็ดเมื่อเช้าทำให้ชื่อเสียงเรื่องความแรงเกินพิกัดโด่งดังไปทั่วแถมยังมีคนเอาไปซุบซิบนินทาให้รำคาญใจอีก    เธอเอนหลังพิงต้นไม้แล้วเปิดชาแอปเปิ้ลบรรจุขวดใส่หลอดก่อนจรดริมฝีปากลงลิ้มรสชาดอันหอมหวาน  
กลุ่มคนที่นั่งพูดคุยเสียงดังอยู่ไม่ไกลเป็นอะไรที่เธอมักหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ    สังคมเหรอ?มันก็แค่นั้น  หาความจริงใจได้ซะที่ไหน   นัยน์ตาสีเทามองไปเห็นคนเป็นจุดศูนย์กลางอยู่ในวงล้อมนั้น
สาวหน้าหวานตัวเล็กๆคนนั้น
ก็น่ารักดี...
ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มกับความคิดตัวเอง  
                                “มิ้นท์...”
                เสียงเรียกทำให้เจ้าของชื่อหันมามอง 
 
                “อ่อ  มิ้นท์ที่เขียนเหมือนรสมิ้นท์นี่เอง”
                 สาวร่างท้วมผู้สวมชุดเสื้อยืดลายการ์ตูนสีสดใสยิ้มตาหยีแสดงความเป็นมิตร ข้างๆมีสาวมาดเซอร์ผมยาวระดับไหล่สวมแว่นกรอบสีดำทำหน้าบอกบุญไม่รับ    
 
                “อืม  มีอะไรกับชั้นเหรอ”
                คิ้วเรียวเลิกสูง  
               
                “เปล่าหรอก  เราเห็นมิ้นท์มานั่งคนเดียวเลยมานั่งเป็นเพื่อน”
                                                “ไม่เป็นไรชั้นชอบอยู่คนเดียวมากกว่า”
                รีบออกตัวปฏิเสธทันทีเพราะไม่อยากให้ใครเข้ามาใกล้
 
                คนถูกปฏิเสธน้ำใจเศร้าลงทันที 
 
                “บอกแล้วว่าอย่ามายุ่งกับเค้า  เค้าอยากอยู่คนเดียวก็ปล่อยเค้าไป”
                เสียงเรียบจากคนใส่แว่นที่พูดออกมาตรงๆทำให้นัยน์ตาสีเทาหรี่มอง
               
                 “โซดาอ่ะ!  ให้มาเป็นเพื่อนกับเค้านะไม่ใช่มาหาเรื่อง”
                สาวอวบค้อนใส่เพื่อนตัวดี 
               
                “อ่าวก็จริงไหมล่ะ  เค้าไม่อยากมีเพื่อนแล้วจะไปยุ่งกับเค้าทำไม”
                สาวผมสั้นบอกแล้วหันมามองคนผมแดงที่ทำหน้านิ่ง
                “ขอโทษแทนเพื่อนเราด้วยนะไม่รบกวนล่ะ”
                พูดแล้วก็เตรียมจะลากคนข้างๆเดินหนี
 
                “มีณชญา   เรียก  มิ้นท์จะง่ายกว่า”
                เสียงเรียกทำให้คนใส่แว่นชะงักก่อนจะหันมาผิดกับสาวอวบที่ยิ้มดีใจรีบเดินเข้ามาแนะนำตัวบ้าง
 
                “เราแมวน้ำนะ  อ่อนี่เพื่อนเราโซดา เค้าเป็นคนแบบนี้แหละอย่าไปถือสาเลย”
                แมวน้ำรีบแก้ตัวให้คนข้างๆ  อุส่าพามาหาเพื่อนใหม่ดันทำตัวเหมือนจะมาหาเรื่องเค้าแทนซะงั้น \
                “ไม่หรอก  พูดตรงๆแบบนี้แหละดี” 
                ริมฝีปากบางเหยียดยิ้ม
               
                “ฟา  ตรงนี้ว่างมานั่งด้วยกันไหม”    “ฟามานั่งกับกลุ่มเราก็ได้”    “ฟา  มานั่งนี่เหอะ”
                มีเสียงโวยวายโหวกเหวกจากกลุ่มใหญ่ทำให้สามสาวต้องหันไปมอง
 
                “ฟาเนี่ย...ใครเหรอ”
                จริงๆก็ไม่ได้อยากสนใจนักหรอก  แต่มันดังจนน่ารำคาญนี่สิเลยอยากเห็นเจ้าของชื่อซักหน่อย 
                “ฟา?”  
                แมวน้ำนิ่งคิด
                “อ๋อ  หลานอธิการไง”
                แล้วบอกด้วยรอยยิ้ม
 
                “รู้ดี”
                โซดาพูเสียงเนิบนาบใส่เลยโดนตีไหล่เข้าให้
 
                “ได้ยินคนอื่นเค้าพูดกันย่ะ”
                 
                ฟา   คนตัวเล็กๆคนนั้นนี่นา  
                นัยน์ตาสีเทามองใบหน้าหวานแจกยิ้มไปทั่ว    ริมฝีปากบางเหยียดยิ้ม
                ตอนแรกก็คิดว่าน่ารักดี  แต่พอยิ้มเสแสร้งแบบนั้น....มันน่ารังเกลียด
               
                “เฟคดีนะ  ขนาดยิ้มยังเฟคเลย”
                สาวผมแดงเปรยเสียงแผ่วให้แมวน้ำหันมาทำหน้าแปลกใจ
                “เมื่อกี้มิ้นท์ว่าอะไรนะ?”
               
              “หือ  ไม่มีไรนิก็แค่คิดว่าน่ารักดี”
               บอกแล้วกระตุกยิ้มก่อนจะปรายตามองไปทางโซดาที่ทำหน้านิ่งใส่  
                              ....................................................................................................................
 
               
              “เลิกแล้วไปไหนกันดีฟาไปด้วยกันไหม”                
อะไรเนี่ยพวกนี้ยังไม่ทันสนิทกันก็มาชวนไปนั่นไปนี่  น่ารำคาญจริง
              นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่มองสี่สาวที่เพิ่งได้รู้จักเป็นเพื่อนกันวันนี้                
               “ไปจ๊ะ คนเยอะท่าทางสนุกดี”
                แต่ก็ยิ้มสร้างภาพให้ดูดีไว้ก่อน
                “ฟาเป็นกันเองดีจัง”
                 เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นมา              
                  “ยังไงเหรอ?”   
                แล้วมันก็ได้ผลเจ้าตัวเลยแกล้งไร้เดียงสาถามต่อ               
                  “ก็เป็นหลานอธิการนึกว่าจะหยิ่งกว่านี้  แต่ไม่หยิ่งเลย”                  
 
                  “ฟาชอบคุยนะ  คุยกันมากๆจะได้สนิทกันไวๆไง”
                 รอยยิ้มน่ารักทำให้คนรอบข้างยิ้มตามไปด้วย  การมีคนมารุมล้อมทำให้เธอรู้สึกดีเหมือนได้เป็นจุดศูนย์กลางที่โลกหมุนรอบตัวฉัน  แต่จะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าไม่เหลือบไปเห็นสายตาของใครบางคน 
                สายตาที่แสดงท่าทีรังเกียจออกมาอย่างชัดเจน...
               
                อะไรเนี่ย!   มองแบบนี้หาเรื่องกันนี่นา
                เป็นใครก็ไม่พอใจทั้งนั้นที่โดนมองแบบหาเรื่องก่อน  แต่...ตอนนี้ต้องสร้างภาพเข้าไว้               
 
                 “เอ่อ  ฟาชวนกลุ่มโน้นไปด้วยได้ไหม”   
                ใบหน้าหวานหันไปมองเพื่อนร่วมเอกทั้งสามที่ยืนรวมกลุ่มกันอยู่    ให้พวกที่รายล้อมอยู่ทำหน้าหวาดผวาไปตามๆกัน
                “ไม่ดีมั้งดีมั้ง”     “อย่าเลยรายนั้นแรงเกิน”     “นั่นดิๆเดี๋ยวงานกร่อยหมด”                
                โธ่เอ้ย...แค่นี้ก็กลัวกันไปได้  จะอะไรนักหนากะอีแค่คนคนเดียว                                       “งั้นเดี๋ยวฟาไปชวนเองจะได้ไปด้วยกัน”
                รอยยิ้มสร้างมิตรภาพทำให้ทุกคนจำใจพยักหน้ารับแต่ก็หวังลึกที่อยากไปกันโดยไม่มีคนหัวแดงพ่วงไปด้วย
               
                พอจะเดินไปหายัยคนตัวอ้วนกับยัยคนที่ห้าวๆเหมือนทอมก็ดันแยกตัวไปซะงั้น   เหลือคนที่ใครๆต่างก็ขยาดใส่ไว้คนเดียวนี่สิ!
 
                เอาไงดีอ่ะ!                ฟาเม้มปากกลืนน้ำลายลงคอจะเปลี่ยนใจก็ไม่ทันแล้วแถมยังวางท่าเอาไว้ซะใหญ่โตขืนไม่ทำก็หมดความน่าเชื่อถือต่อหน้าเพื่อนกันพอดี     สองขาเลยตัดสินใจเดินตรงไปหาอีกฝ่าย
 
                สาวหน้าหวานเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวสูง 
                ยัยนี่ชื่ออะไรเนี่ย   อ่อที่ป้ายเขียนว่ามิ้นท์                
                “มิ้นท์เลิกแล้วจะไปไหนรึเปล่า   ไปกับฟาไหมพวกทิพย์ก็ไปนะ  ไปกันเยอะๆดีออกจะได้สนิทกันไวๆไง”                
                 พูดแล้วยิ้มเอียงคอหน่อยๆเสริมความน่ารักให้ตัวเอง  
               
                ในสายตาคนทั่วไปผู้หญิงคนนี้จัดว่าน่ารัก  มนุษย์สัมพันธ์ดีน่าเป็นเพื่อนด้วย แต่ไม่ใช่สำหรับเธอแน่                  
                 “นี่”  สาวสวยบอกเสียงเบา “ไม่เมื่อยหน้ามั่งเหรอเห็นแกล้งยิ้มตลอด”
                 แล้วเหยียดยิ้มใส่                วินาทีนี้ฟาได้เข้าใจอย่างท่องแท้เลยว่าเหมือนถูกตบด้วยคำพูดจนหน้าชามันเป็นยังไง   ทำเอารอยยิ้มหวานจางหายไปกลายเป็นความกระอักกระอวลเข้ามาแทนที่   แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครมาพูดแบบนี้ซักราย
                ไม่มีเคยมีใครดูออกว่า...เธอแกล้งยิ้ม!
                “มะ..มิ้นท์นี่ตลกจังเข้าใจล้อเล่นเนอะ”
                  เลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้พูดกลบเกลื่อน 
                “แล้วจะไปกับพวกฟาไหม?”
                แล้วเปลี่ยนประเด็นซะ
               
                ใบหน้าสวยเผยยิ้มเย้ยยั่นใส่   ก็รู้ว่าที่ไหนๆต้องมีพวกแอ๊บแตกแบบนี้เพราะงั้นถ้าไม่มีความจำเป็นอะไรคงไม่เอาตัวเองไปคลุกคลีด้วยหรอก
                “ตามสบายนะ  ชั้นขี้เกียจไปดูเธอสร้างภาพตอนคุยกับคนอื่นน่ะ”                                     พูดจบสาวผมสีเพลิงก็เดินจากไปทิ้งให้อีกคนหน้าเสียยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว                 ..........................................................................................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา