The last Blood.สายเลือด นิทรา [BL , Yaoi]
9.0
เขียนโดย เฟรล่าฟลอเร
วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 18.47 น.
24 ตอน
0 วิจารณ์
25.68K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
13)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเรื่องนี้ไม่รู้ว่ามันเป็นมายังไงกันแน่ แต่เดวิดตัดสินใจช่วยทั้งสองฝ่าย เพราะเพื่อนตัวดีของเขาบางทีก็ทำอะไรสิ้นคิดจริงๆ
ฮิโรมินั่งอยู่บนเครื่องบินเดินทางเพื่อไล่กวดพี่ชายที่ไหวตัวหนีไปตั้งแต่เมื่อหลายชั่วโมงก่อน โชคดีที่เธอนึกขึ้นได้ว่าเมืองนี้เป็นที่อยู่ของชายสายเลือดผู้ดี หนึ่งในมิตรสหายพึ่งพาได้ของพี่ชาย เธอจึงเดินทางไปสอบถามข้อมูลจากเขา ทีแรกเขาก็อึกอักอยู่นาน แต่เมื่อเธอเห็นวาเลนเซียเริ่มมีปฏิกิริยา เธอตัดสินใจงัดไม้เด็ดออกมาในการบอกว่าพี่ชายตัวเองลักพาตัวคนอื่น ซึ่งคนรู้จักของผู้เสียหายคือคนที่นั่งส่งจิตพิฆาตให้เขาตั้งแต่เมื่อครู่
เดวิดจึงติดต่อนักบินของตัวเองให้ระบุเป้าหมาย ถึงฮิโรชิจะอุบเงียบเอาไว้ แต่นักบินต้องรู้แน่ และเป็นไปตามคาด เพราะตอนนี้ข้อมูลเรื่องฮิโรชิกำลังบินไปยังดินแดนห่างไกลทางตะวันออกเฉียงใต้
ฮิโรมิเร่งจองตั๋วในทันทีทันใด ซึ่งนั่นทำให้เธอทราบว่าตนเองกำลังไล่กวดพี่ชายไปติดๆ
และหลังจากนั้น...
เดวิดได้รับแจ้งว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งต้องการพบเขาเร่งด่วน เขาละมือจากงานที่กำลังทำด้วยความรู้สึกตงิดอยู่ในใจว่ามันอาจจะเกี่ยวกับเพื่อนตัวดีของเขาคนนั้น
“ฉันต้องการที่อยู่ของฮิโรมิ”
จะเป็นเคราะห์ดีหรือความบังเอิญก็ตาม นัยน์ตาสะกดจิตของเมอยาสก้าวืดไปเพียงเพราะเขาสั่นศีรษะเบาๆ ด้วยความระอา เขาไม่รู้ว่าสองพี่น้องฮิโรกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ แต่เขาตัดสินว่าจะเป็นพลพรรคของทุกฝ่าย โดยการบอกทุกคนว่าทั้งพี่ชายทั้งน้องสาวชาวปลาดิบกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน ส่วนจะเป็นยังไงก็สุดแล้วแต่โชคชะตาจะอำนวยกันเถิด
เมอยาสก้าจับท่าทีได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ใต้มนตร์สะกดของเธอ อย่างที่คาด การสะกดจิตจำเป็นต้องจ้องตาคน เรื่องพวกนี้สำหรับเธอแล้วเป็นสัญชาตญาณเหมือนนกขยับปีกบิน ไม่มีใครบอกว่าเธอควรทำอย่างไร แต่เธอรู้ว่าตนสามารถทำอะไรได้ เพียงแต่เมื่อครู่เป็นหลักฐานว่าขีดจำกัดคืออะไรก็เท่านั้น
เด็กสาวจากไปโดยไม่ทิ้งไว้แม้แต่คำขอบคุณ ซึ่งเดวิดรู้สึกว่าเขาไม่ได้ถวิลหาคำนั้นจนเรียกเธอให้หันมาแต่อย่างใด อะไรบางอย่างบ่งบอกว่าเขาอย่าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายนี้เลยดีกว่า
“วันนี้จะมีอะไรวุ่นๆ อีกไหมเนี่ย”
ไม่ถึงสองนาทีหลังจากนั้น ลูกน้องชุดสูทสีมาตรฐานของเขาก็วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ พร้อมด้วยกลุ่มคนประมาณสิบคนที่ตอนนี้กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียด ตามลำตัวของพวกเขามีร่องรอยการถูกทำร้าย เนื่องจากการ์ดคุ้มกันของคฤหาสน์พบพวกเขามีท่าทียืนสงบนิ่งรวมตัวกันอยู่ด้านหน้า กว่าปฏิกิริยาตอบสนองจะปรากฏก็โดนกันไปคนละหลายหมัดเสียแล้ว
ลูกน้องของเขารายงานเร่งด่วน “คุณเดวิด คนกลุ่มนี้มาจากชุดคุ้มกันของคุณฮิโรมิครับ”
ชายชาวผู้ดีสะดุ้งโหยง ความวุ่นวายที่เขาเพิ่งถามฟากฟ้าดูท่าจะมีจริงๆ แถมเกี่ยวกับสองพี่น้องฮิโรเสียด้วย แต่ปกติทั้งสองไม่ค่อยเรียกใช้ทีมคุ้มกัน งานนี้คงเจอเสี้ยนใหญ่พิลึก “มีอะไร”
หัวหน้าชุดคุ้มกันก้าวออกมา
“ขออภัยที่ต้องรบกวน แต่ผมอยากทราบว่าเด็กผู้หญิงคนเมื่อครู่คุยเรื่องของท่านฮิโรมิใช่หรือไม่ครับ”
เดวิดพยักหน้า ในใจรู้สึกสงสารตัวเองระคนรู้สึกว่าเขาได้พลาดเรื่องเมอยาสก้าไปเสียแล้ว เขาอ้าปากจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ความไม่อยากยุ่งยังคงเป็นฝ่ายชนะ “อืม! แต่ฉันก็บอกที่อยู่ของเธอไปแล้วล่ะ แต่ป่านนี้ฮิโรมิคงอยู่ระหว่างบินล่ะมั้ง”
ทีมคุ้มกันโค้งขอบคุณตามธรรมเนียมบ้านเกิด ก่อนจะทยอยกันออกไปพลางเร่งมือติดต่อเจ้านายอย่างเต็มที่ แต่ถ้าเดวิดคาดการณ์ถูกต้อง การติดต่อคงเป็นไปได้ยากสักพักหนึ่ง เพราะกฎสำคัญของการขึ้นเครื่องบินคือการงดใช้อุปกรณ์สื่อสาร
ตอนนี้ภายในคฤหาสน์เหลือเพียงเจ้าบ้านกับลูกน้องเท่านั้น เดวิดรู้สึกเหมือนงานที่สุมรอการสะสางยังไม่ชวนให้เหนื่อยเท่าพายุกรรโชกที่มาพร้อมความวุ่นวายนี้เลย เขาออกคำสั่งตั้งแต่เนิ่นๆ
“เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรเกี่ยวกับฮิโรชิหรือฮิโรมิอีก ฉันไม่อยู่นะ”
เขาชื่นชมการช่วยเพื่อนสนิทมิตรสหาย แต่ต้องไม่ใช่ในสภาวการณ์แบบนี้แน่นอน!
เมอยาสก้าซ่อนตัวอยู่ในร้านทำผมแห่งหนึ่ง พลางมองดูชายชุดสูทกลุ่มใหญ่วิ่งผ่านไป เธอปลดชุดกันแสงออก พลางบิดตัวแก้เมื่อยไปมาเล็กน้อย “เอาล่ะ ระหว่างที่ฉันนั่งพักอยู่ตรงนี้ ใครสักคนจองตั๋วเครื่องบินให้ทีสิ”
คุณนายคนหนึ่งท่าทางมีฐานะยกมือถือขึ้นมาคนแรก
เมื่ออีกฝ่ายหลับ เขาตื่น
ปกติเขามักไม่ใส่ต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ ในโลกปัจจุบัน เพราะเขาเองก็ผ่านยุคแห่ง 'เทคโนโลยีใหม่' มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว อีกร้อยปีข้างหน้าจะมีสิ่งประดิษฐ์ที่น่าทึ่งกว่าปรากฏขึ้นมา และอีกร้อยปีถัดมา อีกร้อยปีถัดมา...
สำหรับแวมไพร์ที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายโดยดื่มเพียงเลือดในถ้วยทองคำ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจอะไรเลย
แต่กระนั้น การที่มนุษย์สามารถสร้างพาหนะสำหรับบินได้ดุจแวมไพร์ หากมันชนเข้ากับค้าวคาวสักตัว ค้างคาวตนนั้นอาจเป็นแวมไพร์ร่วมเผ่าพันธุ์กับเขาก็ได้ ใครจะรู้ เพราะเหตุนั้น เขาจึงอยากเดินสำรวจพาหนะที่อาจชนเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ดูสักครั้ง ยิ่งเป็นเวลาที่ฮิโรชิหลับยิ่งดี บางสิ่งบางอย่างจะดูน่าตื่นเต้น ถ้าเราไม่โดนบอกกำกับว่ามันคืออะไร จนกว่าจะลองสัมผัสมันดูสักครั้ง
เขาเดินตามทางไปเรื่อยๆ จนถึงห้องนักบิน แน่นอนว่าเขาไม่ลืมเคาะประตูแสดงมารยาทก่อนเป็นอันดับแรก แต่ไม่มีเสียงตอบรับออกมาแต่ประการใด ทริสทรี่ยืนรออยู่นาน เขาตัดสินใจลงความเห็นว่าตนคงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสำรวจภายใน ทว่า...ประตูห้องนักบินกลับเปิดออก
เขาก้มศีรษะทักทายนักบินเล็กน้อย "ข้ามารบกวนเจ้าหรือเปล่า"
"ไม่ ไม่แน่นอนค่ะ ตอนนี้เราบินด้วยระบบออโต้ไพล็อต...บินอัตโนมัติน่ะค่ะ" นักบินหญิงเรสซี่พยายามอธิบายให้คนที่ส่งสายตางุนงงออกมาแวบหนึ่งได้เข้าใจ เธอยิ้ม “สนใจห้องนักบินเหรอคะ”
ทริสทรี่พยักหน้ารับ “เจ้าบังคับจากตรงนี้หรือ”
เรสซี่ตอบรับสั้นๆ ในใจอดทึ่งไม่ได้ที่ยังมีคนถามคำถามนี้เหลืออยู่บนโลก ตั้งแต่พี่น้องตระกูลไรต์สร้างเครื่องบินลำแรกได้ในปี 1903 มันก็ผ่านมาแล้วร้อยสิบเอ็ดปี ในร้อยปีที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้านี้ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และพัฒนาสิ่งที่มีไปมากเหลือเกิน โดยเฉพาะ...พาหนะในฝันอย่างเครื่องบิน ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนดูจะชินชากับมันเต็มที การที่ห้องนักบินอยู่ตรงนี้ก็เช่นกัน
ทริสทรี่มองไปเบื้องหน้า กลุ่มเมฆน้อยใหญ่ถูกมองทะลุได้ด้วยกระจกขนาดกว้าง เขาเคยบินท่ามกลางสายลมมานับครั้งไม่ถ้วน มันอิสระกว่า กระชับกว่า และคล่องตัว แต่นั่นเพราะเขาเป็นแวมไพร์ น่าทึ่งเหลือเกินที่มนุษย์ธรรมดาไร้ปีกไร้พลังจะใช้เพียงมันสมองในการสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา
“เจ้าคิดค้นมันหรือเปล่า”
เรสซี่ทำหน้าพิลึก ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา “ฉันไม่ได้เรียนมาหรอกค่ะ ฉันเรียนเฉพาะการบังคับควบคุม คนขับรถยนต์ก็ไม่ได้ประกอบรถเองใช่ไหมล่ะคะ”
ทริสทรี่พยักหน้า “เหมือนสารถีไม่ได้สร้างรถม้า”
เรสซี่พยักหน้าอีกครั้ง เธอเริ่มคิดเสียแล้วว่าเขาเป็นชายที่หลงมาจากยุคศตวรรษเก่าหรือเปล่า อย่างในภาพยนตร์หลายๆ เรื่องก็มีการข้ามเวลาด้วยกรรมิวิธีพิสดารประเภทต่างๆ ใครจะรู้ คนที่ดู ‘ใหม่’ เหลือเกินกับเทคโนโลยีทั่วไปอย่างเครื่องบิน หรือใช้สิ่งของเก่าๆ เปรียบเทียบคนนี้ อาจไม่ใช่คนในยุคของเธอจริงๆ ก็ได้
“คุณรู้จักพระนางมารีอังตัวเน็ตหรือเปล่า”
ทริสทรี่สั่นศีรษะ เขาเคยผ่านช่วงสมัยที่พระนางมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่โลกภายนอกและความเป็นไปไม่ถูกบรรจุในชีวิตประจำวันของเขา หากให้เขาทำข้อสอบวิชาประวัติศาสตร์คงไม่แคล้วส่งกระดาษเปล่า “มีอะไรรึ?”
“เปล่าค่ะ” เรสซี่ยังคงพยายาม “แล้วพระนางแคทเธอรีนมหาราชินีล่ะคะ”
ยังคงเป็นคำตอบเดิม
ทริสทรี่ขมวดคิ้วพลางนึกถึงภาพของเมอยาสก้า “มีอะไรสำคัญหรือเปล่า”
เรสซี่ปฏิเสธ เธอจะพูดได้อย่างไรว่าตนกำลังคิดว่าเขาหลุดมาจากศตวรรษที่สิบแปด แต่การที่เขาไม่รู้จักบุคคลสำคัญของยุคนั้นคงเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอคิดมากไป เธอนึกขันตัวเอง บางที บัตรสมาชิกร้านเช่าภาพยนตร์ที่ถูกใช้อย่างคุ้มค่าควรถูกพักเสียบ้าง เธอจะได้ไม่ฟุ้งซ่านอย่างนี้
ทริสทรี่พยักหน้า “วันนี้มีคนถามชื่อบุคคลกับข้าค่อนข้างมาก ถ้ารวมเจ้าด้วยก็สามคำถามแล้ว”
ปกติเขาจะใช้ชีวิตอยู่แบบไม่ต้องถูกถาม นั่นคือการรับการดูแลจากวาเลนเซียเพียงฝ่ายเดียว การถูกถามถึงใครสักคนเพียงสามครั้งก็นับว่ามากในความรู้สึกเขาแล้ว
เรสซี่นึกอยากรู้ว่าคำถามนั้นใช่คำถามประเภทเดียวกับเธอหรือเปล่า “เขาถามถึงใครหรือคะ คงไม่ใช่พระเจ้าหลุยส์ที่สิบห้าอย่างคำถามของฉันหรอกนะ?”
ทริสทรี่สั่นศีรษะ “เป็นเด็กสาวแปลกหน้า อายุประมาณไม่เกินสิบห้าหรือสิบหกปี ข้าไม่รู้หรอกว่านางเป็นใคร ข้าไม่ทราบด้วยซ้ำว่าฮิโรชิเข้าใจว่าข้ามีความเกี่ยวข้องกับนางในด้านใด”
“ฮิโรชิ...ฮิโรมิ” เรสซี่มองขึ้นด้านบนคล้ายจะนึก “เมื่อครู่คุณพูดว่า ‘ฮิโรมิ’ หรือเปล่าคะ”
To be continue.
ฮิโรมินั่งอยู่บนเครื่องบินเดินทางเพื่อไล่กวดพี่ชายที่ไหวตัวหนีไปตั้งแต่เมื่อหลายชั่วโมงก่อน โชคดีที่เธอนึกขึ้นได้ว่าเมืองนี้เป็นที่อยู่ของชายสายเลือดผู้ดี หนึ่งในมิตรสหายพึ่งพาได้ของพี่ชาย เธอจึงเดินทางไปสอบถามข้อมูลจากเขา ทีแรกเขาก็อึกอักอยู่นาน แต่เมื่อเธอเห็นวาเลนเซียเริ่มมีปฏิกิริยา เธอตัดสินใจงัดไม้เด็ดออกมาในการบอกว่าพี่ชายตัวเองลักพาตัวคนอื่น ซึ่งคนรู้จักของผู้เสียหายคือคนที่นั่งส่งจิตพิฆาตให้เขาตั้งแต่เมื่อครู่
เดวิดจึงติดต่อนักบินของตัวเองให้ระบุเป้าหมาย ถึงฮิโรชิจะอุบเงียบเอาไว้ แต่นักบินต้องรู้แน่ และเป็นไปตามคาด เพราะตอนนี้ข้อมูลเรื่องฮิโรชิกำลังบินไปยังดินแดนห่างไกลทางตะวันออกเฉียงใต้
ฮิโรมิเร่งจองตั๋วในทันทีทันใด ซึ่งนั่นทำให้เธอทราบว่าตนเองกำลังไล่กวดพี่ชายไปติดๆ
และหลังจากนั้น...
เดวิดได้รับแจ้งว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งต้องการพบเขาเร่งด่วน เขาละมือจากงานที่กำลังทำด้วยความรู้สึกตงิดอยู่ในใจว่ามันอาจจะเกี่ยวกับเพื่อนตัวดีของเขาคนนั้น
“ฉันต้องการที่อยู่ของฮิโรมิ”
จะเป็นเคราะห์ดีหรือความบังเอิญก็ตาม นัยน์ตาสะกดจิตของเมอยาสก้าวืดไปเพียงเพราะเขาสั่นศีรษะเบาๆ ด้วยความระอา เขาไม่รู้ว่าสองพี่น้องฮิโรกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ แต่เขาตัดสินว่าจะเป็นพลพรรคของทุกฝ่าย โดยการบอกทุกคนว่าทั้งพี่ชายทั้งน้องสาวชาวปลาดิบกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน ส่วนจะเป็นยังไงก็สุดแล้วแต่โชคชะตาจะอำนวยกันเถิด
เมอยาสก้าจับท่าทีได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ใต้มนตร์สะกดของเธอ อย่างที่คาด การสะกดจิตจำเป็นต้องจ้องตาคน เรื่องพวกนี้สำหรับเธอแล้วเป็นสัญชาตญาณเหมือนนกขยับปีกบิน ไม่มีใครบอกว่าเธอควรทำอย่างไร แต่เธอรู้ว่าตนสามารถทำอะไรได้ เพียงแต่เมื่อครู่เป็นหลักฐานว่าขีดจำกัดคืออะไรก็เท่านั้น
เด็กสาวจากไปโดยไม่ทิ้งไว้แม้แต่คำขอบคุณ ซึ่งเดวิดรู้สึกว่าเขาไม่ได้ถวิลหาคำนั้นจนเรียกเธอให้หันมาแต่อย่างใด อะไรบางอย่างบ่งบอกว่าเขาอย่าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายนี้เลยดีกว่า
“วันนี้จะมีอะไรวุ่นๆ อีกไหมเนี่ย”
ไม่ถึงสองนาทีหลังจากนั้น ลูกน้องชุดสูทสีมาตรฐานของเขาก็วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ พร้อมด้วยกลุ่มคนประมาณสิบคนที่ตอนนี้กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียด ตามลำตัวของพวกเขามีร่องรอยการถูกทำร้าย เนื่องจากการ์ดคุ้มกันของคฤหาสน์พบพวกเขามีท่าทียืนสงบนิ่งรวมตัวกันอยู่ด้านหน้า กว่าปฏิกิริยาตอบสนองจะปรากฏก็โดนกันไปคนละหลายหมัดเสียแล้ว
ลูกน้องของเขารายงานเร่งด่วน “คุณเดวิด คนกลุ่มนี้มาจากชุดคุ้มกันของคุณฮิโรมิครับ”
ชายชาวผู้ดีสะดุ้งโหยง ความวุ่นวายที่เขาเพิ่งถามฟากฟ้าดูท่าจะมีจริงๆ แถมเกี่ยวกับสองพี่น้องฮิโรเสียด้วย แต่ปกติทั้งสองไม่ค่อยเรียกใช้ทีมคุ้มกัน งานนี้คงเจอเสี้ยนใหญ่พิลึก “มีอะไร”
หัวหน้าชุดคุ้มกันก้าวออกมา
“ขออภัยที่ต้องรบกวน แต่ผมอยากทราบว่าเด็กผู้หญิงคนเมื่อครู่คุยเรื่องของท่านฮิโรมิใช่หรือไม่ครับ”
เดวิดพยักหน้า ในใจรู้สึกสงสารตัวเองระคนรู้สึกว่าเขาได้พลาดเรื่องเมอยาสก้าไปเสียแล้ว เขาอ้าปากจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ความไม่อยากยุ่งยังคงเป็นฝ่ายชนะ “อืม! แต่ฉันก็บอกที่อยู่ของเธอไปแล้วล่ะ แต่ป่านนี้ฮิโรมิคงอยู่ระหว่างบินล่ะมั้ง”
ทีมคุ้มกันโค้งขอบคุณตามธรรมเนียมบ้านเกิด ก่อนจะทยอยกันออกไปพลางเร่งมือติดต่อเจ้านายอย่างเต็มที่ แต่ถ้าเดวิดคาดการณ์ถูกต้อง การติดต่อคงเป็นไปได้ยากสักพักหนึ่ง เพราะกฎสำคัญของการขึ้นเครื่องบินคือการงดใช้อุปกรณ์สื่อสาร
ตอนนี้ภายในคฤหาสน์เหลือเพียงเจ้าบ้านกับลูกน้องเท่านั้น เดวิดรู้สึกเหมือนงานที่สุมรอการสะสางยังไม่ชวนให้เหนื่อยเท่าพายุกรรโชกที่มาพร้อมความวุ่นวายนี้เลย เขาออกคำสั่งตั้งแต่เนิ่นๆ
“เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรเกี่ยวกับฮิโรชิหรือฮิโรมิอีก ฉันไม่อยู่นะ”
เขาชื่นชมการช่วยเพื่อนสนิทมิตรสหาย แต่ต้องไม่ใช่ในสภาวการณ์แบบนี้แน่นอน!
เมอยาสก้าซ่อนตัวอยู่ในร้านทำผมแห่งหนึ่ง พลางมองดูชายชุดสูทกลุ่มใหญ่วิ่งผ่านไป เธอปลดชุดกันแสงออก พลางบิดตัวแก้เมื่อยไปมาเล็กน้อย “เอาล่ะ ระหว่างที่ฉันนั่งพักอยู่ตรงนี้ ใครสักคนจองตั๋วเครื่องบินให้ทีสิ”
คุณนายคนหนึ่งท่าทางมีฐานะยกมือถือขึ้นมาคนแรก
เมื่ออีกฝ่ายหลับ เขาตื่น
ปกติเขามักไม่ใส่ต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ ในโลกปัจจุบัน เพราะเขาเองก็ผ่านยุคแห่ง 'เทคโนโลยีใหม่' มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว อีกร้อยปีข้างหน้าจะมีสิ่งประดิษฐ์ที่น่าทึ่งกว่าปรากฏขึ้นมา และอีกร้อยปีถัดมา อีกร้อยปีถัดมา...
สำหรับแวมไพร์ที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายโดยดื่มเพียงเลือดในถ้วยทองคำ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจอะไรเลย
แต่กระนั้น การที่มนุษย์สามารถสร้างพาหนะสำหรับบินได้ดุจแวมไพร์ หากมันชนเข้ากับค้าวคาวสักตัว ค้างคาวตนนั้นอาจเป็นแวมไพร์ร่วมเผ่าพันธุ์กับเขาก็ได้ ใครจะรู้ เพราะเหตุนั้น เขาจึงอยากเดินสำรวจพาหนะที่อาจชนเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ดูสักครั้ง ยิ่งเป็นเวลาที่ฮิโรชิหลับยิ่งดี บางสิ่งบางอย่างจะดูน่าตื่นเต้น ถ้าเราไม่โดนบอกกำกับว่ามันคืออะไร จนกว่าจะลองสัมผัสมันดูสักครั้ง
เขาเดินตามทางไปเรื่อยๆ จนถึงห้องนักบิน แน่นอนว่าเขาไม่ลืมเคาะประตูแสดงมารยาทก่อนเป็นอันดับแรก แต่ไม่มีเสียงตอบรับออกมาแต่ประการใด ทริสทรี่ยืนรออยู่นาน เขาตัดสินใจลงความเห็นว่าตนคงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสำรวจภายใน ทว่า...ประตูห้องนักบินกลับเปิดออก
เขาก้มศีรษะทักทายนักบินเล็กน้อย "ข้ามารบกวนเจ้าหรือเปล่า"
"ไม่ ไม่แน่นอนค่ะ ตอนนี้เราบินด้วยระบบออโต้ไพล็อต...บินอัตโนมัติน่ะค่ะ" นักบินหญิงเรสซี่พยายามอธิบายให้คนที่ส่งสายตางุนงงออกมาแวบหนึ่งได้เข้าใจ เธอยิ้ม “สนใจห้องนักบินเหรอคะ”
ทริสทรี่พยักหน้ารับ “เจ้าบังคับจากตรงนี้หรือ”
เรสซี่ตอบรับสั้นๆ ในใจอดทึ่งไม่ได้ที่ยังมีคนถามคำถามนี้เหลืออยู่บนโลก ตั้งแต่พี่น้องตระกูลไรต์สร้างเครื่องบินลำแรกได้ในปี 1903 มันก็ผ่านมาแล้วร้อยสิบเอ็ดปี ในร้อยปีที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้านี้ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และพัฒนาสิ่งที่มีไปมากเหลือเกิน โดยเฉพาะ...พาหนะในฝันอย่างเครื่องบิน ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนดูจะชินชากับมันเต็มที การที่ห้องนักบินอยู่ตรงนี้ก็เช่นกัน
ทริสทรี่มองไปเบื้องหน้า กลุ่มเมฆน้อยใหญ่ถูกมองทะลุได้ด้วยกระจกขนาดกว้าง เขาเคยบินท่ามกลางสายลมมานับครั้งไม่ถ้วน มันอิสระกว่า กระชับกว่า และคล่องตัว แต่นั่นเพราะเขาเป็นแวมไพร์ น่าทึ่งเหลือเกินที่มนุษย์ธรรมดาไร้ปีกไร้พลังจะใช้เพียงมันสมองในการสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา
“เจ้าคิดค้นมันหรือเปล่า”
เรสซี่ทำหน้าพิลึก ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา “ฉันไม่ได้เรียนมาหรอกค่ะ ฉันเรียนเฉพาะการบังคับควบคุม คนขับรถยนต์ก็ไม่ได้ประกอบรถเองใช่ไหมล่ะคะ”
ทริสทรี่พยักหน้า “เหมือนสารถีไม่ได้สร้างรถม้า”
เรสซี่พยักหน้าอีกครั้ง เธอเริ่มคิดเสียแล้วว่าเขาเป็นชายที่หลงมาจากยุคศตวรรษเก่าหรือเปล่า อย่างในภาพยนตร์หลายๆ เรื่องก็มีการข้ามเวลาด้วยกรรมิวิธีพิสดารประเภทต่างๆ ใครจะรู้ คนที่ดู ‘ใหม่’ เหลือเกินกับเทคโนโลยีทั่วไปอย่างเครื่องบิน หรือใช้สิ่งของเก่าๆ เปรียบเทียบคนนี้ อาจไม่ใช่คนในยุคของเธอจริงๆ ก็ได้
“คุณรู้จักพระนางมารีอังตัวเน็ตหรือเปล่า”
ทริสทรี่สั่นศีรษะ เขาเคยผ่านช่วงสมัยที่พระนางมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่โลกภายนอกและความเป็นไปไม่ถูกบรรจุในชีวิตประจำวันของเขา หากให้เขาทำข้อสอบวิชาประวัติศาสตร์คงไม่แคล้วส่งกระดาษเปล่า “มีอะไรรึ?”
“เปล่าค่ะ” เรสซี่ยังคงพยายาม “แล้วพระนางแคทเธอรีนมหาราชินีล่ะคะ”
ยังคงเป็นคำตอบเดิม
ทริสทรี่ขมวดคิ้วพลางนึกถึงภาพของเมอยาสก้า “มีอะไรสำคัญหรือเปล่า”
เรสซี่ปฏิเสธ เธอจะพูดได้อย่างไรว่าตนกำลังคิดว่าเขาหลุดมาจากศตวรรษที่สิบแปด แต่การที่เขาไม่รู้จักบุคคลสำคัญของยุคนั้นคงเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอคิดมากไป เธอนึกขันตัวเอง บางที บัตรสมาชิกร้านเช่าภาพยนตร์ที่ถูกใช้อย่างคุ้มค่าควรถูกพักเสียบ้าง เธอจะได้ไม่ฟุ้งซ่านอย่างนี้
ทริสทรี่พยักหน้า “วันนี้มีคนถามชื่อบุคคลกับข้าค่อนข้างมาก ถ้ารวมเจ้าด้วยก็สามคำถามแล้ว”
ปกติเขาจะใช้ชีวิตอยู่แบบไม่ต้องถูกถาม นั่นคือการรับการดูแลจากวาเลนเซียเพียงฝ่ายเดียว การถูกถามถึงใครสักคนเพียงสามครั้งก็นับว่ามากในความรู้สึกเขาแล้ว
เรสซี่นึกอยากรู้ว่าคำถามนั้นใช่คำถามประเภทเดียวกับเธอหรือเปล่า “เขาถามถึงใครหรือคะ คงไม่ใช่พระเจ้าหลุยส์ที่สิบห้าอย่างคำถามของฉันหรอกนะ?”
ทริสทรี่สั่นศีรษะ “เป็นเด็กสาวแปลกหน้า อายุประมาณไม่เกินสิบห้าหรือสิบหกปี ข้าไม่รู้หรอกว่านางเป็นใคร ข้าไม่ทราบด้วยซ้ำว่าฮิโรชิเข้าใจว่าข้ามีความเกี่ยวข้องกับนางในด้านใด”
“ฮิโรชิ...ฮิโรมิ” เรสซี่มองขึ้นด้านบนคล้ายจะนึก “เมื่อครู่คุณพูดว่า ‘ฮิโรมิ’ หรือเปล่าคะ”
To be continue.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ