ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)

8.3

เขียนโดย พลอยลภัสร์

วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.

  19 chapter
  9 วิจารณ์
  24.29K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

19) บทที่ 18

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
 
บทที่ 18
 
 
ภาพของหญิงสาวชุดดำที่กำลังก้มๆ เงยๆ เก็บดอกจันทร์กระพ้อที่หล่นลงมารายล้อมอยู่รอบตัวมากองรวมกันไว้ภายในดินแดนของกลาพิมพ์ฝ่ายเหนือ เป็นภาพที่หาดูได้ยากนัก และก็เป็นภาพที่สวยงามจนชายหนุ่มที่นั่งงามสง่าราวกับอัศวินม้าขาวในเทพนิยายอยู่บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ไม่สามารถถอนสายตาจากภาพตรงหน้าได้โดยง่าย
 
ซึ่งดูเหมือนหญิงสาวจะไม่รู้ตัวว่าถูกแอบมองด้วยความหลงใหลมาสักพักแล้ว เพราะเธอยังคงตั้งหน้าตั้งตาเก็บรวบรวมดอกจันทร์กระพ้อวางกองรวมกันไว้ด้านหน้าเธอ จนคนแอบมองทนไม่ไหว จึงเอ่ยทักเสียงขรึมออกไป “นั่นใคร!”
 
บุหรงสะดุ้งจนสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงขรึมร้องทักมาจากทางด้านหลัง จึงรีบหันขวับไปมองชายหนุ่ม ซึ่งกำลังจับจ้องมองมายังเธอด้วยแววตาที่เธอก็อ่านไม่ออกและก็ต้องอุทานออกมาเสียงดัง เมื่อรู้ซึ้งว่าชายหนุ่มชุดขาวบนหลังม้าสีขาวสะอาดตัวโตนั้นคือใคร “เจ้าศิขริน!” เจ้าของดินแดนที่เธอก้าวล่วงเข้ามาอย่างถือวิสาสะ
 
“เจ้า...เจ้าคือ...สาวน้อยทางใต้นี่นา...เข้ามาทำอะไรที่นี่” ศิขรินเอ่ยขึ้นเมื่อนึกจำใบหน้าขาวใสที่ก้มหน้านิ่งอยู่กับพื้นเบื้องล่างได้เป็นอย่างดี แต่ที่เขาแปลกใจคือ เขาเฝ้าวนเวียนตามหาเธอมาตลอดสามปี ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กสาวตัวน้อยที่ตามพ่อของเธอเข้ามาเก็บของป่าในดินแดนของเขาเป็นประจำ แล้วอยู่ๆ เธอก็หายหน้าหายตาไปอย่างไร้ร่องรอย
 
เขาคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้เจอเด็กสาวคนนั้นอีกแล้ว เพราะเกือบสามปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้ร่องรอยอะไรเกี่ยวกับเธอและพ่อเลย ไม่คิดว่าบทจะเจอก็เจอได้ง่ายดายขนาดนี้ และเจอในสภาพที่เธอกลายเป็นสาวสะพรั่งเต็มตัวซะด้วย
 
“ขะ...ข้า...”
 
“เจ้ารู้ตัวหรือเปล่า ว่าเจ้ากำลังรุกล้ำเข้ามาในดินแดนของเรา...อีกแล้ว” และเหมือนเธอกำลังจะลุกล้ำเข้ามาในหัวใจของเขาอีกแล้วด้วยเช่นกัน และครั้งนี้เขาก็ได้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า เขาจะไม่ปล่อยให้เธอหนีหายไปไหนอีกเป็นแน่
 
“ขะ...ข้า...ข้าขอโทษ” บุหรงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น ที่ต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มเจ้าของดินแดนที่เธอกำลังเหยียบอยู่นี่ เพราะความผิดที่เธอบุกรุกเข้ามาในดินแดนของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาติ และยิ่งเจ้าของดินแดนนั่งอยู่บนหลังม้าตัวโตเช่นนี้ ก็ยิ่งดูน่ากลัวน่าเกรงขามมากขึ้นไปอีก จนต้องก้มหน้าหลบสายตาแทบจะตลอดเวลาที่โต้ตอบกัน
 
“เจ้ามาจากทางไหน”
 
“ข้ามาจากบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหา” บุหรงเพิ่งจะสามารถพูดออกมาเป็นประโยคได้เป็นครั้งแรก หลังจากที่มัวแต่ตื่นตกใจที่ได้เจอเจ้าของดินแดนอย่างไม่ตั้งใจ “และข้าก็กำลังจะกลับพอดี”
 
พูดจบหญิงสาวก็หันหลังให้กับชายหนุ่ม ก่อนจะนั่งลงกับพื้นจัดการเก็บดอกจันทร์กระพ้อที่เธอกองรวมกันไว้ก่อนหน้าวางลงบนชายกระโปรงยาวชั้นแรกของเธอแล้วก็จับมันห่อยกเดินหนีชายหนุ่มเจ้าของดินแดนทันที
 
แต่มีหรือที่ศิขรินจะยอมให้หญิงสาวเดินหนีเขาไปง่ายๆ เขาจัดการชักม้าเข้าไปขวางทางเธอในทันทีเช่นกัน “เราจะไปส่งเจ้าเอง”
 
“มะ...ไม่เป็นไร” บุหรงปฏิเสธเสียงสั่น รู้สึกเหมือนร่างกายที่เล็กบางของเธอ ยิ่งดูเล็กลงไปอีกเท่าตัว เมื่อเบื้องหน้าถูกขวางด้วยชายหนุ่มบนหลังม้าตัวโต “ข้า...ข้ากลับเองได้”
 
“เจ้าอาจจะขโมยของๆ เราติดมือกลับไปทางใต้ด้วย ถ้าเราไม่ไปส่งเจ้า”
 
“ข้าไม่ได้หยิบหรือขโมยอะไรของท่านไปทั้งนั้น ข้าแค่เดินเลยมาเก็บดอกจันทร์กระพ้อพวกนี้ไปทำน้ำมันหอมระเหยเท่านั้นเอง...ปล่อยข้าไปเถอะนะ” บุหรงเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวจะถูกตัดมืออย่างที่เคยได้ยินมา ถ้าชายหนุ่มคิดว่าเธอเข้ามาขโมยอะไรในดินแดนของเขามากกว่าการเข้ามาเพื่อเก็บดอกไม้พวกนี้
 
“นั่นแหละ เพื่อความไม่ประมาท เราจะไปส่งเจ้าเอง”
 
แต่ก่อนที่ศิขรินจะขยับทำอย่างที่บอก ก็ได้ยินเสียงนายทหารที่ควบม้าตามเขามาร้องเรียก “เจ้าศิขรินๆ” เสียงดังลั่นป่า
 
“รอข้าอยู่ตรงนี้” ศิขรินสั่งสาวน้อยสาวร่างเพรียวบางจบ ก็ควบม้าไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง เพื่อบอกให้ทหารหยุดรอเขาแค่ตรงนั้น เพราะเกรงว่าสาวน้อยจากดินแดนทางใต้จะได้รับอันตราย โดยให้เหตุผลกับทหารว่าเขามีธุระจะต้องแวะไปบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหาก่อน
 
บุหรงไม่คิดจะหยุดรอชายหนุ่มอย่างที่เขาสั่งไว้ เธอออกตัววิ่งเพื่อกลับไปบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหาอย่างรวดเร็ว ทว่ายิ่งวิ่งก็ยิ่งเหนื่อย เธอไม่คิดว่าเธอจะหลงใหลความหอมของดอกจันทร์กระพ้อจนเดินเล่นเพลิน เดินมาไกลมากขนาดนี้
 
ตอนแรกบุหรงแค่เดินเล่นดูสวนผัก สวนสมุนไพรของตาเฒ่าเจ้าปัญหาเฉยๆ แต่พอลมเย็นพัดโชยมากระทบผิวกาย เธอก็ได้กลิ่นดอกจันทร์กระพ้อ จึงเดินเรื่อยมาเพื่อจะมาเก็บมันไปทำน้ำมันหอมระเหยเอาไว้ใช้ในการทำสบู่ตามที่นายหญิงเคยพูดถึงเมื่อสองวันก่อน
 
“ว้ายยย...” หญิงสาวที่กำลังวิ่งร้องขึ้นอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ตัวเธอก็ลอยหวือขึ้นไปอยู่บนหลังม้าสีขาวสะอาดตัวโตแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
 
“ข้าบอกให้เจ้ารอข้า...ทำไมถึงไม่รอ”
 
ชายหนุ่มเอ่ยตำหนิหญิงสาวที่เขาอุ้มขึ้นมานั่งอยู่เบื้องหน้าเขาบนม้าตัวเดียวกันไม่เต็มเสียงนัก เมื่อรับรู้ถึงอาการนิ่งเกร็งของหญิงสาวที่กำลังตกใจกับการกระทำของเขา
 
บุหรงเลือกที่จะนั่งนิ่งหลังตรงไปตลอดทาง ไม่แม้แต่จะขยับแขนขาเพียงสักนิด เขาจับให้เธอนั่งหันข้างให้ม้าเธอก็นั่งอยู่ท่านั้นไม่ขยับ มีเพียงใบหน้าที่หันหนีมองตรงไปยังเบื้องหน้าเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นแขนแกร่งที่กำลังกุมสายบังเหียนม้าที่พาดพานหน้าอกของเธอไปเท่านั้น ซึ่งจะขยับตัวก็กลัวจะไปถูกเข้ากับแขนแกร่งที่โอบล้อมเธอไว้ทั้งหน้าและหลัง จะใช้มือบางช่วยกันก็ไม่ได้เพราะเธอไม่มีมือสำหรับจะจับอะไรทั้งนั้น เมื่อมือทั้งสองข้างของเธอกำลังกุมดอกไม้ที่อุตส่าห์เก็บมาอย่างยากลำบาก
 
เส้นทางจากต้นจันทร์กระพ้อจนถึงบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหานั้น ไม่ได้ทอดยาวนัก แต่หญิงสาวกลับคิดว่ามันช่างดูยาวไกลในความรู้สึกของเธอเหลือเกิน แต่อีกคนที่นั่งซ้อนอยู่เบื้องหลังกลับคิดต่างกัน...เขาคิดว่าทำไมระยะทางมันช่างสั้นยิ่งนัก มันน่าจะทอดยาวไกลต่อไปอีก...สุดขอบฟ้าได้ยิ่งดี
 
ซึ่งภาพตัดกันระหว่างชายหนุ่มในชุดสีขาวกับหญิงสาวในชุดสีดำบนหลังม้าสีขาวท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวขจีช่างเป็นความงามที่หาดูได้ยากนัก เพราะไม่เคยมีสักครั้งที่สีขาวกับสีดำจะอยู่เคียงคู่กันเช่นนี้
 
“เอ้า...ถึงแล้ว”
 
และภาพตรงหน้าก็หายวับไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม เมื่อหญิงสาวไถลตัวลงมาจากหลังม้าด้วยความว่องไวหลังจากชายหนุ่มที่โอบล้อมเธอไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างกล่าวจบประโยค
 
เมื่อบุหรงลงมายืนอยู่บนพื้นดินได้แล้ว ก็หันไปเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มเบาๆ ที่เขาอุตส่าห์มาส่งเธอจนถึงที่ ทว่าก่อนที่เธอจะเดินหันหลังจากมา ชายหนุ่มก็เรียกเธอไว้ด้วยประโยคบอกเล่าซึ่งแสดงความเป็นเจ้าของสิ่งที่เธอกำลังหอบหิ้วอยู่ “นั่นดอกไม้ของเรา”
 
บุหรงหยุดชะงัก เหมือนสมองกำลังประมวลผลว่าประโยคบอกเล่าของศิขรินนั้น หมายความว่าอย่างไร ก่อนจะจำยอมหันกลับมายื่นดอกจันทร์กระพ้อทั้งหมดที่เก็บมาจากดินแดนทางเหนือ ส่งคืนให้กับเจ้าของดอกไม้อย่างแสนเสียดาย
 
ชายหนุ่มบนหลังม้ายิ้มให้กับใบหน้างอง้ำของหญิงสาวก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธสิ่งที่เธอยื่นคืนให้แก่เขา “ถ้าเจ้าจำได้ เราไม่เคยหวงพืชพันธุ์ในดินแดนของเรากับเจ้าและพ่อเจ้าเลยสักครั้ง ส่วนน้ำมันหอมระเหยที่เจ้าพูดถึง อีกเจ็ดวันนำมันมาให้เราด้วย ตรงที่ๆ เราเจอกัน...และเราหวังว่าเจ้าคงจะมา เพราะถ้าไม่มา...”
 
ประโยคที่เหมือนจะเป็นคำขู่กลายๆ นั้น สามารถทำให้หญิงสาวที่ก้มหน้าแทบจะตลอดเวลาที่คุยกับชายหนุ่ม เงยหน้าขึ้นสบตาเขาเต็มๆ และเขาก็ได้เห็นบางสิ่งในแววตาของเธอ...บางสิ่งที่บอกกับเขาว่า เธอก็จำเขาได้เช่นกัน
 
แต่ก่อนที่จะมีใครเตือนความจำใคร เสียร้องเรียก “บุหรงๆ” ที่ดังมาจากริมรั้วข้างบ้านหลังน้อย ก็ทำให้หญิงสาวขยับตัวเดินไปหานายหญิงที่กำลังเดินตามหาตนทันที
 
“กลับกันเถอะ...เย็นมากแล้ว ถ้าเรากลับไปถึงมืดเกินไป เราต้องโดนท่านอินทุของเจ้าเฆี่ยนตีเป็นแน่”
 
“แม่นาง!”
 
“แม่นาง...จันทรพิมพ์รึ” ศิขรินเอ่ยถาม ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้าทันทีที่ได้ยินหญิงสาวที่เขาลงทุนขี่ม้ามาส่ง เรียกหญิงสาวอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาว่าแม่นาง เขาต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาตนเองว่าภรรยาของอุทุราชานั้นยังไม่ตายจริงๆ อย่างที่มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปว่านางฟื้นคืนชีพเพราะยาของตาเฒ่าเจ้าปัญหา
 
“พี่ภูผา” ศศิธรถลาเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่กำลังเดินตรงมาที่เธอด้วยความลืมตัว แต่เมื่อเห็นสายตาเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน เธอก็เปลี่ยนไปเรียกชื่อเขาแบบที่เคยได้ยินคนในกลาพิมพ์เอ่ยถึง “เจ้าศิขริน”
 
ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำเรียกขานนั้น และเอ่ยทีเล่นทีจริงกับหญิงสาว “เราเพียงแค่พาคนของแม่นางมาส่งเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะบุกรุกเข้ามายังดินแดนทางใต้เลยสักนิด หวังว่าแม่นางคงไม่นำเรื่องนี้ไปเล่าให้สามีของแม่นางฟังนะ” ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการที่มีโอกาสได้เจอกันเป็นครั้งแรก “เราชื่อศิขริน ยินดีที่ได้รู้จักภรรยาผู้ตายไปแล้วของอุทุราชา”
 
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน...เจ้าศิขริน”
 
“ไหนใครๆ ก็พูดกันว่าแม่นางตายไปแล้ว”
 
ศศิธรรู้สึกถูกชะตากับชายหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายภูผา พี่ชายของเธออย่างประหลาด เหมือนเธอกับเขารู้จักมักคุ้นกันมาแสนนาน ทำให้เธอสามารถพูดคุยกับเขาด้วยความเป็นกันเอง ไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาตแบบที่ใครนึกกลัว เนื่องจากคนทางใต้แทบทุกคนต่างเชื่อว่าจันทรพิมพ์ถูกเจ้าศิขรินฆ่าตาย
 
“งั้นเจ้าศิขรินคงยังไม่ได้รับข่าวลือที่ว่า...เราเป็นผู้วิเศษมีเก้าชีวิต ตายแล้วสามารถฟื้นคืนชีพได้”
 
ชายหนุ่มที่เพิ่งจะรู้จักหญิงสาวนามว่า...จันทรพิมพ์ เป็นครั้งแรกหัวเราะเสียงดังกังวาลกับประโยคโอ้อวดแสดงความพิเศษของตนเองของเธอ  “ข้าถือเป็นเกียรติอย่างสูง ที่ได้รู้จักกับผู้วิเศษเช่นแม่นาง”
 
ทั้งคู่ยิ้มให้แก่กันด้วยความถูกชะตา...ถูกชะตา คำนี้คงใช้ได้กับคนทั้งคู่ เพราะทั้งสอง ต่างรู้สึกถูกชะตากันโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยไม่มีที่มาที่ไป ก่อนทั้งคู่จะเอ่ยร่ำลากันและกัน และแยกย้ายกันกลับดินแดนของตนเมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ซึ่งอีกไม่นานความมืดคงแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้น ที่ส่องสว่างนำทางในยามที่ไร้ซึ่งแสงจากดวงอาทิตย์
 
/////////////////////////////
 
“เจ้าไปไหนมา”
 
เสียงขรึมต่ำทักทายเป็นประโยคแรกจากชายหนุ่มเจ้าของปราสาทที่กำลังยืนรออยู่ที่ตีนบันไดซึ่งกำลังจ้องเขม็งมาที่หญิงสาวชุดดำด้วยใบหน้าถมึงทึงดุจเสือหิวก็ไม่ปาน ไม่ได้ทำให้หญิงสาวที่เพิ่งกลับเข้าบ้านมท่าทางสลดลงแต่อย่างใด
 
ศศิธรยังทำเป็นใจดีสู้เสือหิวเดินตรงไปหยุดอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มเจ้าของปราสาทที่เธอพยายามหลบหน้าหลบตาเขามาตลอดทั้งอาทิตย์ ตั้งแต่รู้ความจริงว่าเขาเป็นอุทุราชา เพราะเธอยังตัดสินใจไม่ได้ว่าเธอจะปฏิบัติตัวกับเขาเช่นไรดี ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร ทั้งที่เธอกลับเข้าบ้านมาค่อนข้างมืด ซึ่งมืดกว่าที่เธอและสาวใช้คนสนิทคาดการณ์เอาไว้แต่แรก “ข้าไปบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหามา”
 
“ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหม ว่าข้าจะพาเจ้าไปเอง” อินทุพยายามข่มอารมณ์และน้ำเสียงไม่ให้แสดงอารมณ์กราดเกรี้ยวใส่หญิงสาวที่ดูไม่ทุกข์ร้อนกับความเป็นห่วงเป็นใยของเขาอย่างเต็มที่เท่าที่เขาจะสามารถควบคุมได้
 
“ข้ารู้...แต่ท่านก็มีงานมากมาย และท่านก็ไม่ว่างสำหรับข้าสักที”
 
“ที่ดินตรงนั้นมันอันตราย”
 
และเธอก็รู้เช่นกันว่าเขาเป็นห่วงในความปลอดภัยของเธอ ถึงได้อาสาจะเป็นคนพาเธอไปเอง แต่เธอก็รอให้เขาว่างสำหรับเธอไม่ได้จริงๆ เธอยอมรับว่าเธออาจจะใจร้อนอยากจะไปหาหญ้าอาบจันทร์ให้ได้โดยเร็วมากเกินไป แต่จะให้เธอใจเย็นรอจนกว่าเขาจะว่าง ซึ่งไม่มีกำหนดแน่นอน เธอก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน
 
“แต่ข้าก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วนี่นา”
 
ทว่าคำตอบที่มีน้ำเสียงราบเรียบและประโยคง่ายๆ ของหญิงสาวก็เหมือนฟืนที่ถูกจับโยนเข้ากองไฟ จุดให้ไฟหงุดหงิดในใจของชายหนุ่มลุกติดขึ้นในทันทีทันใด ซึ่งเขาก็ไม่รู้จะไปลงเอากับใคร จะไปลงกับเธอก็ใช่ที่ เขาจึงหันไปตวาดเรียกชื่อสาวใช้ที่เขามอบหมายให้ตามดูแลหญิงสาวเสียงดัง “บุหรง!”
 
ศศิธรรีบกางปีกปกป้องคนของเธอทันทีเมื่อเห็นอารมณ์ที่รุนแรงของชายหนุ่มเป็นครั้งแรก “อย่าไปลงที่นาง ข้าเป็นคนบังคับให้นางพาข้าไปเอง”
 
“แต่นางขัดคำสั่งของข้า คนทำผิดต้องถูกลงโทษ...เอานางไปขังหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยปล่อย”
 
นาทีนี้อินทุไม่ฟังคำทัดทานของใครทั้งนั้น เขาพาลไปหมด แม้แต่นายทหารสองคนที่ถูกหญิงสาวหลอกให้หลงกลเขาก็ไม่ละเว้นโทษให้ “รวมเจ้าทั้งสองคนด้วย”
 
สาวใช้และนายทหารสองคน ถูกคุมตัวเดินออกไปยังสถานที่ๆ ใช้คุมขังคนทำผิดทันที โดยไม่มีเสียงร้องขอความเมตตาปราณีออกมาจากปากของคนทั้งสามเลยสักนิด
 
มีเพียงหญิงสาวที่เป็นต้นเรื่องเท่านั้น ที่หันมองซ้ายมองขวาอย่างต้องการจะหาตัวช่วย แต่เหมือนที่ตรงนี้ไม่มีใครที่จะเป็นพวกเธอ หรือช่วยเหลือเธอได้สักคน เพราะคนที่มีอำนาจสูงสุดได้สั่งการไปแล้ว ซึ่งยากจะคืนคำ
 
และสายตาคมดุที่เอาแต่จ้องนิ่งมองตรงมาที่เธอ เหมือนอินทุต้องการจะบอกเป็นนัยๆ ว่าความดื้อรั้นของเธอ นำความเดือดร้อนมาให้คนอื่น
 
ศศิธรจึงตัดสินใจหันหลังให้คนวางอำนาจ แล้วเดินตามคนของเธอทั้งสามคนไปติดๆ
 
“เจ้าจะไปไหน”
 
“ในเมื่อข้าทำผิด...ข้าก็ยินดีรับโทษเช่นคนของข้า” ศศิธรหยุดเดินเพื่อตอบคำถามของชายหนุ่ม แต่เธอกลับไม่ยอมหันไปมองหน้าเขาเลยสักนิด
 
สุมะเห็นว่าเหตุการณ์กลับบ้านช้าของนายหญิงชักจะบานปลาย จึงเดินเข้าไปขวางหน้านายหญิงของตนด้วยความรวดเร็ว
 
แต่ชายหนุ่มที่กำลังโมโหกลับเอ่ยออกมาสั้นๆ คำเดียว แต่ช่างทำร้ายจิตใจคนฟังยิ่งนัก “ดี” แล้วเขาก็หันหลังเดินหนีขึ้นไปยังห้องนอนใหญ่ทันที
 
เขารู้สึกโกรธ...ที่หญิงสาวไม่เชื่อฟังเขา
 
โกรธ...ที่เธอกลับบ้านมืดค่ำ โดยไม่มีใครสักคนรู้ว่าเธอไปอยู่ไหน
 
โกรธ...ที่เธอถือดียอมรับโทษทัณฑ์
 
และสุดท้ายเขาโกรธ...ที่เธอทำหมางเมิน หลบหน้าหลบตาเขามาตลอดทั้งอาทิตย์
 
/////////////////////////////
 
ทว่าหลังจากที่ชายหนุ่มปล่อยให้หญิงสาวรับโทษทัณฑ์ด้วยการเข้าไปนอนในคุกซึ่งมีอากาศหนาวเหน็บหนึ่งคืนอย่างที่เธอต้องการ เขากลับเป็นฝ่ายที่นอนไม่หลับซะเอง และในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องมายืนเฝ้าที่หน้าประตูห้องขังทั้งคืนจนถึงเช้า แล้วเขาก็เป็นคนเปิดประตูห้องขังเข้าไปช้อนอุ้มหญิงสาวที่นอนขดตัวอยู่บนพื้นห้องขังเย็นๆ นั้นอย่างเบามือออกมาด้วยตนเอง ตั้งแต่เห็นเส้นขอบฟ้าสีทองจางๆ อยู่ทางทิศตะวันออก
 
หญิงสาวที่กำลังนอนหลับสนิทผวาจนสุดตัว เมื่ออยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองลอยได้ แต่เมื่อลืมตาและปรับโฟกัสได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ก็ดิ้นเพื่อจะลงจากอ้อมแขนอุ่นทันที “ปล่อยข้าลงนะ”
 
“นิ่งๆ ซิ เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก” อินทุกระชับกอดหญิงสาวในอ้อมแขนแน่นขึ้น เมื่อเธอพยายามจะดิ้นให้หลุดพ้นจากอ้อมอกแกร่งของเขา ก่อนจะหันไปสั่งสาวใช้ที่นั่งลืมตาคอยเฝ้าพัดปัดตัวแมลงให้นายหญิงของตนทั้งคืน “บุหรง...เจ้ากลับไปนอนที่ห้องได้แล้ว ข้าให้เจ้าพักหนึ่งวัน”
 
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนที่ชายหนุ่มใช้พูดกับสาวใช้ของตนเอง หญิงสาวก็ลดอาการดิ้นรนลง และยอมให้ชายหนุ่มอุ้มออกไปจากห้องขังอย่างว่าง่าย พร้อมกับค่อยๆ ซุกตัวเข้าหาอกแกร่งเพื่อซึมซับความอบอุ่นจากร่างหนา เพราะตอนนี้เนื้อตัวของเธอชื้นและเย็นไปหมดจนเหมือนจะเป็นไข้
 
ศศิธรไม่ได้นึกโกรธเคืองเขาแล้วเรื่องที่ถูกลงโทษ เพราะเมื่อคืนหลังจากนอนคิดในห้องขังมาทั้งคืน เธอก็รู้ตัวดีว่าเรื่องนี้เธอผิดเต็มๆ ที่แอบหนีไปบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหาโดยไม่ยอมบอกใครและกว่าจะกลับก็มืดค่ำ ทำให้เขาเป็นห่วง
 
แต่ที่ยังคงปั้นปึ่งอยู่ เพราะเธอแค่แอบน้อยใจในความใจดำของเขาเท่านั้น ทั้งที่เขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าเธอเป็นคนขี้หนาว แทนที่จะสั่งให้ใครนำผ้าห่มมาให้เธอสักผืนเพื่อคลายหนาวหน่อยก็ไม่มี ยังดีที่เธอพอมีเสื้อคลุมตัวหนาติดตัวอยู่ ไม่งั้นเช้านี้เธอคงจะตื่นมา พร้อมกับอาการจับไข้เป็นแน่
 
“พี่ชายเจ้าสั่งเจ้าว่าอย่างไร ก่อนจะมาที่นี่” อินทุถามพร้อมกับก้มหน้าลงไปจูบขมับของหญิงสาวในอ้อมแขนด้วยความรักใคร่ เมื่อเห็นอาการนิ่งอย่างยอมจำนนของเธอ
 
“อย่าดื้อ และให้ข้าเชื่อฟังท่าน”
 
“แล้วเจ้าก็เพิ่งจะบอกกับข้าว่า เจ้าจะเชื่อฟังข้า...แล้วทำได้บ้างไหม” ชายหนุ่มกล่าวตำหนิหญิงสาวไม่จริงจังนัก เพราะนึกสงสารเธอที่ต้องทนนอนหนาวมาทั้งคืน
 
“ข้าก็กำลังพยายามอยู่...ข้าทำผิด ข้าก็ยอมรับโทษของข้าแล้วไง ท่านยังต้องการอะไรอีก...ข้าแค่อยากจะหาตัวยามารักษาแม่ให้ได้เร็วๆ เท่านั้น” หญิงสาวพูดทั้งที่เปลือกตายังคงปิดสนิท
 
“ก็ข้าบอกว่าให้เจ้ารอข้า ข้าจะพาเจ้าไปเอง”
 
“แล้วเมื่อไหร่ข้าจะได้ไป ในเมื่อท่านงานยุ่งขนาดนี้” ศศิธรย้อนถามกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะเริ่มอยากหลับตานอน เมื่อได้อยู่ในอ้อมแขนอุ่นเช่นนี้
 
“เฮ้อ...ทีหลังอย่าไปที่นั่น โดยไม่มีข้า หรือทหารอีก ถ้าเจ้าศิขรินเจอเจ้า เจ้าไม่มีทางรอดกลับมาแน่ๆ ขนาดชาวบ้านธรรมดาแค่เดินหลงเข้าไป ยังโดนตัดมือก่อนจะปล่อยตัวกลับออกมาเลยนะ แล้วถ้าเจ้าศิขรินรู้ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้ายิ่งไม่รอดแน่”
 
 
 
 
 
 
 
 
++++++++++++++
 
 
ลงให้ทดลองอ่านตอนสุดท้ายแล้วน๊าาา เพราะหนังสือวางแผงแล้ว
ครึ่งเรื่องพอดี
 
ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาตลอดนะคะ
 
ยังไงก็ฝากท่านอินทุไว้ในอ้อมอกอ้อมใจสักคน
และฝากอุดหนุนนิยายเรื่องที่ 3 ของพลอยลภัสร์ "ลิขิตแห่งจันทร์" ด้วยนะคะ
 
หาซื้อลิขิตแห่งจันทร์ ได้แล้วตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ
หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ เวปสถาพรบุ๊คส์
แบบ e-Books ก็มีนะคะ สั่งได้ที่ Meb หรือ Naiin
 
ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ พลอยลภัสร์
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา