ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)
8.3
เขียนโดย พลอยลภัสร์
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.
19 chapter
9 วิจารณ์
24.31K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) บทที่ 14
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 14
ศศิธรเดินเลี่ยงเข้าไปยืนดูสาวใช้คนอื่นๆ ที่กำลังช่วยกันขยำผ้าในอ่างไม้ใบเล็ก ด้วยท่าทางดื้อดึงเพราะนึกขัดใจในคำสั่งของอินทุ ซึ่งเธอทนยืนดูอยู่ได้ไม่นาน ก็นึกสนุก จึงถกแขนเสื้อขึ้น แล้วลงมือช่วยสาวใช้ขยำผ้าด้วยความสนุกสนาน
“แม่นาง...”
หญิงสาวที่กำลังสนุกกับการย้อมผ้า ไม่ได้สนใจเสียงโอดครวญกลัวบทลงโทษของสาวใช้ที่เฝ้าติดตามดูแลเธออย่างใกล้ชิดสักนิด เธอกลับหันไปถามหัวหน้าสาวใช้อีกคำถาม “ทำไมถึงมีแต่สีดำ”
ซึ่งศศิธรไม่เข้าใจว่าทำไมคำถามของเธอ ถึงได้สร้างความประหลาดใจให้กับบรรดาสาวใช้ที่ช่วยกันย้อมผ้าอยู่บริเวณนี้มาก ถึงขนาดที่ทุกคนต้องหันมามองที่เธอเป็นตาเดียว
“คนทางใต้เช่นเราใส่สีดำกันจนเป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว” สุมาเป็นคนเอ่ยไขข้อข้องใจให้กับศศิธรด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ถึงแม้แววตาของหัวหน้าสาวใช้จะเต็มไปด้วยความสงสัยก็ตาม
ศศิธรพยักหน้าเข้าใจ เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเสื้อผ้าในตู้บนห้องนอนส่วนใหญ่ถึงมีแต่สีดำ “เสร็จงานพวกนี้แล้ว...พวกเจ้าจะไปทำอะไรกันต่อ”
“ไปช่วยพี่บุหลัน...ล้างคอกม้า” สาวใช้หลายคนพร้อมใจกันตอบคำถามของนายหญิงที่ดูจะสดใส และอัธยาศัยดีขึ้นเยอะ หลังจากฟื้นคืนชีพกลับมา
ศศิธรขมวดคิ้วมุ่น พร้อมกับถามออกมาด้วยความสงสัย “ล้างคอกม้า...มันงานของผู้ชายไม่ใช่รึ”
“ไม่...มันคืองานของผู้หญิง งานเกี่ยวกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในปราสาทเป็นงานของผู้หญิงทั้งหมด...ส่วนผู้ชายมีหน้าที่ดูแลรักษาดินแดน ดูแลความสงบเรียบร้อยให้เราอยู่อย่างสงบสุขเท่านั้น” บุหรงเป็นคนเอ่ยอธิบายให้นายหญิงของตนได้ฟัง “ยิ่งตอนนี้ พวกผู้ชายต้องตามท่านอินทุออกไปลาดตระเวณแบบบนี้ พวกเรายิ่งต้องรีบเข้าไปดูแลรักษาความสะอาดของคอกม้า เพราะจะทำได้ง่ายขึ้น และสะอาดทุกซอกทุกมุม เพราะไม่มีม้ามาคอยเกะกะ”
ศศิธรพยักหน้าเข้าใจ แล้วก็รบเร้าขอตามไปทำงานด้วย เพราะรู้สึกว่าตนเองนั้นนอนเยอะเกินไปแล้ว “อ่อ...งั้นเราไปด้วยนะ”
“แม่นาง...อย่าไปเลย”
ศศิธรส่ายหัวให้กับสาวใช้จอมขัด ที่เหมือนจะมีปัญหากับเธอตลอดเวลา เพื่อเป็นการปรามว่าอย่าขัดเธอเสียให้ยากเลย
เมื่อบุหรงไม่รู้จะห้ามนายหญิงของตนได้อย่างไร ก็ก้มหน้ายอมรับในชะตากรรมของตนโดยดุษฎี แต่เหมือนบุหรงจะเพิ่งฉุกคิดได้ว่าเลยเวลาอาหารกลางวันมานานแล้ว และคนป่วยยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน จึงถามออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “แม่นางหิวหรือยัง”
“หิวๆ...เราลืมไปเลยว่าเรายังไม่ได้กินข้าวกลางวัน”
“งั้นข้าไปหาอะไรมาให้แม่นางกินก่อนจะไปที่คอกม้าดีกว่า”
“ก็ดีเหมือนกัน” ศศิธรตอบรับง่ายๆ ก่อนจะเดินตามบุหรงเข้าไปในครัว เพื่อหาอะไรกินแก้หิว ก่อนจะไปทำงานที่เธอคิดว่าน่าจะเป็นงานของผู้ชายมากกว่างานของผู้หญิง
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันง่ายๆ จนท้องอิ่มดีแล้ว ศศิธรกับสาวใช้จอมขัดก็เดินตามสาวใช้คนอื่นๆ ที่รุดหน้าไปรอที่คอกม้าก่อนหน้าแล้ว เพื่อไปช่วยกันทำความสะอาดคอกม้าของปราสาท ซึ่งทั้งใหญ่และเลอะเทอะอย่างมาก
ถึงจะเหนื่อย เหม็น และเลอะ แต่ก็เต็มไปด้วยความสนุกสนาน และความร่วมแรงร่วมใจของผู้หญิง ที่เปรียบเสมือนช้างเท้าหลังของชาวกลาพิมพ์ และมันยังช่วยฆ่าเวลาในช่วงบ่ายแก่ๆ ของศศิธรให้หมดไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย
“แม่นางไม่น่าจะต้องมาเหนื่อยแบบนี้เลย” หญิงสาวที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบคอกม้าภายในปราสาทเดินมายื่นแก้วน้ำที่ทำจากไม้ไผ่ส่งให้นายหญิงของตน พร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างเกรงใจ
“เหนื่อย แต่ก็สนุกดี...เราชอบ” ศศิธรส่งยิ้มให้กับ ‘บุหลัน’ ภรรยาจอมดุของสุมะ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลคอกม้าโดยเฉพาะ เนื่องจากบ้านของบุหลันกับสุมะตั้งอยู่ใกล้กับคอกม้ามากที่สุด และก่อนที่ทั้งคู่จะแต่งงานกัน บุหลันก็เป็นแค่เพียงหญิงสาวชาวบ้านที่ทำหน้าที่เลี้ยงม้าเท่านั้น
“ดูซิ...มอมแมมไปทั้งตัวเลย”
“เจ้าบ่นเป็นยายแก่อีกแล้วนะ” ศศิธรเอ่ยเย้าแหย่บุหรงที่เฝ้าดูแลเธออย่างดี เวลาเธอจะหยิบจะจับอะไรก็เอ่ยขัดไปเสียหมดแทบจะทุกเรื่องและตลอดเวลา
“ก็มันไม่ใช่สิ่งที่แม่นางควรทำ”
ศศิธรขยับจะถามว่าแล้วสิ่งที่เธอควรทำคืออะไร ก็พอดีหันไปเห็นบรรดาสาวใช้ที่ทยอยชักแถวกันเดินออกไปทางด้านหลังของคอกม้าเสียก่อน จึงหันเหความสนใจไปที่พวกนางแทนการโต้เถียงกับบุหรง “แล้วนั่น พวกนางจะไปไหนกัน”
“ไปอาบน้ำ”
“อาบน้ำหรือ...เราไปอาบด้วยดีกว่า” ศศิธรเอ่ยจบ ก็ขยับเดินตามสาวใช้คนอื่นๆ ที่กำลังมุ่งหน้าตรงไปยังลำธารที่อยู่ไม่ห่างจากคอกม้ามากนักทันที โดยไม่อยู่รอฟังคำทัดทานของสาวใช้ประจำตัว
หลังจากแหวกว่ายอยู่ในลำธารน้ำใสอย่างสนุกสนาน ศศิธรก็เอ่ยถามสาวใช้ที่วนเวียนว่ายน้ำอยู่ใกล้ๆ กับเธอแทบตลอดเวลา “บุหรง...ปกติพวกเจ้ามาอาบน้ำกันที่นี่หรือ”
“ใช่...แม่นางถามทำไม”
“ชวนเราด้วย”
“หือ?”
“ทุกเย็น ก่อนเจ้าจะมาอาบน้ำ ให้ชวนเรามาด้วย เราจะมาอาบที่นี่ด้วย เราไม่ชอบอาบในห้อง” ศศิธรเอ่ยอธิบายยืดยาวเพราะเธอไม่อยากจะอาบน้ำในห้องอีกแล้ว เพราะนึกอายกับการแก้ผ้าอาบน้ำต่อหน้าคนอื่น และที่สำคัญที่สุดก็คือนึกสงสารสาวใช้ที่ต้องแบกถังน้ำเดินขึ้นชั้นสองของบ้านหลังใหญ่ เพื่อให้เธอได้อาบน้ำถึงในห้องนอน
หลังจากว่ายน้ำเล่นจนเป็นที่พอใจ ศศิธรก็เอ่ยชวนสาวใช้ขึ้นจากน้ำ เพราะเธอเริ่มรู้สึกถึงความหนาวเย็นรอบๆ ตัว ทั้งที่พระอาทิตย์ยังไม่ทันตกดินด้วยซ้ำ ไม่ต้องมีใครบอกเธอก็เดาได้ว่าหลังจากพระอาทิตย์ลาลับขอบภูเขาไปแล้ว อากาศของกลาพิมพ์จะหนาวเย็นจัดขนาดไหน เพราะแค่ตอนนี้เธอก็เริ่มจะหนาวสั่นจนจะเป็นไข้อยู่แล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่พอเธอเดินขึ้นมาจากน้ำ บุหลันก็เตรียมเสื้อผ้าสีดำค่อนข้างหนามาให้เธอได้เปลี่ยนเสียก่อนที่ผิวเนื้อจะทันได้สัมผัสกับความหนาวเย็นยามพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า
////////////////////////////////////////
ระหว่างเดินกลับบ้านหลังใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง ศศิธรก็อดจะมองไปยังบ้านหลังเล็กหลังน้อยซึ่งรายล้อมอยู่รอบบ้านหลังใหญ่ของอินทุด้วยสายตาทึ่งจัดไม่ได้ ถึงแม้ว่าบ้านทุกหลังจะถูกก่อสร้างด้วยดินอย่างง่ายๆ แต่ก็เป็นสิ่งปลูกสร้างที่สวยงามชวนมอง
เมื่อเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ ศศิธรก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่คาดว่าจะได้เห็นเขาออกมายืนคอย ศศิธรเห็นเพียงแค่หัวหน้าสาวใช้ที่กำลังยืนจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาเรียบนิ่งชวนให้อึดอัดเท่านั้น จึงเสถามถึงเจ้าของบ้านเพื่อลดความตึงเครียดตรงหน้า “ท่านอินทุยังไม่กลับเข้ามาอีกหรือ”
“ยัง...ปกติถ้าออกไปลาดตระเวณทางเหนือแบบนี้ ก็จะใช้เวลาประมาณสิบวันเป็นอย่างน้อย”
“อืม”
“แม่นางต้องการอะไรอีกหรือเปล่า” สุมาเอ่ยถามออกด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ถึงแม้สายตาที่กำลังเพ่งมองมาที่นายหญิงจะไม่มีความเกรงกลัวเลยก็ตาม
ศศิธรส่ายหัวแล้วก็ขยับจะผละหนีขึ้นไปยังห้องนอนใหญ่ ถ้าจะไม่ถูกบุหรงเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน “แล้วมื้อเย็นล่ะ จะ...”
“มื้อเย็น เราขอในห้องนะ”
สาวใช้คนสนิทพยักหน้ารับ แล้วจึงหันหลังเดินไปเตรียมอาหารในครัว เพื่อนำขึ้นไปส่งให้นายหญิงของตนถึงในห้องตามความต้องการ
บุหรงคลานเข่ายกถาดอาหารเข้าไปวางไว้บนโต๊ะตัวเตี้ย ซึ่งนายหญิงของตนกำลังนั่งแหมะลงกับเบาะผ้านุ่มๆ บนพื้นห้องรออยู่ก่อนแล้ว แต่ก่อนที่เธอจะขยับถอยหนีออกไปนั่งอยู่ห่างๆ นายหญิงก็ร้องเรียกเธอไว้เสียก่อน “บุหรง...นั่งกับเราซิ”
“แต่...” บุหรงขยับจะเอ่ยปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นสายตาของนายหญิงที่สื่อออกมาว่าไม่ยอมให้เธอขัดคำสั่ง เธอจึงต้องยอมนั่งลงแต่โดยดี
“เจ้าช่วยเล่าเรื่องกลาพิมพ์ให้เราฟังหน่อยได้ไหม”
“เรื่องอะไร?”
“ใครเป็นใคร ทำหน้าที่อะไร คนที่เราต้องติดต่อด้วยมีใคร ชื่ออะไรบ้าง แล้วเราต้องทำอะไรบ้าง” ศศิธรรรู้ว่าเธอจะต้องปรับตัว เพื่อที่จะได้ไม่เป็นที่สงสัยเมื่ออินทุนำเธอมาทิ้งไว้ในสถานที่แห่งนี้ในฐานะ...แม่นางจันทรพิมพ์ ภรรยาที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งของเขาเช่นนี้
“ทำไมหรือ”
“เรารู้สึกว่า เราหลงๆ ลืมๆ บางคน บางเรื่องไปน่ะ” ศศิธรเอ่ยแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ เพราะก็ไม่รู้จะยกเหตุผลอะไรมาอธิบายให้สาวใช้เข้าใจดี
บุหรงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวต่างๆ ของกลาพิมพ์ให้นายหญิงของตนฟังไปเรื่อยๆ ตามมาด้วยเรื่องราวของ สุมะ สุมา บุหลัน และนายทหารสองคนที่ถูกมอบหมายให้เป็นองครักษ์คอยเฝ้าหน้าประตูห้องนอนและคอยติดตามนายหญิงไปทุกหนทุกแห่ง
ทว่า จู่ๆ ศศิธรก็เอ่ยถามขึ้น เมื่อนึกได้ว่าเธอลงทุนเดินทางมาที่แห่งนี้เพื่ออะไร “บุหรง...เจ้ารู้จักหญ้าอาบจันทร์ไหม”
“หญ้าอาบจันทร์? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน...ทำไมหรือ”
“ที่นี่มีแพทย์...หรือมีหมอรักษาโรคไหม”
“แม่นางหมายถึงเฒ่าเทวดา...ตาเฒ่าเจ้าปัญหาใช่หรือเปล่า”
“ตาเฒ่าเจ้าปัญหารึ...เขาคือใคร”
“ก็ตาเฒ่าที่ต้มยาแก้ไข้มาให้แม่นางกินหลังอาหารนั่นไง”
ศศิธรพยักหน้ารัวเร็วทันที เธอเจอหมอของที่นี่แล้ว ไม่นานเธอก็จะได้เจอกับหญ้าอาบจันทร์ “ใช่ๆ ตาเฒ่าเจ้าปัญหา...ว่าแต่...ทำไมถึงเรียกว่าตาเฒ่าเจ้าปัญหาล่ะ”
บุหรงขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจกับคำถามของนายหญิง แต่ก็ยอมเล่าเรื่องของตาเฒ่าเจ้าปัญหาให้หญิงสาวฟังแต่โดยดี
ศศิธรจับใจความได้ว่า ชายชราคนนั้น ถูกเรียกว่าตาเฒ่าเจ้าปัญหา ก็เพราะว่าบ้านของชายชรา ตั้งอยู่บนเนินดินระหว่างเขตแดนของกลาพิมพ์ฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ซึ่งพื้นที่บ้านส่วนใหญ่ของตาเฒ่านั้นอยู่ในดินแดนทางเหนือ แต่หน้าบ้าน และทางเข้ากลับอยู่ทางใต้
แล้วยังมีเรื่องเล่าเมื่อครั้งอดีตว่า ผู้นำฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้เคยทะเลาะกัน เพราะต้องการจะแย่งชิงตาเฒ่า เนื่องจากตาเฒ่าเป็นหมอเทวดา ที่สามารถรักษาได้ทุกโรค จนผู้นำทั้งสองฝ่ายอยากได้ไว้เป็นคนของฝ่ายตน
แต่เพราะตาเฒ่าเป็นหมอรักษาคนทุกชนชั้นวรรณะ ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จึงบอกว่ากับผู้นำทั้งสองฝ่ายว่าตนเกิดมาเป็นชาวบ้านของทั้งสองดินแดน ไม่มีใครจะกะเกณฑ์หรือแย่งชิงเขาได้ทั้งนั้น
ตาเฒ่าจึงเป็นคนๆ เดียวที่เดินเข้าออกได้ทั้งในดินแดนทางเหนือและทางใต้ โดยไม่มีใครคิดจะจับตัว และก็ยังเป็นบุคคลที่ผู้นำดินแดนทั้งสองฝ่ายให้ความเคารพและยอมลงให้อีกด้วย
“บ้านของตาเฒ่าอยู่ที่ไหน แล้วอยู่ไกลหรือเปล่า” เมื่อได้รับรู้ว่าตาเฒ่าเจ้าปัญหาเป็นหมอเทวดาที่ทุกคนต้องการตัว ศศิธรก็ยิ่งอยากจะไปเจอตาเฒ่าคนนี้ให้เร็วที่สุด
“อยู่ที่ท้ายหมู่บ้านในป่า...สุดเขตชายแดนนู้น”
“เจ้าพาข้าไปหาตาเฒ่าหน่อยได้ไหม”
“เอ่อ...ข้าว่าแม่นางน่าจะขออนุญาตท่านอินทุก่อนนะ”
“ทำไม”
บุหรงก้มหน้าหลบสายตาหาเรื่องของนายหญิงทันที เพราะแค่ภายในปราสาท อุทุราชายังมีคำสั่งไม่ให้นายหญิงของตนออกจากห้อง ถึงแม้บุหรงจะทำไม่ได้ตามคำสั่งก็ตาม
แล้วยิ่งบ้านของตาเฒ่าเจ้าปัญหาที่อยู่ระหว่างเขตแดนรอยต่อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง...ไม่มีทางที่อุทุราชาจะอนุญาตให้นายหญิงของตนเดินทางไปยังที่แห่งนั้นเป็นแน่
“เอาล่ะ...ไม่เป็นไร ไว้เราจะขออนุญาตท่านอินทุของเจ้าเอง” ศศิธรเอ่ยตัดบทเมื่อเห็นอาการกลัวเจ้าของห้องนอนจนอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูกของสาวใช้
เธอไม่แปลกใจเลยว่าทำไม วันแรกๆ ที่ชายหนุ่มไปอยู่ที่บ้านของเธอ ถึงได้ดูวางอำนาจมากมายนัก ก็เพราะที่นี่ เขาคงจะออกคำสั่งจนเคยชิน และคนรับคำสั่งทุกคนก็ดูจะเกรงกลัวอำนาจของเขาอย่างมาก
ถึงแม้ว่าเขาจะดูนิ่งๆ ไม่ได้มีท่าทางโหดร้ายน่ากลัว แถมยังมีใบหน้าที่น่าหลงใหลมากกว่าน่าเกรงขามแต่ภายใต้ท่าท่างเหล่านั้นกลับแฝงไปด้วยอำนาจที่ใครก็ยากจะต้านทาน...ไม่ว่าเรื่องอะไร
////////////////////////////////////
หลังจากที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านหลังใหญ่นำหญิงสาวมาปล่อยทิ้งเอาไว้ตามลำพังในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย โดยที่ไม่ยอมอธิบายอะไรใดๆ ทั้งสิ้น มีแค่เพียงเรื่องเล่าโด่งดังที่ถูกโจษขานไปทั่วว่าเธอคือจันทรพิมพ์ ภรรยาที่ตายแล้วฟื้นของเขา ศศิธรจึงต้องเรียนรู้การปรับตัวเพื่ออยู่เพียงลำพังที่นี่ด้วยตนเอง โดยเริ่มจากการผูกมิตรไมตรีกับทหารและบรรดาสาวใช้ด้วยการพาตัวเองไปช่วยงานต่างๆ เท่าที่จะทำได้
ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ของศศิธรจึงหมดไปกับงานทำความสะอาดสิ่งต่างๆ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านหลังใหญ่หลังที่เธอกำลังซุกหัวนอนอยู่นี้ และนี่ก็เป็นเช้าวันที่ห้าที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องนอนที่ไร้ซึ่งเงาของเจ้าของห้องเฉกเช่นหลายวันที่ผ่านมา
“สุมา!...เจ้าเข้ามาทำไม” ศศิธรตื่นเต็มตาทันทีที่ขยับพลิกตัวมาอีกด้านของเตียงแล้วพบว่าหัวหน้าสาวใช้ยืนจ้องหน้าเธออยู่ข้างเตียงนอนด้วยสายตาที่ฉายแววสงสัยในตัวเธอเต็มที่
“ข้าแค่เข้ามาเปลี่ยนผ้าปูที่นอน”
“แล้วบุหรงล่ะ”
ปกติแล้วจะไม่มีใครที่ได้รับสิทธิ์เฉียดกายเข้ามาในห้องนี้ทั้งนั้น นอกจากสาวใช้นามว่าบุหรงคนเดียว ซึ่งเธอก็เข้าใจในคำสั่งของเจ้าของห้องก่อนที่เขาจะหายหน้าหายตาไปเป็นอย่างดี อินทุคงจะเป็นห่วงในความปลอดภัยของเธอถึงได้มีคำสั่งออกมาเช่นนี้
อินทุคงจะรู้สึกไว้วางใจในตัวบุหรงเหมือนกันกับเธอ ที่คิดว่าเธอกับสาวใช้คงจะเคยทำบุญร่วมกันมา ถึงได้มีโอกาสได้พบเจอกันอีกในโลกที่เธอจากมา
“ข้าให้นางไปยกอาหารและยามาให้แม่นางในห้อง”
ศศิธรไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมาอีก นอกจากขยับตัวลงจากเตียงนอน เพื่อให้หัวหน้าสาวใช้ได้จัดการกับเตียงนอนหลังใหญ่ จากนั้นเธอก็เดินไปล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อจะออกค้นหา สำรวจสิ่งต่างๆ ในกลาพิมพ์ด้วยตัวเอง เพราะทนนั่งรอให้เจ้าบ้านเป็นคนพาสำรวจไม่ไหว
///////////////////////////////////
หลังจากชายหนุ่มชุดดำรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นบนของปราสาทโดยไม่เสียเวลาแวะที่ไหนสักนิด ก็ต้องวิ่งกลับลงมาชั้นล่างใหม่อีกครั้งเมื่อเปิดประตูห้องนอนใหญ่แล้วไม่พบหญิงสาวที่เขาเฝ้าเป็นห่วงอยู่ภายในห้องนั้น จึงต้องวิ่งลงบันไดมาโวยวายถามเอากลับนายทหารที่เดินตามเขาเข้ามาในปราสาท “จันทรพิมพ์อยู่ไหน นางไปไหน”
“เอ่อ...” นายทหารคนสนิทที่ก็เพิ่งจะกลับเข้ามาพร้อมๆ กันกับเจ้าของคำถาม ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่รู้จะตอบว่าอะไร แต่ก็ยังโชคดีที่น้องสาวฝาแฝดของเขาเดินเข้ามาภายในห้องโถงเสียก่อน
ชายหนุ่มเจ้าของปราสาทจึงหันเหความสนใจไปยังหัวหน้าสาวใช้แทน “สุมา...จันทรพิมพ์ไปไหน”
“แม่นางอยู่ที่โรงครัว”
“โรงครัว!”
อินทุขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัยว่าเธอไปทำอะไรอยู่ที่นั่น พลางบ่นถามออกมาเบาๆ “นางไปทำอะไรที่นั่น”
ทว่าคนถามกลับไม่อยู่รอฟังคำตอบจากหัวหน้าสาวใช้ เขารีบเดินลิ่วไปยังโรงครัวทันที
สุมาจึงหันมาถามพี่ชายฝาแฝดที่กำลังยืนมองนายของตนด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ทำไมรอบนี้กลับเร็ว เพิ่งไปได้แค่ห้าวันเอง”
“ท่านอินทุ...เอ่อ ข้าคิดถึงบุหลัน ข้าเลยรีบกลับ” สุมะเอ่ยตัดบทยิ้มๆ ก่อนจะหันหน้าเดินออกมาคนละทางกับเจ้าของปราสาท เพื่อสั่งเหล่าทหารทั้งหลายให้แยกย้ายกันกลับบ้าน “แยกย้ายกันได้แล้ว ใครมีเมีย คิดถึงเมีย ก็รีบกลับบ้านไปหาเมียไป แล้วก็อย่าลืมดูแลม้าของพวกเจ้าให้กินอิ่มนอนหลับด้วย เพราะพวกมันน่าจะเหนื่อยหนักเอาการ เดินทางกันแบบไม่ได้พักแบบนี้ ส่วนใครไม่มีเมีย ก็รีบหาซะ แล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน”
เสียงหัวเราะครืนดังออกมาจากกองกำลังลาดตระเวณที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทางสง่างาม เพื่อรอฟังคำสั่งของนายทหารคนสนิทก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน ซึ่งก็รวมทั้งตัวนายทหารคนสนิทด้วย
+++++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ
ตอนนี้ลิขิตแห่งจันทร์มีวางแผงตามร้านหนังสือชั้นนำแล้ว ฝากอุดหนุนกันด้วยน๊าาา
รัก
พลอยลลภัสร์
ศศิธรเดินเลี่ยงเข้าไปยืนดูสาวใช้คนอื่นๆ ที่กำลังช่วยกันขยำผ้าในอ่างไม้ใบเล็ก ด้วยท่าทางดื้อดึงเพราะนึกขัดใจในคำสั่งของอินทุ ซึ่งเธอทนยืนดูอยู่ได้ไม่นาน ก็นึกสนุก จึงถกแขนเสื้อขึ้น แล้วลงมือช่วยสาวใช้ขยำผ้าด้วยความสนุกสนาน
“แม่นาง...”
หญิงสาวที่กำลังสนุกกับการย้อมผ้า ไม่ได้สนใจเสียงโอดครวญกลัวบทลงโทษของสาวใช้ที่เฝ้าติดตามดูแลเธออย่างใกล้ชิดสักนิด เธอกลับหันไปถามหัวหน้าสาวใช้อีกคำถาม “ทำไมถึงมีแต่สีดำ”
ซึ่งศศิธรไม่เข้าใจว่าทำไมคำถามของเธอ ถึงได้สร้างความประหลาดใจให้กับบรรดาสาวใช้ที่ช่วยกันย้อมผ้าอยู่บริเวณนี้มาก ถึงขนาดที่ทุกคนต้องหันมามองที่เธอเป็นตาเดียว
“คนทางใต้เช่นเราใส่สีดำกันจนเป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว” สุมาเป็นคนเอ่ยไขข้อข้องใจให้กับศศิธรด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ถึงแม้แววตาของหัวหน้าสาวใช้จะเต็มไปด้วยความสงสัยก็ตาม
ศศิธรพยักหน้าเข้าใจ เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเสื้อผ้าในตู้บนห้องนอนส่วนใหญ่ถึงมีแต่สีดำ “เสร็จงานพวกนี้แล้ว...พวกเจ้าจะไปทำอะไรกันต่อ”
“ไปช่วยพี่บุหลัน...ล้างคอกม้า” สาวใช้หลายคนพร้อมใจกันตอบคำถามของนายหญิงที่ดูจะสดใส และอัธยาศัยดีขึ้นเยอะ หลังจากฟื้นคืนชีพกลับมา
ศศิธรขมวดคิ้วมุ่น พร้อมกับถามออกมาด้วยความสงสัย “ล้างคอกม้า...มันงานของผู้ชายไม่ใช่รึ”
“ไม่...มันคืองานของผู้หญิง งานเกี่ยวกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในปราสาทเป็นงานของผู้หญิงทั้งหมด...ส่วนผู้ชายมีหน้าที่ดูแลรักษาดินแดน ดูแลความสงบเรียบร้อยให้เราอยู่อย่างสงบสุขเท่านั้น” บุหรงเป็นคนเอ่ยอธิบายให้นายหญิงของตนได้ฟัง “ยิ่งตอนนี้ พวกผู้ชายต้องตามท่านอินทุออกไปลาดตระเวณแบบบนี้ พวกเรายิ่งต้องรีบเข้าไปดูแลรักษาความสะอาดของคอกม้า เพราะจะทำได้ง่ายขึ้น และสะอาดทุกซอกทุกมุม เพราะไม่มีม้ามาคอยเกะกะ”
ศศิธรพยักหน้าเข้าใจ แล้วก็รบเร้าขอตามไปทำงานด้วย เพราะรู้สึกว่าตนเองนั้นนอนเยอะเกินไปแล้ว “อ่อ...งั้นเราไปด้วยนะ”
“แม่นาง...อย่าไปเลย”
ศศิธรส่ายหัวให้กับสาวใช้จอมขัด ที่เหมือนจะมีปัญหากับเธอตลอดเวลา เพื่อเป็นการปรามว่าอย่าขัดเธอเสียให้ยากเลย
เมื่อบุหรงไม่รู้จะห้ามนายหญิงของตนได้อย่างไร ก็ก้มหน้ายอมรับในชะตากรรมของตนโดยดุษฎี แต่เหมือนบุหรงจะเพิ่งฉุกคิดได้ว่าเลยเวลาอาหารกลางวันมานานแล้ว และคนป่วยยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน จึงถามออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “แม่นางหิวหรือยัง”
“หิวๆ...เราลืมไปเลยว่าเรายังไม่ได้กินข้าวกลางวัน”
“งั้นข้าไปหาอะไรมาให้แม่นางกินก่อนจะไปที่คอกม้าดีกว่า”
“ก็ดีเหมือนกัน” ศศิธรตอบรับง่ายๆ ก่อนจะเดินตามบุหรงเข้าไปในครัว เพื่อหาอะไรกินแก้หิว ก่อนจะไปทำงานที่เธอคิดว่าน่าจะเป็นงานของผู้ชายมากกว่างานของผู้หญิง
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันง่ายๆ จนท้องอิ่มดีแล้ว ศศิธรกับสาวใช้จอมขัดก็เดินตามสาวใช้คนอื่นๆ ที่รุดหน้าไปรอที่คอกม้าก่อนหน้าแล้ว เพื่อไปช่วยกันทำความสะอาดคอกม้าของปราสาท ซึ่งทั้งใหญ่และเลอะเทอะอย่างมาก
ถึงจะเหนื่อย เหม็น และเลอะ แต่ก็เต็มไปด้วยความสนุกสนาน และความร่วมแรงร่วมใจของผู้หญิง ที่เปรียบเสมือนช้างเท้าหลังของชาวกลาพิมพ์ และมันยังช่วยฆ่าเวลาในช่วงบ่ายแก่ๆ ของศศิธรให้หมดไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย
“แม่นางไม่น่าจะต้องมาเหนื่อยแบบนี้เลย” หญิงสาวที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบคอกม้าภายในปราสาทเดินมายื่นแก้วน้ำที่ทำจากไม้ไผ่ส่งให้นายหญิงของตน พร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างเกรงใจ
“เหนื่อย แต่ก็สนุกดี...เราชอบ” ศศิธรส่งยิ้มให้กับ ‘บุหลัน’ ภรรยาจอมดุของสุมะ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลคอกม้าโดยเฉพาะ เนื่องจากบ้านของบุหลันกับสุมะตั้งอยู่ใกล้กับคอกม้ามากที่สุด และก่อนที่ทั้งคู่จะแต่งงานกัน บุหลันก็เป็นแค่เพียงหญิงสาวชาวบ้านที่ทำหน้าที่เลี้ยงม้าเท่านั้น
“ดูซิ...มอมแมมไปทั้งตัวเลย”
“เจ้าบ่นเป็นยายแก่อีกแล้วนะ” ศศิธรเอ่ยเย้าแหย่บุหรงที่เฝ้าดูแลเธออย่างดี เวลาเธอจะหยิบจะจับอะไรก็เอ่ยขัดไปเสียหมดแทบจะทุกเรื่องและตลอดเวลา
“ก็มันไม่ใช่สิ่งที่แม่นางควรทำ”
ศศิธรขยับจะถามว่าแล้วสิ่งที่เธอควรทำคืออะไร ก็พอดีหันไปเห็นบรรดาสาวใช้ที่ทยอยชักแถวกันเดินออกไปทางด้านหลังของคอกม้าเสียก่อน จึงหันเหความสนใจไปที่พวกนางแทนการโต้เถียงกับบุหรง “แล้วนั่น พวกนางจะไปไหนกัน”
“ไปอาบน้ำ”
“อาบน้ำหรือ...เราไปอาบด้วยดีกว่า” ศศิธรเอ่ยจบ ก็ขยับเดินตามสาวใช้คนอื่นๆ ที่กำลังมุ่งหน้าตรงไปยังลำธารที่อยู่ไม่ห่างจากคอกม้ามากนักทันที โดยไม่อยู่รอฟังคำทัดทานของสาวใช้ประจำตัว
หลังจากแหวกว่ายอยู่ในลำธารน้ำใสอย่างสนุกสนาน ศศิธรก็เอ่ยถามสาวใช้ที่วนเวียนว่ายน้ำอยู่ใกล้ๆ กับเธอแทบตลอดเวลา “บุหรง...ปกติพวกเจ้ามาอาบน้ำกันที่นี่หรือ”
“ใช่...แม่นางถามทำไม”
“ชวนเราด้วย”
“หือ?”
“ทุกเย็น ก่อนเจ้าจะมาอาบน้ำ ให้ชวนเรามาด้วย เราจะมาอาบที่นี่ด้วย เราไม่ชอบอาบในห้อง” ศศิธรเอ่ยอธิบายยืดยาวเพราะเธอไม่อยากจะอาบน้ำในห้องอีกแล้ว เพราะนึกอายกับการแก้ผ้าอาบน้ำต่อหน้าคนอื่น และที่สำคัญที่สุดก็คือนึกสงสารสาวใช้ที่ต้องแบกถังน้ำเดินขึ้นชั้นสองของบ้านหลังใหญ่ เพื่อให้เธอได้อาบน้ำถึงในห้องนอน
หลังจากว่ายน้ำเล่นจนเป็นที่พอใจ ศศิธรก็เอ่ยชวนสาวใช้ขึ้นจากน้ำ เพราะเธอเริ่มรู้สึกถึงความหนาวเย็นรอบๆ ตัว ทั้งที่พระอาทิตย์ยังไม่ทันตกดินด้วยซ้ำ ไม่ต้องมีใครบอกเธอก็เดาได้ว่าหลังจากพระอาทิตย์ลาลับขอบภูเขาไปแล้ว อากาศของกลาพิมพ์จะหนาวเย็นจัดขนาดไหน เพราะแค่ตอนนี้เธอก็เริ่มจะหนาวสั่นจนจะเป็นไข้อยู่แล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่พอเธอเดินขึ้นมาจากน้ำ บุหลันก็เตรียมเสื้อผ้าสีดำค่อนข้างหนามาให้เธอได้เปลี่ยนเสียก่อนที่ผิวเนื้อจะทันได้สัมผัสกับความหนาวเย็นยามพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า
////////////////////////////////////////
ระหว่างเดินกลับบ้านหลังใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง ศศิธรก็อดจะมองไปยังบ้านหลังเล็กหลังน้อยซึ่งรายล้อมอยู่รอบบ้านหลังใหญ่ของอินทุด้วยสายตาทึ่งจัดไม่ได้ ถึงแม้ว่าบ้านทุกหลังจะถูกก่อสร้างด้วยดินอย่างง่ายๆ แต่ก็เป็นสิ่งปลูกสร้างที่สวยงามชวนมอง
เมื่อเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ ศศิธรก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่คาดว่าจะได้เห็นเขาออกมายืนคอย ศศิธรเห็นเพียงแค่หัวหน้าสาวใช้ที่กำลังยืนจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาเรียบนิ่งชวนให้อึดอัดเท่านั้น จึงเสถามถึงเจ้าของบ้านเพื่อลดความตึงเครียดตรงหน้า “ท่านอินทุยังไม่กลับเข้ามาอีกหรือ”
“ยัง...ปกติถ้าออกไปลาดตระเวณทางเหนือแบบนี้ ก็จะใช้เวลาประมาณสิบวันเป็นอย่างน้อย”
“อืม”
“แม่นางต้องการอะไรอีกหรือเปล่า” สุมาเอ่ยถามออกด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ถึงแม้สายตาที่กำลังเพ่งมองมาที่นายหญิงจะไม่มีความเกรงกลัวเลยก็ตาม
ศศิธรส่ายหัวแล้วก็ขยับจะผละหนีขึ้นไปยังห้องนอนใหญ่ ถ้าจะไม่ถูกบุหรงเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน “แล้วมื้อเย็นล่ะ จะ...”
“มื้อเย็น เราขอในห้องนะ”
สาวใช้คนสนิทพยักหน้ารับ แล้วจึงหันหลังเดินไปเตรียมอาหารในครัว เพื่อนำขึ้นไปส่งให้นายหญิงของตนถึงในห้องตามความต้องการ
บุหรงคลานเข่ายกถาดอาหารเข้าไปวางไว้บนโต๊ะตัวเตี้ย ซึ่งนายหญิงของตนกำลังนั่งแหมะลงกับเบาะผ้านุ่มๆ บนพื้นห้องรออยู่ก่อนแล้ว แต่ก่อนที่เธอจะขยับถอยหนีออกไปนั่งอยู่ห่างๆ นายหญิงก็ร้องเรียกเธอไว้เสียก่อน “บุหรง...นั่งกับเราซิ”
“แต่...” บุหรงขยับจะเอ่ยปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นสายตาของนายหญิงที่สื่อออกมาว่าไม่ยอมให้เธอขัดคำสั่ง เธอจึงต้องยอมนั่งลงแต่โดยดี
“เจ้าช่วยเล่าเรื่องกลาพิมพ์ให้เราฟังหน่อยได้ไหม”
“เรื่องอะไร?”
“ใครเป็นใคร ทำหน้าที่อะไร คนที่เราต้องติดต่อด้วยมีใคร ชื่ออะไรบ้าง แล้วเราต้องทำอะไรบ้าง” ศศิธรรรู้ว่าเธอจะต้องปรับตัว เพื่อที่จะได้ไม่เป็นที่สงสัยเมื่ออินทุนำเธอมาทิ้งไว้ในสถานที่แห่งนี้ในฐานะ...แม่นางจันทรพิมพ์ ภรรยาที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งของเขาเช่นนี้
“ทำไมหรือ”
“เรารู้สึกว่า เราหลงๆ ลืมๆ บางคน บางเรื่องไปน่ะ” ศศิธรเอ่ยแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ เพราะก็ไม่รู้จะยกเหตุผลอะไรมาอธิบายให้สาวใช้เข้าใจดี
บุหรงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวต่างๆ ของกลาพิมพ์ให้นายหญิงของตนฟังไปเรื่อยๆ ตามมาด้วยเรื่องราวของ สุมะ สุมา บุหลัน และนายทหารสองคนที่ถูกมอบหมายให้เป็นองครักษ์คอยเฝ้าหน้าประตูห้องนอนและคอยติดตามนายหญิงไปทุกหนทุกแห่ง
ทว่า จู่ๆ ศศิธรก็เอ่ยถามขึ้น เมื่อนึกได้ว่าเธอลงทุนเดินทางมาที่แห่งนี้เพื่ออะไร “บุหรง...เจ้ารู้จักหญ้าอาบจันทร์ไหม”
“หญ้าอาบจันทร์? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน...ทำไมหรือ”
“ที่นี่มีแพทย์...หรือมีหมอรักษาโรคไหม”
“แม่นางหมายถึงเฒ่าเทวดา...ตาเฒ่าเจ้าปัญหาใช่หรือเปล่า”
“ตาเฒ่าเจ้าปัญหารึ...เขาคือใคร”
“ก็ตาเฒ่าที่ต้มยาแก้ไข้มาให้แม่นางกินหลังอาหารนั่นไง”
ศศิธรพยักหน้ารัวเร็วทันที เธอเจอหมอของที่นี่แล้ว ไม่นานเธอก็จะได้เจอกับหญ้าอาบจันทร์ “ใช่ๆ ตาเฒ่าเจ้าปัญหา...ว่าแต่...ทำไมถึงเรียกว่าตาเฒ่าเจ้าปัญหาล่ะ”
บุหรงขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจกับคำถามของนายหญิง แต่ก็ยอมเล่าเรื่องของตาเฒ่าเจ้าปัญหาให้หญิงสาวฟังแต่โดยดี
ศศิธรจับใจความได้ว่า ชายชราคนนั้น ถูกเรียกว่าตาเฒ่าเจ้าปัญหา ก็เพราะว่าบ้านของชายชรา ตั้งอยู่บนเนินดินระหว่างเขตแดนของกลาพิมพ์ฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ซึ่งพื้นที่บ้านส่วนใหญ่ของตาเฒ่านั้นอยู่ในดินแดนทางเหนือ แต่หน้าบ้าน และทางเข้ากลับอยู่ทางใต้
แล้วยังมีเรื่องเล่าเมื่อครั้งอดีตว่า ผู้นำฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้เคยทะเลาะกัน เพราะต้องการจะแย่งชิงตาเฒ่า เนื่องจากตาเฒ่าเป็นหมอเทวดา ที่สามารถรักษาได้ทุกโรค จนผู้นำทั้งสองฝ่ายอยากได้ไว้เป็นคนของฝ่ายตน
แต่เพราะตาเฒ่าเป็นหมอรักษาคนทุกชนชั้นวรรณะ ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จึงบอกว่ากับผู้นำทั้งสองฝ่ายว่าตนเกิดมาเป็นชาวบ้านของทั้งสองดินแดน ไม่มีใครจะกะเกณฑ์หรือแย่งชิงเขาได้ทั้งนั้น
ตาเฒ่าจึงเป็นคนๆ เดียวที่เดินเข้าออกได้ทั้งในดินแดนทางเหนือและทางใต้ โดยไม่มีใครคิดจะจับตัว และก็ยังเป็นบุคคลที่ผู้นำดินแดนทั้งสองฝ่ายให้ความเคารพและยอมลงให้อีกด้วย
“บ้านของตาเฒ่าอยู่ที่ไหน แล้วอยู่ไกลหรือเปล่า” เมื่อได้รับรู้ว่าตาเฒ่าเจ้าปัญหาเป็นหมอเทวดาที่ทุกคนต้องการตัว ศศิธรก็ยิ่งอยากจะไปเจอตาเฒ่าคนนี้ให้เร็วที่สุด
“อยู่ที่ท้ายหมู่บ้านในป่า...สุดเขตชายแดนนู้น”
“เจ้าพาข้าไปหาตาเฒ่าหน่อยได้ไหม”
“เอ่อ...ข้าว่าแม่นางน่าจะขออนุญาตท่านอินทุก่อนนะ”
“ทำไม”
บุหรงก้มหน้าหลบสายตาหาเรื่องของนายหญิงทันที เพราะแค่ภายในปราสาท อุทุราชายังมีคำสั่งไม่ให้นายหญิงของตนออกจากห้อง ถึงแม้บุหรงจะทำไม่ได้ตามคำสั่งก็ตาม
แล้วยิ่งบ้านของตาเฒ่าเจ้าปัญหาที่อยู่ระหว่างเขตแดนรอยต่อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง...ไม่มีทางที่อุทุราชาจะอนุญาตให้นายหญิงของตนเดินทางไปยังที่แห่งนั้นเป็นแน่
“เอาล่ะ...ไม่เป็นไร ไว้เราจะขออนุญาตท่านอินทุของเจ้าเอง” ศศิธรเอ่ยตัดบทเมื่อเห็นอาการกลัวเจ้าของห้องนอนจนอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูกของสาวใช้
เธอไม่แปลกใจเลยว่าทำไม วันแรกๆ ที่ชายหนุ่มไปอยู่ที่บ้านของเธอ ถึงได้ดูวางอำนาจมากมายนัก ก็เพราะที่นี่ เขาคงจะออกคำสั่งจนเคยชิน และคนรับคำสั่งทุกคนก็ดูจะเกรงกลัวอำนาจของเขาอย่างมาก
ถึงแม้ว่าเขาจะดูนิ่งๆ ไม่ได้มีท่าทางโหดร้ายน่ากลัว แถมยังมีใบหน้าที่น่าหลงใหลมากกว่าน่าเกรงขามแต่ภายใต้ท่าท่างเหล่านั้นกลับแฝงไปด้วยอำนาจที่ใครก็ยากจะต้านทาน...ไม่ว่าเรื่องอะไร
////////////////////////////////////
หลังจากที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านหลังใหญ่นำหญิงสาวมาปล่อยทิ้งเอาไว้ตามลำพังในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย โดยที่ไม่ยอมอธิบายอะไรใดๆ ทั้งสิ้น มีแค่เพียงเรื่องเล่าโด่งดังที่ถูกโจษขานไปทั่วว่าเธอคือจันทรพิมพ์ ภรรยาที่ตายแล้วฟื้นของเขา ศศิธรจึงต้องเรียนรู้การปรับตัวเพื่ออยู่เพียงลำพังที่นี่ด้วยตนเอง โดยเริ่มจากการผูกมิตรไมตรีกับทหารและบรรดาสาวใช้ด้วยการพาตัวเองไปช่วยงานต่างๆ เท่าที่จะทำได้
ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ของศศิธรจึงหมดไปกับงานทำความสะอาดสิ่งต่างๆ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านหลังใหญ่หลังที่เธอกำลังซุกหัวนอนอยู่นี้ และนี่ก็เป็นเช้าวันที่ห้าที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องนอนที่ไร้ซึ่งเงาของเจ้าของห้องเฉกเช่นหลายวันที่ผ่านมา
“สุมา!...เจ้าเข้ามาทำไม” ศศิธรตื่นเต็มตาทันทีที่ขยับพลิกตัวมาอีกด้านของเตียงแล้วพบว่าหัวหน้าสาวใช้ยืนจ้องหน้าเธออยู่ข้างเตียงนอนด้วยสายตาที่ฉายแววสงสัยในตัวเธอเต็มที่
“ข้าแค่เข้ามาเปลี่ยนผ้าปูที่นอน”
“แล้วบุหรงล่ะ”
ปกติแล้วจะไม่มีใครที่ได้รับสิทธิ์เฉียดกายเข้ามาในห้องนี้ทั้งนั้น นอกจากสาวใช้นามว่าบุหรงคนเดียว ซึ่งเธอก็เข้าใจในคำสั่งของเจ้าของห้องก่อนที่เขาจะหายหน้าหายตาไปเป็นอย่างดี อินทุคงจะเป็นห่วงในความปลอดภัยของเธอถึงได้มีคำสั่งออกมาเช่นนี้
อินทุคงจะรู้สึกไว้วางใจในตัวบุหรงเหมือนกันกับเธอ ที่คิดว่าเธอกับสาวใช้คงจะเคยทำบุญร่วมกันมา ถึงได้มีโอกาสได้พบเจอกันอีกในโลกที่เธอจากมา
“ข้าให้นางไปยกอาหารและยามาให้แม่นางในห้อง”
ศศิธรไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมาอีก นอกจากขยับตัวลงจากเตียงนอน เพื่อให้หัวหน้าสาวใช้ได้จัดการกับเตียงนอนหลังใหญ่ จากนั้นเธอก็เดินไปล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อจะออกค้นหา สำรวจสิ่งต่างๆ ในกลาพิมพ์ด้วยตัวเอง เพราะทนนั่งรอให้เจ้าบ้านเป็นคนพาสำรวจไม่ไหว
///////////////////////////////////
หลังจากชายหนุ่มชุดดำรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นบนของปราสาทโดยไม่เสียเวลาแวะที่ไหนสักนิด ก็ต้องวิ่งกลับลงมาชั้นล่างใหม่อีกครั้งเมื่อเปิดประตูห้องนอนใหญ่แล้วไม่พบหญิงสาวที่เขาเฝ้าเป็นห่วงอยู่ภายในห้องนั้น จึงต้องวิ่งลงบันไดมาโวยวายถามเอากลับนายทหารที่เดินตามเขาเข้ามาในปราสาท “จันทรพิมพ์อยู่ไหน นางไปไหน”
“เอ่อ...” นายทหารคนสนิทที่ก็เพิ่งจะกลับเข้ามาพร้อมๆ กันกับเจ้าของคำถาม ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่รู้จะตอบว่าอะไร แต่ก็ยังโชคดีที่น้องสาวฝาแฝดของเขาเดินเข้ามาภายในห้องโถงเสียก่อน
ชายหนุ่มเจ้าของปราสาทจึงหันเหความสนใจไปยังหัวหน้าสาวใช้แทน “สุมา...จันทรพิมพ์ไปไหน”
“แม่นางอยู่ที่โรงครัว”
“โรงครัว!”
อินทุขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัยว่าเธอไปทำอะไรอยู่ที่นั่น พลางบ่นถามออกมาเบาๆ “นางไปทำอะไรที่นั่น”
ทว่าคนถามกลับไม่อยู่รอฟังคำตอบจากหัวหน้าสาวใช้ เขารีบเดินลิ่วไปยังโรงครัวทันที
สุมาจึงหันมาถามพี่ชายฝาแฝดที่กำลังยืนมองนายของตนด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ทำไมรอบนี้กลับเร็ว เพิ่งไปได้แค่ห้าวันเอง”
“ท่านอินทุ...เอ่อ ข้าคิดถึงบุหลัน ข้าเลยรีบกลับ” สุมะเอ่ยตัดบทยิ้มๆ ก่อนจะหันหน้าเดินออกมาคนละทางกับเจ้าของปราสาท เพื่อสั่งเหล่าทหารทั้งหลายให้แยกย้ายกันกลับบ้าน “แยกย้ายกันได้แล้ว ใครมีเมีย คิดถึงเมีย ก็รีบกลับบ้านไปหาเมียไป แล้วก็อย่าลืมดูแลม้าของพวกเจ้าให้กินอิ่มนอนหลับด้วย เพราะพวกมันน่าจะเหนื่อยหนักเอาการ เดินทางกันแบบไม่ได้พักแบบนี้ ส่วนใครไม่มีเมีย ก็รีบหาซะ แล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน”
เสียงหัวเราะครืนดังออกมาจากกองกำลังลาดตระเวณที่นั่งอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทางสง่างาม เพื่อรอฟังคำสั่งของนายทหารคนสนิทก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน ซึ่งก็รวมทั้งตัวนายทหารคนสนิทด้วย
+++++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ
ตอนนี้ลิขิตแห่งจันทร์มีวางแผงตามร้านหนังสือชั้นนำแล้ว ฝากอุดหนุนกันด้วยน๊าาา
รัก
พลอยลลภัสร์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ