Evoden

7.3

เขียนโดย Toliew

วันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 14.45 น.

  4 บท
  6 วิจารณ์
  7,197 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557 14.04 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) มูน (Moon)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
          รุ่งเช้าบริเวณเคาเตอร์ของตึกเอ็มที่เป็นอาคารพักชาย มานูเอลเจ้าหน้าที่ดูแลหอกำลังง่วนอยู่กับการตรวจเช็คความเรียบร้อยต่างๆภายในอาคาร และเอกสาร
          “ภารกิจที่หนึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้วนะครับ” นัยพูดเบาๆกับมานูเอล ในขณะที่พูดเขาก็ทำท่าหยิบเอกสารแผ่นพับขึ้นมาดูเล่น
          “เดียวจะแจ้งผลลัพธ์กลับไปให้”
          “คุณทราบไหมครับว่า....ทำไมองค์กรต้องสั่งให้ผมรั้งความสามารถเอาไว้อยู่ในระดับบรอนซ์”
          “ฉันทำหน้าที่เป็นแค่คนส่งมอบภารกิจ จึงไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลพวกนั้น”มานูเอลตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
          “งั้นก็ไม่เป็นไรครับ”
          “อีกอย่างทางองค์กรฝากเตือนมาด้วยว่า พยายามอย่าทำตัวให้เป็นจุดเด่นไม่เช่นนั้นการดำเนินภารกิจจะยุ่งยาก”
          “เรื่องนั้นทราบอยู่แล้วละครับ ถ้างั้นผมไปก่อนนะครับรู้สึกว่าคนอื่นๆจะเริ่มลงมากินเข้าเช้ากันแล้ว”
          ในการทดสอบเมื่อวานนัยคิดที่จะปกปิกความสามารถของตนเองเอาไว้ ตามคำสั่งขององค์กรที่ฝากผ่านมาทางมานูเอลเมื่อวานตอนเช้า ตอนนั้นนัยก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยไม่คิดว่ามานูเอลจะเป็นหนึ่งในคนขององค์กรที่อยู่บนเกาะนี่
          นัยคำนวณเอาไว้ว่าอยากจะได้ระดับไอคิวอยู่ที่สองร้อยหกสิบสี่เพื่อให้ได้ระดับบรอนซ์ โดยการหลอกถามผู้ที่มาทดสอบเขาว่ามีการทดสอบรูปแบบไหนบ้างอย่างละกี่ข้อ หลังจากนั้นนัยก็แกล้งที่จะตอบผิด และทำท่าเป็นเหมือนกำลังนั่งคิดในส่วนที่เวลามีผลกับคะแนน เพราะนัยเคยอ่านเรื่องวิธีการวัดไอคิวกับการให้คะแนนไอคิวสำหรับแต่ละรูปแบบการทดสอบมาก่อนในสมัยที่วันๆของเขาคือการนั่งเล่นอยู่ในห้องสมุด สรุปจากการทดสอบเมื่อวานเขาก็ไม่รู้ว่าเขาได้ระดับไอคิวเท่าไหร่เพราะทางนั้นไม่ได้แจ้งเรื่องผลคะแนน แต่อย่างน้อยภารกิจก็สำเร็จลุล่วง
<><><><><><><><> 
 
          นัยเปิดประตูห้องเรียนก็พบบรรยากาศในห้องที่ไม่ได้ต่างไปจากเมื่อวาน ทุกคนในห้องต่างจับกลุ่มพูดคุยกัน ในนั้นก็รวมถึงนภาด้วยที่กำลังจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนานกับเพื่อนรวมชั้นผู้หญิงสองคนที่เข้ามาชวนเธอไปกินข้าวกลางวันในวันก่อน
          “นั้นไงนายตาปลาตายโผล่ออกมาแล้ว” หนึ่งในหญิงสาวพูดขึ้นแทบจะทันทีเมื่อเห็นนัย
          “สวัสดีนัย” นภาทักทาย
          “สวัสดีนภา อยู่ใกล้กับผู้หญิงคนนั้นมากๆ ระวังจะโดนหมัดจากยัยพุดเดิ้ลนั้นโดดใส่นะ” เพราะว่าเมื่อวานนัยอยู่ในอารมณ์เบื่อปางตายทำให้เขาไม่อยากต่อร้องต่อเถียงกับผู้หญิงคนนี้ แต่ไม่ใช่สำหรับวันนี้ที่เขามีพลังงานเกินร้อย
          “เมื่อกี้นายว่าใครเป็นพุดเดิ้ลนะนายตาปลาตาย!!!” หญิงสาวผมสั้นสีบลอนด์หยิกลอน ถามกลับด้วยน้ำเสียงสูงแหลม พร้อมกับชี้มายังนัย
          “นัยอย่าไปว่า เอริอย่างนั้นสิ” นภาพูดด้วยน้ำเสียงดุๆเล็กน้อย
          “คร้าบๆ ขอโทษคร้าบ” นัยตอบลากเสียง
          สำหรับนัยเอริเป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญไม่ใช่น้อยเพราะเสียงสูงกับท่าทางไฮเปอร์สุดๆของเธอ จนเขาเริ่มสงสัยว่าเอริเป็นเพื่อนกับผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆได้อย่างไร เพราะผู้หญิงอีกคนกลับเป็นคนที่ดูเงียบๆไม่ค่อยพูดจาเท่าไหร่บวกกับผมทรงกะลาสีดำ ตัวเล็กผิวขาว ทำให้ดูเหมือนถอดแบบมาจากตุ๊กตาญี่ปุ่นไม่มีผิด และจุดเด่นอีกอย่างของเธอคือนกแก้วที่เกาะอยู่บนไหล่ซ้าย
          “ยังไงก็เป็นเพื่อนกันดีกว่า งั้นก็ข้อแนะนำอีกครั้งนะ นี่คือนัย ส่วนนี่เอริ มายุและเนโกะ” นภาแนะนำชื่อแต่ละคนจากซ้ายไปขวามือของเธอโดยเริ่มจากนัย
          “เดี๋ยวๆนภา ใครคือเนโกะ”
          “นั่นคือชื่อของนกแก้วของมายุนะ แล้วรู้ไหมว่าพลังของเอริกับมายุสุดยอดไปเลยละ เอริน่ะสามารถเปล่งเสียงออกมาในความถี่ต่างๆได้ และเธอยังบอกว่าสามารถเห็นภาพจากเสียงที่สะท้อนกลับมาด้วย”
          “โห้.. “ นัยอุทาน
          “อึ้งไปเลยละสินายตาปลาตาย” เอริพูดด้วยความภาคภูมิใจ
          ”นอกจากทรงผมที่เหมือนพุดเดิ้ลแล้วยังเป็นลูกครึ่งค้างคาวด้วยไม่ธรรมดาเลยจริงๆนะครับ ทำผมอึ้งไปเลยจริงๆ” นัยพูดเสริม
          “นภาเธอเป็นเพื่อนกับนายกวนประสาทแบบหมอนี่ได้ยังไง”
          “น่าๆ อย่าทะเลาะกันสิ เอริเธอเองก็ผิดที่เรียกนัยว่าตาปลาตายนะ” น้ำเสียงที่อ่อนโยนของนภาทำให้เอริไม่กล้าเถียงต่อ
          “ส่วนมายุเองก็สามารถคุยกับสัตว์ประเภทนกได้ทุกชนิดเลยละ” นภาพูดต่อ
          “สวัสดีค่ะ มายุค่ะ ส่วนนกแก้วชื่อ เนโกะค่ะ” เสียงทักทายที่ดังมาจากทางไหล่ซ้ายของมายุ
          “ปกติมายุจะให้นกแก้วเป็นคนพูดแทน เท่สุดๆไปเลยใช่ไหมนัย” นภาหันมองมาทางนัยด้วยแววตาระยิบระยับ
          ในขณะที่บทสนทนากำลังได้ที่ก็มีเสียงขัดจังหวะดังขึ้นมา
          “เอี๊ยด~” เสียงเลื่อนประตูของอาจารย์ประจำชั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้เอริกับมายุต้องแยกย้ายกลับไปนั่งที่ของพวกเธอ
<><><><><><><><> 
 
          “อ๊อดดด!!!”
          เป็นอีกวันที่นัยรู้สึกเหมือนได้ถอดวิญญาณไปเที่ยวรอบโลก
          “นภาวันนี่ไปกินข้าวด้วยกันไหม” เสียงเอริดังเจี๊ยวจ้าวหน้าโต๊ะนภาทันทีที่อาจารย์เดินออกจากห้อง
          “อืม ได้สิ”
          แล้วนภาก็หันมาหานัยที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ
          “นัยไปด้วยกันไหม?”
          “ไม่เป็นไรนภา วันนี้ไปกินกับพวกนั้นเถอะ”
          “งั้นไปกันเถอะนภาไปช้าเดียวขนมปังไส้ทูน่าสุดอร่อยที่มีจำนวนจำกัดจะหมดเอา เมื่อกินเสร็จเราไปชิมร้านของหวานเปิดใหม่ในเมืองกัน let’s go” ทันใดนั้นเอริการดึงมือนภาออกไปอย่างรวดเร็ว โดยที่นภาได้แต่ชำเลืองมองนัยที่นั่งอยู่ในห้องคนเดียว
          สักครู่ใหญ่กว่าที่นัยจะดึงชิ้นส่วนวิญญาณที่ล่องลอยกระจายอยู่ทั่วโลกกลับมาและมีแรงเดินไปโรงอาหาร
          “นัย หยุดก่อน!!!” ระหว่างที่เดินอยู่บนระเบียงทางเดินเขาก็ได้ยินเสียงของใครบางคนเรียกจากทางด้านหลัง เมื่อเขาหันกลับก็พบกับปีเตอร์ที่วิ่งตรงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
          “มีอะไรเหรอปีเตอร์”
          “อ้าวนภาไม่ได้อยู่ด้วยเหรอ เพราะเมื่อกี้พวกรุ่นพี่พวกนั้นมันลากฉันไปถามหาผู้หญิงที่ลักษณะเหมือนกับนภาทำไมก็ไม่รู้ เเต่ฉันก็หลอกพวกนั้นไปว่าไม่รู้จัก เอ๊ะ!!!”  ปีเตอร์ส่งเสียงเมื่อคิดอะไรออกได้บางอย่าง
          “...หรือว่าพวกนั้นจะรู้แล้วว่าตอนนั้นพวกนายเป็นคนหลอก”
          “ไม่น่าจะใช่เพราะตอนนั้นเป็นเสียงของผมที่ร้องออกไป ดังนั่นถ้ามันอยากจะหาคนที่หลอกพวกมันต้องถามถึงผมสิไม่ใช่นภา”
          “ถ้างั้นทำไมละ?”
          “เรื่องเหตุผลเอาไว้ก่อน ตอนนี้ต้องรีบหานภาให้เจอ นี่ปีเตอร์ผมมีอะไรอยากจะถามหน่อย”
          “อืม ถามมาได้เลย”
          “ร้านของหวานที่เปิดใหม่อยู่ตรงไหน?”
          หลังจากที่ปีเตอร์ระบุจุดตำแหน่งของร้านบนแผนที่ในคอยน์ของนัยเรียบร้อย นัยก็รีบมุ่งตรงไปตามเส้นทางที่คิดว่าพวกเธอจะเดินไป ระหว่างที่วิ่งแม้ว่านัยจะพยายามติดต่อนภาผ่านทางคอยล์เท่าไหร่ก็ไม่มีการตอบรับ
          จนกระทั้งถึงบริเวณที่นัยได้ยินเสียงสูงแหลมของเอริดังออกมาจากซอยข้างตึกที่ไม่ค่อยมีคนใช้สัญจร เสียงที่ดังออกมาเป็นเสียงโวบวายสั้นๆ ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาบนทางหลักไม่ได้สนใจในเสียงนั้น ยกเว้นก็แต่นัยที่กำลังตามหาพวกเขาอยู่
          นัยวิ่งตรงเข้าไปในซอยที่ลึกประมาณห้าสิบเมตรก็ถึงหัวมุมหักเลี้ยวเก้าสิบองศา อีกด้านหนึ่งของหัวมุมหักโค้งนั้นคือชายสี่คนที่ยืนล้อมพวกนภาอยู่
          “นี่แม่หนู เมื่อวานขอบคุณมาก แต่ตอนนี่ชั้นอยากได้มันคืนแล้วละ” ชายที่ดูเหมือนหัวหน้าพูดกับนภา
          “คุณกำลังพูดถึงอะไรค่ะ ชั้นไม่เข้าใจ” นภาตอบด้วยความงุนงง
          “อย่ามาทำแกล้งเป็นไม่รู้ มันอยู่ในกระเป๋าใบนั่นใช่ไหม”
          “คุณไม่มีสิทธิมาค้นของของคนอื่นนะค่ะ”
          “นั่นไงมันอยู่ในนั้นจริงๆใช่ไหม เอามานี้”
          เมื่อพูดจบชายคนนั้นก็พยายามที่จะพุ่งเข้าหานภาเพื่อหยิบฉวยเอากระเป๋าใส่หนังสือของเธออย่างสุดแรงที่เขามี
          “อย่าน๊า!!!!” นภาหลับตาและร้องด้วยความตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นเธอกลับกอดกระเป๋าของเธอไว้แน่น
          “รุ่นพี่ครับใช้กำลังกับผู้หญิงมันไม่ดีหรอกนะครับ” นัยพูดขึ้นนิ่งๆแต่แฝงไปด้วยความโกรธ
          มือของชายคนนั้นหยุดอยู่ห่างจากกระเป๋าของนภาไม่ถึงห้าเซนติเมตร แต่ก็ไม่สามารถนำมือเข้าไปใกล้มากกว่านี่ได้เพราะโดนนัยจับที่ข้อมือเอาไว้แน่น
          “นัย!!!” ในวินาทีนั้นนภาอุทานด้วยความแปลกใจและดีใจไปพร้อมๆกัน
          “ไม่รู้ว่าน้องชายเป็นใคร แต่ทำแบบนี่แสดงว่าอยากมีส่วนร่วมใช่ไหม” ชายที่โดนนัยจับมือ สะบัดมือของนัยที่จับอยู่ทิ้ง
          “พวกเธอหนีไปก่อนเดียวผมจะถ่วงเวลาเจ้าพวกนี่เอาไว้ให้” นัยพูด
          “ไปกันเถอะมายุ นภา” เอริรีบดึงมือของทั้งสองคนในจังหวะที่ยังมีโอกาส
          “แต่เอริ !!!” นภาพยายามหยุดเอริไว้
          “เชื่อใจฉันนภารีบตามมาเถอะ” เอริบอกกับนภา
          “คิดจะหนีไปไหน” ชายคนหนึ่งที่อยู่ริมสุดพยายามวิ่งตามไปจับพวกนภา แต่เขาต้องหยุดชะงักเมื่อแขนซ้ายของเขาถูกนัยจับเอาไว้ เขาจึงหันกลับมามองที่นัยดวยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
          “แสบ!!!” นัยรู้สึกแสบมือที่จับแขนของชายคนนั้นจนต้องรีบปล่อยในทันที
          “ไม่ต้องตามพวกนั้นไปแล้ว พวกนั้นเอาไว้ทีหลังก็ได้แต่ตอนนี่อยากจะสั่งสอนน้องชายคนนี้ขึ้นมาซะแล้ว” ชายที่เป็นหัวหน้าพูดขึ้น ซึ่งก็เหมือนกับคำสั่งให้ล้อมมันเอาไว้แล้วจัดการมันไม่ให้เหลือซากประมาณนั้น
          “พวกนายมั่นใจใช่ไหม ดูจากท่าทางแล้วน่าจะมีแค่พลังกระจอกๆกันทั้งนั่น ไม่รู้ทำไมถึงอยู่ระดับซิลเวอร์ได้” นัยพูดขึ้นนิ่งๆ
          “เดียวจะแสดงให้ดูว่าพลังกระจอกๆที่แกว่ามันเป็นยังไง” หนึ่งในกลุ่มชายตะโกนขึ้น
          หลังจากนั้นชายทั้งสี่คนก็แสดงพลังอีโอเดนที่แอบซ่อนเอาไว้ออกมาพร้อมๆกันด้วยความโมโหกับท่าทีนิ่งๆที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวของนัย
          “สำเร็จ” นัยคิดในใจ ก่อนจะกระพริบตาหนึ่งครั้งหลังจากนั้นทุกอย่างรอบตัวของเขาก็เคลื่อนไหวช้าลงจนหยุดนิ่งในที่สุด
          “คนแรกคือคนที่อยู่ข้างหน้าจากอาการแสบมือเมื่อกี้และมือที่กำลังถูกย้อมด้วยของเหลวสีน้ำเงินเข้มแสดงว่าน่าจะเป็นพลังที่สามารถขับสารเคมีบางอย่างที่ทำให้ระคายเคลืองผิวหนังออกมาตามร่างกายได้ คนที่สองคนที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ มือกลายเป็นหินไปแล้วแสดงว่าพลังน่าจะเป็นการเปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นหิน คนที่สามคนที่อยู่ทางด้านขวาพลังน่าจะการวิวัฒนาการทางร่างกายจนมีแขนสี่แขน และคนสุดท้ายที่อยู่ข้างหลังและเป็นหัวหน้าของเจ้าพวกนี่ จากไอร้อนที่แผ่ออกมากับเเสงเปลวไฟบนพื้นรับประกันได้เลยว่าตอนนี่มือทั้งสองข้างต้องกำลังเป็นลุกไฟอย่างแน่นอน โอเคเท่านี่ก็รู้พลังอีโวเดนของเจ้าพวกนี่เรียบร้อยแล้วต่อมาคงต้องออกแรงสักหน่อยแล้ว จากการดูตำแหน่งการยืนและท่าทางในตอนนี้ คนที่น่าจะพุ่งมาเป็นคนแรกน่าจะเป็นไอ้คนที่อยู่ด้านหน้า ตามมาด้วยคนที่อยู่ทางด้านขวา ซ้าย และอาจจะตามมาต่อทางด้านหลังสินะ”
          นัยกระพริบตาอีกครั้งทุกอย่างรอบตัวกลับมาเป็นความเร็วปกติ
          “แก!!!!” ชายที่อยู่ข้างหน้านัย พุ่งเอาหมัดที่เต็มไปด้วยของเหลวสีน้ำเงินตรงมายังหน้าของนัย
          นัยเอียงตัวหลบไปทางขวามือทำให้มัดที่พุ่งมาพลาดเป้า ต่อมาเขาก็รีบม้วนตัวหลบไปข้างหน้าเพื่อหลบการจับของชายสี่มือที่พยายามรวบตัวของนัยพร้อมๆกับหลบหมัดที่เป็นหินของชายของด้านซ้ายมือ จนทำให้หมัดที่เป็นหินพุ่งตรงเข้าใส่หน้าของชายสี่มืออย่างจัง เมื่อเขาหลบได้ก็รีบลุกขึ้นหันตัวกลับไปหาชายทั้งสี่อย่างรวดเร็วเพื่อตั้งรับรอการโจมตีของชายที่เป็นหัวหน้า
          ผิดจากที่นัยคาดการณ์เอาไว้ชายคนนั้นไม่พุ่งมาหาเขา แต่เปลวไฟสีแดงบนมือทั้งสองข้างโหมกระหน่ำแรงขึ้นมากเดิมจนทำให้ปลายแขนเสื้อบางส่วนของชายที่เป็นหัวหน้าเกิดเป็นรอยไหม้
          “นึกว่าจะพุ่งมาเป็นคนต่อไปซะอีก” นัยพูด
          “ไม่ต้องพูดมาก แล้วระวังตัวเอาไว้!!!” เมื่อพูดจบชายที่เป็นหัวหน้าก็วิ่งตรงเข้ามาหานัยพร้อมกับเหวี่ยงแขนเป็นวงกว้างเพื่อเพิ่มความแรง แต่นัยก็หลบได้สบายๆไม่ต่างจากสามคนก่อนหน้า และเมื่อกลับมาพูดถึงสามคนก่อนหน้า หลังจากที่พลาดไปก็รีบลุกขึ้นแล้วเข้าตะลุมบอลนัยต่อเช่นเดียวกัน
          ตลอดเวลาหนึ่งนาทีที่ผ่านไปนัยอ่านการเคลื่อนที่และคิดเส้นทางการเคลื่อนที่สำหรับหลบทุกการโจมตีที่เข้ามา เหมือนกับหมากรุกที่เขาถนัดแต่เป็นหมากรุกที่มีกฎของความเป็นจริงกำกับอยู่ ทำให้นัยสามารถหลบการโจมตีได้ทุกครั้งซึ่งนัยก็ไม่ได้ทำการโจมตีกลับเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นนัยก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่แรงกายมีขีดจำกัด ร่างกายเขาเริ่มอ่อนล้าจากการเคลื่อนตัวไปมาเพราะต้องเคลื่อนที่และใช้แรงเป็นสี่เท่าเมื่อเทียบกับชายพวกนั้น นอกจากนั้นต้องยอมรับว่าการใช้แรงเป็นสิ่งที่นัยไม่ถนัดสุดๆ ทำให้เขาคาดการณ์ในใจไว้ว่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเขาจะต้องหมดแรงและเคลื่อนที่ให้เร็วพอที่จะหลบการโจมตีพวกนั้นไม่ได้อีกต่อไป
          “รีบมาซะทีสิ ไม่ค่อยอยากจะใช่แผนสองเท่าไหร่อยู่ด้วย” นัยคิดในใจ
          “เหมือนแกจะเคลื่อนที่ช้าลงนะ เหนื่อยแล้วหรือไง” ชายที่แขนถูกย้อมเป็นสีน้ำเงินพูด นัยไม่อาจปฏิเสธข้อความนั้นได้
          “นัย!!!” เสียงของนภาดังมาจากปากทางเข้าซอย พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่มากกว่าสามคนกำลังวิ่งเข้ามา
          “รุกฆาต” นัยคิด แล้วหยุดนิ่งอยู่กับที่ให้กำปั่นของชายสี่แขนพุ่งเข้าปะทะกับท้องน้อยของเขาโดยไม่ทำการป้องกันใดๆ ความเจ็บปวดมันรุนแรงจนทำให้นัยล้มทั้งยืน
          “หยุด!!!! อย่าขยับ พวกนายทำผิดกฎ ข้อ 5 ห้ามใช้พลังที่มีอยู่ทำร้ายร่างกาย หรือสร้างความรุนแรงให้กับอื่น พวกเราของจับพวกนายเดียวนี่!!!!” หนึ่งในชายสวมปลอกแขนสีแดงจากทั้งหมดห้าคนที่พวกนภาพามาคนตะโกนขึ้น
          ชายทั้งสี่คนหน้าซีดถอดสีในทันที
          นภา เอริและมายุรีบวิ่งเข้าไปหานัยที่นอนคดตัวอยู่บนพื้น
          “เจ็บตรงไหนบางนัย” นภาถาม
          “ถ้าพวกเธอมาช้ากว่านี่ผมได้เจ็บมากกว่านี่อีกเยอะแน่ๆ”
          “ต้องขอบคุณมายุที่บอกให้เนโกะบินตามหาอินสเปกเตอร์จากบนฟ้าทำให้เจอตัวพวกเขาเร็วขึ้นละนะ” เอริอธิบาย
          “อะไรคืออินสเปกเตอร์?”
          “เป็นกลุ่มคนที่เหมือนกับสารวัตรนักเรียนน่ะ” เอริอธิบายต่อ
          ในขณะที่ชายทั้งสี่คนกำลังถูกสวมที่ล็อกข้อมืออยู่ หัวหน้าของพวกนั้นก็เข้าใจบางสิ่งบางอย่างจนหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้
          “ฮะฮะฮะฮะ แกนี่มันแสบจริงๆ ที่ไม่หลบมัดสุดท้ายนั้น ฮะฮะ... นายอยู่ระดับไหนกันแน่ว่ะ?”
          เมื่อนัยได้ยินคำถาม เขาค่อยๆลุกขึ้น ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบคอยน์ออกมา เปลี่ยนไปที่หน้าบอกระดับ แล้วแสดงมันให้กับชายคนนั้นดู
          “ก็ประมาณนี่ละนะ” นัยพูด
          ชายที่เป็นหัวหน้าไม่พูดอะไรต่อได้แต่ยิ้มเพียงอย่างเดียว และเมื่ออินสเปกเตอร์ต้องคุมตัวเขาเดินผ่านนัยออกไปจากซอย ชายที่เป็นหัวหน้าก็พูดขึ้นเบาๆว่า
          “นายนี่เองที่เป็นคนดื่มมูนนั้น"
          เป็นถ้อยคำสั่นๆ แต่มันก็แตกเป็นคำถามมากมายนับไม่ถ้วนภายในหัวของนัย
<><><><><><><><> 
 
          หลังจากผ่านเรื่องราวอันแสนจะวุ่นวายมาได้แล้วทั้งสามคนตัดสินใจพานัยไปเลี้ยงข้าวเพื่อขอบคุณ ที่ได้มาช่วยพวกเธอไว้
          “สั่งมาหมดนี่คิดว่าจะกินหมดใช่ไหม” เอริพูดขึ้นด้วยความตะหงิกๆ เมื่อเห็นอาหารสำหรับสิบคนตั้งเรียงรายอยู่เบื้องหน้าของนัย
          “พวกเธอบอกเองนะว่าสั่งได้เต็มที่ อย่ากลับคำซะละ” นัยพูดขณะที่กำลังยัดอาหารเข้าปาก
          “นัยอย่ากินมูมมามอย่างนั้นสิ” นภาทัก
          “กินเหมือนอดยากมานานเลยนะค่ะ” มายุพูด แต่แน่นอนว่านกแก้วเป็นคนพูดแทน
          เมื่อทั้งสี่กินเสร็จรีบร้อย ถึงจะพูดอย่างนั้นได้ไม่เต็มปากเนื่องจากมีแต่นัยที่กินอยู่คนเดียวเพราะผู้หญิงทั้งสามตัดสินใจเก็บท้องเอาไว้ไปกินร้านขายของหวานที่เปิดใหม่ต่อหลังจากนี้ ถึงพวกเธอจะชวนนัยแต่เขาปฏิเสธที่จะไปด้วยเพราะไม่ชอบกินของหวานๆ
          “นัยไม่ไปด้วยจริงๆเหรอ?” นภาถามนัยอีกครั้ง
          “อืม อีกอย่างไม่ต้องกังวลเจ้าสี่คนนั้นแล้ว เพราะคงถูกกักบริเวณไปอีกนานเลย กฎข้อนั้นแรงอยู่ไม่น้อย”
          “งั้นเจอกันพรุ่งนี่นะ” นภาบอกลา
          “อืมเจอกันพรุ่งนี้”
          “แล้วเจอกันพรุ่งนี่นะ” นภาพูดซ้ำ ซึ่งเหมือนกับจะพยายามสื่ออะไรบางอย่าง แต่นัยก็ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ
          “มีอะไรหรือเปล่า มีอะไรก็บอกได้” นัยตัดสินใจถามไปตรง
          “...” นภาไม่ตอบอะไร ก่อนที่เปิดกระเป๋าถือแล้วหยิบเอาถุงหูหิ้วกระดาษที่ถูกพับใส่ไว้ในกระเป๋าออกมาให้กับนัย
          “อะไรน่ะ” นัยถาม
          “ตั้งใจจะให้ตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว แต่ก็ลืมและยังเกิดเรื่องขึ้นอีกก็เลยไม่ได้ให้สักที” นภาก้มหน้าพูด เพื่อปิดบังแก้มที่แดงของเธอ
          “ขอบคุณครับ” นัยตอบรับแล้วรับมันเอาไว้
          “ไว้เจอกันพรุ่งนี่นะ” นภากล่าวครั้งสุดท้ายแล้วรีบวิ่งไปหา เอริกับมายุที่ยืนรออยู่ห่างๆ
<><><><><><><> 
 
          เมื่อกลับถึงห้องนัยนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะบรรจงหยิบกล่องกระดาษเล็กๆที่อยู่ในถุงกระดาษออกมาแล้วเปิดมันออก สิ่งที่อยู่ภายในคือตัวจี้ที่ไม่มีสายคล้องรูปตัวต่อจิ๊กซอโลหะเงินมันวาวที่สลักข้อความเป็นตัวเขียนไว้ว่า “friendship” หรือมิตรภาพ วางอยู่กลางกล่องที่ปูพื้นด้วยผ้ากำมะยี่เนื้อละเอียดสีแดง
          นี่เป็นครั้งแรกที่นัยได้รับของขวัญจากคนอื่น จนทำให้เขารู้สึกได้ในทันทีว่ามันเป็นของล้ำค่าที่เขาจะเก็บรักษามันเอาไว้เป็นอย่างดี
          ไม่นานนัยก็รู้สึกว่ายังมีอะไรบางอย่างอยู่ในถุงกระดาษ นัยจึงวางกล่องของขวัญที่นภาให้ไว้บนโต๊ะแล้วล้วงมือเข้าไปหยิบบางอย่างนั้นออกมาจากถุงก็พบว่ามันคือหลอดแก้วที่บรรจุของเหลวใสอยู่ภายใน ซึ่งนัยมั่นใจในทันทีว่านี่มันต้องไม่ใช่ของนภาอย่างแน่นอน
          “หรือว่านี่คือมูน สิ่งที่เจ้านั้นกำลังตามหา แล้วทำไมถึงได้มาอยู่ในถุงนี่ละ”
          นัยตัดสินใจทิ้งคำถามเเล้วซ่อนมันเอาไว้ในมุมลึกสุดของลิ้นชัก
<><><><><><><><> 
 
          วันที่สามของการมาอาศัยอยู่บนเกาะ หลังจากเสียงสัญญาณแจ้งเตือนหมดเวลาเรียนดังขึ้น เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเอริก็ดังอยู่หน้าโต๊ะของนภาเช่นเคย
          “นี่เอริ”นัยพูดขึ้น
          เอริทำสีหน้าประหลาดใจ เหมือนกับเห็นพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกยังไงยังงั้น
          “ยอมเรียกชื่อดีๆแล้ว ยังจะมากวนกันอีก” นัยพูด
          “ล้อเล่นน่าๆ ก็แปลกใจจริงๆที่อยู่ดีๆนายมาเรียกชื่อแบบนี่” เอริพูด
          “อยากถามอะไรหน่อยว่าเธอรู้จัก’มูน’หรือเปล่า” นัยถาม
          “ไม่นะ มายุละเคยได้ยินรึเปล่า” เอริหันไปถามมายุที่ยืนอยู่ข้างๆ
          “ไม่นะคะ” นกแก้วตอบ
          “มันคืออะไรเหรอนัย” นภาถาม
          “เปล่าๆไม่มีอะไร แค่ได้ยินใครบางคนพูดมาเลยสงสัยนิดหน่อยว่ามันคืออะไร” นัยตอบ
          “นภาไปกินข้าวกันเถอะ แล้วนายละ...นัยอยากไปกินด้วยกันไหม” เอริถาม
          นัยทำสีหน้าประหลาดใจ เหมือนกับเห็นพระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันออกยังไงยังงั้น
          เอริที่เห็นอย่างนั้นเธอกำหมัดขึ้นมาและอยากจะประกบมันบนหน้าของนัยสุดๆ
          “วันนี่ผมมีธุระคงไปด้วยไม่ได้”
          “ธุระอะไรเหรอ ให้ไปเป็นเพื่อนไหม” นภาถาม
          “ธุระส่วนตัวน่ะ ไม่มีอะไรหรอกไม่ต้องเป็นห่วง”
          “งั้นพวกเราไปก่อนนะถามเกิดเปลี่ยนใจก็ตามมาละกัน” เอริพูด แล้วหลังจากนั้นพวกเธอสามคนก็เดินจากไป
          “พวกนั้นไม่รู้จัก และจะถามใครไปเรื่อยเปื่อยก็ไม่ได้ คงเหลือแต่หมอนั้นคนเดียวสินะ” นัยคิด
<><><><><><><><> 
 
          “ไม่คิดว่าจะยังอยู่ตรงนี่ ทั้งทีพวกนั้นโดนจับไปกักบริเวณหมดแล้ว” นัยทักทายปีเตอร์ที่นั่งอยู่คนเดียวบริเวณหลังอาคารเรียนที่ที่พบกันครั้งแรก
          ปีเตอร์ที่กำลังนั่งกินขนมปังไส้ทูน่าหันไปทางที่มาของเสียงเรียก
          “ฉันชอบอยู่ตรงนี่มาตั้งนานแล้ว ก่อนที่รุ่นพี่สี่คนนั้นจะมาพบฉันอยู่คนเดียว มีอะไรรึไงถึงได้มาตามหาฉัน” ปีเตอร์ถามกลับ
          “ก็แค่อยากมาขอบคุณเรื่องเมื่อวานน่ะ”
          “คิดว่าเจ๊ากันไปละกัน”
          “เอางั้นก็ได้”
          นัยเดินไปนั่งข้างปีเตอร์
          “มีอะไรสงสัยอยากจะถามหน่อย นายรู้จัก’มูน’ไหม” นัยเริ่มเปิดประเด็น
          ปีเตอร์แสดงสีหน้าแปลกใจทันทีที่ได้ยินคำถาม ทำให้นัยรู้ได้ว่าในที่สุดเขาก็มาถามถูกคนจนได้
          “ไปได้ยินมาจากไหน”
          “พวกรุ่นพี่ที่เจอเมื่อวานพูดชื่อนั้นออกมาน่ะ”
          “อยากจะรู้จริงๆใช่ไหม?”
          “แน่นอน”
          “.... มูนมันเป็นชื่อของยาที่ขายต่อกันอย่างลับๆ ความสามารถของมันก็คือพัฒนาพลังอีโวเดนให้สูงขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆก่อนที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ก็น่าแปลกใจนะที่รุ่นพี่คนนั้นรู้จักมันด้วย”
          “ทำไมละ”
          “เพราะยานี่ถูกบอกต่อและแจกจ่ายให้เฉพาะกับระดับบรอนซ์เท่านั้นนะสิ เลยแปลกที่ระดับซิลเวอร์รู้จักมัน”
          “แล้วทำไมต้องเป็นเฉพาะระดับบรอนซ์ล่ะ”
          “ได้ข่าวว่าจุดประสงค์ของคนที่แจกจ่ายยาตัวนี้ จะแจกจ่ายให้กับเฉพาะระดับบรอนซ์ที่มีปัญหากับพวกซิลเวอร์หรือโกลด์ เพื่อให้พวกเขาได้ใช้แก้แค้น”
          “...ขอโทษที่ต้องถามแบบนี่นะปีเตอร์ นายเคยใช้มันบางหรือเปล่า”
          “ไม่เคย แต่ก็เคยเห็นอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นฉันถูกปีหนึ่งระดับบรอนซ์ที่มีปัญหาเหมือนกันชวนไปซื้อมูน สถานที่รับจะถูกสุ่มไปเรื่อยๆแต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือจะถูกแจกจ่ายเฉพาะบวกลบหนึ่งวันของวันที่พระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น”
          “แล้วยานั่นลักษณะมันเป็นยังไง”
          “เป็นของเหลวใสที่ถูกบรรจุอยู่ในหลอดแก้ว”
          ลักษณะที่ปีเตอร์บรรยายออกมาเหมือนกับหลอดแก้วที่นัยพบในถุงกระดาษเมื่อวาน หลังจากที่เขาได้พูดคุยก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ซะทีนัยคิดในใจ
          “ขอบคุณมาก ตอนนี้ผมติดหนี้นายแทนแล้วละ”
          “ฉันอยากเตือนนายไว้อย่างนึ่งว่าอย่าไปยุ่งกับมันจะดีกว่า”
          “ไม่คิดจะยุ่งอยู่แล้วละ แค่อยากรู้ไว้เป็นข้อมูลเฉยๆ” นัยพูดก่อนที่จะลุกขึ้น
          “งั้นผมไปก่อนนะ ตอนนี้เริ่มสงสัยขึ้นมาเเล้วละว่าขนมปังไส้ทูน่านี่มันอร่อยขนาดไหนกันทำไมมีเเต่คนพูดถึง” นัยบอกลาแล้วเดินจากไป            
          หลังจากที่เดินไปได้สักพักใหญ่ก็มีเสียงดังมาจากคอยน์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของนัย
          “ตืด~~ ตืด~~ ตืด~~”
          นัยล้วงมันออกมาก็พบว่าเป็นสายเรียกเข้าจากนภา
          “มีอะไรเหรอนภา” นัยถาม
          “นัยมีคนอยากจะพบนาย พวกเราจะรออยู่ด้านหน้าทางเข้าศูนย์อาหารของโรงเรียนนะ”
          “อืม จะไปเดียวนี่แหละ”
          นัยวางสายแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปศูนย์อาหารให้เร็วขึ้น
<><><><><><><><> 
 
          เมื่อเดินไปใกล้กับศูนย์อาหารนัยก็พบคนห้าคนที่กำลังยืนรอเขาอยู่ คือนภา เอริ มายุ และชายสวมปลอกแขนสีแดงหรืออินสเปกเตอร์อีกสองคน
          “นัยพวกเขาบอกว่ามีเรื่องอยากจะถาม” นภาเล่า
          “ถามมาได้เลยครับ ถ้าตอบได้ผมจะตอบ” นัยหันไปบอกว่าหนึ่งในชายสวมปลอกแขน
          “คุยกันตรงนี่คงไม่สะดวกช่วยตามพวกเรามาด้วยนะครับ” ชายสวมปลอกแขนบอก
          “แต่ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย”
          “ไม่เป็นไรครับ เดียวทางเราจะเตรียมข้าวไว้ให้ ระหว่างนั้นก็กินไปตอบคำถามเราไปก็ได้ครับ”
          นัยรู้ว่าคงไม่มีทางปฏิเสธได้แน่ๆ เพราะยังไงชายสองคนนี่ไม่ได้มีจุดประสงค์มาเพื่อขอร้องแต่เมื่อเพื่อสั่งนัยให้ตามพวกเขาไป
          “เอางั้นก็ได้ครับ” นัยตอบตกลง
          “ขอบคุณครับที่ให้ความร่วมมือ”
          “พวกเราต้องไปด้วยไหมคะ?” นภาถามชายสวมปลอกเเขน
          “ไม่ต้องครับ เพราะต้องการคุยกับชายคนนี้เเค่คนเดียว”หนึ่งในชายสวมปลอกเเขนบอก
          หลังจากนั้นนภาก็ยืนมองจนกระทั้งพวกเขาเดินหายไปจากสายตา
<><><><>< To be continued ><><><><>

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา