ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)
8.3
เขียนโดย พลอยลภัสร์
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.
19 chapter
9 วิจารณ์
24.28K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
17) บทที่ 16
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 16
“ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ลงไปกินข้าวเย็นกับข้า”
ชายหนุ่มที่กำลังถูกบ่นถึงเปิดประตูเข้ามาอย่างแรง ด้วยอารมณ์ไม่พอใจหญิงสาวที่หลบหน้าไม่ยอมลงไปกินข้าวเช้ากับเขา ทั้งที่เขาได้สั่งไว้แล้วว่า ถ้าเขาอยู่ เธอต้องลงไปกินข้าวกับเขาทุกมื้อ
ศศิธรสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงทรงอำนาจของชายหนุ่มที่กำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาหาเธอ และด้วยสัญชาติญาณเอาตัวรอดและกลไกปกป้องตัวเอง เธอก็ก้าวถอยหนีพร้อมทั้งยกมือขึ้นห้ามชายหนุ่มที่กำลังมุ่งตรงมาที่เธอทันที “อุทุราชา! ทะ...ท่าน ยะ...อย่า...”
“หือ” ชายหนุ่มหยุดเดินและหรี่ตาคมมองหญิงสาวด้วยความสงสัยใคร่รู้กับท่าทางและคำพูดแปลกๆ ของเธอ “เป็นอะไรไปอีก”
“หยุดอยู่แค่นั้น...อย่าเข้ามานะ”
“นี่ข้าเผลอทำอะไรให้เจ้าโกรธหรือไม่พอใจอีกแล้วรึ”
หญิงสาวส่ายหัวแทบจะทันที ใครจะกล้าไปมีปัญหากับเขา...และเธอก็คงไม่กล้า
“ข้าก็ว่าข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” นอกจากที่เขาใช้สิทธิ์เจ้าของห้องและสามีกำมะลอขอนอนห้องเดียว เตียงเดียวกับหญิงสาวเมื่อคืนนี้และตลอดเวลาที่เธออยู่ที่กลาพิมพ์...เท่านั้นเอง
อินทุยิ้มออกมาเต็มหน้าเมื่อคิดไปถึงเหตุการณ์ทวงสิทธิ์เมื่อคืน แต่เมื่อเห็นอาการถอยหลังหนีไปห่างจนแทบจะอยู่คนละมุมห้องของหญิงสาว อารมณ์ไม่พอใจก็กลับมาอีกครั้ง “แล้วเจ้าเป็นอะไร ถอยหนีข้าทำไม”
และหญิงสาวก็ยังคงปิดปากเงียบอยู่เช่นเคย ซึ่งผิดวิสัยของเธอ จนเขาทนรับความอึดอัดที่ต่างคนต่างเงียบไม่ไหว จนต้องสาวเท้าเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว พร้อมกับทำเสียงเข้มที่มักใช้เวลาบังคับขู่เอาความจริงกับคนของเขา “พูดซิ!”
ด้วยอารามตกใจกับน้ำเสียงและการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วของชายหนุ่ม ทำให้ศศิธรหลุดพูดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาจนหมดสิ้น “ทำไมท่านไม่บอกข้าว่าท่านเป็นพระราชา เป็นผู้ปกครองที่นี่ ท่านบอกข้าว่าท่านเป็นทหาร ข้าก็นึกว่าท่านมีตำแหน่งเป็นนายทหารคนหนึ่ง หรืออาจจะมียศสูงหน่อยแค่นั้น แต่นี่...ท่านเป็นถึงอุทุราชา อุทุราชาเชียวนะ...แล้วข้าจะต้องทำตัวกับท่านอย่างไร ข้าจะทำอย่างไร ข้าจะพูดกับท่านอย่างไร”
“เดี๋ยวนะ...ช้าๆ ใจเย็นๆ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นห้าม พร้อมกับร้องห้ามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงกึ่งขำกึ่งทึ่งกับความคิดเกี่ยวกับตำแหน่งอุทุราชาของเขาจากประโยคยาวเหยียดของศศิธร
“ข้าทนใจเย็นไม่ไหวแล้ว” ศศิธรเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายุ่งสนิท “ท่านเป็นถึงผู้ปกครองนคร ปกครองเมือง ปกครองรัฐ หรือปกครองอะไรก็ตาม ที่มันดูยิ่งใหญ่มากๆ แล้วข้า...โอ๊ยยย ข้าทำตัวไม่ถูก”
ศศิธรเอามือกุมขมับอย่างคนคิดไม่ตก หนักเข้าก็ดึงทึ้งผมตัวเองด้วยความสับสนวุ่นวายใจ
“เจ้ากำลัง...”
“บ้า...ข้ากำลังจะเป็นบ้า” หญิงสาวพูดต่อประโยคของชายหนุ่มออกมาด้วยน้ำเสียงกึ่งพูดกึ่งตะโกน เหมือนต้องการระบายสิ่งที่อัดอั้นออกมาให้หมด เหมือนเธอกำลังจะประสาทเสียในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
อินทุหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อได้ยินหญิงสาวที่มีใบหน้ายุ่งเหยิงกำลังว่ากล่าวตัวเธอเอง เขาจึงก้าวเดินเข้าไปหาเธอเพื่อจะปลอบให้จิตใจที่ว้าวุ่นของเธอสงบลง “ศศิธร...มาหาข้า”
หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธคำพูดเชื้อเชิญนุ่มๆ แต่แฝงไปด้วยอำนาจ พร้อมกับก้าวถอยหนีชายหนุ่มไปเรื่อยๆ จนแผ่นหลังสัมผัสกับฝาผนังเย็นเฉียบเพราะเป็นด้านที่ติดกับระเบียงที่มีลมเย็นพัดผ่านตลอดเวลา
เมื่อเจอการปฏิเสธทั้งท่าทาง สีหน้าและแววตา ชายหนุ่มจึงเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวแทน
“อย่า...อย่าเข้ามา หยุดอยู่ตรงนั้น” ศศิธรสั่งห้ามชายหนุ่มจบก็ทรุดตัวนั่งแหม่ะลงกับพื้นอย่างคนหมดแรง และหมดทางหนีทีไล่ เมื่อก้าวถอยมาจนอยู่สุดมุมห้อง แล้วหมดหนทางที่จะขยับตัวหนีไปไหนได้แล้ว
“เจ้ากำลังสั่งข้า”
“กะ...ก็ใช่” ศศิธรกำลังเกิดอาการสับสนในชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ มันก้ำกึ่งระหว่าง...การพยศกับการยอมสิโรราบ...ให้กับชายหนุ่มร่างยักษ์มากไปด้วยอำนาจที่ยืนกอดอกจ้องมองเธออยู่ไม่ห่างจากบริเวณที่เธอทรุดนั่งลงอย่างอ่อนแรง
“แต่ข้าเป็นอุทุราชา เจ้าลืมไปแล้วหรือ”
“ท่าน...ข้า...” หญิงสาวรู้สึกว่าเธอกำลังจะบ้าขึ้นมาจริงๆ เธอกำลังทำตัวไม่ถูก ยิ่งคิดว่าเขาเป็นใคร แล้วเธอเป็นใคร เธอก็ยิ่งว้าวุ่น หดหู่ สับสน ปนเปกันไปหมด
“ข้าก็คือข้า”
“แต่ข้า...”
“เจ้าก็คือเจ้า”
เหมือนอินทุจะเข้าใจความรู้สึกของศศิธรเป็นอย่างดี จึงพูดออกมาเช่นนี้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้อง พร้อมกับดึงหญิงสาวเข้ามากอดเพื่อถ่ายทอดความเชื่อมั่นให้แก่หญิงสาว ให้เธอได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
“แล้วข้าจะต้องทำตัวอย่างไรกับท่าน ท่านเป็นถึงพระราชา” หญิงสาวเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปนานอยู่ภายในอ้อมแขนแกร่ง
“เจ้าคิดอะไรของเจ้าเนี่ย”
“ท่านอาจจะเป็นกษัตริย์พระองค์หนึ่งของสักรัฐ หรือสักแคว้นหนึ่งก็เป็นได้”
“ข้าเป็นแค่คนที่ปกครองที่นี่เท่านั้น อุทุราชาก็เหมือนหัวโขนที่พวกเขาจับสวมให้กับข้า แต่งตั้งข้าขึ้นมา เพื่อให้มาดูแลดินแดนแห่งนี้ให้สงบร่มเย็นเท่านั้น ไม่แน่กลาพิมพ์อาจจะเป็นเพียงแค่เมืองลับแลในนิทานปรำปราสำหรับคนยุคเจ้าก็เป็นได้”
“มันก็จริง” ศศิธรยอมรับออกมาเสียงอ่อย เพราะเท่าที่เธอเคยได้เรียนประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ประถมจนถึงปัจจุบันที่เธอพยายามค้นคว้าหาตัวยามารักษาแม่ ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ของเธอก็หมดไปกับหนังสือโบราณมากมาย แต่เธอก็ไม่เคยอ่านเจอประวัติของเมืองกลาพิมพ์ หรืออุทุราชาเลยสักนิด
“แต่...ท่าน...ท่านเป็นถึงอุทุราชา ข้าจะต้องปฏิบัติตัวต่อท่านอย่างไร”
“ก็ทำเหมือนเดิม”
“ข้าทำไม่ได้” หญิงสาวส่ายหน้าเถียงอยู่กับอกอุ่น เธอไม่อยากเงยหน้าขึ้นมองเขาสักนิด เพราะเมื่อเธอเห็นใบหน้าคมของเขา เธอก็จะหวนคิดได้ว่าเขาเป็นใครทุกที
“แต่ข้าว่าเจ้าทำได้นะ”
“ข้าทำไม่ได้หรอก ข้าทำตัวเหมือนเดิมไม่ได้แน่ๆ”
“เมื่อเจ้ารู้แล้วว่าข้าเป็นใคร...เจ้าก็แค่ไม่ดื้อ ไม่เถียง เชื่อฟังข้า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
“อะไรนะ!”
ได้ยินคำสั่งกึ่งประชดประชันของอุทุราชาก็ทำให้ศศิธรเผลอลืมตัวลืมคิดว่าเขาเป็นใครไปชั่วขณะ เผลอเงยหน้าขึ้นจ้องหน้าและขึ้นเสียงกับเขา ก่อนจะก้มหน้าลงกับอกกว้างตามเดิมเมื่อเห็นใบหน้าราวเทพบุตรของเขาที่อยู่ห่างกับหน้าเธอไม่ถึงคืบ แล้วเธอก็มีสติคิดได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร
“เจ้าทำไม่ได้งั้นรึ” อินทุถามพลางซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ได้แกล้งหญิงสาวให้รู้สึกกลัวเขาขึ้นมาบ้าง ไม่งั้นเธอก็เอาแต่เถียงและขัดคำสั่งเขาท่าเดียว
“ข้า...ข้าจะพยายาม”
เสียงที่เอ่ยออกมาที่ทั้งเบาและขาดความมั่นใจของหญิงสาวนั้น เรียกรอยยิ้มกว้างจากชายหนุ่มผู้ปกครองกลาพิมพ์ได้ในทันที ถึงจะสับสนมากมายขนาดไหน เธอก็คงยังเป็นเธออยู่วันยังค่ำ
“เข้าใจแล้วก็ลุกขึ้น แล้วก็ลงไปกินข้าวเป็นเพื่อนข้าได้แล้ว”
“ข้าไม่...”
“ไหนเจ้าบอกจะพยายามไม่ดื้อไง”
“ก็ได้” ศศิธรพยักหน้ายอมรับออกมาง่ายๆ แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะช่วยพยุงเธอลุกขึ้นจากพื้น เธอก็ยุดแขนของเขาเอาไว้ แล้วร้องขอสิ่งที่เธอต้องการ “ข้า...ข้าขอแยกห้องนอนกับท่านได้ไหม”
“ไม่ได้!” ชายหนุ่มเจ้าของห้องเอ่ยปฏิเสธออกมาแทบจะทันที
“ทำไม”
“ไม่ทำไม” อินทุตอบ ก่อนจะช่วยพยุงหญิงสาวลุกขึ้นยืน แล้วก็ช่วยปัดชายกระโปรงของหญิงสาวให้เข้าที่เข้าทางอย่างอ่อนโยน พร้อมกับคำพูดที่ฟังดูอ่อนโยนยิ่งกว่าการกระทำของเขาเสียอีก “ก็เจ้าเป็นภรรยาของข้า”
“กำมะลอนะซิ” หญิงสาวเอ่ยขัดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อชายหนุ่มเอาสิ่งที่เขาเป็นคนโยนให้คนอื่นเข้าใจเกี่ยวกับตัวเธอมาใช้เป็นข้ออ้างอีกแล้ว
อินทุรู้สึกสะดุดหูกับประโยคของหญิงสาวเข้าอย่างจัง จนต้องจับหญิงสาวให้หันมาเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ “อย่าพูดแบบนี้ ให้ใครได้ยินเป็นอันขาด” ก่อนที่เขาจะปลดเข็มกลัดที่หน้าอกตัวเองมาติดให้ที่หน้าอกของหญิงสาวอย่างเบามือ “ข้าให้เจ้า...ติดไว้ตลอดเวลา”
“ทำไมต้องติด”
“เพราะที่กลาพิมพ์ ทุกคนต้องมีเข็มกลัดประจำตัว”
ถึงแม้ว่าสายตาของชายหนุ่มยามที่จ้องมองเธอขณะกลัดเข็มกลัดให้นั้น ดูจะสื่อความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่าสิ่งที่เขาบอก แต่ศศิธรก็ยอมพยักหน้าเข้าใจเพราะก็เห็นอยู่ว่าทุกคนที่นี่ต่างมีเข็มกลัดติดที่หน้าอก
“แล้วท่านล่ะ”
“เดี๋ยวข้าค่อยสั่งทำใหม่”
“ท่านสั่งทำอันใหม่ให้ข้าก็ได้...อันนี้ท่านเก็บไว้ใช้เถอะ” ศศิธรขยับยกมื้อขึ้นแกะเข็มกลัดที่อินทุบรรจงติดให้อย่างเบามือออก
แต่เขากลับยกมือขึ้นจับมือเธอลงทันที พร้อมกับสั่งด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น “ติดไว้”
“ขอบคุณ” ศศิธรเอ่ยขอบคุณเบาๆ กับความจริงจังแปลกๆ ของชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะจับจูงเธอลงไปกินข้าวเช้าซึ่งล่วงเวลามานานพอสมควรแล้ว และคนของเขาก็กำลังรออยู่
“วันนี้เจ้าจะทำอะไรบ้าง”
“ปลูกผัก เลี้ยงแกะ...”
“ศศิธร...”
“อ่อ...ตัดขนแกะด้วยนะ” หญิงสาวหันมาบอกชายหนุ่มที่จับจูงเธอเดินออกมาจากห้องอย่างอารมณ์ดีกับประสบการณ์ตัดขนแกะที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของเธอในช่วงบ่ายวันนี้
อินทุส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับความดื้อและเอาแต่ใจของเธอ ก่อนเขาจะออกไปลาดตระเวณนั้น เขาได้สั่งคนของเขาให้ห้ามเธอทำอะไรทั้งนั้นจนกว่าเขาจะกลับมา
ทว่าตั้งแต่เขากลับมา อะไรๆ มันก็ดูเปลี่ยนแปลงไปหมด แค่ระยะเวลาเพียงห้าวันที่เขาทอดทิ้งปราสาทและเธอไป...คนของเขาได้รายงานสิ่งต่างๆ มากมายที่เธอทำและเปลี่ยนแปลงมัน
ที่เห็นชัดก็คือ ห้องน้ำ ห้องสุขา...ที่เธอสั่งให้ทหารที่อยู่เฝ้าปราสาทช่วยกันทำอย่างง่ายๆ บริเวณด้านข้างเรือนนอนของทหารชั้นผู้น้อยและเรือนของคนใช้...ซึ่งเธอบอกว่าเพื่อสุขอนามัยของคนของเขา
แล้วยังจะมีโอ่งและถังไม้มากมายหลากหลายขนาดที่มีน้ำสีดำมีกลิ่นไม่พึงประสงค์บรรจุอยู่ภายในที่ตั้งอยู่บริเวณลานซ้อมยิงธนูและซ้อมกริชของเขานั่นอีก
เธอบอกว่ามันเป็นถังน้ำหมัก ใช้ทำได้สารพัดประโยชน์ ทั้งรดน้ำผักผลไม้เพื่อเพิ่มผลผลิต ใช้ขัดพื้นทำความสะอาดเรือนนอน คอกม้า พื้นห้องได้เป็นอย่างดี และยังใช้ซักทำความสะอาดเสื้อผ้าได้อีกด้วย
และที่สำคัญตอนนี้...เหมือนคนของเขาจะเชื่อฟังเธอมากกว่าเขาไปแล้ว
“ข้าขอสั่งห้ามเจ้า ออกไปที่ทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะ”
“ไม่ได้นะ...ข้าเบื่อ...ทั้งวันท่านมีงานทำมากมาย แต่กลับขังข้า ทิ้งข้าให้อยู่กับคนแปลกหน้า แถมยังสั่งพวกเขาให้ห้ามข้าทำอะไรอีก ถ้าข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรเลย เอาแต่นั่งๆ นอนๆ กว่าจะได้กลับบ้าน ข้าคงเป็นง่อย หรือไม่ก็เบื่อตายไปซะก่อน”
อินทุส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับประโยคยืดยาวของหญิงสาว ซึ่งคำสั่งห้ามมากมายของเขานั้น ล้วนแต่สั่งออกไปเพราะความเป็นห่วงเป็นใยในความปลอดภัยของหญิงสาวเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะกักขังหน่วงเหนี่ยวเธอแต่อย่างใด ก่อนจะถามกลับไปอย่างประชดประชัน “แล้วพวกเขาเคยห้ามเจ้าได้ไหม”
ศศิธรยิ้มเต็มหน้ากับคำถามที่แสดงถึงความขัดเคืองใจของอินทุ เธอรู้ดีว่าที่นี่อินทุมีอำนาจมากที่สุด เธอซึ่งถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภรรยาของเขาจึงพลอยมีอำนาจมากไปด้วย ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าขัดคำขอร้องของเธอ
นอกจากศศิธรจะไม่ตอบคำถามของเขาแล้ว เธอยังขออนุญาติเขาไปยังดินแดนเจ้าปัญหาให้เขาขัดเคืองใจเพิ่มขึ้นไปอีก “ข้าขอไปหาตาเฒ่าเจ้าปัญหาได้ไหม”
“ไม่ได้!”
ศศิธรเม้มปากแน่นด้วยอารมณ์ขัดใจ เมื่อได้ยินคำปฏิเสธแทบจะทันทีของอินทุ ทั้งที่เขายังไม่ได้ถามไถ่เธอสักคำ ว่าทำไมเธอถึงอยากจะไปบ้านของตาเฒ่าเจ้าปัญหา
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เธอไม่อยากขออนุญาตเขาไปไหน เพราะเขามักจะเอ่ยห้ามเธอเสมอ บางครั้งแค่เธออ้าปาก ยังไม่ทันจะพูดอะไรออกไปด้วยซ้ำ เขาก็ส่ายหัวปฏิเสธเสียแล้ว
“ทำไมข้าถึงไปบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหาไม่ได้”
“ที่นั่นมันอันตรายเกินไป”
“ข้าอยากรู้เรื่องหญ้าอาบจันทร์ ตาเฒ่าเป็นหมอ เขาต้องรู้จักมันแน่ๆ ยิ่งข้าหาเจอเร็ว ข้าก็จะได้กลับไปยังบ้านของข้าเร็วขึ้น และแม่ข้าก็จะหายเร็วขึ้นอีกด้วย”
“ก็ได้ๆ...แต่ไว้ข้าจะพาเจ้าไปหาตาเฒ่าเจ้าปัญหาเอง” อินทุเอ่ยออกมาอย่างจำยอมต่อคำพูดของหญิงสาว เมื่อเห็นแววตากึ่งพยศนิดๆ ของเธอ เพราะเขารู้ดีว่าคนอย่างเธอยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ จึงรับปากไปก่อน ถึงแม้ว่าจะไม่อยากให้หญิงสาวกลับบ้านของเธอไปในเร็ววันก็ตาม
ศศิธรหันมายิ้มกับชายหนุ่มร่างยักษ์ที่ลากเก้าอี้ให้เธอนั่งอย่างเอาใจ เมื่อเขาและเธอเดินมาถึงโต๊ะอาหารที่มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว “ท่านอนุญาตข้าแล้วนะ”
“อืม...” ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยังเก้าอี้ของตนเอง และพยักหน้าให้ผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ลงมือรับประทานอาหารได้
แต่เมื่อหันไปเห็นใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของหญิงสาวหนึ่งเดียวในโต๊ะอาหารที่นั่งติดกันกับเขา อินทุก็อดที่จะเอ่ยออกมาอย่างประชดประชันให้พอได้ยินกันแค่สองคนไม่ได้ “กินข้าวได้แล้ว แค่รู้ว่าจะได้กลับบ้าน ก็ดีใจจนไม่อยากกินอะไรเลยหรือ”
“ก็ดีใจนะซิถ้าข้าหายาได้เร็ว พระจันทร์เต็มดวงรอบหน้า ข้าก็จะได้กลับบ้าน จะได้เอายากลับไปรักษาแม่...แม่ข้าจะได้หายสักที”
หญิงสาวผู้ไม่รู้ซึ้งถึงอารมณ์ของเจ้าของปราสาทกล่าวออกมาด้วยใบหน้าเบิกบานเต็มที่ ก่อนจะตักเนื้อตุ๋นที่เธอเคี่ยวทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็น ใส่จานให้กับชายหนุ่มได้ลิ้มลองฝีมือของเธออย่างอารมณ์ดี
ส่วนชายหนุ่มเจ้าของปราสาทกลับรู้สึกว่าอาหารมากมายบนโต๊ะหมดความอร่อย และฝืดคอจนกลืนไม่ลงแทบจะทันที ถ้าไม่ติดว่าหญิงสาวข้างกายตั้งใจทำเนื้อตุ๋นขนาดไหน เขาคงจะลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารโดยไม่แตะมันแม้แต่คำเดียว
++++++++++++
ขอโทษที หายหน้าไปหลายวัน มัวแต่ไปท่องโลกกว้างอยู่ :)
ขอบคุณที่ติดตามอ่าน
ใกล้จะหมดโควต้าลงให้ทดลองอ่านแล้วนะคะ
เพราะหนังสือลิขิตแห่งจันทร์วางแผงแล้วคร่าาาาาา
รัก
พลอยลภัสร์
“ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ลงไปกินข้าวเย็นกับข้า”
ชายหนุ่มที่กำลังถูกบ่นถึงเปิดประตูเข้ามาอย่างแรง ด้วยอารมณ์ไม่พอใจหญิงสาวที่หลบหน้าไม่ยอมลงไปกินข้าวเช้ากับเขา ทั้งที่เขาได้สั่งไว้แล้วว่า ถ้าเขาอยู่ เธอต้องลงไปกินข้าวกับเขาทุกมื้อ
ศศิธรสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงทรงอำนาจของชายหนุ่มที่กำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาหาเธอ และด้วยสัญชาติญาณเอาตัวรอดและกลไกปกป้องตัวเอง เธอก็ก้าวถอยหนีพร้อมทั้งยกมือขึ้นห้ามชายหนุ่มที่กำลังมุ่งตรงมาที่เธอทันที “อุทุราชา! ทะ...ท่าน ยะ...อย่า...”
“หือ” ชายหนุ่มหยุดเดินและหรี่ตาคมมองหญิงสาวด้วยความสงสัยใคร่รู้กับท่าทางและคำพูดแปลกๆ ของเธอ “เป็นอะไรไปอีก”
“หยุดอยู่แค่นั้น...อย่าเข้ามานะ”
“นี่ข้าเผลอทำอะไรให้เจ้าโกรธหรือไม่พอใจอีกแล้วรึ”
หญิงสาวส่ายหัวแทบจะทันที ใครจะกล้าไปมีปัญหากับเขา...และเธอก็คงไม่กล้า
“ข้าก็ว่าข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” นอกจากที่เขาใช้สิทธิ์เจ้าของห้องและสามีกำมะลอขอนอนห้องเดียว เตียงเดียวกับหญิงสาวเมื่อคืนนี้และตลอดเวลาที่เธออยู่ที่กลาพิมพ์...เท่านั้นเอง
อินทุยิ้มออกมาเต็มหน้าเมื่อคิดไปถึงเหตุการณ์ทวงสิทธิ์เมื่อคืน แต่เมื่อเห็นอาการถอยหลังหนีไปห่างจนแทบจะอยู่คนละมุมห้องของหญิงสาว อารมณ์ไม่พอใจก็กลับมาอีกครั้ง “แล้วเจ้าเป็นอะไร ถอยหนีข้าทำไม”
และหญิงสาวก็ยังคงปิดปากเงียบอยู่เช่นเคย ซึ่งผิดวิสัยของเธอ จนเขาทนรับความอึดอัดที่ต่างคนต่างเงียบไม่ไหว จนต้องสาวเท้าเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว พร้อมกับทำเสียงเข้มที่มักใช้เวลาบังคับขู่เอาความจริงกับคนของเขา “พูดซิ!”
ด้วยอารามตกใจกับน้ำเสียงและการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วของชายหนุ่ม ทำให้ศศิธรหลุดพูดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาจนหมดสิ้น “ทำไมท่านไม่บอกข้าว่าท่านเป็นพระราชา เป็นผู้ปกครองที่นี่ ท่านบอกข้าว่าท่านเป็นทหาร ข้าก็นึกว่าท่านมีตำแหน่งเป็นนายทหารคนหนึ่ง หรืออาจจะมียศสูงหน่อยแค่นั้น แต่นี่...ท่านเป็นถึงอุทุราชา อุทุราชาเชียวนะ...แล้วข้าจะต้องทำตัวกับท่านอย่างไร ข้าจะทำอย่างไร ข้าจะพูดกับท่านอย่างไร”
“เดี๋ยวนะ...ช้าๆ ใจเย็นๆ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นห้าม พร้อมกับร้องห้ามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงกึ่งขำกึ่งทึ่งกับความคิดเกี่ยวกับตำแหน่งอุทุราชาของเขาจากประโยคยาวเหยียดของศศิธร
“ข้าทนใจเย็นไม่ไหวแล้ว” ศศิธรเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายุ่งสนิท “ท่านเป็นถึงผู้ปกครองนคร ปกครองเมือง ปกครองรัฐ หรือปกครองอะไรก็ตาม ที่มันดูยิ่งใหญ่มากๆ แล้วข้า...โอ๊ยยย ข้าทำตัวไม่ถูก”
ศศิธรเอามือกุมขมับอย่างคนคิดไม่ตก หนักเข้าก็ดึงทึ้งผมตัวเองด้วยความสับสนวุ่นวายใจ
“เจ้ากำลัง...”
“บ้า...ข้ากำลังจะเป็นบ้า” หญิงสาวพูดต่อประโยคของชายหนุ่มออกมาด้วยน้ำเสียงกึ่งพูดกึ่งตะโกน เหมือนต้องการระบายสิ่งที่อัดอั้นออกมาให้หมด เหมือนเธอกำลังจะประสาทเสียในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
อินทุหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อได้ยินหญิงสาวที่มีใบหน้ายุ่งเหยิงกำลังว่ากล่าวตัวเธอเอง เขาจึงก้าวเดินเข้าไปหาเธอเพื่อจะปลอบให้จิตใจที่ว้าวุ่นของเธอสงบลง “ศศิธร...มาหาข้า”
หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธคำพูดเชื้อเชิญนุ่มๆ แต่แฝงไปด้วยอำนาจ พร้อมกับก้าวถอยหนีชายหนุ่มไปเรื่อยๆ จนแผ่นหลังสัมผัสกับฝาผนังเย็นเฉียบเพราะเป็นด้านที่ติดกับระเบียงที่มีลมเย็นพัดผ่านตลอดเวลา
เมื่อเจอการปฏิเสธทั้งท่าทาง สีหน้าและแววตา ชายหนุ่มจึงเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวแทน
“อย่า...อย่าเข้ามา หยุดอยู่ตรงนั้น” ศศิธรสั่งห้ามชายหนุ่มจบก็ทรุดตัวนั่งแหม่ะลงกับพื้นอย่างคนหมดแรง และหมดทางหนีทีไล่ เมื่อก้าวถอยมาจนอยู่สุดมุมห้อง แล้วหมดหนทางที่จะขยับตัวหนีไปไหนได้แล้ว
“เจ้ากำลังสั่งข้า”
“กะ...ก็ใช่” ศศิธรกำลังเกิดอาการสับสนในชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ มันก้ำกึ่งระหว่าง...การพยศกับการยอมสิโรราบ...ให้กับชายหนุ่มร่างยักษ์มากไปด้วยอำนาจที่ยืนกอดอกจ้องมองเธออยู่ไม่ห่างจากบริเวณที่เธอทรุดนั่งลงอย่างอ่อนแรง
“แต่ข้าเป็นอุทุราชา เจ้าลืมไปแล้วหรือ”
“ท่าน...ข้า...” หญิงสาวรู้สึกว่าเธอกำลังจะบ้าขึ้นมาจริงๆ เธอกำลังทำตัวไม่ถูก ยิ่งคิดว่าเขาเป็นใคร แล้วเธอเป็นใคร เธอก็ยิ่งว้าวุ่น หดหู่ สับสน ปนเปกันไปหมด
“ข้าก็คือข้า”
“แต่ข้า...”
“เจ้าก็คือเจ้า”
เหมือนอินทุจะเข้าใจความรู้สึกของศศิธรเป็นอย่างดี จึงพูดออกมาเช่นนี้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้อง พร้อมกับดึงหญิงสาวเข้ามากอดเพื่อถ่ายทอดความเชื่อมั่นให้แก่หญิงสาว ให้เธอได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
“แล้วข้าจะต้องทำตัวอย่างไรกับท่าน ท่านเป็นถึงพระราชา” หญิงสาวเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปนานอยู่ภายในอ้อมแขนแกร่ง
“เจ้าคิดอะไรของเจ้าเนี่ย”
“ท่านอาจจะเป็นกษัตริย์พระองค์หนึ่งของสักรัฐ หรือสักแคว้นหนึ่งก็เป็นได้”
“ข้าเป็นแค่คนที่ปกครองที่นี่เท่านั้น อุทุราชาก็เหมือนหัวโขนที่พวกเขาจับสวมให้กับข้า แต่งตั้งข้าขึ้นมา เพื่อให้มาดูแลดินแดนแห่งนี้ให้สงบร่มเย็นเท่านั้น ไม่แน่กลาพิมพ์อาจจะเป็นเพียงแค่เมืองลับแลในนิทานปรำปราสำหรับคนยุคเจ้าก็เป็นได้”
“มันก็จริง” ศศิธรยอมรับออกมาเสียงอ่อย เพราะเท่าที่เธอเคยได้เรียนประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ประถมจนถึงปัจจุบันที่เธอพยายามค้นคว้าหาตัวยามารักษาแม่ ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ของเธอก็หมดไปกับหนังสือโบราณมากมาย แต่เธอก็ไม่เคยอ่านเจอประวัติของเมืองกลาพิมพ์ หรืออุทุราชาเลยสักนิด
“แต่...ท่าน...ท่านเป็นถึงอุทุราชา ข้าจะต้องปฏิบัติตัวต่อท่านอย่างไร”
“ก็ทำเหมือนเดิม”
“ข้าทำไม่ได้” หญิงสาวส่ายหน้าเถียงอยู่กับอกอุ่น เธอไม่อยากเงยหน้าขึ้นมองเขาสักนิด เพราะเมื่อเธอเห็นใบหน้าคมของเขา เธอก็จะหวนคิดได้ว่าเขาเป็นใครทุกที
“แต่ข้าว่าเจ้าทำได้นะ”
“ข้าทำไม่ได้หรอก ข้าทำตัวเหมือนเดิมไม่ได้แน่ๆ”
“เมื่อเจ้ารู้แล้วว่าข้าเป็นใคร...เจ้าก็แค่ไม่ดื้อ ไม่เถียง เชื่อฟังข้า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
“อะไรนะ!”
ได้ยินคำสั่งกึ่งประชดประชันของอุทุราชาก็ทำให้ศศิธรเผลอลืมตัวลืมคิดว่าเขาเป็นใครไปชั่วขณะ เผลอเงยหน้าขึ้นจ้องหน้าและขึ้นเสียงกับเขา ก่อนจะก้มหน้าลงกับอกกว้างตามเดิมเมื่อเห็นใบหน้าราวเทพบุตรของเขาที่อยู่ห่างกับหน้าเธอไม่ถึงคืบ แล้วเธอก็มีสติคิดได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร
“เจ้าทำไม่ได้งั้นรึ” อินทุถามพลางซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ได้แกล้งหญิงสาวให้รู้สึกกลัวเขาขึ้นมาบ้าง ไม่งั้นเธอก็เอาแต่เถียงและขัดคำสั่งเขาท่าเดียว
“ข้า...ข้าจะพยายาม”
เสียงที่เอ่ยออกมาที่ทั้งเบาและขาดความมั่นใจของหญิงสาวนั้น เรียกรอยยิ้มกว้างจากชายหนุ่มผู้ปกครองกลาพิมพ์ได้ในทันที ถึงจะสับสนมากมายขนาดไหน เธอก็คงยังเป็นเธออยู่วันยังค่ำ
“เข้าใจแล้วก็ลุกขึ้น แล้วก็ลงไปกินข้าวเป็นเพื่อนข้าได้แล้ว”
“ข้าไม่...”
“ไหนเจ้าบอกจะพยายามไม่ดื้อไง”
“ก็ได้” ศศิธรพยักหน้ายอมรับออกมาง่ายๆ แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะช่วยพยุงเธอลุกขึ้นจากพื้น เธอก็ยุดแขนของเขาเอาไว้ แล้วร้องขอสิ่งที่เธอต้องการ “ข้า...ข้าขอแยกห้องนอนกับท่านได้ไหม”
“ไม่ได้!” ชายหนุ่มเจ้าของห้องเอ่ยปฏิเสธออกมาแทบจะทันที
“ทำไม”
“ไม่ทำไม” อินทุตอบ ก่อนจะช่วยพยุงหญิงสาวลุกขึ้นยืน แล้วก็ช่วยปัดชายกระโปรงของหญิงสาวให้เข้าที่เข้าทางอย่างอ่อนโยน พร้อมกับคำพูดที่ฟังดูอ่อนโยนยิ่งกว่าการกระทำของเขาเสียอีก “ก็เจ้าเป็นภรรยาของข้า”
“กำมะลอนะซิ” หญิงสาวเอ่ยขัดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อชายหนุ่มเอาสิ่งที่เขาเป็นคนโยนให้คนอื่นเข้าใจเกี่ยวกับตัวเธอมาใช้เป็นข้ออ้างอีกแล้ว
อินทุรู้สึกสะดุดหูกับประโยคของหญิงสาวเข้าอย่างจัง จนต้องจับหญิงสาวให้หันมาเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ “อย่าพูดแบบนี้ ให้ใครได้ยินเป็นอันขาด” ก่อนที่เขาจะปลดเข็มกลัดที่หน้าอกตัวเองมาติดให้ที่หน้าอกของหญิงสาวอย่างเบามือ “ข้าให้เจ้า...ติดไว้ตลอดเวลา”
“ทำไมต้องติด”
“เพราะที่กลาพิมพ์ ทุกคนต้องมีเข็มกลัดประจำตัว”
ถึงแม้ว่าสายตาของชายหนุ่มยามที่จ้องมองเธอขณะกลัดเข็มกลัดให้นั้น ดูจะสื่อความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่าสิ่งที่เขาบอก แต่ศศิธรก็ยอมพยักหน้าเข้าใจเพราะก็เห็นอยู่ว่าทุกคนที่นี่ต่างมีเข็มกลัดติดที่หน้าอก
“แล้วท่านล่ะ”
“เดี๋ยวข้าค่อยสั่งทำใหม่”
“ท่านสั่งทำอันใหม่ให้ข้าก็ได้...อันนี้ท่านเก็บไว้ใช้เถอะ” ศศิธรขยับยกมื้อขึ้นแกะเข็มกลัดที่อินทุบรรจงติดให้อย่างเบามือออก
แต่เขากลับยกมือขึ้นจับมือเธอลงทันที พร้อมกับสั่งด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น “ติดไว้”
“ขอบคุณ” ศศิธรเอ่ยขอบคุณเบาๆ กับความจริงจังแปลกๆ ของชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะจับจูงเธอลงไปกินข้าวเช้าซึ่งล่วงเวลามานานพอสมควรแล้ว และคนของเขาก็กำลังรออยู่
“วันนี้เจ้าจะทำอะไรบ้าง”
“ปลูกผัก เลี้ยงแกะ...”
“ศศิธร...”
“อ่อ...ตัดขนแกะด้วยนะ” หญิงสาวหันมาบอกชายหนุ่มที่จับจูงเธอเดินออกมาจากห้องอย่างอารมณ์ดีกับประสบการณ์ตัดขนแกะที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของเธอในช่วงบ่ายวันนี้
อินทุส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับความดื้อและเอาแต่ใจของเธอ ก่อนเขาจะออกไปลาดตระเวณนั้น เขาได้สั่งคนของเขาให้ห้ามเธอทำอะไรทั้งนั้นจนกว่าเขาจะกลับมา
ทว่าตั้งแต่เขากลับมา อะไรๆ มันก็ดูเปลี่ยนแปลงไปหมด แค่ระยะเวลาเพียงห้าวันที่เขาทอดทิ้งปราสาทและเธอไป...คนของเขาได้รายงานสิ่งต่างๆ มากมายที่เธอทำและเปลี่ยนแปลงมัน
ที่เห็นชัดก็คือ ห้องน้ำ ห้องสุขา...ที่เธอสั่งให้ทหารที่อยู่เฝ้าปราสาทช่วยกันทำอย่างง่ายๆ บริเวณด้านข้างเรือนนอนของทหารชั้นผู้น้อยและเรือนของคนใช้...ซึ่งเธอบอกว่าเพื่อสุขอนามัยของคนของเขา
แล้วยังจะมีโอ่งและถังไม้มากมายหลากหลายขนาดที่มีน้ำสีดำมีกลิ่นไม่พึงประสงค์บรรจุอยู่ภายในที่ตั้งอยู่บริเวณลานซ้อมยิงธนูและซ้อมกริชของเขานั่นอีก
เธอบอกว่ามันเป็นถังน้ำหมัก ใช้ทำได้สารพัดประโยชน์ ทั้งรดน้ำผักผลไม้เพื่อเพิ่มผลผลิต ใช้ขัดพื้นทำความสะอาดเรือนนอน คอกม้า พื้นห้องได้เป็นอย่างดี และยังใช้ซักทำความสะอาดเสื้อผ้าได้อีกด้วย
และที่สำคัญตอนนี้...เหมือนคนของเขาจะเชื่อฟังเธอมากกว่าเขาไปแล้ว
“ข้าขอสั่งห้ามเจ้า ออกไปที่ทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะ”
“ไม่ได้นะ...ข้าเบื่อ...ทั้งวันท่านมีงานทำมากมาย แต่กลับขังข้า ทิ้งข้าให้อยู่กับคนแปลกหน้า แถมยังสั่งพวกเขาให้ห้ามข้าทำอะไรอีก ถ้าข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรเลย เอาแต่นั่งๆ นอนๆ กว่าจะได้กลับบ้าน ข้าคงเป็นง่อย หรือไม่ก็เบื่อตายไปซะก่อน”
อินทุส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับประโยคยืดยาวของหญิงสาว ซึ่งคำสั่งห้ามมากมายของเขานั้น ล้วนแต่สั่งออกไปเพราะความเป็นห่วงเป็นใยในความปลอดภัยของหญิงสาวเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะกักขังหน่วงเหนี่ยวเธอแต่อย่างใด ก่อนจะถามกลับไปอย่างประชดประชัน “แล้วพวกเขาเคยห้ามเจ้าได้ไหม”
ศศิธรยิ้มเต็มหน้ากับคำถามที่แสดงถึงความขัดเคืองใจของอินทุ เธอรู้ดีว่าที่นี่อินทุมีอำนาจมากที่สุด เธอซึ่งถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภรรยาของเขาจึงพลอยมีอำนาจมากไปด้วย ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าขัดคำขอร้องของเธอ
นอกจากศศิธรจะไม่ตอบคำถามของเขาแล้ว เธอยังขออนุญาติเขาไปยังดินแดนเจ้าปัญหาให้เขาขัดเคืองใจเพิ่มขึ้นไปอีก “ข้าขอไปหาตาเฒ่าเจ้าปัญหาได้ไหม”
“ไม่ได้!”
ศศิธรเม้มปากแน่นด้วยอารมณ์ขัดใจ เมื่อได้ยินคำปฏิเสธแทบจะทันทีของอินทุ ทั้งที่เขายังไม่ได้ถามไถ่เธอสักคำ ว่าทำไมเธอถึงอยากจะไปบ้านของตาเฒ่าเจ้าปัญหา
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เธอไม่อยากขออนุญาตเขาไปไหน เพราะเขามักจะเอ่ยห้ามเธอเสมอ บางครั้งแค่เธออ้าปาก ยังไม่ทันจะพูดอะไรออกไปด้วยซ้ำ เขาก็ส่ายหัวปฏิเสธเสียแล้ว
“ทำไมข้าถึงไปบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหาไม่ได้”
“ที่นั่นมันอันตรายเกินไป”
“ข้าอยากรู้เรื่องหญ้าอาบจันทร์ ตาเฒ่าเป็นหมอ เขาต้องรู้จักมันแน่ๆ ยิ่งข้าหาเจอเร็ว ข้าก็จะได้กลับไปยังบ้านของข้าเร็วขึ้น และแม่ข้าก็จะหายเร็วขึ้นอีกด้วย”
“ก็ได้ๆ...แต่ไว้ข้าจะพาเจ้าไปหาตาเฒ่าเจ้าปัญหาเอง” อินทุเอ่ยออกมาอย่างจำยอมต่อคำพูดของหญิงสาว เมื่อเห็นแววตากึ่งพยศนิดๆ ของเธอ เพราะเขารู้ดีว่าคนอย่างเธอยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ จึงรับปากไปก่อน ถึงแม้ว่าจะไม่อยากให้หญิงสาวกลับบ้านของเธอไปในเร็ววันก็ตาม
ศศิธรหันมายิ้มกับชายหนุ่มร่างยักษ์ที่ลากเก้าอี้ให้เธอนั่งอย่างเอาใจ เมื่อเขาและเธอเดินมาถึงโต๊ะอาหารที่มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว “ท่านอนุญาตข้าแล้วนะ”
“อืม...” ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยังเก้าอี้ของตนเอง และพยักหน้าให้ผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ลงมือรับประทานอาหารได้
แต่เมื่อหันไปเห็นใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของหญิงสาวหนึ่งเดียวในโต๊ะอาหารที่นั่งติดกันกับเขา อินทุก็อดที่จะเอ่ยออกมาอย่างประชดประชันให้พอได้ยินกันแค่สองคนไม่ได้ “กินข้าวได้แล้ว แค่รู้ว่าจะได้กลับบ้าน ก็ดีใจจนไม่อยากกินอะไรเลยหรือ”
“ก็ดีใจนะซิถ้าข้าหายาได้เร็ว พระจันทร์เต็มดวงรอบหน้า ข้าก็จะได้กลับบ้าน จะได้เอายากลับไปรักษาแม่...แม่ข้าจะได้หายสักที”
หญิงสาวผู้ไม่รู้ซึ้งถึงอารมณ์ของเจ้าของปราสาทกล่าวออกมาด้วยใบหน้าเบิกบานเต็มที่ ก่อนจะตักเนื้อตุ๋นที่เธอเคี่ยวทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็น ใส่จานให้กับชายหนุ่มได้ลิ้มลองฝีมือของเธออย่างอารมณ์ดี
ส่วนชายหนุ่มเจ้าของปราสาทกลับรู้สึกว่าอาหารมากมายบนโต๊ะหมดความอร่อย และฝืดคอจนกลืนไม่ลงแทบจะทันที ถ้าไม่ติดว่าหญิงสาวข้างกายตั้งใจทำเนื้อตุ๋นขนาดไหน เขาคงจะลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารโดยไม่แตะมันแม้แต่คำเดียว
++++++++++++
ขอโทษที หายหน้าไปหลายวัน มัวแต่ไปท่องโลกกว้างอยู่ :)
ขอบคุณที่ติดตามอ่าน
ใกล้จะหมดโควต้าลงให้ทดลองอ่านแล้วนะคะ
เพราะหนังสือลิขิตแห่งจันทร์วางแผงแล้วคร่าาาาาา
รัก
พลอยลภัสร์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ