ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)
8.3
เขียนโดย พลอยลภัสร์
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.
19 chapter
9 วิจารณ์
24.30K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) บทที่ 17
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 17
“ท่านอินทุของพวกเจ้าเป็นคนอย่างไร”
จู่ๆ หญิงสาวที่นั่งอยู่กลางวงล้อมของบรรดาสาวใช้ที่กำลังช่วยกันเด็ดและคัดแยกผักภายใต้ร่มไม้ใหญ่ หลังจากที่ออกไปช่วยกันเก็บมาจากแปลงปลูกในช่วงเช้าก็เอ่ยถามสาวใช้ขึ้นอย่างไม่มีที่ไปที่มา
“อุทุราชาหรือ” เหล่าสาวใช้ต่างร้องถามออกมาด้วยความสงสัยว่าทำไมนายหญิงของตนถึงถามคำถามเช่นนี้
“อืม”
แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี “ท่านอินทุเป็นคนดีและมีเมตตา”
“เอาความจริงซิ” ศศิธรเอ่ยบอกออกมายิ้มๆ เมื่อรู้ว่าคนของชายหนุ่มต้องไม่มีใครกล้าพูดถึงเขาในแง่ร้ายเป็นแน่
“ดุ”
และแล้วก็มีสาวใช้ใจกล้านางหนึ่ง หลุดพูดออกมาคำแรกหลังจากได้รับคำอนุญาตจากนายหญิงของตน ด้วยท่าทางขนลุกขนพอง และเพื่อนๆ มากมายก็พยักหน้าเห็นด้วยกันเป็นทิวแถว
“ใช่ๆ ท่านอินทุดุและโหดมาก”
“ดุ โหด อย่างไร”
“เคยมีสาวใช้ขัดคำสั่ง อุทุราชารู้เข้า สั่งให้เฆี่ยนจนเกือบตายแน่ะ”
เมื่อมีผู้กล้าคนแรก คนที่สองก็ตามมาติดๆ “ที่โหดสุด น่าจะเป็นกรณีนายทหารคนหนึ่ง ที่ถูกจับได้ว่าโกหกอะไรสักอย่าง ท่านอินทุสั่งตัดแขนแล้วก็เนรเทศไล่ให้ไปอยู่ชายป่าเลย”
“ตัดแขน!” หญิงสาวที่ทำหน้าที่ซักถามมาตั้งแต่ต้นบทสนทนาอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจกับความป่าเถื่อนของชายหนุ่ม
“แต่ถ้าเราทำตามคำสั่งของท่าน ท่านก็ใจดีนะ”
สาวใช้นางหนึ่งรีบแก้ตัวให้อุทุราชาของตนทันทีที่เห็นใบหน้าผิดหวังของนายหญิงเมื่อรู้ถึงความดุและโหดของอุทุราชา
“หล่อด้วย”
สาวใช้ผู้มีใบหน้าหวานเรียบร้อยนางหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะยกมือขึ้นอุดปากแทบไม่ทัน เมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป “อุ้บ!”
“ฮ่าๆๆๆ พูดได้ เราไม่ว่าอะไร” ศศิธรหัวเราะขำกับใบหน้าเคลิ้มชวนฝันของสาวใช้ ต่อให้อุทุราชาของพวกนาง ดุ โหด และวางอำนาจมากแค่ไหน พวกนางก็ยังคงหลงใหลใบหน้าหล่อราวเทพบุตรของเขาด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เธอ แค่คิดถึงใบหน้าชวนฝันของเขาก็ทำให้ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“แม่นางเป็นคนใจดี”
สาวใช้ผู้มีใบหน้าหวานเอ่ยออกมา เมื่อเห็นว่านายหญิงของตนไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองในสิ่งที่ตนเผลอหลุดปากพูดออกไป แต่กลับหัวเราะชอบใจ
“หือ...เราหรือ”
“ใช่ๆ ข้าไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมอุทุราชาถึงดูรักแม่นางนัก ผิดกับเมื่อก่อนลิบลับ”
น้ำเสียงชื่นชมในความรักที่เจ้าของปราสาทมีให้กับหญิงสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าตน เอ่ยออกมาจากสาวใช้ที่ไม่เคยเห็นอุทุราชาเฉียดกายเข้าไปยังโรงครัวเลยสักวันตั้งแต่ทำงานมา แต่อุทุราชากลับเดินเข้าไปตามนายหญิงของตนทันทีที่กลับถึงปราสาท
“เมื่อก่อนทำไมหรือ”
“เมื่อก่อนท่านอินทุ เอาแต่ทำงาน ห่วงแต่งาน ไม่ค่อยได้กลับปราสาท แล้วแม่นางก็เอาแต่เศร้าสร้อย เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ออกไปไหนมาไหนเช่นทุกวันนี้ และที่สำคัญตอนนี้ท่านทั้งสองดูรักกัน และดูมีความสุขมาก”
“บุหรง” ศศิธรรู้สึกตกใจกับคำพูดเชิงวิเคราะห์ของสาวใช้คนสนิทของตน เธออยากจะปฏิเสธออกไปนักว่าเธอไม่ได้รักเขาอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่เมื่อลองสำรวจใจตนเองอย่างถ่องแท้แล้ว เธอก็เอ่ยปฏิเสธออกไปได้ไม่เต็มเสียงนัก
“เจ้าดูออกหรือ ว่าเรารัก...เราไม่ได้รัก...”
“พี่สุมะบอกว่าแม่นางเป็นคนทำให้ท่านอินทุขี้เกียจ ไม่ค่อยอยากจะไปทำงาน” บุหรงเสเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นอาการหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุกที่วางกองอยู่ตรงหน้าพวกตน
ซึ่งเรื่องที่สาวใช้คนสนิทพยายามเปลี่ยนเรื่องนั้น ก็ไม่ได้ช่วยลดดีกรีความเขินอายของศศิธรลงสักนิด กลับยิ่งทำให้เธอหน้าแดงมากขึ้นไปอีก จนพูดเถียงอะไรออกไปอย่างตะกุกตะกัก “เรา...เราเปล่านะ เราไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“แม่นางทำ...สายตาของแม่นาง ยามที่มองท่านอินทุ ถ้าข้าเป็นท่านอินทุ ข้าก็คงไม่อยากไปทำงานเช่นกัน”
“สายตาเรา...ทำไมหรือ”
“ก็สายตาของแม่นาง มองเหมือนจะกลืนกินท่านอินทุอย่างไรอย่างนั้น”
“บ้า” ศิธรขมุบขมิบต่อว่าสาวใช้คนสนิทด้วยความเขินอาย...ใครจะกลืนกินผู้ชายตัวโตคนนั้นได้ มีแต่เขานั่นแหละที่ชอบใช้สายตาจ้องเหมือนจะกลืนกินเธอ
บุหรงพยายามก้มหน้าก้มตาทำงานที่ค้างของตัวเองต่อไป โดยพยายามจะไม่หันไปมองสบสายตาเขียวปั๊ดและใบหน้าแดงๆ ที่กำลังจ้องมองเธอเหมือนจะ...กินเลือดกินเนื้อ ไม่ใช่กลืนกิน...เหมือนที่เธอมักเห็นเวลานายทั้งสองของตนแอบลอบมองกันและกัน
//////////////////////////////////////
จนแล้วจนรอดชายหนุ่มเจ้าของปราสาทผู้ปกครองเมืองกลาพิมพ์ก็ไม่ได้พาแขกสาวคนพิเศษที่ดั้นด้นเดินทางข้ามกาลเวลาจากโลกอนาคตกลับมายังกลาพิมพ์ไปหาตาเฒ่าเจ้าปัญหาเพื่อค้นหาหญ้าอาบจันทร์สักที โดยชายหนุ่มอ้างกับหญิงสาวว่างานยุ่ง ต้องสะสางงานที่มันค้างคาให้เรียบร้อยเสียก่อน เขาถึงจะพาเธอไปหาตาเฒ่าเจ้าปัญหาได้
ซึ่งมันก็ไม่ทันใจหญิงสาวที่มักจะตัดสินใจทำอะไรอย่างรวดเร็ว เธอจึงพยายามหาทางไปที่นั่นเอง ด้วยการถามสาวใช้คนสนิทระหว่างที่กำลังนั่งซ่อมเสื้อผ้าที่ขาดบางจุดของชายหนุ่มอยู่บนพื้นพรมภายในห้องนอนใหญ่ “บุหรง...เจ้ามีงานอะไรต้องไปทำอีกไหม”
“ไม่มีนะ ข้ามีหน้าที่คอยดูแลแม่นางเท่านั้น”
“หมายความว่า เราจะไปที่ไหน เจ้าก็จะต้องตามไปที่นั่นกับเราใช่ไหม”
บุหรงพยักหน้ารับอย่างงงๆ กับประโยคกึ่งถามกึ่งสั่งกลายๆ ของนายหญิง
“งั้น...ซ่อมชุดนี้เสร็จ เราไปบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหากันนะ”
“แต่ท่านอินทุสั่งห้าม...”
“เราขออนุญาตอุทุราชาของเจ้าแล้ว” ศศิธรโมเมเอาคำพูดที่เธอเคยเอ่ยขออนุญาตชายหนุ่มเมื่ออาทิตย์ก่อน มาบอกกับสาวใช้ว่าเขาอนุญาตให้เธอไปบ้านของตาเฒ่าเจ้าปัญหาได้ แต่ละประโยคที่เขาบอกว่าจะเป็นคนพาเธอไปเองเอาไว้ในใจ
“อย่างงั้นก็ได้...แต่แม่นางต้องเปลี่ยนใส่ชุดสีดำซะก่อน แล้วเอาเสื้อคลุมตัวหนาติดไปด้วย เพราะขากลับพระอาทิตย์น่าจะตกดินแล้ว และอากาศก็จะหนาวเย็นมาก”
“ได้ๆ ไม่มีปัญหา”
พูดจบ ศศิธรก็วางเสื้อตัวที่เพิ่งซ่อมกระดุมเสร็จในมือลงทันที แล้วรีบลุกขึ้นไปเปลี่ยนใส่ชุดสีดำสนิทตามคำแนะนำของสาวใช้ ที่เคยบอกกับเธอว่าถ้าจะออกไปไหนมาไหนที่ซึ่งพ้นจากเขตกำแพงปราสาทหลังนี้ไปแล้ว ต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำสนิททั้งชุด พร้อมกับกลัดเข็มกลัดรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวอันเป็นสัญลักษณ์ของชาวเมืองกลาพิมพ์ฝ่ายใต้ไว้ที่หน้าอกด้านซ้ายด้วย เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง
บุหรงรีบวางมือจากงานเบื้องหน้าเมื่อเห็นอาการกระตือรือร้นของนายหญิง แล้วรีบลุกขึ้นตามไปช่วยเลือกชุดกระโปรงสีดำเนื้อหนายาวกรอมเท้า พร้อมกับผ้าคลุมศรีษะและเสื้อคลุมตัวหนาสีดำเพื่อกันหนาวในช่วงขากลับให้กับนายหญิงของตน
“แม่นางดูเปลี่ยนไป”
“เปลี่ยนไป อย่างไร”
“ดูสดใส ร่าเริง กระตือรือร้น แล้วก็ขยันมาก ขยันจนพวกเราเหนื่อย...ไม่เหมือนเมื่อก่อน” บุหรงพูดถึงนายหญิงของตนด้วยน้ำเสียงชื่นชม เธอพูดออกมาจากสิ่งที่เธอสังเกตเห็นตลอดระยะเวลาร่วมสองอาทิตย์ที่เธอได้ดูแลหญิงสาวตรงหน้า หญิงสาวที่มีบุคลิกนิสัยเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วดีหรือไม่ดี”
“ดีซิ...ข้าชอบ พวกเราทุกคนชอบ ไม่เหมือนแม่นางคนเดิมที่...”
จู่ๆ สาวน้อยเสียงหวาน ช่างพูดช่างเจรจาก็เงียบเสียงลงเสียเฉยๆ เหมือนไม่อยากจะนึกถึงอดีต แล้วก็หันไปหยิบเข็มกลัดที่แสดงถึงอำนาจสูงสุดที่โต๊ะหัวเตียงมากลัดที่หน้าอกข้างซ้ายให้กับนายหญิงของตนอย่างเบามือ
ทว่านายหญิงกลับไม่ยอมให้สาวใช้หยุดพูดง่ายๆ ก็เลยซักถามต่อ “ที่อะไร”
“ที่ดูไม่มีความสุข และดูหวาดกลัวอะไรอยู่ตลอดเวลา”
ศศิธรเงียบไปอึดใจ เพราะน้ำเสียงที่สาวใช้กล่าวถึงจันทรพิมพ์ตัวจริงนั้น ช่างดูหดหู่ยิ่งนัก ซึ่งเธอไม่อยากจะเอ่ยถึงหญิงสาวที่ถูกฆาตกรรมตายไปแล้วอีก จึงกล่าวตัดบทขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จันทรพิมพ์...นางเปลี่ยนไปแล้ว”
ซึ่งหลังจากทั้งนายหญิงและสาวใช้แต่งกายด้วยชุดสีดำสนิทตลอดทั้งตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเธอก็พร้อมจะออกเดินทางไปยังนอกเมืองทันที
ทว่าเมื่อศศิธรโผล่หน้าออกมาเห็นนายทหารสองนายที่มีหน้าที่คอยดูแลและติดตามเธออย่างใกล้ชิดยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง เธอก็ออกอุบายให้สาวใช้ออกไปบอกให้นายทหารสองนายนั้นไปตักน้ำมาใส่อ่างอาบน้ำภายในห้องนอนให้เธอ โดยให้เหตุผลว่าวันนี้เธอจะอาบน้ำในห้อง
หลังจากนายทหารทั้งสองนายลับสายตาไปเพียงเล็กน้อย ศศิธรก็รีบลากพาสาวใช้แอบหนีไปยังคอกม้าโดยพลัน ซึ่งเธอให้เหตุผลกับสาวใช้ว่า ไปกันหลายคนมันจะดูเอิกเกริกมากเกินไป ตาเฒ่าเจ้าปัญหาอาจจะรำคาญแล้วอาจจะไม่ยอมบอกเรื่องหญ้าอาบจันทร์กับเธอ
บุหรงพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะพากันไปยังคอกม้า เมื่อหญิงสาวทั้งสองขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าตัวโตตัวเดียวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บุรงก็พานายหญิงของตนขี่ม้าลัดเลาะแนวป่าไปยังบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหาที่อยู่สุดเขตดินแดนกลาพิมพ์ฝ่ายใต้ทันที
ทางไปบ้านตาเฒ่านั้น ถึงจะไกลและต้องบุกป่าฝ่าดง แต่ก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรมากนัก เพราะอินทุได้สั่งให้ทหารมาทำทางสำหรับไปบ้านตาเฒ่าให้โล่งเตียน เพื่อสะดวกในหารเดินทางโดยเฉพาะ เพราะอุทุราชาเห็นว่าตาเฒ่าเจ้าปัญหาเป็นหมอเทวดา ซึ่งเป็นคนสำคัญของชาวบ้านของเขา
ซึ่งเดินทางเพียงชั่วโมงเศษ ม้าของศศิธรกับบุหรงก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังน้อยที่ปลูกอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ซึ่งศศิธรรับรู้ได้ทันทีว่าบ้านน้อยหลังนี้ คือบ้านของตาเฒ่าเจ้าปัญหา เพราะมันมีเพียงแค่ทางเข้าและประตูบ้านจริงๆ ที่อยู่ภายในเขตแดนที่ทำจากไม้กั้นเป็นแนวยาวไปจนสุดลูกหูลูกตาฝั่งเดียวกันกับที่เธอกำลังยืนอยู่
ศศิธรมองสำรวจไปรอบๆ บ้านหลังน้อย ที่เต็มไปด้วยโอ่งไหใบเล็กใบน้อยวางเรียงล้อมรอบบ้านอยู่เต็มไปหมด และถัดออกไปทางด้านหลังบ้านนั้นก็เป็นร่องปลูกผักสวนครัวขนาดย่อม ซึ่งส่งให้บ้านหลังน้อยท่ามกลางหุบเขาดูน่าอยู่ยิ่งขึ้นไปอีก
“ตาเฒ่าๆๆ อยู่หรือเปล่า” บุหรงตะโกนเรียกหมอเทวดา แต่มือนั้นกลับสาละวนช่วยจับพยุงนายหญิงของตนให้ลงจากหลังม้าเพื่อไปนั่งยังแคร่ไม้ไผ่ตัวยาวที่วางอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ที่หน้าบ้าน
“สงสัยจะไม่อยู่” ศศิธรพึมพำเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายเพื่อคลายเมื่อยขบและทอดสายตามองไปยังแนวเขาลูกใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวครึ้มอีกฝั่งหนึ่งอย่างสบายอารมณ์ “บนนี้อากาศดีเนอะ”
“ตาเฒ่าๆๆ อยู่หรือเปล่า แม่นางจันทรพิมพ์มาหา”
“ข้าอยู่นี่”
ทันทีที่ศศิธรหันมาเห็นชายชราที่กำลังเดินตรงมาหาพวกเธอ เธอก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ “คุณลุง!”
เธอไม่สงสัยเลยว่าทำไมอินทุถึงดูไม่ชอบใจคุณลุงที่ร้านซ่อมรองเท้าคนนั้นนัก ก็ชายชราทั้งสองช่างเหมือนกันราวกับคนๆ เดียวกัน “ตาเฒ่าเจ้าปัญหา!”
“ใช่..ข้าเอง...แม่นางมีเรื่องอะไรกับข้า”
“เราจะมาถามตาเฒ่าว่ารู้จักโรคเกร็ดพิษไหม”
“ใครเป็นอีกล่ะ”
“แม่...เอ่อ...คนรู้จักของเรา แม่เขากำลังเป็นโรคนี้ ตาเฒ่ามีตัวยารักษาไหม”
“ข้าไม่มีหรอก”
ถึงแม้ว่าชายชราจะตอบว่าไม่มีตัวยารักษาโรคเกร็ดพิษ แต่อย่างน้อยๆ คำตอบของชายชรา ก็ทำให้เธอรู้ว่าชายชรารู้จักโรคเกร็ดพิษ แสดงว่าการที่เธอลงทุนเดินทางข้ามกาลเวลามาที่นี่ก็ไม่ได้เสียเปล่า
“แล้วตาเฒ่ารู้จักหญ้าอาบจันทร์ไหม”
ชารชราเหล่ตามองหญิงสาวด้วยใบหน้าแปลกใจ แสดงว่าหญิงสาวเบื้องหน้าตนก็พอรู้ว่าหญ้าอาบจันทร์ช่วยรักษาโรคเกร็ดพิษได้ จึงยอมตอบออกไปว่า “รู้จัก”
“ตาเฒ่าพาเราไปหามันหน่อยได้ไหม”
“ไม่”
“ตาเฒ่า!” บุหรงร้องห้ามปรามเสียงสูง เมื่อเห็นกิริยาไม่เหมาะสมที่ชายชราแสดงต่อหน้านายหญิงของตน แต่จะว่าไปแม้แต่ตัวอุทุราชาเอง ชายชราคนนี้ก็หาเกรงกลัวไม่
“คนแก่อย่างข้า จะปีนยอดเขาสูงๆ ได้อย่างไง”
“ตาเฒ่าแค่บอกเราก็พอ ว่าหญ้าอาบจันทร์มันขึ้นอยู่แถวไหน เดี๋ยวเราไปหามันเอง”
ชายชราเงียบเสียงลง ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้หญิงสาวทั้งสองที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสะดุ้งตกใจขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย “ข้าไม่บอก...จนกว่าแม่นางจะพูดความจริงว่าแม่นางเป็นใครกันแน่”
“ตาเฒ่า ทำไมพูดกับแม่นางเช่นนี้”
ศศิธรจ้องดวงตาของชายชรานิ่งๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ตรงหน้า เธอไม่คาดคิดว่าชายชราจะกล้าถามเธอออกมาตรงๆ เช่นนี้ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากไล่สาวใช้ของตนให้ไปที่อื่นสักพัก “บุหรง เจ้าไปเดินเล่นที่อื่นก่อน ขอเราคุยกับตาเฒ่านี่ตามลำพัง”
“แม่นาง...” บุหรงครางออกมาเสียงแผ่ว เพราะไม่อยากทิ้งให้นายหญิงของตนอยู่ตามลำพังกับตาเฒ่าเจ้าปัญหา
“ข้าไม่ทำอะไรแม่นางจันทรพิมพ์ของเจ้าหรอก”
“ไปเถอะ...เราอยู่ได้” หญิงสาวหันไปพูดกับสาวใช้เพื่อให้ความมั่นใจว่าเธอสามารถอยู่คนเดียวได้จริงๆ ซึ่งพอคล้อยหลังสาวใช้ เธอก็หันมาคุยกับชายชราอย่างเปิดอก “ตาเฒ่าอยากรู้อะไรก็ถามเรามาได้เลย”
“แม่นางไม่ใช่ แม่นางจันทรพิมพ์ใช่ไหม”
“ตาเฒ่ารู้ได้อย่างไร”
“ก็วันที่แม่นางจันทรพิมพ์ตาย ข้าเป็นคนตรวจดูเองกับมือ ว่านางเป็นอะไรตาย”
“แล้วแม่นางจันทรพิมพ์เป็นอะไรตาย” หญิงสาวยังไม่ได้เอ่ยยอมรับหรือปฏิเสธในคำถามของชายชรา แต่กลับถามคำถามที่เธออยากรู้ออกไปทันที “แลกกันกับความจริงที่ตาเฒ่าอยากรู้ทั้งหมด”
“นางโดนยาพิษชนิดร้ายแรงจากเห็ดพิษ และตอนที่อุทุราชาอุ้มร่างของแม่นางจันทรพิมพ์มาให้ข้าช่วยรักษานั้น แม่นางได้สิ้นลมไปเกือบจะสองวันแล้ว ซึ่งไม่มีทางที่ใครจะรักษาให้หายได้ ส่วนเรื่องฟื้นคืนชีพ ที่สามีของแม่นางกำลังพยายามจะบอกกับทุกคนนั้น มันยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่” ชายชราพูดจบก็เพ่งมองดวงหน้างามอย่างพินิจพิเคราะห์ ดวงหน้าของหญิงสาวทั้งสองคนช่างเหมือนกันนัก แต่แววตานั้นช่างต่างกันราวกลางคืนกับกลางวัน
หญิงสาวที่ถูกจับได้ว่าเป็นแม่นางจันทรพิมพ์ตัวปลอมนิ่งคิดไปชั่วขณะ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างปลงตกแล้วตอบคำถามของชายชราออกไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น “เราไม่ใช่แม่นางจันทรพิมพ์ เราแค่หน้าเหมือนนางเท่านั้น”
“แล้วแม่นางมาที่กลาพิมพ์ได้อย่างไร”
“เพราะพระจันทร์เต็มดวง และสร้อยเส้นนี้” ศศิธรดึงสร้อยที่สวมใส่ติดคออยู่ตลอดเวลาออกมาจากคอเพื่อให้ชายชราได้ดู เธอไม่ได้อธิบายถึงวิธีการมาที่นี่ของเธอให้ชายชราฟังมากนัก เพราะเธอไม่คิดว่าจะมีใครเชื่อเรื่องเหลือเชื่อเหนือธรรมชาตินี้ เธอจึงเลือกพูดเพียงบางส่วนเท่านั้น
“สร้อยจันทร์เสี้ยว!”
ทว่าชายชรากลับรู้จักสร้อยจันทร์เสี้ยวและจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ทั้งตกใจและแปลกใจหนักกว่าเดิมเสียอีก
“แม่นางลงทุนมาที่นี่เพื่อสิ่งใด”
“หญ้าอาบจันทร์ เราต้องการมันเพื่อไปรักษาแม่ของเรา...เราตอบคำถามของตาเฒ่าแล้ว ที่นี้จะบอกเราได้หรือยังว่าเราสามารถหาหญ้าอาบจันทร์ได้ที่ไหน”
ชายชรายอมชี้นิ้วไปยังภูเขาสูงเบื้องหน้าที่เห็นอยู่ไกลลิบออกไปห่างออกไปทางทิศใต้ของบ้านอย่างไม่มีข้อแม้อีก เมื่อได้รับรู้สิ่งที่ต้องการรู้หมดแล้ว “ยอดเขาลูกนู้น”
+++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ
ใกล้จะหมดโควต้าที่ลงให้อ่านแล้วน๊าาา
เพราะหนังสือวางแผงแล้ว
ฝากติดตามในแบบรูปเล่มนะคะ
รัก
พลอยลภัสร์
“ท่านอินทุของพวกเจ้าเป็นคนอย่างไร”
จู่ๆ หญิงสาวที่นั่งอยู่กลางวงล้อมของบรรดาสาวใช้ที่กำลังช่วยกันเด็ดและคัดแยกผักภายใต้ร่มไม้ใหญ่ หลังจากที่ออกไปช่วยกันเก็บมาจากแปลงปลูกในช่วงเช้าก็เอ่ยถามสาวใช้ขึ้นอย่างไม่มีที่ไปที่มา
“อุทุราชาหรือ” เหล่าสาวใช้ต่างร้องถามออกมาด้วยความสงสัยว่าทำไมนายหญิงของตนถึงถามคำถามเช่นนี้
“อืม”
แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี “ท่านอินทุเป็นคนดีและมีเมตตา”
“เอาความจริงซิ” ศศิธรเอ่ยบอกออกมายิ้มๆ เมื่อรู้ว่าคนของชายหนุ่มต้องไม่มีใครกล้าพูดถึงเขาในแง่ร้ายเป็นแน่
“ดุ”
และแล้วก็มีสาวใช้ใจกล้านางหนึ่ง หลุดพูดออกมาคำแรกหลังจากได้รับคำอนุญาตจากนายหญิงของตน ด้วยท่าทางขนลุกขนพอง และเพื่อนๆ มากมายก็พยักหน้าเห็นด้วยกันเป็นทิวแถว
“ใช่ๆ ท่านอินทุดุและโหดมาก”
“ดุ โหด อย่างไร”
“เคยมีสาวใช้ขัดคำสั่ง อุทุราชารู้เข้า สั่งให้เฆี่ยนจนเกือบตายแน่ะ”
เมื่อมีผู้กล้าคนแรก คนที่สองก็ตามมาติดๆ “ที่โหดสุด น่าจะเป็นกรณีนายทหารคนหนึ่ง ที่ถูกจับได้ว่าโกหกอะไรสักอย่าง ท่านอินทุสั่งตัดแขนแล้วก็เนรเทศไล่ให้ไปอยู่ชายป่าเลย”
“ตัดแขน!” หญิงสาวที่ทำหน้าที่ซักถามมาตั้งแต่ต้นบทสนทนาอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจกับความป่าเถื่อนของชายหนุ่ม
“แต่ถ้าเราทำตามคำสั่งของท่าน ท่านก็ใจดีนะ”
สาวใช้นางหนึ่งรีบแก้ตัวให้อุทุราชาของตนทันทีที่เห็นใบหน้าผิดหวังของนายหญิงเมื่อรู้ถึงความดุและโหดของอุทุราชา
“หล่อด้วย”
สาวใช้ผู้มีใบหน้าหวานเรียบร้อยนางหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะยกมือขึ้นอุดปากแทบไม่ทัน เมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป “อุ้บ!”
“ฮ่าๆๆๆ พูดได้ เราไม่ว่าอะไร” ศศิธรหัวเราะขำกับใบหน้าเคลิ้มชวนฝันของสาวใช้ ต่อให้อุทุราชาของพวกนาง ดุ โหด และวางอำนาจมากแค่ไหน พวกนางก็ยังคงหลงใหลใบหน้าหล่อราวเทพบุตรของเขาด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เธอ แค่คิดถึงใบหน้าชวนฝันของเขาก็ทำให้ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“แม่นางเป็นคนใจดี”
สาวใช้ผู้มีใบหน้าหวานเอ่ยออกมา เมื่อเห็นว่านายหญิงของตนไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองในสิ่งที่ตนเผลอหลุดปากพูดออกไป แต่กลับหัวเราะชอบใจ
“หือ...เราหรือ”
“ใช่ๆ ข้าไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมอุทุราชาถึงดูรักแม่นางนัก ผิดกับเมื่อก่อนลิบลับ”
น้ำเสียงชื่นชมในความรักที่เจ้าของปราสาทมีให้กับหญิงสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าตน เอ่ยออกมาจากสาวใช้ที่ไม่เคยเห็นอุทุราชาเฉียดกายเข้าไปยังโรงครัวเลยสักวันตั้งแต่ทำงานมา แต่อุทุราชากลับเดินเข้าไปตามนายหญิงของตนทันทีที่กลับถึงปราสาท
“เมื่อก่อนทำไมหรือ”
“เมื่อก่อนท่านอินทุ เอาแต่ทำงาน ห่วงแต่งาน ไม่ค่อยได้กลับปราสาท แล้วแม่นางก็เอาแต่เศร้าสร้อย เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ออกไปไหนมาไหนเช่นทุกวันนี้ และที่สำคัญตอนนี้ท่านทั้งสองดูรักกัน และดูมีความสุขมาก”
“บุหรง” ศศิธรรู้สึกตกใจกับคำพูดเชิงวิเคราะห์ของสาวใช้คนสนิทของตน เธออยากจะปฏิเสธออกไปนักว่าเธอไม่ได้รักเขาอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่เมื่อลองสำรวจใจตนเองอย่างถ่องแท้แล้ว เธอก็เอ่ยปฏิเสธออกไปได้ไม่เต็มเสียงนัก
“เจ้าดูออกหรือ ว่าเรารัก...เราไม่ได้รัก...”
“พี่สุมะบอกว่าแม่นางเป็นคนทำให้ท่านอินทุขี้เกียจ ไม่ค่อยอยากจะไปทำงาน” บุหรงเสเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นอาการหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุกที่วางกองอยู่ตรงหน้าพวกตน
ซึ่งเรื่องที่สาวใช้คนสนิทพยายามเปลี่ยนเรื่องนั้น ก็ไม่ได้ช่วยลดดีกรีความเขินอายของศศิธรลงสักนิด กลับยิ่งทำให้เธอหน้าแดงมากขึ้นไปอีก จนพูดเถียงอะไรออกไปอย่างตะกุกตะกัก “เรา...เราเปล่านะ เราไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“แม่นางทำ...สายตาของแม่นาง ยามที่มองท่านอินทุ ถ้าข้าเป็นท่านอินทุ ข้าก็คงไม่อยากไปทำงานเช่นกัน”
“สายตาเรา...ทำไมหรือ”
“ก็สายตาของแม่นาง มองเหมือนจะกลืนกินท่านอินทุอย่างไรอย่างนั้น”
“บ้า” ศิธรขมุบขมิบต่อว่าสาวใช้คนสนิทด้วยความเขินอาย...ใครจะกลืนกินผู้ชายตัวโตคนนั้นได้ มีแต่เขานั่นแหละที่ชอบใช้สายตาจ้องเหมือนจะกลืนกินเธอ
บุหรงพยายามก้มหน้าก้มตาทำงานที่ค้างของตัวเองต่อไป โดยพยายามจะไม่หันไปมองสบสายตาเขียวปั๊ดและใบหน้าแดงๆ ที่กำลังจ้องมองเธอเหมือนจะ...กินเลือดกินเนื้อ ไม่ใช่กลืนกิน...เหมือนที่เธอมักเห็นเวลานายทั้งสองของตนแอบลอบมองกันและกัน
//////////////////////////////////////
จนแล้วจนรอดชายหนุ่มเจ้าของปราสาทผู้ปกครองเมืองกลาพิมพ์ก็ไม่ได้พาแขกสาวคนพิเศษที่ดั้นด้นเดินทางข้ามกาลเวลาจากโลกอนาคตกลับมายังกลาพิมพ์ไปหาตาเฒ่าเจ้าปัญหาเพื่อค้นหาหญ้าอาบจันทร์สักที โดยชายหนุ่มอ้างกับหญิงสาวว่างานยุ่ง ต้องสะสางงานที่มันค้างคาให้เรียบร้อยเสียก่อน เขาถึงจะพาเธอไปหาตาเฒ่าเจ้าปัญหาได้
ซึ่งมันก็ไม่ทันใจหญิงสาวที่มักจะตัดสินใจทำอะไรอย่างรวดเร็ว เธอจึงพยายามหาทางไปที่นั่นเอง ด้วยการถามสาวใช้คนสนิทระหว่างที่กำลังนั่งซ่อมเสื้อผ้าที่ขาดบางจุดของชายหนุ่มอยู่บนพื้นพรมภายในห้องนอนใหญ่ “บุหรง...เจ้ามีงานอะไรต้องไปทำอีกไหม”
“ไม่มีนะ ข้ามีหน้าที่คอยดูแลแม่นางเท่านั้น”
“หมายความว่า เราจะไปที่ไหน เจ้าก็จะต้องตามไปที่นั่นกับเราใช่ไหม”
บุหรงพยักหน้ารับอย่างงงๆ กับประโยคกึ่งถามกึ่งสั่งกลายๆ ของนายหญิง
“งั้น...ซ่อมชุดนี้เสร็จ เราไปบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหากันนะ”
“แต่ท่านอินทุสั่งห้าม...”
“เราขออนุญาตอุทุราชาของเจ้าแล้ว” ศศิธรโมเมเอาคำพูดที่เธอเคยเอ่ยขออนุญาตชายหนุ่มเมื่ออาทิตย์ก่อน มาบอกกับสาวใช้ว่าเขาอนุญาตให้เธอไปบ้านของตาเฒ่าเจ้าปัญหาได้ แต่ละประโยคที่เขาบอกว่าจะเป็นคนพาเธอไปเองเอาไว้ในใจ
“อย่างงั้นก็ได้...แต่แม่นางต้องเปลี่ยนใส่ชุดสีดำซะก่อน แล้วเอาเสื้อคลุมตัวหนาติดไปด้วย เพราะขากลับพระอาทิตย์น่าจะตกดินแล้ว และอากาศก็จะหนาวเย็นมาก”
“ได้ๆ ไม่มีปัญหา”
พูดจบ ศศิธรก็วางเสื้อตัวที่เพิ่งซ่อมกระดุมเสร็จในมือลงทันที แล้วรีบลุกขึ้นไปเปลี่ยนใส่ชุดสีดำสนิทตามคำแนะนำของสาวใช้ ที่เคยบอกกับเธอว่าถ้าจะออกไปไหนมาไหนที่ซึ่งพ้นจากเขตกำแพงปราสาทหลังนี้ไปแล้ว ต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำสนิททั้งชุด พร้อมกับกลัดเข็มกลัดรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวอันเป็นสัญลักษณ์ของชาวเมืองกลาพิมพ์ฝ่ายใต้ไว้ที่หน้าอกด้านซ้ายด้วย เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง
บุหรงรีบวางมือจากงานเบื้องหน้าเมื่อเห็นอาการกระตือรือร้นของนายหญิง แล้วรีบลุกขึ้นตามไปช่วยเลือกชุดกระโปรงสีดำเนื้อหนายาวกรอมเท้า พร้อมกับผ้าคลุมศรีษะและเสื้อคลุมตัวหนาสีดำเพื่อกันหนาวในช่วงขากลับให้กับนายหญิงของตน
“แม่นางดูเปลี่ยนไป”
“เปลี่ยนไป อย่างไร”
“ดูสดใส ร่าเริง กระตือรือร้น แล้วก็ขยันมาก ขยันจนพวกเราเหนื่อย...ไม่เหมือนเมื่อก่อน” บุหรงพูดถึงนายหญิงของตนด้วยน้ำเสียงชื่นชม เธอพูดออกมาจากสิ่งที่เธอสังเกตเห็นตลอดระยะเวลาร่วมสองอาทิตย์ที่เธอได้ดูแลหญิงสาวตรงหน้า หญิงสาวที่มีบุคลิกนิสัยเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วดีหรือไม่ดี”
“ดีซิ...ข้าชอบ พวกเราทุกคนชอบ ไม่เหมือนแม่นางคนเดิมที่...”
จู่ๆ สาวน้อยเสียงหวาน ช่างพูดช่างเจรจาก็เงียบเสียงลงเสียเฉยๆ เหมือนไม่อยากจะนึกถึงอดีต แล้วก็หันไปหยิบเข็มกลัดที่แสดงถึงอำนาจสูงสุดที่โต๊ะหัวเตียงมากลัดที่หน้าอกข้างซ้ายให้กับนายหญิงของตนอย่างเบามือ
ทว่านายหญิงกลับไม่ยอมให้สาวใช้หยุดพูดง่ายๆ ก็เลยซักถามต่อ “ที่อะไร”
“ที่ดูไม่มีความสุข และดูหวาดกลัวอะไรอยู่ตลอดเวลา”
ศศิธรเงียบไปอึดใจ เพราะน้ำเสียงที่สาวใช้กล่าวถึงจันทรพิมพ์ตัวจริงนั้น ช่างดูหดหู่ยิ่งนัก ซึ่งเธอไม่อยากจะเอ่ยถึงหญิงสาวที่ถูกฆาตกรรมตายไปแล้วอีก จึงกล่าวตัดบทขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จันทรพิมพ์...นางเปลี่ยนไปแล้ว”
ซึ่งหลังจากทั้งนายหญิงและสาวใช้แต่งกายด้วยชุดสีดำสนิทตลอดทั้งตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเธอก็พร้อมจะออกเดินทางไปยังนอกเมืองทันที
ทว่าเมื่อศศิธรโผล่หน้าออกมาเห็นนายทหารสองนายที่มีหน้าที่คอยดูแลและติดตามเธออย่างใกล้ชิดยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง เธอก็ออกอุบายให้สาวใช้ออกไปบอกให้นายทหารสองนายนั้นไปตักน้ำมาใส่อ่างอาบน้ำภายในห้องนอนให้เธอ โดยให้เหตุผลว่าวันนี้เธอจะอาบน้ำในห้อง
หลังจากนายทหารทั้งสองนายลับสายตาไปเพียงเล็กน้อย ศศิธรก็รีบลากพาสาวใช้แอบหนีไปยังคอกม้าโดยพลัน ซึ่งเธอให้เหตุผลกับสาวใช้ว่า ไปกันหลายคนมันจะดูเอิกเกริกมากเกินไป ตาเฒ่าเจ้าปัญหาอาจจะรำคาญแล้วอาจจะไม่ยอมบอกเรื่องหญ้าอาบจันทร์กับเธอ
บุหรงพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะพากันไปยังคอกม้า เมื่อหญิงสาวทั้งสองขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าตัวโตตัวเดียวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บุรงก็พานายหญิงของตนขี่ม้าลัดเลาะแนวป่าไปยังบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหาที่อยู่สุดเขตดินแดนกลาพิมพ์ฝ่ายใต้ทันที
ทางไปบ้านตาเฒ่านั้น ถึงจะไกลและต้องบุกป่าฝ่าดง แต่ก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรมากนัก เพราะอินทุได้สั่งให้ทหารมาทำทางสำหรับไปบ้านตาเฒ่าให้โล่งเตียน เพื่อสะดวกในหารเดินทางโดยเฉพาะ เพราะอุทุราชาเห็นว่าตาเฒ่าเจ้าปัญหาเป็นหมอเทวดา ซึ่งเป็นคนสำคัญของชาวบ้านของเขา
ซึ่งเดินทางเพียงชั่วโมงเศษ ม้าของศศิธรกับบุหรงก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังน้อยที่ปลูกอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ซึ่งศศิธรรับรู้ได้ทันทีว่าบ้านน้อยหลังนี้ คือบ้านของตาเฒ่าเจ้าปัญหา เพราะมันมีเพียงแค่ทางเข้าและประตูบ้านจริงๆ ที่อยู่ภายในเขตแดนที่ทำจากไม้กั้นเป็นแนวยาวไปจนสุดลูกหูลูกตาฝั่งเดียวกันกับที่เธอกำลังยืนอยู่
ศศิธรมองสำรวจไปรอบๆ บ้านหลังน้อย ที่เต็มไปด้วยโอ่งไหใบเล็กใบน้อยวางเรียงล้อมรอบบ้านอยู่เต็มไปหมด และถัดออกไปทางด้านหลังบ้านนั้นก็เป็นร่องปลูกผักสวนครัวขนาดย่อม ซึ่งส่งให้บ้านหลังน้อยท่ามกลางหุบเขาดูน่าอยู่ยิ่งขึ้นไปอีก
“ตาเฒ่าๆๆ อยู่หรือเปล่า” บุหรงตะโกนเรียกหมอเทวดา แต่มือนั้นกลับสาละวนช่วยจับพยุงนายหญิงของตนให้ลงจากหลังม้าเพื่อไปนั่งยังแคร่ไม้ไผ่ตัวยาวที่วางอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ที่หน้าบ้าน
“สงสัยจะไม่อยู่” ศศิธรพึมพำเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายเพื่อคลายเมื่อยขบและทอดสายตามองไปยังแนวเขาลูกใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวครึ้มอีกฝั่งหนึ่งอย่างสบายอารมณ์ “บนนี้อากาศดีเนอะ”
“ตาเฒ่าๆๆ อยู่หรือเปล่า แม่นางจันทรพิมพ์มาหา”
“ข้าอยู่นี่”
ทันทีที่ศศิธรหันมาเห็นชายชราที่กำลังเดินตรงมาหาพวกเธอ เธอก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ “คุณลุง!”
เธอไม่สงสัยเลยว่าทำไมอินทุถึงดูไม่ชอบใจคุณลุงที่ร้านซ่อมรองเท้าคนนั้นนัก ก็ชายชราทั้งสองช่างเหมือนกันราวกับคนๆ เดียวกัน “ตาเฒ่าเจ้าปัญหา!”
“ใช่..ข้าเอง...แม่นางมีเรื่องอะไรกับข้า”
“เราจะมาถามตาเฒ่าว่ารู้จักโรคเกร็ดพิษไหม”
“ใครเป็นอีกล่ะ”
“แม่...เอ่อ...คนรู้จักของเรา แม่เขากำลังเป็นโรคนี้ ตาเฒ่ามีตัวยารักษาไหม”
“ข้าไม่มีหรอก”
ถึงแม้ว่าชายชราจะตอบว่าไม่มีตัวยารักษาโรคเกร็ดพิษ แต่อย่างน้อยๆ คำตอบของชายชรา ก็ทำให้เธอรู้ว่าชายชรารู้จักโรคเกร็ดพิษ แสดงว่าการที่เธอลงทุนเดินทางข้ามกาลเวลามาที่นี่ก็ไม่ได้เสียเปล่า
“แล้วตาเฒ่ารู้จักหญ้าอาบจันทร์ไหม”
ชารชราเหล่ตามองหญิงสาวด้วยใบหน้าแปลกใจ แสดงว่าหญิงสาวเบื้องหน้าตนก็พอรู้ว่าหญ้าอาบจันทร์ช่วยรักษาโรคเกร็ดพิษได้ จึงยอมตอบออกไปว่า “รู้จัก”
“ตาเฒ่าพาเราไปหามันหน่อยได้ไหม”
“ไม่”
“ตาเฒ่า!” บุหรงร้องห้ามปรามเสียงสูง เมื่อเห็นกิริยาไม่เหมาะสมที่ชายชราแสดงต่อหน้านายหญิงของตน แต่จะว่าไปแม้แต่ตัวอุทุราชาเอง ชายชราคนนี้ก็หาเกรงกลัวไม่
“คนแก่อย่างข้า จะปีนยอดเขาสูงๆ ได้อย่างไง”
“ตาเฒ่าแค่บอกเราก็พอ ว่าหญ้าอาบจันทร์มันขึ้นอยู่แถวไหน เดี๋ยวเราไปหามันเอง”
ชายชราเงียบเสียงลง ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้หญิงสาวทั้งสองที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสะดุ้งตกใจขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย “ข้าไม่บอก...จนกว่าแม่นางจะพูดความจริงว่าแม่นางเป็นใครกันแน่”
“ตาเฒ่า ทำไมพูดกับแม่นางเช่นนี้”
ศศิธรจ้องดวงตาของชายชรานิ่งๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ตรงหน้า เธอไม่คาดคิดว่าชายชราจะกล้าถามเธอออกมาตรงๆ เช่นนี้ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากไล่สาวใช้ของตนให้ไปที่อื่นสักพัก “บุหรง เจ้าไปเดินเล่นที่อื่นก่อน ขอเราคุยกับตาเฒ่านี่ตามลำพัง”
“แม่นาง...” บุหรงครางออกมาเสียงแผ่ว เพราะไม่อยากทิ้งให้นายหญิงของตนอยู่ตามลำพังกับตาเฒ่าเจ้าปัญหา
“ข้าไม่ทำอะไรแม่นางจันทรพิมพ์ของเจ้าหรอก”
“ไปเถอะ...เราอยู่ได้” หญิงสาวหันไปพูดกับสาวใช้เพื่อให้ความมั่นใจว่าเธอสามารถอยู่คนเดียวได้จริงๆ ซึ่งพอคล้อยหลังสาวใช้ เธอก็หันมาคุยกับชายชราอย่างเปิดอก “ตาเฒ่าอยากรู้อะไรก็ถามเรามาได้เลย”
“แม่นางไม่ใช่ แม่นางจันทรพิมพ์ใช่ไหม”
“ตาเฒ่ารู้ได้อย่างไร”
“ก็วันที่แม่นางจันทรพิมพ์ตาย ข้าเป็นคนตรวจดูเองกับมือ ว่านางเป็นอะไรตาย”
“แล้วแม่นางจันทรพิมพ์เป็นอะไรตาย” หญิงสาวยังไม่ได้เอ่ยยอมรับหรือปฏิเสธในคำถามของชายชรา แต่กลับถามคำถามที่เธออยากรู้ออกไปทันที “แลกกันกับความจริงที่ตาเฒ่าอยากรู้ทั้งหมด”
“นางโดนยาพิษชนิดร้ายแรงจากเห็ดพิษ และตอนที่อุทุราชาอุ้มร่างของแม่นางจันทรพิมพ์มาให้ข้าช่วยรักษานั้น แม่นางได้สิ้นลมไปเกือบจะสองวันแล้ว ซึ่งไม่มีทางที่ใครจะรักษาให้หายได้ ส่วนเรื่องฟื้นคืนชีพ ที่สามีของแม่นางกำลังพยายามจะบอกกับทุกคนนั้น มันยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่” ชายชราพูดจบก็เพ่งมองดวงหน้างามอย่างพินิจพิเคราะห์ ดวงหน้าของหญิงสาวทั้งสองคนช่างเหมือนกันนัก แต่แววตานั้นช่างต่างกันราวกลางคืนกับกลางวัน
หญิงสาวที่ถูกจับได้ว่าเป็นแม่นางจันทรพิมพ์ตัวปลอมนิ่งคิดไปชั่วขณะ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างปลงตกแล้วตอบคำถามของชายชราออกไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น “เราไม่ใช่แม่นางจันทรพิมพ์ เราแค่หน้าเหมือนนางเท่านั้น”
“แล้วแม่นางมาที่กลาพิมพ์ได้อย่างไร”
“เพราะพระจันทร์เต็มดวง และสร้อยเส้นนี้” ศศิธรดึงสร้อยที่สวมใส่ติดคออยู่ตลอดเวลาออกมาจากคอเพื่อให้ชายชราได้ดู เธอไม่ได้อธิบายถึงวิธีการมาที่นี่ของเธอให้ชายชราฟังมากนัก เพราะเธอไม่คิดว่าจะมีใครเชื่อเรื่องเหลือเชื่อเหนือธรรมชาตินี้ เธอจึงเลือกพูดเพียงบางส่วนเท่านั้น
“สร้อยจันทร์เสี้ยว!”
ทว่าชายชรากลับรู้จักสร้อยจันทร์เสี้ยวและจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ทั้งตกใจและแปลกใจหนักกว่าเดิมเสียอีก
“แม่นางลงทุนมาที่นี่เพื่อสิ่งใด”
“หญ้าอาบจันทร์ เราต้องการมันเพื่อไปรักษาแม่ของเรา...เราตอบคำถามของตาเฒ่าแล้ว ที่นี้จะบอกเราได้หรือยังว่าเราสามารถหาหญ้าอาบจันทร์ได้ที่ไหน”
ชายชรายอมชี้นิ้วไปยังภูเขาสูงเบื้องหน้าที่เห็นอยู่ไกลลิบออกไปห่างออกไปทางทิศใต้ของบ้านอย่างไม่มีข้อแม้อีก เมื่อได้รับรู้สิ่งที่ต้องการรู้หมดแล้ว “ยอดเขาลูกนู้น”
+++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ
ใกล้จะหมดโควต้าที่ลงให้อ่านแล้วน๊าาา
เพราะหนังสือวางแผงแล้ว
ฝากติดตามในแบบรูปเล่มนะคะ
รัก
พลอยลภัสร์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ