The last Blood.สายเลือด นิทรา [BL , Yaoi]
9.0
เขียนโดย เฟรล่าฟลอเร
วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 18.47 น.
24 ตอน
0 วิจารณ์
25.70K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
18)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“อา...ยา...ซาชิ?” ทริสทรี่หันไปมองคนข้างกาย “ฮิโรชิ ไหนเจ้าบอกว่าตัวเองคืออายาซาชิ แล้วทำไมน้องสาวเจ้าถึงได้...”
เสียงลั่นไกดังขึ้นท่ามกลางความงุนงงของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น กระสุนเฉียดปลายแก้มใสของฮิโรมิไปจนเกิดเป็นริ้วแผลขีดขึ้น
วาเลนเซียไม่รู้ว่าอะไรคือความจริงระหว่างสิ่งที่นายท่านของเธอรับรู้และคำพูดของเด็กหญิงที่เดินทางมาด้วยกันตลอดหลายวันนี้ แต่เธอตัดสินใจดึงร่างของฮิโรมิเข้ามาหลบด้านหลังตนเองอย่างรวดเร็ว ในเมื่อหาความจริงจากตัวพี่ชายไม่ได้ น้องสาวเขาย่อมเป็นกุญแจที่สองของเรื่องโกหกเรื่องนี้
เมอยาสก้าดูมาขวางหน้าวาเลนเซีย “ถ้านายคิดว่ายิงได้ก็ลองดู!”
แต่การกระทำของเด็กสาวหรือพวกเธอเหล่านั้นไม่อยู่ในความสนใจของฮิโรชิอีกต่อไป เมื่อเสียงเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินเข้ามาใกล้ เรียกรอยยิ้มพึงพอใจปนบ้าระห่ำให้ฉายบนใบหน้าหล่อเหลาได้เป็นอย่างดี เขารวบร่างที่ถูกคลุมด้วยผ้านวมผืนใหญ่เตรียมหนีไปด้วยกัน หากแต่แวมไพร์ร่างงามกลับพยายามต่อต้านอย่างถึงที่สุด
ทีแรก ทริสทรี่เข้าใจว่ามันเป็นแค่อัตตาของร่างกำเนิดใหม่ที่ต้องการยืนอยู่เหนือเงาแห่งอดีต แต่มันเป็นยิ่งกว่านั้น มันเป็นเพราะเงานั่นไม่ใช่ร่างจริงของฮิโรชิตั้งแต่ต้น!
ร่างบางส่งเสียงลอดออกมา “เจ้าไม่ใช่อายาซาชิ เจ้าหลอกข้า!”
“ทริสทรี่ที่รัก ถ้าเธอยังดื้ออีกแม้แต่นิดเดียว ฉันจะกดปุ่มระเบิดให้มันพังกันไปทั้งชั้น ทีนี้ไม่ว่าใครจะเป็นอายาซาชิคงไม่สำคัญ เธออยากให้เป็นแบบนั้นหรือเปล่า” น้ำเสียงจริงจังตอบกลับมาจากภายนอกของผ้านวม และจากการที่เขาเพิ่งยิงน้องสาวตัวเองไป มันทำให้น้ำหนักของคำพูดดูน่าเชื่อถือขึ้นมาหลายเท่าตัว
“ไม่นะ นายท่าน ถ้าเป็นแบบนั้นเรายังมีโอกาสรอด พวกเราแข็งแกร่งกว่ามนุษย์พวกนี้มาก!”
“จะบ้ารึไง! ระเบิดนะ ไม่ใช่แค่ลูกปืนเมื่อกี้นี้” เมอยาสก้าตะโกนแทรกขึ้นมา “ถ้าเป็นเธอก็ว่าไปอย่าง แต่ฉันไม่ยอมเสี่ยงโดนระเบิดเพราะแวมไพร์นั่นหรอกนะ!”
‘หึ...’
วาเลนเซียได้แต่ฟังเสียงใบพัดที่ดังกระหึ่มนั่นไกลออกไปเรื่อยๆ ด้วยความเจ็บใจ
แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือพวกเธอทุกคนโดนหลอก
ไม่มีระเบิดหรืออุปกรณ์ทำลายล้างใดๆ ในโรงแรมนี้ทั้งนั้น หลังเมอยาสก้าใช้อำนาจสะกดจิตสั่งคนที่ขึ้นมาตรวจสอบความเรียบร้อยหลังความอึกทึนลูกใหญ่ได้ผ่านพ้นไป แน่นอนว่าเรื่องนี้ยิ่งทำให้วาเลนเซียทวีความโมโหเป็นเท่าตัว พวกเธอนั่งกันอยู่ในห้องรับแขกส่วนห้องของฮิโรมิ โดยมีกาแฟที่เมอยาสก้าถือวิสาสะนำมาเสิร์ฟ แต่เธอกลับ ‘ลืม’ ใส่น้ำตาลลงในถ้วยของฮิโรมิราวกับจงใจ
ถึงจะเป็นแบบนั้น เด็กหญิงก็ไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย เธอนั่งพิงโซฟารับแขกด้วยความเหม่อลอยตั้งแต่ฮิโรชิจากไป แม้แต่พนักงานที่หิ้วกล่องปฐมพยาบาลขึ้นมายังอดพูดไม่ได้ว่าท่าทางของเธอดูแปลกๆ เสมือนคนที่อยู่ในสภาวะช็อกจากเหตุการณ์รุนแรง
เมอยาสก้าจิบกาแฟส่วนของตนอย่างสบายอารมณ์ “แหงล่ะ คนโดนยิงก็ช็อกทั้งนั้นแหละ เป็นฉัน ฉันก็ช็อกนะ ขนาดโดนพวกคนคุ้มกันของเธอไล่ตามยังตกใจแทบแย่เลย”
ไม่มีใครในห้องนี้ไม่รู้อยู่แก่ใจ บาดแผลที่ไม่ได้ร้ายแรงมิอาจทำให้จิตใจคนเรากระทบกระเทือนถึงขนาดนี้หรอก สิ่งสำคัญคือผู้ก่อเหตุ พวกเธอไม่รู้ว่าพี่น้องฮิโรคู่นี้มีความสัมพันธ์ที่ดีหรือแย่ปานใด แต่การที่เธอช็อกจากเหตุการณ์นี้ คงบอกได้กลายๆ ว่าฮิโรมิเชื่อใจว่าพี่ชายจะไม่มีวันทำร้ายตนเลย
แต่การให้พูดเรื่องนั้นออกมาตรงๆ เมอยาสก้าคิดว่าสั่งให้คนกระโดดจากตึกที่สูงที่สุดของประเทศนี้ลงไปทีละคนๆ ยังอึดอัดน้อยเสียกว่า
วาเลนเซียจับหน้าเธอให้หันมาประสานสายตากัน แม้เบื้องหลังดวงตาคู่นั้นจะว่างเปล่าเพียงไรก็ตาม “ฟังฉัน ฉันต้องการที่อยู่นายท่าน”
เมอยาสก้าปรบมือด้วยท่าทางรื่นเริง “สมเป็นวาเลนเซียเลย ในเวลาแบบนี้ยังต้องสนใจใครทำไม เรื่องของเรา จุดประสงค์ของเรา มันต้องมาเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว!”
ผู้ถูกชมจงใจปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นผ่านไปโดยไม่ใส่ใจ สิ่งเดียวที่เธอต้องการคือที่อยู่ของเจ้านาย แม้ฮิโรมิจะดูน่าสงสาร ความเห็นใจที่พึงจะได้รับกลับเหือดหายไปจากความคิดของวาเลนเซียตั้งแต่วินาทีที่เธอประกาศว่าตนเป็นใคร หญิงสาวไม่ทราบว่าฮิโรมิมีแผนอะไรถึงพูดไปแบบนั้นหรือเปล่า แต่ในเมื่อเธอกล่าวว่าตนคือบุคคลที่อ้างถึง เธอก็ควรได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับเขา
ความว่างเปล่ายังคงอยู่ เสมือนคำสั่งของวาเลนเซียมิได้แล่นเข้าสู่สมอง เธอนึกถึงคำพูดของฮิโรชิ หากเขาไม่ใช่อายาซาชิตัวจริง แต่ทราบว่าอะไรคือจุดอ่อนของพลัง คนที่น่าจะเป็นอายาซาชิตัวจริงคนนี้ก็น่าจะรู้เหมือนกัน
“ถ้าเป็นคอนแท็คเลนส์ล่ะก็ ฉันรู้จักนะ ฉันเองยังมีสีแดงเลย” เด็กสาวหัวเราะคิกๆ เมื่อพิจารณาดูว่าปฏิกิริยาของฮิโรมิไม่ได้มีอย่างที่มันควรจะเป็น “แต่ตอนนี้ฉันเป็นแวมไพร์โดยสมบูรณ์แล้ว ของแท้ไม่ต้องมีเทียม ว่างๆ กลับไปเอาชุดแฟนตาซีที่สะสมไว้มาใส่ดีกว่า”
วาเลนเซียหันมาทางเด็กสาว “จริงสิ ข้ายังไม่รู้เลยว่าตกลงเจ้ามาด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่ เอาชีวิตนางคงไม่ใช่ หรือว่าจะตามหาพี่ชายนาง?”
“แหวะ มนุษย์ มนุษย์นั่นน่ะนะ เธอเห็นฉันมีรสนิยมแย่ถึงขั้นลดตัวมาไล่ตามมนุษย์จริงๆ น่ะหรือ” เมอยาสก้าทำท่าตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะเท้าคางมองคนถาม “ฉันมาตามหาเธอต่างหาก”
วาเลนเซียเลิกคิ้ว
“เห...? จะไม่ได้เหรอ ฉันเอง คนที่เธอบุกเข้ามาดูดเลือดคืนนั้นไง”
ยังคงเป็นท่าทางยืนนิ่งเช่นเดิมที่เด็กสาวได้รับ เมอยาสก้างอนตุ๊บป่องขึ้นมาฉับพลัน
“ก็คืนที่เธอโดนใครไม่รู้ยิงมาแล้วบุกเข้ามาดื่มเลือดฉันแทบหมดตัวไง นั่นฉันยังไม่ตายนะ แค่เกือบๆ แต่ตรงตามที่เคยได้ยินเลย ถ้าแวมไพร์ไม่ฆ่าเหยื่อที่ดูดเลือดไว้ เหยื่อคนนั้นจะถูกสืบทอดพลัง กลายเป็นแวมไพร์ตนใหม่ และนั่นคือวิธีบอร์นทูบีของฉันไงล่ะ”
วาเลนเซียพิจารณาแวมไพร์มือใหม่ เด็กสาวที่ดูใช้การไม่ได้แบบนี้จะสู้ได้สักกี่น้ำ “อ้อ งั้นเจ้าคงต้องการมาแก้แค้นข้า”
เมอยาสก้าส่ายนิ้วไปมา “ผิดถนัดเลยล่ะ เป้าหมายของฉันคือการได้อยู่กับเธอต่างหาก”
นานมาแล้วที่เธอเติบโตขึ้นมาพร้อมตำนานแวมไพร์ที่เป็นหนึ่งในจุดขายของหมู่บ้าน เธอฟังพวกชาวบ้านเล่าประกอบการขายของที่ระลึกไปพลางๆ รับฟังเรื่องราวของเจ้านายและผู้ดูแลสายเลือดพิเศษทั้งสอง ยิ่งมันมากขึ้นเท่าไหร่ เธอยิ่งหลงใหลในเผ่าพันธุ์อันสูงสูงเหลือเกินในความคิดตนเอง กอปรกับพลังที่ชวนให้ไขว่คว้า ความสวยงามนิรันดร์ และชีวิตยืนยาวราวกับอมตะ ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เธอเริ่มจมดิ่งสู่ความปรารถนาในการกลายเป็นแวมไพร์มากขึ้นทุกวินาที
ขณะที่ความหลงใหลพอกพูน สิ่งที่เป็นทั้งต้นแบบและหลักฐานที่ทำให้เมอยาสก้าเชื่อว่าแวมไพร์มีอยู่จริง นั่นคือหญิงสาวผู้สวมผ้าคลุมปิดบังกาย เธอลอบมองร่างนั้นวันแล้ววันเล่า รอคอยว่าสักวันตนจะกลายเป็นดั่งปิศาจสาวผู้นั้น
แล้วในที่สุด...ค่ำคืนแห่งฝันร้ายของใครหลายคน กลับเป็นคืนแรกที่ความปรารถนาของเธอได้รับการตอบรับ
น่าเสียดาย ถ้าอีกฝ่ายจำเธอได้คงดีกว่านี้ ความเอาแต่ใจเล็กๆ น้อยๆ ส่วนตัวทำให้เมอยาสก้านึกโมโหอยู่ในที โดยลืมนึกถึงเหตุการณ์นั้นให้ชัดเจนว่าวาเลนเซียแทบจะไม่เสียเวลามองหน้าเธอเลยด้วยซ้ำ
ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงตนในฐานะมิตร หญิงสาวก็เลิกให้ความสนใจแวมไพร์ไม่ได้รับเชิญคนนี้ เธอหันไปยังร่างของเด็กหญิงอีกครั้ง “อายาซาชิ ตื่นขึ้นมาได้แล้ว ข้าต้องการที่อยู่ของนายท่าน ข้ายังไว้ชีวิตเจ้าอยู่เพราะเหตุผลนี้เชียวนะ”
เมอยาสก้าเท้าคางเบื่อๆ “เธอก็ลืมตาอยู่ตลอดไม่ใช่รึไง”
วาเลนเซียดึงร่างของฮิโรมิขึ้นมาตบแก้มด้านที่มีบาดแผลจนผ้าสีขาวชุ่มเลือด เป็นหลักฐานยืนยันว่าผู้ลงมือไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย กลับกัน ยิ่งเจ็บยิ่งดีมากเท่านั้น เธออยากให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นจากอาการช็อกเสียที ถ้าเป็นตอนนี้น่าจะยังไล่ตามได้ทัน เหมือนที่เมอยาสก้าไล่ตามพวกเธอมาติดๆ แบบนี้
“อึก”
หญิงสาวขมวดคิ้ว ก่อนจะเหวี่ยงร่างที่ส่งเสียงกรีดร้องลงไปกองกับเก้าอี้ตัวเดิม ฮิโรมิในสภาพขวัญเสียนั่งกอดเข่าร้องไห้ นั่นทำให้ตัวตนของอายาซาชิในความทรงจำของวาเลนเซียดูเลือนไป กลายเป็นเด็กผู้หญิงอายุแปดปีที่เพิ่งถูกพี่ชายปองร้ายมาหมาดๆ
เมอยาสก้าหน้าบึ้ง “หยุดร้องเดี๋ยวนี้เลยนะยะ พอที ฉันจะควักคอนแท็คเลนส์จากตายัยนั่นเอง ถ้าถอดไม่ได้ก็ควักตาออกมาทั้งลูกเลย”
วาเลนเซียยกมือกั้นคนที่ผลุนผลันลุกขึ้นจากเก้าอี้รับแขก “เจ้าตามหานายท่านให้ข้าได้หรือยัง”
“ไม่มีประโยชน์หรอกน่า เธอไม่...”
“พี่ชายเจ้ายิงเจ้าเอง เจ้าไม่คิดหรือว่านั่นควรจะมีคำอธิบาย? เจ้าเดินทางจากบ้านไปถึงคฤหาสน์ของข้า ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อไล่กวดเขา ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้ข้าคร่าชีวิตโจรลักพาตัวคนนั้น นั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและพี่ชายคงไม่ได้ร้ายกาจถึงขั้นชักอาวุธใส่กัน”
แม้จะละการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์มาหลายร้อยปี แต่เธอก็เคยใช้ชีวิตช่วงยี่สิบปีแรกในฐานะมนุษย์ เรียนรู้แง่มุมของสายสัมพันธ์และความผูกพันกับผู้คน พบเห็นมันระหว่างคนสองคน สิ่งที่ฮิโรมิกระทำต่อพี่ชายไม่น่าจะเข้าข่ายสายสัมพันธ์เลวร้ายอย่างที่เธอเคยพบเลย
“ตั้งแต่เด็กแล้วที่ฉันมักจะฝันถึงเรื่องราวของผู้ชายโบราณกับแวมไพร์ตนหนึ่ง” ฮิโรมิเริ่มต้นคำบอกเล่า “ฉันเติบโตขึ้นมาพร้อมกับมันเลยล่ะ คนอื่นๆ ในครอบครัวมักจะงานยุ่งกันหมด คนเดียวที่ฉันคอยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังได้มีเพียงพี่ชายเท่านั้น เขาเป็นคนเดียวที่รับฟังฉัน และในขณะเดียวกัน...ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าเขาหลงใหลในเรื่องเล่า...ไม่สิ หลงใหลตัวละครในเรื่องเล่านั้นต่างหาก”
เมอยาสก้าขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ สิ่งที่ฮิโรมิเล่านั่นมันเสมือนกระจกสะท้อนเรื่องของเธอไม่มีผิด อาจเพราะมันคล้ายเกินไป เด็กสาวจึงรู้สึกโมโหความรู้สึกเข้าใจที่ปรากฏอยู่ในตอนนี้
“แล้ววันหนึ่ง...เมื่อนิทานทุกอย่างหมดลง ไม่เหลืออะไรที่จำเป็นต้องเล่าอีกต่อไป พี่ชายเริ่มกลายเป็นฝ่ายเล่าขึ้นมาแทน เสมือนว่าคนที่เป็นเจ้าของความฝันและความทรงจำคือตัวเขาเอง เขาเริ่มพูดถึงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับทริสทรี่ และไม่กี่ปีถัดมา ฉันกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ภาพ เขานำรูปถ่ายจากสถานที่ต่างๆ ที่มีตำนานแวมไพร์มาให้ฉันตรวจนับไม่ถ้วน หลังจากพยายามอยู่นาน ความสำเร็จของเขาก็บรรลุเป้าหมาย ใช่ เขาพบมัน คฤหาสน์หลังนั้น แล้วเรื่องทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้น...”
วาเลนเซียยังคงรับฟังอย่างสงบ แม้สิ่งที่ถูกเล่าขานออกมาจะมาจากปากของศัตรูคู่แค้นแห่งอดีตชาติ แต่ยังมีเรื่องอื่นที่รอการสะสาง เธอยังลงมือสังหารฮิโรมิตอนนี้ไม่ได้
ฮิโรมิก้มมองมือตัวเอง “พี่ชายรู้สึกไปได้ยังไงกับนิทานพวกนั้น ฉันยังไม่รู้สึกว่าตัวเองอายาซาชิเลย เขาเหมือนคนแปลกหน้าเหมือนนักแสดงในหนังด้วยซ้ำ!”
วาเลนเซียเอ่ย “ถ้าเจ้าอยากรู้เรื่องนั้น ตามหาเขาให้พบ แล้วถามกับเจ้าตัวเสียเลยสิ”
“กฎยังคงอยู่ใช่ไหม” ฮิโรมิรู้สึกเหนื่อยหน่ายขึ้นมาจากครั้งแรกที่เจรจาเรื่องนี้มาก มันเหมือนเธอสร้างปราสาททรายด้วยสองมือผสานความพยายามมานาน แต่กลับมาคลื่นลูกใหญ่พัดโถมเข้ามาพังทลาย “อย่าฆ่าฉัน...กับพี่ชายฉัน”
“งั้นเจ้าควรเตรียมใจหรืออาวุธไว้บ้างก็ดี เพราะดูท่าทางพี่ชายเจ้าจะไม่ได้อยากปกป้องอย่างที่เจ้าทำกับเขาหรอกนะ” วาเลนเซียยอมรับเงื่อนไขเดิมแต่โดยดี ในโลกที่เธอไม่รู้จักแม้กระทั่งคีย์การ์ด วิธีเดินทางด้วยพาหนะประเภทต่างๆ หรือวิธีหาข้อมูลที่ฉับไวเหมือนฮิโรมิ การโอนอ่อนตามอีกฝ่ายคือวิธีที่ถูกต้องที่สุด
เมอยาสก้านั่งนิ่งเงียบอยู่ในห้วงความคิด ขณะที่เสียงคำถามของฮิโรมิลอยล่องก้องขึ้นมาไม่หยุด...
เธอเข้าใจ เข้าใจเป็นอย่างดีว่ามันน่าหลงใหลเพียงใดในคำบอกเล่า เธอไม่มีวันรู้ว่ามุมมองของอายาซาชิเป็นเช่นไร หรือสิ่งไหนที่เด็กน้อยเล่าขานแก่เขา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอนึกโกรธทุกครั้งในตำนานประจำหมู่บ้าน นั่นคือกลุ่มสมาชิกนักล่าแวมไพร์ พวกเขาทุกคนมีโอกาสในการเห็นใบหน้าของหญิงสาวชัดเจนนอกผ้าคลุม แต่ทั้งหมดกลับมีจุดประสงค์มุ่งร้าย
ทำไมถึงไม่เป็นเธอที่ได้รับโอกาสนั้นแทนเล่า!?
ในตำนานมิได้กล่าวขานถึงอายาซาชิเลยแม้แต่น้อย เมอยาสก้าจึงไม่ทราบว่านามนี้สำคัญอย่างไร นั่นหมายความว่าเด็กสาวย่อมไม่รู้เช่นเดียวกัน ถึงความคล้ายคลึงระหว่างเธอกับฮิโรชิ ทั้งหมดอธิบายได้ด้วยประโยคสั้นๆ เพียงประโยคเดียวเท่านั้น
‘ถ้าเป็นฉันที่ยืนอยู่ตรงนั้น...’
To be continue.
เสียงลั่นไกดังขึ้นท่ามกลางความงุนงงของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น กระสุนเฉียดปลายแก้มใสของฮิโรมิไปจนเกิดเป็นริ้วแผลขีดขึ้น
วาเลนเซียไม่รู้ว่าอะไรคือความจริงระหว่างสิ่งที่นายท่านของเธอรับรู้และคำพูดของเด็กหญิงที่เดินทางมาด้วยกันตลอดหลายวันนี้ แต่เธอตัดสินใจดึงร่างของฮิโรมิเข้ามาหลบด้านหลังตนเองอย่างรวดเร็ว ในเมื่อหาความจริงจากตัวพี่ชายไม่ได้ น้องสาวเขาย่อมเป็นกุญแจที่สองของเรื่องโกหกเรื่องนี้
เมอยาสก้าดูมาขวางหน้าวาเลนเซีย “ถ้านายคิดว่ายิงได้ก็ลองดู!”
แต่การกระทำของเด็กสาวหรือพวกเธอเหล่านั้นไม่อยู่ในความสนใจของฮิโรชิอีกต่อไป เมื่อเสียงเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินเข้ามาใกล้ เรียกรอยยิ้มพึงพอใจปนบ้าระห่ำให้ฉายบนใบหน้าหล่อเหลาได้เป็นอย่างดี เขารวบร่างที่ถูกคลุมด้วยผ้านวมผืนใหญ่เตรียมหนีไปด้วยกัน หากแต่แวมไพร์ร่างงามกลับพยายามต่อต้านอย่างถึงที่สุด
ทีแรก ทริสทรี่เข้าใจว่ามันเป็นแค่อัตตาของร่างกำเนิดใหม่ที่ต้องการยืนอยู่เหนือเงาแห่งอดีต แต่มันเป็นยิ่งกว่านั้น มันเป็นเพราะเงานั่นไม่ใช่ร่างจริงของฮิโรชิตั้งแต่ต้น!
ร่างบางส่งเสียงลอดออกมา “เจ้าไม่ใช่อายาซาชิ เจ้าหลอกข้า!”
“ทริสทรี่ที่รัก ถ้าเธอยังดื้ออีกแม้แต่นิดเดียว ฉันจะกดปุ่มระเบิดให้มันพังกันไปทั้งชั้น ทีนี้ไม่ว่าใครจะเป็นอายาซาชิคงไม่สำคัญ เธออยากให้เป็นแบบนั้นหรือเปล่า” น้ำเสียงจริงจังตอบกลับมาจากภายนอกของผ้านวม และจากการที่เขาเพิ่งยิงน้องสาวตัวเองไป มันทำให้น้ำหนักของคำพูดดูน่าเชื่อถือขึ้นมาหลายเท่าตัว
“ไม่นะ นายท่าน ถ้าเป็นแบบนั้นเรายังมีโอกาสรอด พวกเราแข็งแกร่งกว่ามนุษย์พวกนี้มาก!”
“จะบ้ารึไง! ระเบิดนะ ไม่ใช่แค่ลูกปืนเมื่อกี้นี้” เมอยาสก้าตะโกนแทรกขึ้นมา “ถ้าเป็นเธอก็ว่าไปอย่าง แต่ฉันไม่ยอมเสี่ยงโดนระเบิดเพราะแวมไพร์นั่นหรอกนะ!”
‘หึ...’
วาเลนเซียได้แต่ฟังเสียงใบพัดที่ดังกระหึ่มนั่นไกลออกไปเรื่อยๆ ด้วยความเจ็บใจ
แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือพวกเธอทุกคนโดนหลอก
ไม่มีระเบิดหรืออุปกรณ์ทำลายล้างใดๆ ในโรงแรมนี้ทั้งนั้น หลังเมอยาสก้าใช้อำนาจสะกดจิตสั่งคนที่ขึ้นมาตรวจสอบความเรียบร้อยหลังความอึกทึนลูกใหญ่ได้ผ่านพ้นไป แน่นอนว่าเรื่องนี้ยิ่งทำให้วาเลนเซียทวีความโมโหเป็นเท่าตัว พวกเธอนั่งกันอยู่ในห้องรับแขกส่วนห้องของฮิโรมิ โดยมีกาแฟที่เมอยาสก้าถือวิสาสะนำมาเสิร์ฟ แต่เธอกลับ ‘ลืม’ ใส่น้ำตาลลงในถ้วยของฮิโรมิราวกับจงใจ
ถึงจะเป็นแบบนั้น เด็กหญิงก็ไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย เธอนั่งพิงโซฟารับแขกด้วยความเหม่อลอยตั้งแต่ฮิโรชิจากไป แม้แต่พนักงานที่หิ้วกล่องปฐมพยาบาลขึ้นมายังอดพูดไม่ได้ว่าท่าทางของเธอดูแปลกๆ เสมือนคนที่อยู่ในสภาวะช็อกจากเหตุการณ์รุนแรง
เมอยาสก้าจิบกาแฟส่วนของตนอย่างสบายอารมณ์ “แหงล่ะ คนโดนยิงก็ช็อกทั้งนั้นแหละ เป็นฉัน ฉันก็ช็อกนะ ขนาดโดนพวกคนคุ้มกันของเธอไล่ตามยังตกใจแทบแย่เลย”
ไม่มีใครในห้องนี้ไม่รู้อยู่แก่ใจ บาดแผลที่ไม่ได้ร้ายแรงมิอาจทำให้จิตใจคนเรากระทบกระเทือนถึงขนาดนี้หรอก สิ่งสำคัญคือผู้ก่อเหตุ พวกเธอไม่รู้ว่าพี่น้องฮิโรคู่นี้มีความสัมพันธ์ที่ดีหรือแย่ปานใด แต่การที่เธอช็อกจากเหตุการณ์นี้ คงบอกได้กลายๆ ว่าฮิโรมิเชื่อใจว่าพี่ชายจะไม่มีวันทำร้ายตนเลย
แต่การให้พูดเรื่องนั้นออกมาตรงๆ เมอยาสก้าคิดว่าสั่งให้คนกระโดดจากตึกที่สูงที่สุดของประเทศนี้ลงไปทีละคนๆ ยังอึดอัดน้อยเสียกว่า
วาเลนเซียจับหน้าเธอให้หันมาประสานสายตากัน แม้เบื้องหลังดวงตาคู่นั้นจะว่างเปล่าเพียงไรก็ตาม “ฟังฉัน ฉันต้องการที่อยู่นายท่าน”
เมอยาสก้าปรบมือด้วยท่าทางรื่นเริง “สมเป็นวาเลนเซียเลย ในเวลาแบบนี้ยังต้องสนใจใครทำไม เรื่องของเรา จุดประสงค์ของเรา มันต้องมาเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว!”
ผู้ถูกชมจงใจปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นผ่านไปโดยไม่ใส่ใจ สิ่งเดียวที่เธอต้องการคือที่อยู่ของเจ้านาย แม้ฮิโรมิจะดูน่าสงสาร ความเห็นใจที่พึงจะได้รับกลับเหือดหายไปจากความคิดของวาเลนเซียตั้งแต่วินาทีที่เธอประกาศว่าตนเป็นใคร หญิงสาวไม่ทราบว่าฮิโรมิมีแผนอะไรถึงพูดไปแบบนั้นหรือเปล่า แต่ในเมื่อเธอกล่าวว่าตนคือบุคคลที่อ้างถึง เธอก็ควรได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับเขา
ความว่างเปล่ายังคงอยู่ เสมือนคำสั่งของวาเลนเซียมิได้แล่นเข้าสู่สมอง เธอนึกถึงคำพูดของฮิโรชิ หากเขาไม่ใช่อายาซาชิตัวจริง แต่ทราบว่าอะไรคือจุดอ่อนของพลัง คนที่น่าจะเป็นอายาซาชิตัวจริงคนนี้ก็น่าจะรู้เหมือนกัน
“ถ้าเป็นคอนแท็คเลนส์ล่ะก็ ฉันรู้จักนะ ฉันเองยังมีสีแดงเลย” เด็กสาวหัวเราะคิกๆ เมื่อพิจารณาดูว่าปฏิกิริยาของฮิโรมิไม่ได้มีอย่างที่มันควรจะเป็น “แต่ตอนนี้ฉันเป็นแวมไพร์โดยสมบูรณ์แล้ว ของแท้ไม่ต้องมีเทียม ว่างๆ กลับไปเอาชุดแฟนตาซีที่สะสมไว้มาใส่ดีกว่า”
วาเลนเซียหันมาทางเด็กสาว “จริงสิ ข้ายังไม่รู้เลยว่าตกลงเจ้ามาด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่ เอาชีวิตนางคงไม่ใช่ หรือว่าจะตามหาพี่ชายนาง?”
“แหวะ มนุษย์ มนุษย์นั่นน่ะนะ เธอเห็นฉันมีรสนิยมแย่ถึงขั้นลดตัวมาไล่ตามมนุษย์จริงๆ น่ะหรือ” เมอยาสก้าทำท่าตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะเท้าคางมองคนถาม “ฉันมาตามหาเธอต่างหาก”
วาเลนเซียเลิกคิ้ว
“เห...? จะไม่ได้เหรอ ฉันเอง คนที่เธอบุกเข้ามาดูดเลือดคืนนั้นไง”
ยังคงเป็นท่าทางยืนนิ่งเช่นเดิมที่เด็กสาวได้รับ เมอยาสก้างอนตุ๊บป่องขึ้นมาฉับพลัน
“ก็คืนที่เธอโดนใครไม่รู้ยิงมาแล้วบุกเข้ามาดื่มเลือดฉันแทบหมดตัวไง นั่นฉันยังไม่ตายนะ แค่เกือบๆ แต่ตรงตามที่เคยได้ยินเลย ถ้าแวมไพร์ไม่ฆ่าเหยื่อที่ดูดเลือดไว้ เหยื่อคนนั้นจะถูกสืบทอดพลัง กลายเป็นแวมไพร์ตนใหม่ และนั่นคือวิธีบอร์นทูบีของฉันไงล่ะ”
วาเลนเซียพิจารณาแวมไพร์มือใหม่ เด็กสาวที่ดูใช้การไม่ได้แบบนี้จะสู้ได้สักกี่น้ำ “อ้อ งั้นเจ้าคงต้องการมาแก้แค้นข้า”
เมอยาสก้าส่ายนิ้วไปมา “ผิดถนัดเลยล่ะ เป้าหมายของฉันคือการได้อยู่กับเธอต่างหาก”
นานมาแล้วที่เธอเติบโตขึ้นมาพร้อมตำนานแวมไพร์ที่เป็นหนึ่งในจุดขายของหมู่บ้าน เธอฟังพวกชาวบ้านเล่าประกอบการขายของที่ระลึกไปพลางๆ รับฟังเรื่องราวของเจ้านายและผู้ดูแลสายเลือดพิเศษทั้งสอง ยิ่งมันมากขึ้นเท่าไหร่ เธอยิ่งหลงใหลในเผ่าพันธุ์อันสูงสูงเหลือเกินในความคิดตนเอง กอปรกับพลังที่ชวนให้ไขว่คว้า ความสวยงามนิรันดร์ และชีวิตยืนยาวราวกับอมตะ ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เธอเริ่มจมดิ่งสู่ความปรารถนาในการกลายเป็นแวมไพร์มากขึ้นทุกวินาที
ขณะที่ความหลงใหลพอกพูน สิ่งที่เป็นทั้งต้นแบบและหลักฐานที่ทำให้เมอยาสก้าเชื่อว่าแวมไพร์มีอยู่จริง นั่นคือหญิงสาวผู้สวมผ้าคลุมปิดบังกาย เธอลอบมองร่างนั้นวันแล้ววันเล่า รอคอยว่าสักวันตนจะกลายเป็นดั่งปิศาจสาวผู้นั้น
แล้วในที่สุด...ค่ำคืนแห่งฝันร้ายของใครหลายคน กลับเป็นคืนแรกที่ความปรารถนาของเธอได้รับการตอบรับ
น่าเสียดาย ถ้าอีกฝ่ายจำเธอได้คงดีกว่านี้ ความเอาแต่ใจเล็กๆ น้อยๆ ส่วนตัวทำให้เมอยาสก้านึกโมโหอยู่ในที โดยลืมนึกถึงเหตุการณ์นั้นให้ชัดเจนว่าวาเลนเซียแทบจะไม่เสียเวลามองหน้าเธอเลยด้วยซ้ำ
ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงตนในฐานะมิตร หญิงสาวก็เลิกให้ความสนใจแวมไพร์ไม่ได้รับเชิญคนนี้ เธอหันไปยังร่างของเด็กหญิงอีกครั้ง “อายาซาชิ ตื่นขึ้นมาได้แล้ว ข้าต้องการที่อยู่ของนายท่าน ข้ายังไว้ชีวิตเจ้าอยู่เพราะเหตุผลนี้เชียวนะ”
เมอยาสก้าเท้าคางเบื่อๆ “เธอก็ลืมตาอยู่ตลอดไม่ใช่รึไง”
วาเลนเซียดึงร่างของฮิโรมิขึ้นมาตบแก้มด้านที่มีบาดแผลจนผ้าสีขาวชุ่มเลือด เป็นหลักฐานยืนยันว่าผู้ลงมือไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย กลับกัน ยิ่งเจ็บยิ่งดีมากเท่านั้น เธออยากให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นจากอาการช็อกเสียที ถ้าเป็นตอนนี้น่าจะยังไล่ตามได้ทัน เหมือนที่เมอยาสก้าไล่ตามพวกเธอมาติดๆ แบบนี้
“อึก”
หญิงสาวขมวดคิ้ว ก่อนจะเหวี่ยงร่างที่ส่งเสียงกรีดร้องลงไปกองกับเก้าอี้ตัวเดิม ฮิโรมิในสภาพขวัญเสียนั่งกอดเข่าร้องไห้ นั่นทำให้ตัวตนของอายาซาชิในความทรงจำของวาเลนเซียดูเลือนไป กลายเป็นเด็กผู้หญิงอายุแปดปีที่เพิ่งถูกพี่ชายปองร้ายมาหมาดๆ
เมอยาสก้าหน้าบึ้ง “หยุดร้องเดี๋ยวนี้เลยนะยะ พอที ฉันจะควักคอนแท็คเลนส์จากตายัยนั่นเอง ถ้าถอดไม่ได้ก็ควักตาออกมาทั้งลูกเลย”
วาเลนเซียยกมือกั้นคนที่ผลุนผลันลุกขึ้นจากเก้าอี้รับแขก “เจ้าตามหานายท่านให้ข้าได้หรือยัง”
“ไม่มีประโยชน์หรอกน่า เธอไม่...”
“พี่ชายเจ้ายิงเจ้าเอง เจ้าไม่คิดหรือว่านั่นควรจะมีคำอธิบาย? เจ้าเดินทางจากบ้านไปถึงคฤหาสน์ของข้า ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อไล่กวดเขา ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้ข้าคร่าชีวิตโจรลักพาตัวคนนั้น นั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและพี่ชายคงไม่ได้ร้ายกาจถึงขั้นชักอาวุธใส่กัน”
แม้จะละการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์มาหลายร้อยปี แต่เธอก็เคยใช้ชีวิตช่วงยี่สิบปีแรกในฐานะมนุษย์ เรียนรู้แง่มุมของสายสัมพันธ์และความผูกพันกับผู้คน พบเห็นมันระหว่างคนสองคน สิ่งที่ฮิโรมิกระทำต่อพี่ชายไม่น่าจะเข้าข่ายสายสัมพันธ์เลวร้ายอย่างที่เธอเคยพบเลย
“ตั้งแต่เด็กแล้วที่ฉันมักจะฝันถึงเรื่องราวของผู้ชายโบราณกับแวมไพร์ตนหนึ่ง” ฮิโรมิเริ่มต้นคำบอกเล่า “ฉันเติบโตขึ้นมาพร้อมกับมันเลยล่ะ คนอื่นๆ ในครอบครัวมักจะงานยุ่งกันหมด คนเดียวที่ฉันคอยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังได้มีเพียงพี่ชายเท่านั้น เขาเป็นคนเดียวที่รับฟังฉัน และในขณะเดียวกัน...ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าเขาหลงใหลในเรื่องเล่า...ไม่สิ หลงใหลตัวละครในเรื่องเล่านั้นต่างหาก”
เมอยาสก้าขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ สิ่งที่ฮิโรมิเล่านั่นมันเสมือนกระจกสะท้อนเรื่องของเธอไม่มีผิด อาจเพราะมันคล้ายเกินไป เด็กสาวจึงรู้สึกโมโหความรู้สึกเข้าใจที่ปรากฏอยู่ในตอนนี้
“แล้ววันหนึ่ง...เมื่อนิทานทุกอย่างหมดลง ไม่เหลืออะไรที่จำเป็นต้องเล่าอีกต่อไป พี่ชายเริ่มกลายเป็นฝ่ายเล่าขึ้นมาแทน เสมือนว่าคนที่เป็นเจ้าของความฝันและความทรงจำคือตัวเขาเอง เขาเริ่มพูดถึงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับทริสทรี่ และไม่กี่ปีถัดมา ฉันกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ภาพ เขานำรูปถ่ายจากสถานที่ต่างๆ ที่มีตำนานแวมไพร์มาให้ฉันตรวจนับไม่ถ้วน หลังจากพยายามอยู่นาน ความสำเร็จของเขาก็บรรลุเป้าหมาย ใช่ เขาพบมัน คฤหาสน์หลังนั้น แล้วเรื่องทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้น...”
วาเลนเซียยังคงรับฟังอย่างสงบ แม้สิ่งที่ถูกเล่าขานออกมาจะมาจากปากของศัตรูคู่แค้นแห่งอดีตชาติ แต่ยังมีเรื่องอื่นที่รอการสะสาง เธอยังลงมือสังหารฮิโรมิตอนนี้ไม่ได้
ฮิโรมิก้มมองมือตัวเอง “พี่ชายรู้สึกไปได้ยังไงกับนิทานพวกนั้น ฉันยังไม่รู้สึกว่าตัวเองอายาซาชิเลย เขาเหมือนคนแปลกหน้าเหมือนนักแสดงในหนังด้วยซ้ำ!”
วาเลนเซียเอ่ย “ถ้าเจ้าอยากรู้เรื่องนั้น ตามหาเขาให้พบ แล้วถามกับเจ้าตัวเสียเลยสิ”
“กฎยังคงอยู่ใช่ไหม” ฮิโรมิรู้สึกเหนื่อยหน่ายขึ้นมาจากครั้งแรกที่เจรจาเรื่องนี้มาก มันเหมือนเธอสร้างปราสาททรายด้วยสองมือผสานความพยายามมานาน แต่กลับมาคลื่นลูกใหญ่พัดโถมเข้ามาพังทลาย “อย่าฆ่าฉัน...กับพี่ชายฉัน”
“งั้นเจ้าควรเตรียมใจหรืออาวุธไว้บ้างก็ดี เพราะดูท่าทางพี่ชายเจ้าจะไม่ได้อยากปกป้องอย่างที่เจ้าทำกับเขาหรอกนะ” วาเลนเซียยอมรับเงื่อนไขเดิมแต่โดยดี ในโลกที่เธอไม่รู้จักแม้กระทั่งคีย์การ์ด วิธีเดินทางด้วยพาหนะประเภทต่างๆ หรือวิธีหาข้อมูลที่ฉับไวเหมือนฮิโรมิ การโอนอ่อนตามอีกฝ่ายคือวิธีที่ถูกต้องที่สุด
เมอยาสก้านั่งนิ่งเงียบอยู่ในห้วงความคิด ขณะที่เสียงคำถามของฮิโรมิลอยล่องก้องขึ้นมาไม่หยุด...
เธอเข้าใจ เข้าใจเป็นอย่างดีว่ามันน่าหลงใหลเพียงใดในคำบอกเล่า เธอไม่มีวันรู้ว่ามุมมองของอายาซาชิเป็นเช่นไร หรือสิ่งไหนที่เด็กน้อยเล่าขานแก่เขา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอนึกโกรธทุกครั้งในตำนานประจำหมู่บ้าน นั่นคือกลุ่มสมาชิกนักล่าแวมไพร์ พวกเขาทุกคนมีโอกาสในการเห็นใบหน้าของหญิงสาวชัดเจนนอกผ้าคลุม แต่ทั้งหมดกลับมีจุดประสงค์มุ่งร้าย
ทำไมถึงไม่เป็นเธอที่ได้รับโอกาสนั้นแทนเล่า!?
ในตำนานมิได้กล่าวขานถึงอายาซาชิเลยแม้แต่น้อย เมอยาสก้าจึงไม่ทราบว่านามนี้สำคัญอย่างไร นั่นหมายความว่าเด็กสาวย่อมไม่รู้เช่นเดียวกัน ถึงความคล้ายคลึงระหว่างเธอกับฮิโรชิ ทั้งหมดอธิบายได้ด้วยประโยคสั้นๆ เพียงประโยคเดียวเท่านั้น
‘ถ้าเป็นฉันที่ยืนอยู่ตรงนั้น...’
To be continue.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ