เกมแค้นแลกรัก(yaoi)
-
เขียนโดย กระต่ายพระจันทร์
วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.05 น.
2 chapter
0 วิจารณ์
5,361 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 4 มกราคม พ.ศ. 2558 20.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) พี่โทชิ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ชายหนุ่มร่างเล็กค่อยๆ แง้มประตูออกช้าๆ สายตาสอดส่องไปทั่วห้องชุดสุดหรูราวกับพวกย่องเบาที่จะเข้ามาขโมยของจึงต้องหลบเจ้าของห้องแต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ สิ่งที่เขาอยากจะหลบคือร่างผอมแบบบางของใครบางคนที่ตอนนี้ยืนกอดอกพร้อมกับใบหน้าบึ้งตึงที่จ้องเขม็งมายังร่างของผม ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘โชยุ’
“ทำไมถึงพึ่งกลับบ้าน” โชถามผมเสียงเข้ม
“ใครบอกติมพึ่งกลับ ติมกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ผมพูดพร้อมตีหน้าใสซื่อเพื่อให้โชเชื่อแต่ดูจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่เพราะสีหน้าของโชยังนิ่งขึงเหมือนเดิม
“แล้วทำไมถึงอยู่ชุดเดิม แถมยังทำตัวลับๆ ล่อๆ อีก” โชถามผมอีก น้ำเสียงงี้เข้มจนน่ากลัวแต่มีหรือคนอย่างไอติมจะกลัว ไม่แน่นอน
“ติมขี้เกียจอาบน้ำอ่ะ เมื่อคืนกลับดึกถึงก็นอนเลยพอเช้าตื่นมาติมก็ไปซื้อน้ำเต้าหู้มาให้โชเป็นอาหารเช้าอ่ะ แต่กลัวโชยังไม่ตื่นก็เลยพยายามทำอะไรให้เบาเสียงหน่ะ ติมผิดด้วยหรอ” ผมตีหน้าเศร้าสลดหดหู่ น่าสงสารถึงแม้ความจริงสีข้างจะถลอกเป็นแนวแล้วก็ตาม
“ไหนน้ำเต้าหู้” โชลดน้ำเสียงลง ผมยกน้ำเต้าหู้โชว์ให้โชดูพร้อมยังตีหน้าเศร้าต่อไป
ไอติมเดินเอาน้ำเต้าหู้ไปวางไว้ที่โต๊ะแล้วแกล้งเดินเข้าห้องของตัวเองปล่อยโชมองตามอย่างโทษตัวเองที่ไม่ไว้ใจไอติมแต่หารู้ไม่ว่าหลังประตูบานนั้นร่างบางของไอติมกำลังกระโดดโลดเต้น ดี้ด้าจนน่าหมันไส้
ผมอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปวิทยาลัยในวันแรก ผมเป็นเฟรชชี่ของคณะบริหารธุรกิจขณะที่ได้ขึ้นชื่อว่าพี่ว๊ากโคตะระโหดแถมหน้าตายังเลวร้ายสุดๆ ซึ่งงานนี้ผมต้องระวังตัวอย่างเต็มในเรื่องนิสัยซึ่งทุกคนไม่ต้องชมผมหรอกครับ ผมรู้ตัว อิอิ
“ติมเสร็จหรือยัง จะได้กินข้าวเดี๋ยวสายกันพอดี” เสียงตะโกนของโชดังเขามาในห้องผม
“จ้าๆ ติมไปแล้ว” ผมรีบวิ่งออกไปกินข้าวพร้อมกับโชทันที ทุกคนฟังอาจจะคิดว่าผมกับโชเป็นแฟนกันแต่ความจริงหาใช่เช่นนั้นไม่ ผมกับโชเป็นเพื่อนที่รักกันมากรักจนตายแทนกันได้ เราห่วงกันในทุกเรื่องดูแลกันในทุกอย่าง ถึงส่วนมากโชจะเป็นฝ่ายดูแลผมมากกว่าก็ตามเพราะผมเป็นคนเอาแต่ใจทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ค่อยสนใจคนรอบข้างจนดูเหมือนเห็นแก่ตัวแล้วผมผิดเหรอ ก็ผมถูกเลี้ยงมาแบบนี้นี่นา แต่ช่างมันเถอะตอนนี้ผมหิวมากกกกก
“อร่อยมั๊ย” โชถามในขณะที่ข้าวยังเต็มปากผมอยู่
“อาอ่อยอิ” ผมอ้อนพร้อมโอบเอวโชไว้
“ถ้าอร่อยก็รีบกิน เดี๋ยวสาย” โชพูดแบบดุๆ ใส่ผม
เมื่อกินเสร็จผมก็ทำหน้าที่สารถีขับรถมินิคูเปอร์คู่ใจโดยมีโชนั่งมาด้วย ในรถผมเปิดแอร์เย็นช่ำเนื่องจากตัวผมเองยังไม่สามารถปรับตัวกับอากาศร้อนของประเทศไทยถึงแม้หน้านี้จะไม่ร้อนมากก็ตามทีแถมบรรยากาศรถติดของประเทศนี้ยังชวนให้อารมณ์เสียได้ง่ายด้วย ผมเลยยิ่งต้องหาตัวช่วย
ผมนั่งเคาะพวงมาลัยเล่นในระหว่างรอติดไฟแดง ส่วนโชก็หลับคอพับไปแล้ว สงสัยเมื่อคืนรอผมกลับบ้านจนดึกเลยง่วงแบบนี้ วันนี้เรามีรับน้องกันเกือบทั้งวันเพราะเป็นธรรมเนียมของคณะซึ่งถึงผมจะเป็นเด็กเส้นแค่ไหนแต่ก็ไม่อยากทำตัวเด่นนัก จึงต้องจำทนไปพบรุ่นพี่ซะหน่อย หลังจากรอไฟแดงจนเกือบหลับไปหลายรอบผมก็ขับรถถึงวิทยาลัย โชทำท่างัวเงียเมื่อรู้สึกว่ารถหยุดลง
“เฮ้อ ในที่สุดก็ถึง” โชทำท่าเหนื่อยซะเต็มที่ทั้งที่ตัวเองหลับมาตลอดทาง คนที่ควรง่วงมันควรเป็นผมไม่ใช่เหรอ
ผมล็อกรถก่อนจะเดินตามโชไป ช่วงเช้าเราก็ไม่มีอะไรมากแค่นั่งฟังอาจารย์แนะนำเรื่องเรียนนิดหน่อยก่อนจะปล่อยพวกผมให้มาผจญเวรผจญกรรมกับพวกพี่ว๊ากที่รอเชือดพวกผมอยู่
“โชว่าพี่ว๊ากจะหน้าเป็นไง” ผมถามระหว่างที่เรานั่งรอพวกรุ่นพี่กันอยู่ที่จุดนัดใต้ตึก
“ไม่รู้สิ ก็คงหน้าโหดๆ ล่ะมั้ง” โชพูดยักไหล่
“ไม่อ่ะ ติมว่าไม่โหดอย่างเดียวต้องเหี้ยด้วยแน่นอน ไม่งั้นคงไม่ได้รับการกล่าวขานขนาดนั้นหรอก” ผมพูดในขณะที่เสียงรอบข้างเริ่มเงียบลง
“งั้นเหรอ” เสียงเข้มดังขึ้นด้านหลังผม
“ก็ใช่อ่ะดิ” ผมตอบไป ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวตอนที่โชสะกิดให้หันมองที่ด้านหลัง และผมก็พบกับ....
พระเจ้า!!! นี่คนหรือยักษ์ครับเนี่ย ทำไมถึงได้สูงได้ขนาดนี้แถมยังตัวใหญ่อย่างกับยักษ์แน่ะ ยิ่งหน้าตาที่ทำอยู่ตอนนี้นะ น่าสยองว่ะ
“ชื่ออะไร” รุ่นพี่หน้ายักษ์ถามผมเสียงเข้มถึงแม้จะทำหน้าเคลิ้มตอนเห็นหน้าผมก็ตาม อ้อ แล้วไม่ต้องชมว่าผมฉลาดที่รู้ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ ก็เล่นแขวนโซ่ เอ้ย ป้ายคล้องคอที่เขียนชื่อตัวบร่ะเอ๊กขนาดนั้นไม่รู้ก็แปลกแล้ว
“กฤษดีฮะ” ผมตอบเสียงแผ่ว พยายามก้มหน้าก้มตา
“อะไรน่ะ!!” ไอ้พี่หน้ายักษ์ตะคอกลั่น ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามันจะตะโกนทำซากอะไร ตรูก็ยืนอยู่แค่นี้
“กฤษดีฮะ” ผมตอบเสียงดังขึ้นมาหน่อย
“นายกฤษดี มายืนข้างหน้า” พี่หัวส้มที่ยืนอยู่ด้านหน้าตะโกนเรียกชื่อผม
ผมเดินออกไปยืนข้างหน้าตามคำสั่งพี่หัวส้มอย่างจำใจและจำทน เมื่อถึงด้านหน้าไอ้พี่หัวสมก็มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะมองไล่ขึ้นมาอีกที ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าพี่แม่งจะมองทำซากอะไรไม่ทราบ
“น้องใส่ชุดผิดป่ะว่ะ เป็นผู้หญิงก็ควรจะใส่ชุดผู้หญิงดี ใส่ชุดผู้ชายทำไมว่ะ” พี่แว่นอีกคนถามผมในขณะที่ไอ้พี่หัวส้มก็ยังมองผมอยู่ นี่ผมเตะรุ่นพี่จะผิดป่ะ บังอาจมาว่าผู้ชายหล่อๆ(เหรอ)อย่างผมเป็นผู้หญิง
“พี่ก็เข้าใจนะว่าคณะเราผู้ชายมันเยอะกว่าผู้หญิง ถึงน้องจะเป็นผู้หญิงแต่พวกพี่ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ ใส่ชุดผู้หญิงก็ได้ พวกพี่จะได้มีอาหารตาด้วยเพราะไอ้สองรุ่นก่อนหน้ารุ่นเรามันไม่มีผู้หญิงเลยว่ะ” พี่หัวส้มพูดสมทบอีกแต่เหมือนพูดลอยๆ เหมือนบอกเล่า
“เออ จริงว่ะ พี่ว่าน้องใส่ชุดประจำเพศตัวเองเถอะแล้วเรื่องที่พูดเมื่อกี้ พี่จะไม่ลงโทษ” ไอ้พี่ยักษ์มันพูดซึ่งทำให้ไอติมว่าแวววาวได้เลยครับ
“ลดจริงเหรอพี่” ผมพูดเสียงปกติกับไอ้พี่ยักษ์ที่กำลังทำท่าเคลิบเคลิ้มเหลือเกิน
“จ้ะ” แหม ตอบซะเสียงเพราะเชียวนะไอ้พี่ยักษ์ ที่เมื่อกี้จะกินหัวตูอยู่เลย
“พี่พูดแล้วไม่คืนคำนะ พวกพี่ด้วยเปล่า รับปากมาก่อน” ผมพูดเสียงอ่อนลงนิดนึง
“เออ ในฐานะประธานว๊ากพี่รับปาก” ไอ้พี่แว่นพูด ที่นี้ก็เข้าทางไอติมสิครับ
ผมฉีกยิ้มหวานหยดให้พวกรุ่นพี่ทั้งหลาย ก่อนจะค่อยๆแกะกระดุกเสื้อนักศึกษาของตัวเองออกมาทีละเม็ด พวกรุ่นพี่รุ่นน้องกลืนน้ำลายกันอย่างคาดหวัง นี่ไม่คิดจะห้ามกันเลยใช่มั๊ย แต่ก่อนที่กระดุมทั้งหมดจะโดนแกะออก รุ่นพี่คนหนึ่งก็เข้ามาห้ามผมไว้ซะก่อน
“พอแล้ว” รุ่นพี่คนนั้นจับมือผมไว้แล้วลากออกไปจากใต้ตึกของคณะ ผมเองก็เดินตามเขาออกมาอย่างงง
“เฮ้ย นั้นมึงจะลากน้องเขาไปไหน มึงมีแฟนแล้วนะเว้ย เหลือไว้ให้พวกกูบ้าง” ผมได้ยินเสียงจากพี่แว่นดังไล่หลังมา
ร่างสูงตรงหน้าผมหยุดชะงักเล่นเอาผมเบรกไม่ทันเลยชนเข้ากับแผ่นหลังของพี่เขาเข้า เขาหันมามองผมด้วยสายตาที่ เอ่อ บรรยายไม่ถูกอ่ะ ผมรู้สึกขนลุกและก็กลัวเขาแปลกๆ เขาเงียบไม่พูดจ้องผมอยู่แบบนั้นจนตัวผมเองที่เริ่มทนไม่ไหว
“เอ่อ พี่มีอะไรกับผมหรือเปล่าฮะ” ผมถาม
“ทำไมถึงออกมาไม่บอก” คำถามของเขาทำให้ผมนิ่งไปเล็กน้อย ใบหน้าของรุ่นพี่คนนี้ดูฉุนจัด
“เรารู้จักกันเหรอฮะ” ผมถามเขากลับ ซึ่งทันทีที่พูดจบผมก็โดนเขากระชากเข้าหาอกแกร่ง
“รู้จักเหรอ” เขากัดฟันกรอดอย่างระงับอารมณ์ ที่ดูจะไม่ได้ช่วยอะไร
“ปล่อยเถอะฮะ ผมเจ็บแขน” ผมร้องบอก รู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนกระดูกจะร้าวจากแรงบีบของร่างสูง
“ขอโทษ” พี่เขาดูสงบขึ้นเมื่อเห็นรอยแดงที่แขนของผม ก่อนจะก้มหน้าลงเป่าที่แขนราวกับผมเป็นเด็กเล็กแต่ก็ทำให้ผมเผลอยิ้มการกระทำของพี่เขา จนลืมสิ่งที่เขาทำไว้
“ไม่เป็นฮะ ไม่เจ็บแล้ว” ผมยิ้มให้พี่เขา
“เดี๋ยวไปซื้อยามาไว้ทาด้วย จะได้ไม่ช้ำ เข้าใจนะ” พี่เขาทำหน้าดุใส่ผมเหมือนเวลาผู้ใหญ่กำชับเด็กให้เชื่อฟัง ซึ่งเท่าที่เห็น ผมว่าไม่มีเด็กคนไหนเชื่อฟังพี่เขาแน่
“ฮะ รุ่นพี่” ผมรับปากเป็นหมั่นเป็นเหมาะทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่ทำแน่
“เฮ้อ ชื่ออะไรล่ะเรา” พี่เขาถอนหายใจ
“ไอติมฮะ” ผมตอบยิ้มๆ
“อืม พี่ชื่อโทชิโอะ เรียกพี่โทชิก็ได้ แล้วก็น่ะ...” พี่โทชิพูดเว้นช่วงก่อนจะก้มหน้ามาใกล้ผม “อย่าไปยิ้มแบบนี้ให้ใครอีก เข้าใจมั๊ย” พี่โทชิพูดเหมือนสั่งให้ทำตาม ระยะห่างระหว่างผมกับพี่โทชิทำให้ผมทำได้แค่พยักหน้าหงึกๆ
พี่โทชิให้ผม มือหนายกลูบหัวผมไปมาอย่างเอ็นดูก่อนที่จะพาผมกลับไปรวมกับกลุ่มเพื่อนที่ผจญกับพี่ว๊ากอยู่ ทันทีที่ไปถึงไอ้พี่หัวส้มหรือพี่กัสก็เริ่มกัดผมตามชื่อทันที
“ไงมึง ได้กันไปกี่น้ำล่ะ” พี่โทชิชูนิ้วกลางให้พี่กัส แล้วเดินมาส่งผมยังที่นั่งแต่ก็เหมือนกรรมบัง ผมกำลังจะนั่งพี่แว่นหรือพี่ดิวก็เดินมาลากผมออกไปยืนหน้าแถวอีก อะไรกับตูนักว่ะ
“ใครให้เรานั่ง” พี่ดิวพูดเสียงเหี้ยม
ผมไม่ตอบแต่ชี้ไปทางตัวการแทน การโบ้ยของผมทำให้พี่โทชิสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ เอามือขยี้หัวผมอย่างหมันเขี้ยวแล้วหันไปคุยกับพี่ดิว
“กูเอง”
“เออดี ในเมื่อมึงยอมรับก็คงต้องรับโทษร่วมกับน้องมัน” พี่ดิวพูดพร้อมกับหันไปมองพวกปีหนึ่งที่นั่งอยู่ “พี่ให้น้องดูเป็นตัวอย่าง ไม่ว่ารุ่นพี่รุ่นน้องถ้าใครทำผิดก็ต้องโดนลงโทษร่วมกันส่วนคนที่ตัดสินบทลงโทษคือพี่กันย์ เชิญครับ” พี่ดิวพูดจบพี่หน้าหวานคนหนึ่งก็ก้าวขึ้นมาด้านหน้า ใบหน้าพี่เขาหวานสวยแบบผู้หญิง จะต่างจากผู้หญิงนิดหน่อยก็ตรงที่พี่เขาสูงและตัวใหญ่กว่าผู้หญิงแค่นั้นเอง
“สวัสดีน้องใหม่ทุกคน พี่ชื่อกันย์นะ การลงโทษของพี่ถึงแม้จะดูโหดร้ายแต่ก็เป็นที่ยอมรับในคณะและพี่ก็หวังให้ทุกคนยอมรับเช่นเดียวกันนะ” พี่กันย์พูดพร้อมรอยยิ้มหวานพรั่งพราย ผมและทุกคนถึงกับเคลิ้ม
“อย่าหลงไปกับรอยยิ้มแบบนั้นเชียว” เสียงกระซิบของพี่โทชิทำให้ผมได้สติ ผมหันมองพี่โทชิอย่างสงสัยแต่พี่โทชิก็ไม่ได้ตอบอะไรมากกว่านั้น
“บทลงโทษของพี่ที่มีให้สองคนนี้คือสปาเก็ตตี้มรณะ ชื่ออาจดูธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดาอย่างชื่อแน่นอน” พี่กันย์ยิ้มอีกแล้ว
“พี่โทชิฮะเราจะโดนลงโทษอะไรอ่ะ” ผมถามพี่โทชิที่สายหน้ามาเป็นคำตอบให้ผมแล้ว เวรกรรมไอติม ขนาดรุ่นพี่ยังไม่รู้ ตูตายแน่เลย
“บทลงโทษของพี่คือการให้รุ่นพี่และรุ่นน้องคาบเส้นสปาเก็ตตี้เส้นเดียวกันไว้ในปากแล้วค่อยๆคลานลอดใต้โต๊ะไปจนถึงโต๊ะสุดท้ายของตึก เมื่อถึงโต๊ะสุดท้ายก็ลุกขึ้นไปนอนทับกันบนโต๊ะแล้วกินเส้นสปาเก็ตตี้ที่อยู่ในหมดเป็นอันจบแต่ถ้าเส้นสปาเก็ตตี้ขาดก่อนเกมจบพี่จะให้วิ่งรอบสนามฟุตบอลจนกว่าเราจะเลิก” ผมฟังพี่กันย์พูดจนจบก็ดูจะไม่ได้ยากอะไรมากแต่พอมากแต่พอมาเห็นเส้นสปาเก็ตตี่เท่านั้นแหละ ถ้ามันจะสั้นขนาดนี้ให้ผมเดินจูบปากกับพี่โทชิไปเลยจะง่ายกว่ามั๊ย
ผมกับพี่โทชิต่างพูดไม่ออกได้แต่ทำตามบทลงโทษไปเรื่อยๆ แรกมันก็ดีหรอกนะแต่ทำไมไปๆมาๆเส้นมันสั้นลงว่ะ ผมอุส่าแค่อมไว้เฉยๆแล้วนะ ผมมองหน้าพี่โทชิก็เห็นร่างสูงตรงหน้ากำลังกินเส้นสปาเก็ตตี้เข้าไปเรื่อยๆ จนหน้าเราใกล้กันจนน่าหวาดเสีย ยิ่งสปาเก็ตตี้ใกล้หมดผมก็ยิ่งรีบ ในที่สุดเราก็มาถึงโต๊ะสุดท้ายพี่โทชิขึ้นไปนั่งบนโต๊ะโดยมีผมนั่งคร่อมพี่เขาอยู่ ร่างสูงค่อยเอนตัวนอนลงช้าๆ และก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านั้น
“โทชิโอะ!!!”
ฝากติดตามด้วยค่ะ
“ทำไมถึงพึ่งกลับบ้าน” โชถามผมเสียงเข้ม
“ใครบอกติมพึ่งกลับ ติมกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ผมพูดพร้อมตีหน้าใสซื่อเพื่อให้โชเชื่อแต่ดูจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่เพราะสีหน้าของโชยังนิ่งขึงเหมือนเดิม
“แล้วทำไมถึงอยู่ชุดเดิม แถมยังทำตัวลับๆ ล่อๆ อีก” โชถามผมอีก น้ำเสียงงี้เข้มจนน่ากลัวแต่มีหรือคนอย่างไอติมจะกลัว ไม่แน่นอน
“ติมขี้เกียจอาบน้ำอ่ะ เมื่อคืนกลับดึกถึงก็นอนเลยพอเช้าตื่นมาติมก็ไปซื้อน้ำเต้าหู้มาให้โชเป็นอาหารเช้าอ่ะ แต่กลัวโชยังไม่ตื่นก็เลยพยายามทำอะไรให้เบาเสียงหน่ะ ติมผิดด้วยหรอ” ผมตีหน้าเศร้าสลดหดหู่ น่าสงสารถึงแม้ความจริงสีข้างจะถลอกเป็นแนวแล้วก็ตาม
“ไหนน้ำเต้าหู้” โชลดน้ำเสียงลง ผมยกน้ำเต้าหู้โชว์ให้โชดูพร้อมยังตีหน้าเศร้าต่อไป
ไอติมเดินเอาน้ำเต้าหู้ไปวางไว้ที่โต๊ะแล้วแกล้งเดินเข้าห้องของตัวเองปล่อยโชมองตามอย่างโทษตัวเองที่ไม่ไว้ใจไอติมแต่หารู้ไม่ว่าหลังประตูบานนั้นร่างบางของไอติมกำลังกระโดดโลดเต้น ดี้ด้าจนน่าหมันไส้
ผมอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปวิทยาลัยในวันแรก ผมเป็นเฟรชชี่ของคณะบริหารธุรกิจขณะที่ได้ขึ้นชื่อว่าพี่ว๊ากโคตะระโหดแถมหน้าตายังเลวร้ายสุดๆ ซึ่งงานนี้ผมต้องระวังตัวอย่างเต็มในเรื่องนิสัยซึ่งทุกคนไม่ต้องชมผมหรอกครับ ผมรู้ตัว อิอิ
“ติมเสร็จหรือยัง จะได้กินข้าวเดี๋ยวสายกันพอดี” เสียงตะโกนของโชดังเขามาในห้องผม
“จ้าๆ ติมไปแล้ว” ผมรีบวิ่งออกไปกินข้าวพร้อมกับโชทันที ทุกคนฟังอาจจะคิดว่าผมกับโชเป็นแฟนกันแต่ความจริงหาใช่เช่นนั้นไม่ ผมกับโชเป็นเพื่อนที่รักกันมากรักจนตายแทนกันได้ เราห่วงกันในทุกเรื่องดูแลกันในทุกอย่าง ถึงส่วนมากโชจะเป็นฝ่ายดูแลผมมากกว่าก็ตามเพราะผมเป็นคนเอาแต่ใจทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ค่อยสนใจคนรอบข้างจนดูเหมือนเห็นแก่ตัวแล้วผมผิดเหรอ ก็ผมถูกเลี้ยงมาแบบนี้นี่นา แต่ช่างมันเถอะตอนนี้ผมหิวมากกกกก
“อร่อยมั๊ย” โชถามในขณะที่ข้าวยังเต็มปากผมอยู่
“อาอ่อยอิ” ผมอ้อนพร้อมโอบเอวโชไว้
“ถ้าอร่อยก็รีบกิน เดี๋ยวสาย” โชพูดแบบดุๆ ใส่ผม
เมื่อกินเสร็จผมก็ทำหน้าที่สารถีขับรถมินิคูเปอร์คู่ใจโดยมีโชนั่งมาด้วย ในรถผมเปิดแอร์เย็นช่ำเนื่องจากตัวผมเองยังไม่สามารถปรับตัวกับอากาศร้อนของประเทศไทยถึงแม้หน้านี้จะไม่ร้อนมากก็ตามทีแถมบรรยากาศรถติดของประเทศนี้ยังชวนให้อารมณ์เสียได้ง่ายด้วย ผมเลยยิ่งต้องหาตัวช่วย
ผมนั่งเคาะพวงมาลัยเล่นในระหว่างรอติดไฟแดง ส่วนโชก็หลับคอพับไปแล้ว สงสัยเมื่อคืนรอผมกลับบ้านจนดึกเลยง่วงแบบนี้ วันนี้เรามีรับน้องกันเกือบทั้งวันเพราะเป็นธรรมเนียมของคณะซึ่งถึงผมจะเป็นเด็กเส้นแค่ไหนแต่ก็ไม่อยากทำตัวเด่นนัก จึงต้องจำทนไปพบรุ่นพี่ซะหน่อย หลังจากรอไฟแดงจนเกือบหลับไปหลายรอบผมก็ขับรถถึงวิทยาลัย โชทำท่างัวเงียเมื่อรู้สึกว่ารถหยุดลง
“เฮ้อ ในที่สุดก็ถึง” โชทำท่าเหนื่อยซะเต็มที่ทั้งที่ตัวเองหลับมาตลอดทาง คนที่ควรง่วงมันควรเป็นผมไม่ใช่เหรอ
ผมล็อกรถก่อนจะเดินตามโชไป ช่วงเช้าเราก็ไม่มีอะไรมากแค่นั่งฟังอาจารย์แนะนำเรื่องเรียนนิดหน่อยก่อนจะปล่อยพวกผมให้มาผจญเวรผจญกรรมกับพวกพี่ว๊ากที่รอเชือดพวกผมอยู่
“โชว่าพี่ว๊ากจะหน้าเป็นไง” ผมถามระหว่างที่เรานั่งรอพวกรุ่นพี่กันอยู่ที่จุดนัดใต้ตึก
“ไม่รู้สิ ก็คงหน้าโหดๆ ล่ะมั้ง” โชพูดยักไหล่
“ไม่อ่ะ ติมว่าไม่โหดอย่างเดียวต้องเหี้ยด้วยแน่นอน ไม่งั้นคงไม่ได้รับการกล่าวขานขนาดนั้นหรอก” ผมพูดในขณะที่เสียงรอบข้างเริ่มเงียบลง
“งั้นเหรอ” เสียงเข้มดังขึ้นด้านหลังผม
“ก็ใช่อ่ะดิ” ผมตอบไป ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวตอนที่โชสะกิดให้หันมองที่ด้านหลัง และผมก็พบกับ....
พระเจ้า!!! นี่คนหรือยักษ์ครับเนี่ย ทำไมถึงได้สูงได้ขนาดนี้แถมยังตัวใหญ่อย่างกับยักษ์แน่ะ ยิ่งหน้าตาที่ทำอยู่ตอนนี้นะ น่าสยองว่ะ
“ชื่ออะไร” รุ่นพี่หน้ายักษ์ถามผมเสียงเข้มถึงแม้จะทำหน้าเคลิ้มตอนเห็นหน้าผมก็ตาม อ้อ แล้วไม่ต้องชมว่าผมฉลาดที่รู้ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ ก็เล่นแขวนโซ่ เอ้ย ป้ายคล้องคอที่เขียนชื่อตัวบร่ะเอ๊กขนาดนั้นไม่รู้ก็แปลกแล้ว
“กฤษดีฮะ” ผมตอบเสียงแผ่ว พยายามก้มหน้าก้มตา
“อะไรน่ะ!!” ไอ้พี่หน้ายักษ์ตะคอกลั่น ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามันจะตะโกนทำซากอะไร ตรูก็ยืนอยู่แค่นี้
“กฤษดีฮะ” ผมตอบเสียงดังขึ้นมาหน่อย
“นายกฤษดี มายืนข้างหน้า” พี่หัวส้มที่ยืนอยู่ด้านหน้าตะโกนเรียกชื่อผม
ผมเดินออกไปยืนข้างหน้าตามคำสั่งพี่หัวส้มอย่างจำใจและจำทน เมื่อถึงด้านหน้าไอ้พี่หัวสมก็มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะมองไล่ขึ้นมาอีกที ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าพี่แม่งจะมองทำซากอะไรไม่ทราบ
“น้องใส่ชุดผิดป่ะว่ะ เป็นผู้หญิงก็ควรจะใส่ชุดผู้หญิงดี ใส่ชุดผู้ชายทำไมว่ะ” พี่แว่นอีกคนถามผมในขณะที่ไอ้พี่หัวส้มก็ยังมองผมอยู่ นี่ผมเตะรุ่นพี่จะผิดป่ะ บังอาจมาว่าผู้ชายหล่อๆ(เหรอ)อย่างผมเป็นผู้หญิง
“พี่ก็เข้าใจนะว่าคณะเราผู้ชายมันเยอะกว่าผู้หญิง ถึงน้องจะเป็นผู้หญิงแต่พวกพี่ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ ใส่ชุดผู้หญิงก็ได้ พวกพี่จะได้มีอาหารตาด้วยเพราะไอ้สองรุ่นก่อนหน้ารุ่นเรามันไม่มีผู้หญิงเลยว่ะ” พี่หัวส้มพูดสมทบอีกแต่เหมือนพูดลอยๆ เหมือนบอกเล่า
“เออ จริงว่ะ พี่ว่าน้องใส่ชุดประจำเพศตัวเองเถอะแล้วเรื่องที่พูดเมื่อกี้ พี่จะไม่ลงโทษ” ไอ้พี่ยักษ์มันพูดซึ่งทำให้ไอติมว่าแวววาวได้เลยครับ
“ลดจริงเหรอพี่” ผมพูดเสียงปกติกับไอ้พี่ยักษ์ที่กำลังทำท่าเคลิบเคลิ้มเหลือเกิน
“จ้ะ” แหม ตอบซะเสียงเพราะเชียวนะไอ้พี่ยักษ์ ที่เมื่อกี้จะกินหัวตูอยู่เลย
“พี่พูดแล้วไม่คืนคำนะ พวกพี่ด้วยเปล่า รับปากมาก่อน” ผมพูดเสียงอ่อนลงนิดนึง
“เออ ในฐานะประธานว๊ากพี่รับปาก” ไอ้พี่แว่นพูด ที่นี้ก็เข้าทางไอติมสิครับ
ผมฉีกยิ้มหวานหยดให้พวกรุ่นพี่ทั้งหลาย ก่อนจะค่อยๆแกะกระดุกเสื้อนักศึกษาของตัวเองออกมาทีละเม็ด พวกรุ่นพี่รุ่นน้องกลืนน้ำลายกันอย่างคาดหวัง นี่ไม่คิดจะห้ามกันเลยใช่มั๊ย แต่ก่อนที่กระดุมทั้งหมดจะโดนแกะออก รุ่นพี่คนหนึ่งก็เข้ามาห้ามผมไว้ซะก่อน
“พอแล้ว” รุ่นพี่คนนั้นจับมือผมไว้แล้วลากออกไปจากใต้ตึกของคณะ ผมเองก็เดินตามเขาออกมาอย่างงง
“เฮ้ย นั้นมึงจะลากน้องเขาไปไหน มึงมีแฟนแล้วนะเว้ย เหลือไว้ให้พวกกูบ้าง” ผมได้ยินเสียงจากพี่แว่นดังไล่หลังมา
ร่างสูงตรงหน้าผมหยุดชะงักเล่นเอาผมเบรกไม่ทันเลยชนเข้ากับแผ่นหลังของพี่เขาเข้า เขาหันมามองผมด้วยสายตาที่ เอ่อ บรรยายไม่ถูกอ่ะ ผมรู้สึกขนลุกและก็กลัวเขาแปลกๆ เขาเงียบไม่พูดจ้องผมอยู่แบบนั้นจนตัวผมเองที่เริ่มทนไม่ไหว
“เอ่อ พี่มีอะไรกับผมหรือเปล่าฮะ” ผมถาม
“ทำไมถึงออกมาไม่บอก” คำถามของเขาทำให้ผมนิ่งไปเล็กน้อย ใบหน้าของรุ่นพี่คนนี้ดูฉุนจัด
“เรารู้จักกันเหรอฮะ” ผมถามเขากลับ ซึ่งทันทีที่พูดจบผมก็โดนเขากระชากเข้าหาอกแกร่ง
“รู้จักเหรอ” เขากัดฟันกรอดอย่างระงับอารมณ์ ที่ดูจะไม่ได้ช่วยอะไร
“ปล่อยเถอะฮะ ผมเจ็บแขน” ผมร้องบอก รู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนกระดูกจะร้าวจากแรงบีบของร่างสูง
“ขอโทษ” พี่เขาดูสงบขึ้นเมื่อเห็นรอยแดงที่แขนของผม ก่อนจะก้มหน้าลงเป่าที่แขนราวกับผมเป็นเด็กเล็กแต่ก็ทำให้ผมเผลอยิ้มการกระทำของพี่เขา จนลืมสิ่งที่เขาทำไว้
“ไม่เป็นฮะ ไม่เจ็บแล้ว” ผมยิ้มให้พี่เขา
“เดี๋ยวไปซื้อยามาไว้ทาด้วย จะได้ไม่ช้ำ เข้าใจนะ” พี่เขาทำหน้าดุใส่ผมเหมือนเวลาผู้ใหญ่กำชับเด็กให้เชื่อฟัง ซึ่งเท่าที่เห็น ผมว่าไม่มีเด็กคนไหนเชื่อฟังพี่เขาแน่
“ฮะ รุ่นพี่” ผมรับปากเป็นหมั่นเป็นเหมาะทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่ทำแน่
“เฮ้อ ชื่ออะไรล่ะเรา” พี่เขาถอนหายใจ
“ไอติมฮะ” ผมตอบยิ้มๆ
“อืม พี่ชื่อโทชิโอะ เรียกพี่โทชิก็ได้ แล้วก็น่ะ...” พี่โทชิพูดเว้นช่วงก่อนจะก้มหน้ามาใกล้ผม “อย่าไปยิ้มแบบนี้ให้ใครอีก เข้าใจมั๊ย” พี่โทชิพูดเหมือนสั่งให้ทำตาม ระยะห่างระหว่างผมกับพี่โทชิทำให้ผมทำได้แค่พยักหน้าหงึกๆ
พี่โทชิให้ผม มือหนายกลูบหัวผมไปมาอย่างเอ็นดูก่อนที่จะพาผมกลับไปรวมกับกลุ่มเพื่อนที่ผจญกับพี่ว๊ากอยู่ ทันทีที่ไปถึงไอ้พี่หัวส้มหรือพี่กัสก็เริ่มกัดผมตามชื่อทันที
“ไงมึง ได้กันไปกี่น้ำล่ะ” พี่โทชิชูนิ้วกลางให้พี่กัส แล้วเดินมาส่งผมยังที่นั่งแต่ก็เหมือนกรรมบัง ผมกำลังจะนั่งพี่แว่นหรือพี่ดิวก็เดินมาลากผมออกไปยืนหน้าแถวอีก อะไรกับตูนักว่ะ
“ใครให้เรานั่ง” พี่ดิวพูดเสียงเหี้ยม
ผมไม่ตอบแต่ชี้ไปทางตัวการแทน การโบ้ยของผมทำให้พี่โทชิสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ เอามือขยี้หัวผมอย่างหมันเขี้ยวแล้วหันไปคุยกับพี่ดิว
“กูเอง”
“เออดี ในเมื่อมึงยอมรับก็คงต้องรับโทษร่วมกับน้องมัน” พี่ดิวพูดพร้อมกับหันไปมองพวกปีหนึ่งที่นั่งอยู่ “พี่ให้น้องดูเป็นตัวอย่าง ไม่ว่ารุ่นพี่รุ่นน้องถ้าใครทำผิดก็ต้องโดนลงโทษร่วมกันส่วนคนที่ตัดสินบทลงโทษคือพี่กันย์ เชิญครับ” พี่ดิวพูดจบพี่หน้าหวานคนหนึ่งก็ก้าวขึ้นมาด้านหน้า ใบหน้าพี่เขาหวานสวยแบบผู้หญิง จะต่างจากผู้หญิงนิดหน่อยก็ตรงที่พี่เขาสูงและตัวใหญ่กว่าผู้หญิงแค่นั้นเอง
“สวัสดีน้องใหม่ทุกคน พี่ชื่อกันย์นะ การลงโทษของพี่ถึงแม้จะดูโหดร้ายแต่ก็เป็นที่ยอมรับในคณะและพี่ก็หวังให้ทุกคนยอมรับเช่นเดียวกันนะ” พี่กันย์พูดพร้อมรอยยิ้มหวานพรั่งพราย ผมและทุกคนถึงกับเคลิ้ม
“อย่าหลงไปกับรอยยิ้มแบบนั้นเชียว” เสียงกระซิบของพี่โทชิทำให้ผมได้สติ ผมหันมองพี่โทชิอย่างสงสัยแต่พี่โทชิก็ไม่ได้ตอบอะไรมากกว่านั้น
“บทลงโทษของพี่ที่มีให้สองคนนี้คือสปาเก็ตตี้มรณะ ชื่ออาจดูธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดาอย่างชื่อแน่นอน” พี่กันย์ยิ้มอีกแล้ว
“พี่โทชิฮะเราจะโดนลงโทษอะไรอ่ะ” ผมถามพี่โทชิที่สายหน้ามาเป็นคำตอบให้ผมแล้ว เวรกรรมไอติม ขนาดรุ่นพี่ยังไม่รู้ ตูตายแน่เลย
“บทลงโทษของพี่คือการให้รุ่นพี่และรุ่นน้องคาบเส้นสปาเก็ตตี้เส้นเดียวกันไว้ในปากแล้วค่อยๆคลานลอดใต้โต๊ะไปจนถึงโต๊ะสุดท้ายของตึก เมื่อถึงโต๊ะสุดท้ายก็ลุกขึ้นไปนอนทับกันบนโต๊ะแล้วกินเส้นสปาเก็ตตี้ที่อยู่ในหมดเป็นอันจบแต่ถ้าเส้นสปาเก็ตตี้ขาดก่อนเกมจบพี่จะให้วิ่งรอบสนามฟุตบอลจนกว่าเราจะเลิก” ผมฟังพี่กันย์พูดจนจบก็ดูจะไม่ได้ยากอะไรมากแต่พอมากแต่พอมาเห็นเส้นสปาเก็ตตี่เท่านั้นแหละ ถ้ามันจะสั้นขนาดนี้ให้ผมเดินจูบปากกับพี่โทชิไปเลยจะง่ายกว่ามั๊ย
ผมกับพี่โทชิต่างพูดไม่ออกได้แต่ทำตามบทลงโทษไปเรื่อยๆ แรกมันก็ดีหรอกนะแต่ทำไมไปๆมาๆเส้นมันสั้นลงว่ะ ผมอุส่าแค่อมไว้เฉยๆแล้วนะ ผมมองหน้าพี่โทชิก็เห็นร่างสูงตรงหน้ากำลังกินเส้นสปาเก็ตตี้เข้าไปเรื่อยๆ จนหน้าเราใกล้กันจนน่าหวาดเสีย ยิ่งสปาเก็ตตี้ใกล้หมดผมก็ยิ่งรีบ ในที่สุดเราก็มาถึงโต๊ะสุดท้ายพี่โทชิขึ้นไปนั่งบนโต๊ะโดยมีผมนั่งคร่อมพี่เขาอยู่ ร่างสูงค่อยเอนตัวนอนลงช้าๆ และก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านั้น
“โทชิโอะ!!!”
ฝากติดตามด้วยค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ