The last Blood.สายเลือด นิทรา [BL , Yaoi]
เขียนโดย เฟรล่าฟลอเร
วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 18.47 น.
แก้ไขเมื่อ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
9)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“บะ - หมี่”
“บาร์มี่?”
“บะ – หมี่”
“บาร์บี้?”
“บะ – หมี่”
“บาร์บี๋?”
เพลินดีแท้ๆ
ฮิโรชินั่งเท้าคางอยู่บนเก้าอี้ของร้านขายบะหมี่แผงลอยริมทาง หลังจากเขาจัดการส่วนของตนเองในถ้วยกระดาษไปนานกว่าสามชั่วโมงแล้ว ครูศิษย์ฝึกภาษายังนั่งหัดกันไม่เลิก หรือจะเรียกได้ว่าคนที่ยื้อไว้คือเถ้าแก่ของร้านเสียมากกว่า ตอนนี้บะหมี่ในถ้วยของทริสทรี่ทั้งชืดทั้งอืดและเย็น แต่เขายังคงนั่งออกเสียงอยู่อย่างนั้นด้วยความฉงนใจว่าศัพท์นั่นมันออกยังไงกันแน่
อย่างไรก็ดี หลังจากเห็นลูกค้าลิ้นเพี้ยนหมดแรง เถ้าแก่ตัดสินใจหอบความพ่ายแพ้กลับไป พร้อมอภินทนาการด้วยบะหมี่ถ้วยใหม่แทนถ้วยเดิมที่อืดไปโดยไม่คิดมูลค่าส่วนต่างแต่อย่างใด เพราะรู้ดีว่าเป็นเพราะชั้นเรียนล่วงเวลาของเขาทำให้บะหมี่ในถ้วยชืดไปหมดแล้ว
"อร่อย" ทริสทรี่มองอาหารประเภทเส้นในถ้วยกระดาษสำหรับเดินรับประทานด้วยสีหน้าทึ่งๆ บรรจุภัณฑ์ดูสร้างขึ้นจากวัสดุง่ายๆ แต่กลับใช้การได้ดี รสชาติก็เยี่ยมยอด แถมราคายังดูซื้อง่านขายคล่อง เขาอาจไม่รู้จักค่าเงินของสมัยนี้หรือสมัยไหนๆ แต่ถ้าเทียบกับราคาของภัตตาคารหลายๆ แห่งแล้ว บะหมี่ถ้วยกระดาษทรงเหลี่ยมนี้น่าจะถูกมากเลยทีเดียว
ฮิโรชิเดินเล็มสายไหมอยู่ข้างกัน คนข้างกายจะรู้ไหมหนอว่าท่าทางสุดจะทึ่งนั้นช่างน่ารักเสียยิ่งกว่าอะไร
แต่กว่าจะรู้ว่าตนพิศมองร่างนั้นนานเกินไป เขาก็เดินมาถึงจุดที่ไม่น่าจะเป็นเส้นทางสู่ร้านทาร์ตไข่เจ้าดังที่หวังไว้เสียแล้ว ถึงจะยังมีนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ก็เถอะ แต่มันเป็นแค่คำยืนยันว่าพวกเขายังไม่หลุดออกจากพื้นที่ของย่านกลางคืนแห่งนี้เท่านั้นเอง
ทริสทรี่เหลือบมองเขา "มีอะไรหรือ ทำไม่ดูเจ้าดูมึนงงแปลกๆ?"
"ไม่แปลกหรอก พอดีนึกอะไรขึ้นมาได้นิดหน่อย" ฮิโรชิไหลตามน้ำพลางปฏิญาณกับตนเองว่าจะไม่มีวันยอมให้ร่างงามข้างกายรู้เป็นอันขาดว่าเขาเป็นไกด์ที่ไม่ได้เรื่อง "เราเดินไปตามทางนี้ก็น่าจะถึงแล้วล่ะ เธอเมื่อยแล้วหรือ"
ทริสทรี่สั่นศีรษะ ยังไงกำลังของแวมไพร์ก็มีมากกว่ามนุษย์อยู่หลายเท่า ต่อให้เดินนานกว่านี้ก็ไม่มีทางหมดแรง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินผ่านมาถึงหน้าร้านแห่งหนึ่ง แสงสีขาวสว่างจ้าเรียกความสนใจจากเขาได้ชั่วขณะ ด้วยอาณาเขตของหน้าร้านที่กว้างกว่าร้านทั่วไปถึงสองห้อง และแสงสว่างที่ประดับด้วยไฟมากกว่าปกติเพื่อดึงดูดความสนใจและใช้ตกแต่งให้ตัวร้านและชุดเสื้อผ้าดูโดดเด่น เขาหยุดยืนมองชุดแต่งงานสีขาวของเจ้าสาวที่สวมหุ่นโชว์อยู่
"Wedding Shop น่ะ ร้านขายพวกชุดแต่งงานกับอุปกรณ์สำหรับงานวิวาห์ไง แบบชุดสวยๆ ทั้งนั้นเลยเนอะ สนใจไหม ทริสที่ที่รัก"
เขาไม่เคยหรือรู้จักงานวิวาห์ด้วยตนเองจริงๆ แต่อายาซาชิเคยเล่าเกี่ยวกับมันอยู่เหมือนกัน รูปแบบเสื้อผ้าดูต่างจากที่เขาเคยดูภาพวาดพอสมควร ไหนจะผ้าคลุมศีรษะโปร่งบาง ไหนจะชุดที่ดูยังไงก็แตกต่างจากแบบญี่ปุ่น เขาใช้ความคิดทวนไปทวนมา ก่อนจะสรุปได้ว่าต่างสถานที่ต่างวัฒนธรรม งานวิวาห์ก็อาจมีรูปแบบต่างกันออกไป
อายาซาชิเคยเล่าให้ฟังว่าทุกคนล้วนมองงานแต่งงานว่าเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญ มันคือเครื่องหมายแห่งการสมหวังในรัก โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่มักจะปรารถนาให้ตนในชุดวิวาห์นั้นงดงามที่สุดสำหรับเจ้าบ่าว
ฮิโรชิอดคิดไม่ได้ว่าการหลงทางครั้งนี้อาจเป็นคำอวยพรจากวีนัส เพื่อให้ทริสทรี่ได้พบสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน มันอาจเป็นสัญญาณว่าอีกไม่ช้า เขาจะได้แวมไพร์ร่างงามในชุดวิวาห์สีขาวมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในปราสาทที่มีเพียงพวกเขาสองคน และจะไม่มีวันที่ใครถูกพรากไปได้อีกตลอดกาล
ทั้งที่มันควรจะเป็นอย่างนั้นแท้ๆ...
"ข้านึกว่าผู้หญิงจะชอบชุดเสื้อผ้าฟู่ฟ่าเสียอีก วาเลนเซียตัดชุดใหม่ฉลองในวันเกิดของนางทุกปี การออกแบบดูหรูหราซับซ้อนกว่านี้มากเลย"
ฮิโรชิแทบสะดุดล้ม จะว่าไปแล้ว แบบชุดเสื้อผ้าของผู้คนเมื่อหลายร้อยปีก่อน มักมีดีไซน์ที่ต้องใช้ผ้าและการตกแต่งที่เพริศแพร้ว ผิดกับแฟชั่นยุคปัจจุบันที่นิยมการสวมเสื้อผ้าคล่องตัวยิ่งขึ้นเพื่อปรับใช้ต่อชีวิตที่เร่งเร็วกว่าเดิม รูปแบบและดีไซน์จึงถูกปรับให้มีความฟู่ฟ่าน้อยลง แต่วาเลนเซียคนนั้นคือหญิงสาวผู้มีชีวิตอยู่ในสมัยแห่งความตระกาลตา ชุดเสื้อผ้าในวันพิเศษของเธอคงให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ไม่เบา
เมื่อลองนึกภาพชุดสตรีในยุคศตวรรษที่สิบเจ็ดมาเทียบกับชุดวิวาห์ในปัจจุบัน ถึงชุดสีขาวในร้านกระจกนั้นจะงดงาม แต่ความงามของมันคงไม่อาจสร้างความรู้สึกหรูหราได้เท่าเทียมเลยเมื่อเทียบกัน
ฮิโรชิกระแอมเรียกสติตนเล็กน้อย เขากุมมืออีกฝ่ายด้วยสายตาเปี่ยมความหมาย "แต่มันดูดีใช่ไหมล่ะ ทริสทรี่ที่รัก ฉันปรารถนาจะได้สวมกอดเธอในงานวิวาห์ของเรา เธอและฉันอยู่ในชุดสีขาวแห่งความรักอันแสนบริสุทธิ์"
ทริสทรี่กล่าวจากใจจริงโดยไม่คิดยอกย้อนใดๆ "แต่ข้าชอบสีดำนะ"
ฮิโรชิไม่อยากพูดว่าความคิดเขาสะดุดล้มเป็นครั้งที่สอง
"แล้วถ้าเราแต่งงานกันจริงๆ ใครจะเป็นคนสวมชุดเจ้าสาวเล่า ในงานวิวาห์ต้องมีเจ้าบ่าวและเจ้าสาวไม่ใช่หรือ" ทริสทรี่ไม่คิดจะแย้งความเพ้อฝันของคนข้างกาย เพราะพบพานกับมันจนชิน แต่สิ่งที่เขาถามคือข้อสงสัยที่ใคร่รู้มาจากใจจริงๆ อายาซาชิเคยกล่าวเอาไว้ว่าไม่มีงานวิวาห์ไหนที่มีเพียงเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวเพียงเพศเดียว
ฮิโรชิพยักหน้าเป็นมั่นเป็นเหมาะ "ก็ต้องเธอน่ะสิ"
ทริสทรี่ขมวดคิ้ว "ข้าไม่ชอบใส่ชุดสตรี ข้าไม่ใช่ผู้หญิงเหมือนวาเลนเซีย และข้าก็ไม่ชอบสวมอะไรยุ่งยากเหมือนนางด้วย"
"เอ่อ...แต่ฉันก็ไม่ใส่เหมือนกัน" ฮิโรชิหมดแรง ความฝันเขาต้องมาสะดุดด้วยเรื่องชุดเสื้อผ้าหรือนี่ "เธอไม่คิดทบทวนดูอีกทีรึ เราน่าจะหาชุดที่เรียบง่ายกว่านี้ได้นะ อย่างนั่นไง! ชุดในร้านตรงนั้นไง! แบบมันเรียบง่าย ท่าทางจะใส่เข้าน่าจะสบาย ถอดออกคงง่าย เข้าห้องน้ำก็ไม่ยุ่งยาก หรือจะสั่งตัดชุดใหม่สำหรับเธอเป็นพิเศษเลยก็ได้ เราจะประดับด้วยอัญมณีอย่างเพชรกับคริสตัลเย็บมือ ชุดของเธอจะเป็นชุดที่ผู้หญิงทั้งโลกต้องใฝ่ฝันถึง รับรองว่าไม่มีใครในงานที่ไม่ชื่นชมมันหรอก..."
กว่าจะนึกได้ว่าตนยังไม่ใช่เจ้าบ่าวและเซลล์ขายชุดแต่งงาน ทริสทรี่ก็มองด้วยสายตาอึ้งๆ เสียแล้ว
แวมไพร์ร่างงามทบทวนอยู่ในใจ เขาควรจะคิดว่าตนเองเพิ่งถูกขอแต่งงาน หรือคิดว่าอีกฝ่ายจินตนาการไกลเกินไปจนเป็นห่วงอนาคตที่ไม่มีวันมาถึงกันแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขายืนกรานกับตัวเองในใจว่าจะไม่มีวันใส่ชุดแบบผู้หญิงเด็ดขาด การวิวาห์อาจเป็นเครื่องประกาศความรักระหว่างคนสองคนได้ดีที่สุด แต่เขาอยู่กับชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องประกาศสิ่งใดให้โลกรู้ ชุดสีขาวในร้านกระจกนั่นจึงไร้ค่าโดยสิ้นเชิง
เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดกว่าเดิม “ข้าไม่ชอบชุดสตรีจริงๆ ข้าคงรังเกียจตนเองหากต้องสวมมันเข้าไป”
ฮิโรชิรู้สึกเหมือนคนที่โดนปฏิเสธการแต่งงานก็มิปาน เขามองไปยังชุดสีขาวนั้นเหมือนมันคือคำตอบรับ “เธอจะไม่คิดดูอีกทีหรือ ฉันอยากให้เธอสวมชุดนั้นจริงๆ นะ ฉันได้ยินเสียงระฆังวิวาห์เลยล่ะ เธอในชุดเจ้าสาวต้องสวยงามมากแน่ๆ เลย และทุกคนจะได้รู้ว่าเธอเป็นของฉัน เป็นเจ้าสาวของฉัน เป็นเจ้าสาวของฉันเพียงผู้เดียวเท่านั้น...”
“เจ้าสนใจในเรื่องนั้น โดยไม่ได้ยินว่าความต้องการของข้าเลยหรือ”
ทริสทรี่มองคนที่ตอนนี้กำลังมองชุดดีไซน์เรียบง่ายชุดนั้นด้วยความจริงจัง แม้จะไม่ใช่อายาซาชิ แต่เขาก็อยากจะถามในฐานะที่อีกฝ่ายอ้างว่าตนมีความรักให้อย่างล้นใจ
"ข้าไม่ชื่นชอบการสวมชุดกระโปรงเหมือนสตรี หากในหัวใจของเจ้าคือข้า เจ้าควรจะสนใจชุดวิวาห์ชุดนั้นที่ป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่าข้าเป็นของเจ้า หรือเจ้าควรสนใจว่าสิ่งใดที่ข้าต้องการกันแน่ และเช่นเดียวกัน เจ้ามองข้าในฐานะสตรี หรือเจ้ามองข้าที่เป็นตัวตนของข้ากันแน่” ทริสทรี่ลูดลมหายใจเข้าลึกๆ เว้นวรรคเล็กน้อย “คำถามนี้ ข้าอยากให้เจ้าตอบออกมาจากหัวใจของตนเอง ‘ฮิโรชิ’ "
บุคคลที่ถูกเรียกชื่อถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง เสมือนมันได้กระซิบปลุกบางอย่างขึ้นในความเงียบงัน
เขาเอื้อมมาจับเรียวมือนั้นด้วยสีหน้าสำนึกผิด "ฉันขอโทษ"
เงาวูบวาบที่ฉายอยู่หน้าร้านมาพักใหญ่เริ่มออกเคลื่อนไหวอีกครั้ง ท่ามกลางผู้คนและความคึกครื้นของย่านกลางคืน เสียงเรียกนามนั้นยังคงก้องอยู่ในหูของคนที่ออกเดินแม้จะผ่านมานานหลายวินาที ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน ทั้งที่เป็นเสียงเรียกแห่งคำตำหนิแท้ๆ แต่เขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ทั้งอบอุ่น ทั้งดีใจ ทั้งซาบซึ้ง ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรที่เขาเข้าใจเลยสักนิด...
บุคคลผู้ไม่อาจหาเหตุผลของความรู้สึกได้ เอ่ยขึ้นช้าๆ เหมือนเด็กที่กำลังฉงนว่าตนพบกับอะไรอยู่ แต่สิ่งนั้นสร้างความสุขอย่างมากล้นจนไม่อาจละออกไปได้
"นี่...เรียกชื่อฉันอีกได้ไหม...ตอนที่เธอเรียกชื่อฉันน่ะ มันรู้สึกดีจัง...ดีอย่างบอกไม่ถูกเลย"
ทริสทรี่สัมผัสได้ถึงฝ่ามืออบอุ่นที่ผสานกับตนไว้อย่างแน่นหนา หากแต่ความรู้สึกที่ส่งผ่านฝ่ามือนั้นมากลับมีเพียงความสบายใจระคนความตื่นเต้นเสมือนคู่รักที่กำลังออกเดตครั้งแรก มากกว่าจะมีไว้เพื่อกักขังมิให้หนีไปไหนอย่างที่เคย อาจเป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้น้ำเสียงหวานเอ่ยนามนั้นออกไปอีกครั้ง เรียกรอยยิ้มแห่งความสุขจากหัวใจเจ้าชื่อได้เป็นอย่างดี
นี่คงเป็นครั้งแรกที่ทริสทรี่มองว่าอีกฝ่ายไร้เดียงสากว่าตนมากมายนัก เพราะเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจนั้น ช่างแลดูง่ายดายสำหรับเขาเหลือเกิน
'...นั่นเพราะข้าเรียกนามของเจ้าในฐานะตัวเจ้าเองเป็นครั้งแรกอย่างไรเล่า...'
เดิมที การนั่งเฟิร์สคลาสคือความสุขของเด็กสาวจากหมู่บ้านชายป่า ผู้ซึ่งแสงสีและความหรูหราคือยอดปรารถนาสูงสุด แต่ในตอนนี้ เธอรู้สึกเหมือนพระผู้เป็นเจ้ากำลังมอบเฟิร์สคลาสให้เธอมากเกินไป
แต่ไม่ได้หมายความว่าเธออยากลงไปชั้นประหยัดหรอกนะ!
เมอยาสก้านั่งกอดอกหน้าบูดบึ้ง ระหว่างโดยสารเครื่องจากญี่ปุ่นบินตรงไปยังฮ่องกงเพื่อตามรอยวาเลนเซีย ซึ่งเธอได้ไต่ถามจุดหมายมาจากบรรดาเมดทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว โชคดีเหลือเกินที่ไม่ต้องทนรอไฟลท์นานเกินไป แต่นั่นหมายความว่าช่วงเวลาแห่งการอดทนให้จุดหมายมาถึงได้เวียนกลับมาอีกครั้ง
เธอตั้งท่าจะปฏิเสธเครื่องดื่มจากแอร์โฮสเตส ก่อนจะเปลี่ยนใจเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “เอาอะไรก็ได้ที่แรงๆ แก้เซ็ง แรงๆ เลยนะ ตอนนี้ฉันรู้สึกเซ็งสุดขีดเลยล่ะ”
เธออมยิ้มเมื่อนึกถึงฉากในภาพยนตร์ที่เคยดู
เมื่อออเดอร์เสร็จ เมอยาสก้าใช้สายตาส่องหาเป้าหมายรายใหม่ เที่ยวบินนี้ไม่ฟรีเพราะเธอมีเงินพอจะจ่ายเองแล้ว และเธอไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นแวมไพร์ตนแรกที่โดนจับได้หรอก ถ้าบินไปบินมาโดยไม่มีพาสปอร์ตหรือใช้เงินคนอื่นซื้อตั๋วมากเกินไป อาจโดยจับสังเกตได้ในสักวัน นั่นคงเป็นจุดจบที่ไม่สวยเลยสักนิด
เธอเล็งเศรษฐีท่าทางกระเป๋าหนักคนหนึ่งไว้ในใจ ถ้าเครื่องแลนดิ้งเมื่อไหร่ เงินสดเขาเสร็จเธอแน่
เธอยกเครื่องดื่มที่แอร์โฮสเตสยกมาเสิร์ฟด้วยอารมณ์ที่ดีมากขึ้น แต่เมื่อแวบแรกของรสสัมผัสกระทบปลายลิ้น เธอแทบสำลักความคุ้นเคยของมันเลยทีเดียว “น้ำอัดลม!?”
“ค่ะ” แอร์โฮสเตสกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฉันสั่ง ‘เครื่องดื่มแรงๆ’ นะ!”
“น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มแรงๆ ค่ะ” แอร์โฮสเตสอธิบายโดยคงรอยยิ้มนั้นไว้ดังเดิม “เครื่องดื่มแรงๆ...สำหรับท่านผู้โดยสารที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีค่ะ”
To be continue.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ