Evoden

7.3

เขียนโดย Toliew

วันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 14.45 น.

  4 บท
  6 วิจารณ์
  7,193 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557 14.04 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บรอนซ์ ซิลเวอร์ โกลด์ แพลทินัม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
          ตัวโรงเรียนตั้งอยู่บริเวณใจกลางและถือเป็นศูนย์กลางของเกาะแห่งนี้ ภายในอาณาเขตรั้วโรงเรียนแห่งนี้มีทั้งอาคารเรียนร่วม อาคารเรียนเฉพาะด้าน โรงยิม สนามกีฬา และอาคารอื่นๆอีกมากมายจนทำให้กินพื้นที่ถึงหนึ่งในสี่ของพื้นที่ทั้งหมดที่เกาะมีในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ห่างจากอาคารที่พักชายของนัยไม่ไกลนัก นัยสามารถเดินถึงประตูใหญ่โรงเรียในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที
          ตลอดเส้นทางนัยที่เขาใช้เดินมาโรงเรียน เขาพบแต่นักเรียนชายเท่านั้น นั่นก็เพราะที่พักชายกับหญิงจะอยู่ในคนละด้านของเกาะ ถ้าหากรอบๆเริ่มเห็นผู้หญิงมากขึ้นก็แสดงว่าใกล้ถึงประตูโรงเรียนแล้วนั้นเอง
          นัยที่เดินมาถึงทางประตูหน้าของโรงเรียนก็สังเกตเห็นนักเรียนสวมปลอกแขนสีขาวยื่นประจำอยู่เสาละสองคนประจำเสาทั้งสองข้างของประตู พวกนั้นยืนมองไปรอบๆราวกับกำลังมองหาบางอย่างหรือใครบางคนอยู่
          “นัย”
          นัยหันกลับหลังเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเรียก เจ้าของเสียงเป็นนักเรียนหญิงคนหนึ่งสวมแว่นตาขอบหนาสีดำ ผมสีน้ำตาลดำยาวถึงบริเวณต้นคอ สวมเครื่องแบบนักเรียนที่ดูเข้ากับเธอมากจนเหมือนเสื้อชุดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเธอโดยเฉพาะก็ว่าได้ ในทีแรกนัยก็เกือบจะจำเธอไม่ได้จนกระทั่งสังเกตเห็นดวงตาสีฟ้าของเธอ
          “นภาใช่ไหม พอปล่อยผมกับสวมแว่นดูเปลี่ยนไปจนเกือบจำไม่ได้เลย แล้วนภาเอาแว่นตามาจากไหน” นัยถาม
          “เจ้าหน้าที่หอเขาเอามาให้เมื่อคืน”
          “แล้วยังอยากจะไปซื้อใหม่อยู่ไหมละ”
          “อืม เพราะแว่นนี้ยังดูสึกใส่ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่”
          “งั้นถ้าทดสอบในตอนบ่ายเสร็จเราไปกันเลยไหม” นัยถาม
          “อืม”
          การทดสอบที่นัยพูดถึงคือการทดสอบเพื่อวัดระดับพลังของอีโวเดน ซึ่งอีโดวเดนทุกคนที่มายังเกาะแห่งนี่ครั้งแรกต้องเข้าทดสอบเพื่อจัดระดับ ระดับถูกแบ่งออกเป็นสี่ระดับเรียงจากต่ำไปสูง คือ บรอนซ์(bronze), ซิลเวอร์(sliver), โกลด์(Gold) และแพลทินัม(Platinum) การทดสอบจะมีในช่วงบ่ายหลังจากเรียนเสร็จในช่วงเช้าตามข้อความที่คุณมาริลินส่งให้ในเมื่อชั่วโมงก่อนผ่านทางคอยน์ ดังนั้นเวลานี่ที่ที่พวกเขาต้องไปคือห้องพักครู
          “พวกเธอสองคนคือนัยกับนภาใช่ไหม” ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อกาวกับแว่นตาหนาๆท่าทางใจดี ทักพวกเขาทันทีที่พวกเขาเปิดประตูเข้ามา
          “ครับ/ค่ะ”
          “มากันตรงเวลาพอดีเลย ฉันเป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเธอ นี่ก็จะได้เวลาแล้วเราไปกันเลยดีกว่า” ชายวัยกลางคนที่เป็นอาจารย์ประจำห้องของพวกเขาลุกขึ้นทันทีที่พูดจบ พร้อมกับหยิบเอาหนังสือและเอกสารที่จะใช้สอนขึ้นมาถือไว้
          “ตามมาเลย เดียวฉันจะนำทางไปห้องของพวกเธอเอง”
          ระหว่างที่เดินตามอาจารย์ประจำชั่นเพื่อไปยังห้องเรียน นัยก็คิดวาดฝันในใจว่าที่มหานครการศึกษาจะต้องมีหลักสูตรการศึกษาที่ยอดเยี่ยมที่สุดไม่เหมือนกับโรงเรียนเก่าที่ไม่รู้จะบรรยายความน่าเบื่อของมันออกมายังไง มันทำให้นัยรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เเต่ไม่นานเขาก็พบว่ามีใครบางคนที่ตื่นเต้นกว่าเขาอยู่มากๆนั้นคือนภา เพราะเธอเอาแต่พูดบทแนะนำตัววนซ้ำไปซ้ำมาเบาๆในลำคอ
          หลังจากที่เดินมานานพอสมควร อาจารย์ประจำชั้นของพวกเขาก็เดินมาหยุดอยู่หน้าห้องเรียน
          “ได้เข้าโรงเรียนครั้งแรกคงตื่นเต้นไม่น้อยใช่ไหมละ” อาจารย์ประจำชั้นหันมาถามนภา
          “นิดหน่อยค่ะ”
          ‘?’ นัยสงสัยบทสนทนาของทั้งคู่อยู่พอสมควรแต่ไม่ทันที่เขาจะได้ถามเพื่อคายความสงสัย อาจารย์ประจำชั้นก็เปิดประตูห้องพร้อมกับเดินเข้าไปโดยมีนภาเดินตามเข้าไปติดๆ
          ภายในห้องเรียนมีบรรยายกาศเหมือนกับห้องเรียนสุดแสนจะธรรมดาทั่วไป มีกระดาน โต๊ะอาจารย์ โต๊ะเรียนเก้าอี้ กับนักเรียนที่แยกย้ายกลับไปนั่งที่เมื่อเห็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเขาเดินเข้ามา ผิดกลับที่นัยคิดเอาไว้เล็กน้อย
          ‘นี่เราเป็นพวกดูจากเปลือกนอกตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้ห้องเรียนจะดูธรรมดาแต่ดูจากอาจารย์ประจำชั้นแล้วน่าจะเป็นระดับดอกเตอร์อยู่แล้ว อย่าลืมสิว่าพวกที่นั่งอยู่ตรงหน้าเรามีแต่พวกพลังเหนือมนุษย์ทั้งนั้น’ นัยคิดในใจ
          “วันนี้จะมีนักเรียนย้ายมาอยู่ห้องนี่เพิ่มสองคน” อาจารย์ประจำชั้นพูดทิ้งช่วง เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้นภาเริ่มแนะนำตัว
          “…..” นภาเงียบ
          “.....ผมชื่อนัย ขอไม่พูดถึงเรื่องพลังที่มีเพราะผมก็ยังไม่ค่อยมันใจว่ามันคืออะไร ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”
          อันที่จริงคนที่ต้องเริ่มแนะนำตัวก่อนคือนภาเพราะเป็นคนที่ยืนถัดจากอาจารย์ แต่นัยเห็นเธอยืนนิ่งจึงซื้อเวลาให้เธออีกเล็กน้อยด้วยการแนะนำตัวก่อน
          “ฉ...ฉันชื่อ..น..ภา....ความ..สา..มารถคือ...สะกดจิตให้หลับโดยการ...จ้องตาค่ะ!!! หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะคะ ขอบคุณค่ะ!!!!” นภาพูดติดๆขัดๆ แถมยังใส่น้ำเสียงโดยไม่จำเป็นอีกด้วย แต่จนแล้วจนรอดเธอก็สามารถพูดได้จนจบแม้จะไม่ราบรื่นก็สักเท่าไหร่
          “ที่นั่งของพวกเธอสองคนอยู่ด้านหลังตรงนั้นนะ” อาจารย์ประจำชั้นชี้ไปยังโต๊ะว่างสองตัวที่อยู่ข้างกันในแถวสุดท้ายของห้อง
          หลังจากที่ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติการเรียนก็เริ่มขึ้น โดยการใช้คอยน์แทนหนังสือเรียนอย่างที่นัยคิดเอาไว้ แต่ทันทีที่เปิดเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ที่จะต้องเรียนในวันนี้นัยถึงกับนั่งนิ่งไปเกือบห้าวินาที หลักสูตรที่มีอาจารย์ระดับดอกเตอร์มาสอนตามที่นัยวาดฝันเอาไว้แตกสลายเหมือนแผ่นกระจกบางๆที่ถูกรถบดถนนขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี
          ‘นี่มันไม่ต่างจากโรงเรียนปกติเลยไม่ใช่หรือไง’ นัยตะโกนลั่นในความคิด
<><><><><><><><> 
 
          “อ๊อดดด!!!” สัญญาณเสียงที่เป็นเหมือนเสียงสวรรค์สำหรับนัยที่กำลังนั่งเหมอลอยจนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างไปไกล
          “นภาไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันไหม” เสียงของกลุ่มหญิงสาวสองคนเดิมมารุมล้อมนภา
          “ขอบคุณมากนะ แต่วันนี้ต้องไปทดสอบและนัดกับนัยเอาไว้แล้วด้วยว่าจะไปซื้อแว่นด้วยกัน” นภาตอบ
          “กับนายตาปลาตายที่นั่งข้างๆเธออ่ะนะ” หนึ่งในหญิงสาวส่งสายตาชี้ไปยังนัยขณะที่พูด
          ทำให้นภาหันมองไปตามสายตานั้น ก็รู้สึกได้ถึงออร่าขุ่นมัวที่แผ่ออกมาโดยรอบเหมือนกับนัยกำลังสร้างกำแพงที่ติดป้ายเอาไว้ว่า ‘ไม่ต้อนรับ’ เอาไว้ยังไงยังงั้น
          “อืม” นภาหันหลับมาตอบด้วยน้ำเสียงเจือๆ
          “งั้นพวกเราไปก่อนนะ บาย”
          “ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
          เมื่อหญิงสาวทั้งสองคนเดินจากไป นภาก็หันกลับไปทักนัย
          “นัยดูเบื่อๆนะ” นภาพูด
          “ใช่รู้สึก เบื่อมากๆๆๆ จนอยากจะสร้างไทม์แม็กชีนเพื่อไปเอาเวลาสี่ชั่วโมงที่เสียไปกลับคืนมาเลยละ” นัยพูดออกมารัวๆ
          “ไม่รู้สึกสนุกเลยเหรอ ชั้นรู้สึกมีความสุขมากเลยที่ได้มาเรียนในห้องเรียนแบบนี้” นภาพูดพร้อมกับยิ้มนุ่มนวลอย่างมีความสุข ซึ่ีงนัยรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน
          “ไปกินข้าวแล้วไปทดสอบกันเถอะ” นัยพูดตัดก่อนลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
          ทั้งสองเลือกไปกินโรงอาหารของโรงเรียนที่มีร้านค้าที่ขายอาหารหลากหลายชนิด มีทั้งอาหารที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาพวกเขายังไม่เคยเห็นก็มี เพราะโรงอาหารนี้ต้องรองรับคนจากทั่วโลกนั้นเอง
          นัยเลือกกินข้าวราดแกงธรรมดาๆเช่นเดียวกันกับกับนภา ระหว่างที่กินอยู่นัยก็ตัดสินใจถามนภาในเรื่องที่รบกวนในใจเขาตั้งแต่เช้า
          “นภา ไม่เคยมาโรงเรียนมาก่อนเลยเหรอ?”
          เมื่อนภาได้ยินคำถามนั้นเธอก็วางช้อนส้อมลงบนจานเบาๆอย่างเรียนร้อย และเงียบไปสักพักก่อนที่จะพูดขึ้น
          “อืม... ตั้งเเต่เด็กเเล้วท่านเเม่มักจะจ่างอาจารย์มาสอนหนังสือที่บ้าน ท่านบอกว่าไปโรงเรียนก็มีเเต่จะไปเหลวไหล”
          “ฟังดูเเล้วน่าจะเป็นเเม่ที่เข้มงวดไม่ใช่น้อยเลย”
          “เเล้วเเม่ของนัยไม่เข้มงวดบางหรอ?”
          “อ๋อ ตั้งเเต่จำความได้ก็ไม่เคยพบเเม่สักครั้งเลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นคนเข้มงวดหรือเปล่า ”
          นภาทำสีหน้าตกใจ เธอรู้สึกว่าเธอเผลอพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไป
          "นัยขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่า..."
          เเต่ก่อนที่นภาจะพูดจบนัยก็ตัดบทขึ้น
          "ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมชินเเล้วละ" นัยพูดด้วยท่าทางปกติเพราะไม่อยากให้นภาเก็บไปคิดมาก
          "เเล้วทำไมเเม่ที่เข้มงวดขนาดนั้น ถึงได้ยอมให้มาที่นี่ได้ละ หรือว่าเเม่ของนภาจะรู้เรื่องพลังของนภาเเล้ว" นัยถามกลับ
          "ไม่รู้ เพราะในตอนเเรกๆพลังนี้ทำให้รู้สึกง่วงเท่านั้น เลยยังไม่มีใครสงสัย และกว่าที่พลังจะทำให้คนหลับได้ก็พบวิธีการป้องกันด้วยการสวมเเว้นตาเเล้ว ฉันก็เลยตัดสินใจที่จะเก็บเป็นความลับเอาไว้ และโกหกว่าสายตาไม่ดีน่ะ เพราะกลัว...กลัวมากจริงๆถ้าเกิดพวกเขามองว่าฉันเป็นสัตว์ประหลาด"
          "ถ้าเป็นสัตว์ประหลาดคงเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ารักที่สุดละนะ" นัยพูดตัดขึ้นด้วยท่าทีนิ่งๆทำเอานภาหน้าแดงขึ้นมา
          "ลืมๆเรื่องที่ผมถามไปเถอะ ถือว่าผมผิดเองที่ถาม ตอนนี้รีบกินข้าวกันเถอะไปสายเดียวจะมีปัญหา" นัยพูดต่อ
          “อื้ม” นภายิ้ม
<><><><><><><><> 
 
          “จากที่อ่านคอยล์เมื่อวานรู้สึกว่าที่ๆเราต้องไปคืออาคารที(T) เป็นอาคารทดสอบความสามารถที่อยู่ถัดจากอาคารเรียนไปอีก” นัยพูดกับนภา
          จากแผนที่ถึงแม้จะบอกว่าอยู่ถัดจากอาคารเรียนหลังสุดท้าย แต่นัยกลับต้องใช้เวลาเดินไปยังอาคารทดสอบนานกว่าเวลาที่ใช้เดินจากหอพักมายังโรงเรียนเสียอีก
          “บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอยากได้ขนมปังไส้ทูน่า แล้วนี่ทำไมกลายเป็นขนมปังไส้หมูหยองได้ว่ะ” เสียงโวยวายของชายคนหนึ่งที่เขวี้ยงขนมปังใส่หน้าชายตัวเล็กอีกคนที่อยู่ท้ามกลางวงล้อมของชายสี่คน ซึ่งนัยจำหน้าของชายตัวเด็กที่อยู่กลางวงได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขาเอง
          “ขนมปังไส้ทูน่า สำหรับวันนี้มันหมดแล้วครับ”
          “ที่หมดก็เพราะแกไปช้ายังไงละ โง่จริงๆสมกับเป็นพวก บรอนซ์” หนึ่งในชายที่ยืนล้อมพูด
          “ใช้ไม่ได้จริงๆ จะให้สั่งสอนมันหน่อยไหมหัวหน้า” ชายที่ยืนล้อมอีกคนพูด
          “เอาเลย จะได้จหัดดจำเข้าสสมองน้อยๆของมันบ้่าง" ชายที่เขวี้ยงขนมปังพูด
          เนื่องจากบริเวณนี้อยู่ทางด้านหลังอาคารที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน แต่นัยกับนภาดันบังเอิญเดินมาพบพอดีโดยไม่ได้ตั้งใจ นัยที่เห็นเหตุการณ์ก็ตัดสินใจว่าจะเดินเงียบๆจากไปเพราะเขายังไม่อยากจะสร้างศัตรูตั้งแต่เข้าเรียนวันแรก
          แต่ในขณะที่กำลังจะเดินจากไปก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงเบาๆที่ปลายแขนเสื้อ
          “เฮ้อ~~” นัยถอนหายใจ
          “อาจารย์ครับ รู้สึกว่าของที่ทำตกไว้น่าจะอยู่แถวๆนี่แหละครับ” นัยพูดเสียงดังพอที่จะให้ชายสี่คนนั้นได้ยินแต่ก็ไม่ดังเกินไปจนดูผิดสังเกตุ
          ‘ทำแค่นี่ก็คงจะพอเพราะพวกนั้นมีจำนวนมากกว่า แถมไม่รู้อีกว่ามีพัฒนาอีโวเดนอะไรกันบ้าง’ นัยคิด
          และมันก็ได้ผล ชายกลุ่มนั้นเดินแยกย้ายจากไปอีกทางหนึ่ง เมื่อเห็นว่าชายกลุ่มนั้นเดินจากไปแล้วแน่นอน นภาก็เดินเข้าไปหาชายตัวเล็กคนนั้น
          “พวกนาย..” ชายตัวเล็กพูด
          “เป็นอะไรมากไหมทำไมพวกนั้นต้องทำแบบนี้ด้วย” นภาถาม
          ถึงชายตัวเล็กจะไม่ตอบ นัยก็เดาได้เพราะเขาเคยเห็นเรื่องแบบนี้มีเป็นสิบๆครั้งแล้วที่ผู้แข็งแกร่งกว่าจะกดขี่ผู้ที่อ่อนแอกว่า และจากคำว่า ‘บรอนซ์’ ที่ชายพวกนั้นพูดออกมานัยก็ยิ่งเริ่มมองออกว่าคนบางกลุ่มที่อยู่เกาะแห่งนี้ใช้'ระดับ' ในการแบ่งพวกอยู่จางๆ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะการแบ่งพวกมีมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีมนุษย์เกิดมาบนโลก โดยพวกที่เหมือนกันมีความสามารถเท่าเทียมกันก็จะอยู่รวมกลุ่มกัน และคอยกดพวกอื่นที่ด้อยกว่า และยิ่งมีสัญลักษณ์ที่เด่นเป็นรูปธรรมมากขึ้นเท่าไหร่การแบ่งแยกก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นตาม
          “พวกนายคืออีโวเดนตกหล่น ที่ย้ายเข้ามาใหม่เมื่อเช้านิ” ชายตัวเล็กทักขึ้น
          “ใช่แล้วละ” นภาตอบ
          “พวกนายไม่ควรเข้ามายุ่ง เพราะหลังจากทดสอบถ้าพวกนายได้ระดับสูงกว่าบรอนซ์ก็ดีไป แต่ถ้าไม่ใช่แล้วพวกนั้นรู้ว่าพวกนายทำแบบนี่ต้องเเย่เเน่ๆ”
          ตรงตามที่นัยคิดไว้ทุกประการ
          “แสดงว่าพวกนั้นอยู่ระดับที่สูงกว่า บรอนซ์ใช่ไหม” นัยถาม
          “ใช่พวกมันเป็นระดับ ซิลเวอร์ เป็นรุ่นพี่พวกเราหนึ่งปี”
          “นายไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม งั้นพวกเราไปก่อนเพราะนี่ก็ใกล้จะถึงเวลาที่จะต้องทดสอบแล้ว” นัยพูด
          “อืม”
          ในตอนที่นัยกับนภากำลังจะเดินหายไปที่มุมตึก ชายตัวเล็กก็พูดขึ้นว่า
          “ขอบคุณ... ฉันชื่อ ปีเตอร์ พวกนายไม่ต้องบอกชื่อก็ได้ฉันได้ยินเมื่อตอนเช้าแล้ว และถ้าพวกนายกำลังจะไปตึกทดสอบต้องเลี้ยวซ้าย ไม่ใช่ขวา” ชายหนุ่มตัวเล็กผมหยิกสีน้ำตาลแดง ดวงตาสีแดง ผิวขาว ดั้งโด่งพูดพร้อมกับชี้ไปยังทางที่ถูกต้อง
<><><><><><><><> 
 
          ในที่สุดพวกเขาก็เดินไปถึงอาคารที่มีรูปร่างเหมือน สเตเดี้ยม(stadium) สนามกีฬาขนาดใหญ่ ทั้งสองเดินเข้าไปยังประตูหน้าของสเตเดี้ยมที่มีเคาน์เตอร์ต้อนรับอยู่
          “พวกเธอสองคนมากันซะที พวกเธอมาสายนะ” เจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์พูดขึ้นทันทีที่เห็นพวกเขาสองคน
          “ขอโทษ ครับ/ค่ะ”
          “ช่วยเปิดคอยล์ของพวกเธอด้วย” เจ้าหน้าที่บอกกับพวกเขา
          ทั้งนัยและนภาต่างทำตามที่เจ้าหน้าที่บอก
          “ฉันจะส่งหมายเลขห้องและเส้นทางไปยังห้องพร้อมกับแนวทางปฏิบัติให้พวกเธอ”
          เมื่อพูดจบที่หน้าจอของนัยก็ปรากฏแผนที่ ที่มีจุดเริ่มต้นคือเคาน์เตอร์ และปลายทางคือห้องทีหนึ่งศูนย์สาม(T-103) ซึ่งไม่เหมือนกับของนภาที่ปลายทางคือห้องทีหนึ่งสองสี่(T-124)
          “เราคงต้องแยกกันตรงนี้แล้ว ไว้เจอกันหลังทดสอบเสร็จ” นัยบอกกับนภา
          “อืม”
          นัยเดินไปช่องทางเดินทางซ้ายของเคาน์เตอร์ตรงข้ามกับนภาที่ต้องเดินไปยังทางขวา
<><><><><><><><> 
 
          “ขออนุญาตเข้าไปนะคะ” นภาพูดกับกล้องกับไมโครโฟนที่ติดอยู่ข้างประตูห้องทีหนึ่งสองสี่ ไม่นานประตูห้องก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ ภายในเป็นห้องสีขาวมีโต๊ะตั้งอยู่กลางห้อง และสิ่งที่ทำให้นภาแปลกใจก็คือคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องก็คือคุณมาลิรินที่สวมชุดกาวน์สีขาว
          “สวัสดีนภา” คุณมาริลินกล่าวทักทาย
          “สวัสดีคะ คุณมาริลิน” นภาประหลาดใจ เพราะเธอไม่คาดคิดว่าคนที่จะมาทดสอบเธอจะเป็นคุณมาริลิน
          “นั่งได้เลยแล้วก็ทำตัวตามสบาย ไม่ต้องเครียด”
          “ขอบคุณค่ะ” นภาเดินไปยังเก้าอี้ที่คุณมาริลินชี้
          “เมื่อเช้าฉันก็ตกใจเหมือนกันที่คนที่ฉันจะต้องมาทดสอบคือนภา”
          “งั้นหรอค่ะ หนูแปลกใจมากเหมือนกันค่ะ ไม่คิดว่าคุณมาริลินจะมาเป็นคนทดสอบ”
          “เห็นแบบนี้ฉันก็เป็นนักวิจัยเหมือนกันนะ” คุณมาริลินพูดเชิงหยอกล้อ
          “ขอบคุณสำหรับแว่นตานะคะ”
          “บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ มันเป็นแว่นชั่วคราวไม่ได้สวยอะไร ไว้เธอค่อยไปซื้อเปลี่ยนตอนที่มีเวลาก็ได้”
          “ค่ะ”
          “งั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ที่นี่เราจะทำการแบ่งระดับของความสามารถ ซึ่งแต่ละความสามารถจะถูกทดสอบที่แตกต่างกัน เพราะเราไม่อยากทดสอบความเร็วในการปีนต้นไม้ของปลา หรือความเร็วในการบินของแมว แต่เราต้องการทดสอบในสิ่งที่พวกเขาเป็น เพื่อสนับสนุนความสามารถในทางนั้นๆ ดังนั้นจึงต้องข้อเก็บข้อมูลเริ่มต้นก่อน”
          คุณมาริลินหันมองลงไปบนโต๊ะที่เป็นหน้าจอขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยข้อมูลของนภา
          “จากข้อมูลรายงานบอกว่าความสามารถของนภาคือการทำให้คนหลับได้โดยการสบตา เป็นพลังที่ใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ เพราะอย่างนั้นจึงจัดพลังนี้อยู่ในหมวดของพลังจิต และดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่สามารถควบคุมพลังได้และใช้แว่นตาในการปิดกันพลังสินะ งั้นต่อจากนี้จะขอเริ่มทดสอบความสามารถของนภาโดยละเอียด พร้อมหรือยัง?”
          “พร้อมแล้วค่ะ”
          การทดสอบเป็นการทดสอบโดยละเอียดอย่างที่คุณมาริลินบอก ทั้งทดสอบว่าพลังของนภาสามารถผ่านสิ่งกีดขวางอะไรได้บ้าง ทั้งแผ่นพลาสติก แก้ว น้ำ และอีกหลายๆอย่าง โดยการทดลองพลังของนภากับหนูแฮมเตอร์นับไม่ถ้วนที่คุณมาลิรินเตรียมมา นอกจากทดสอบชนิดของสิ่งกีดขวางยังทดสอบถึงความหนาของสิ่งกีดขวาง มุมองศา ระยะทางที่ต้องออกไปทดสอบที่สนาม และอีกมากมาย จนเวลาผ่านไปสองชั่วโมงอย่างรวดเร็ว
          “นภา... นภา….” คุณมาริลินพยายามเรียกนภาที่นั่งเหมอลอย
          “นภา!!”
          “คะ!!!!”
          “ดูเหมือนเธอจะเหนื่อย งั้นเรามาพักกันสักสิบนาทีก่อนการทดสอบอย่างสุดท้าย”
          คุณมาริลินเดินไปกดน้ำใส่แก้วมาให้นภา
          “ขอบคุณค่ะ”
          “คุณมาริลิ ระดับนี่มีการจัดกันยังไงคะ?” นภาถามขึ้น
          “การจัดลำดับจะทำโดยการเอาคนที่มีพลังที่เหมือนหรือคล้ายกันมาเปรียบเทียบแล้วใช้หลักทางสถิติเพื่อจัดระดับของพลังต่างๆ แล้วก็จะระบุได้ว่าอยู่ระดับไหนในสี่ระดับ”
          “ตู้ม!!!!!” ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นจากภายในอาคาร จนรู้สึกได้ว่าทั้งกำแพงและพื้นสั่นเบาๆ เห็นได้ชัดจากน้ำในแก้วของนภาที่สั่นเป็นลูกคลื่นเล็กๆ
          “คุณมาริลินเกิดอะไรขึ้นคะ?” นภาร้องอุทานด้วยความตกใจ
          “สงสัยจะเริ่มทดสอบพลังกับเด็กคนนั้นแล้ว เพราะวันนี้มีอีกคนที่ต้องเขาร่วมทดสอบเช่นเดียวกับพวกเธอสองคน ถ้าจำไม่ผิดเป็นพลังทางกายภาพ ถ้ามีพลังระดับนี้คงจะได้อยู่โกลด์สบายๆเลย”
          “คุณมาริลินคิดว่านัยน่าจะอยู่ระดับไหนคะ?” จู่ๆนภาก็ถามขึ้น
          “หรือว่า….เธอกังวลว่าจะไม่ได้อยู่ระดับเดียวกัน”
          “เปล่าคะๆ” นภาปฏิเสธแทบจะทันที “หนูรู้ว่านัยต้องได้ระดับสูงกว่าแน่นอน”
          “นัยนะเหรอ? ฉันว่าฉันไม่บอก แล้วให้เธอไปถามเค้าเองดีกว่า”
          “ทำไมละคะ?”
          “ไม่มีอะไรหรอก เรามาทดสอบว่าพลังของเธอต่อกันดีกว่าว่าจะสามารถสะท้อนกระจกได้ไหม”
          “หนูเคยส่องกระจกแล้วมองตาตัวเองแต่ก็ไม่มีอะไรนะค่ะ แต่สำหรับคนอื่นนี้ยังไม่เคยค่ะ”
          “งั้นเรามาทดสอบอย่างสุดท้ายกันเถอะ”
<><><><><><><><> 
 
          “เฮ้อ~~” นภานั่งถอนหายใจอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ขณะนั่งจ้องคอยล์ที่แสดงผลการทดสอบของเธอ
          “นอกจากเป็นพลังที่ไม่รู้จะเอาใช้อะไรยังได้ผลการทดสอบต่ำขนาดนี้ด้วย” นภาคิดในใจ
          สักพักนภาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาจากทางเดินด้านซ้ายของเคาน์เตอร์ เมื่อนภาเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับนัยที่เดินออกมาด้วยใบหน้านิ่งๆเหมือนปกติ
          “นัยผลเป็นไงบ้าง” นภาถาม
          นัยไม่พูดอะไรเขาเปิดคอยล์ขึ้นมาแล้วโชว์ผลการทดสอบให้นภาดู
          บรอนซ์ คือคำที่ปรากฏอยู่หน้าจอคอยล์ของนัย นภานิ่งไปครู่ใหญ่
          “ฮะฮะ ฮ่า” จู่ๆนัยก็หัวเราะขึ้นมา สลัดความเงียบของนภา
          “ดีเลย เพราะถ้าไม่เริ่มจากจุดต่ำสุดมันก็ไม่สนุกใช่ไหมละ แม้จะเสียชื่อฉายาราชาผู้ไร้พ่ายไปหน่อยก็เถอะ” นัยพูดอย่างมั่นใจ 
          “อ่ะ!!!ลืมถาม...แล้วนภาได้ระดับอะไร” นัยหันกลับมาถามนภา
          นภายิ้มแล้วโชว์คอยล์ให้นัยดู
          “ไม่ต้องเสียใจไปนภา พวกเราต้องแสดงให้พวกนั้นเห็นให้ได้เลยว่าพวกนั้นตัดสินใจผิดแล้ว ดูเหมือนเราต้องพยายามกันหน่อยแล้ว”
          “อืม” นภาพยักหน้า
          “ทำไมถึงได้ยิ้มแบบนั้นละ ไม่โมโหพวกนั้นเลยหรือไง” นัยทักนภาที่ยิ้มอย่างสบายใจ
          นภาก็ยังคงยิ้มไม่เปลี่ยน
          “เธอนี่ก็มีนิสัยที่แปลกๆเหมือนกันนะ”
          ระหว่างที่พวกเขาสองคนกำลังคุยกัน ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ทดสอบคนที่สามก็เดินผ่านมา เขามีแววตาดุดันราวกับนักล่าที่ซ่อนกรงเล็บเอาไว้ และจุดสังเกตที่เด่นชัดคือรอยแผลเป็นยาวเกือบนิ้วที่คิ้วขวา เขามองมาทางพวกนัยสักพักก่อนที่จะเดินออกไปจากตึกโดยไม่ได้พูดอะไร
          “อย่าบอกนะว่าเจ้านั้นเป็นคนที่ทำให้ทั้งตึกสั่นเพราะแรงระเบิด นี่เราอยู่ห้องถัดจากตัวอันตรายแบบนั้นเหรอนี่” นัยพูด
          “นัยรู้จักหรอ?”
          “เป็นคนที่อยู่ห้องข้างๆ เคยเห็นหน้าแต่ก็ยังไม่เคยคุยด้วย”
          “จริงหรอ!!! เห็นคุณมาริลินบอกด้วยว่าน่าจะอยู่ระดับโกลด์”
          “นภาทดสอบกับคุณมาริลินเหรอ? นึกไม่ถึงเลยว่าเธอคนนั้นจะเป็นนักวิจัย”
          “ใช่ไหมๆ”นภาสนับสนุน
          “นี่ก็เกือบจะสามโมงครึ่งแล้วเราไปเลยกันไหมเดี๋ยวร้านจะปิดเอาซะก่อน” นัยดูนาฬิกาผ่านทางคอยน์
          “นัยรู้แล้วเหรอว่าร้านอยู่ทางไหน”
          “ไม่ต้องห่วงเพราะเมื่อช้าเห็นร้านอยู่ระหว่างทางมาโรงเรียน” นัยพูด
<><><><><><><><> 
 
          ภายในห้องประชุมหลักของตึกที
          “งั้นเรามาเริ่มสรุปผลการทดสอบของทั้งสามคนที่มาทดสอบในวันนี้ เริ่มจากคุณมาริลินก่อน” ชายผมขาวไว้เคราที่นั่งอยู่หัวโต๊ะประชุมพูดขึ้น บริเวณด้านหน้าของเขามีป้ายชื่อที่พิมพ์ว่า ‘ศาสตราจารย์ ชาร์ลส์ ดาร์วิน’ ตั้งอยู่
          “ค่ะ สำหรับผู้ถูกทดสอบหมายเลขหนึ่ง พบว่าเป็นพลังที่สามารถสะกดสิ่งมีชีวิตให้หลับได้ในทันทีที่สบตากับผู้ถูกทดลอง พลังจะมีผลในระยะยี่สิบสองเมตร พลังสามารถทะลุผ่านวัตถุโปร่งใสใดๆที่หนาไม่เกินหนึ่งจุดสามมิลลิเมตร พลังยังคงให้ผลเช่นเดิมสำหรับกระจกสะท้อน ......” คุณมิริลินสรุปผลการทดสอบอย่างละเอียดให้กับนักวิจัยคนอื่นๆ ทั้งสิ้นห้านาทีกว่าๆ “...แต่เพราะพลังยังอยู่ในแค่ระยะแรกจึงตัดสินใจอยู่ในระดับบรอนซ์ ทั้งหมดก็มีเท่านี้ค่ะ” คุณมาริลิน กล่าวจบ
          “งั้นต่อไปก็ขอเป็นผลสรุปของคนที่ทำให้ตึกทั้งตึกสั่นในวันนี้”ศาสตราจารย์ชาร์ลส์พูด
          “ครับ จากการทดสอบผู้ถูกทดสอบหมายเลขสองพบว่า...” ผลสรุปถูกอธิบายอย่างละเอียดห้านาทีกว่าเช่นเดียวกัน
          “...ถ้าเกิดไม่ทำการเสริมแกนรับการกระแทกเพื่อกระจายแรงจากพลังของเขาก่อน เป็นไปได้ว่า ตึกแห่งนี้มีสิทธิถล่มไปครึ่งนึงแน่ และจากตัวเลขที่ได้จากการทดสอบทั้งหมด จึงตัดสินใจให้อยู่ในระดับแพลทินัมครับ”
          เกิดเสียงซุบซิบของนักวิจัยที่อยู่ในห้องประชุมขึ้นมาทันที เพราะพลังระดับแพลทินัมนี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากดังนั้นเมื่อผลการตัดสินคือระดับแพลทินัมจึงทำให้ทุกคนต่างตื่นเต้นกับผลลัพท์ดังกล่าว และมีการซักถามข้อสงสัยกันมากมาย
          “แสดงว่าที่มหานครการศึกษาแห่งนี่ในตอนนี้มีระดับแพลทินัมสิบคนเล้วสินะ เอาละงั้นคนต่อไป”ศาสตราจารย์ชาร์ลส์พูด
          “ครับ สำหรับผู้ถูกทดลองหมายเลขสามเป็นพลังที่ยังไม่เคยมีมาก่อน และยังไม่เด่นชัดในเรื่องของพลัง”
          เสียงซุบซิบดังขึ้นอีกครั้ง
          “ที่เห็นออกมาเป็นรูปธรรมก็เพียงแค่พลังของสติปัญญาที่อยู่ในระดับสูงเท่านั้นและจากการทดสอบเรื่องของระดับไอคิว ผลที่ได้คือมีไอคิวเฉลี่ยอยู่ที่สองร้อยหกสิบสี่ นอกจากเรื่องของสติปัญญาก็ไม่พบอะไรที่เหนือกว่าปกติ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีอีโวเดนคนหนึ่งที่มีพลังทางสติปัญญาที่วัดค่าได้ถึงสามร้อย แต่จากที่ทราบว่าระดับไอคิวของอีโวเดนคนนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้ของพลังจริงเท่านั้น ทำให้แตกต่างจากผู้ถูกทดลองหมายเลขสามที่ยังไม่สามารถถึงพลังที่แท้จริงแม้จะทำการตรวจอย่างละเอียดแล้วก็ตาม ดังนั้นจึงจัดให้อยู่ในระดับบรอนซ์ไปก่อนครับ” ผลสรุปของนัยถูกสรุปในเวลาไม่ถึงสองนาที
          “พลังยังไม่แน่ชัด ถ้างั้นก็ทำถูกแล้วเราคงต้องค่อยดูการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เพื่อจัดอันดับใหม่ในครั้งต่อไป มีใครมีข้อเเย้งกับการจัดลำดับของทั้งสามคนนี้ไหม"ศาสตราจารย์ชาร์ลส์พูด
          "....."
          "งั้นก็ขอจบการสรุปผลเท่านี้”
          เมื่อศาสตราจารย์ชาร์ลส์พูดจบ นักวิจัยก็เริ่มทยอยเดินออกจากห้องประชุม
          “คุณมาริลินช่วยนั่งอยู่ต่อก่อนนะครับ” ศาสตราจารย์ชาร์ลส์บอกมาริลินที่กำลังจะลุก
          “คะ?”
          ศาสตราจารย์ชาร์ลส์รอจนกระทั้งนักวิจัยคนอื่นๆเดินออกไปจากห้องครบทุกคนเขาจึงเริ่มพูดขึ้น
          “เรื่องที่ผมจะคุยกับคุณคือเรื่องของมูน(Moon)”
          “มูนยาต้องห้ามที่ใช้เพิ่มระดับของพลังอีโวเดน และกำลังระบาดอยู่ในตอนนี้ใช่ไหมคะ”
          “ถูกต้อง ผมคิดว่าคนที่ผลิตยานั้นต้องเป็นนักวิจัยที่อยู่บนเกาะนี้ ที่กำลังทำการทดลองอย่างไม่เป็นทางการจึงขัดต่อกฎในเรื่องของการวิจัย ทำให้การทดลองที่ผิดกฎนี้อาจจะส่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่ออีโวเดนก็เป็นได้”
          “แล้วทำไมศาสตราจารย์ถึงเอาเรื่องนี้มีบอกฉันคะ?”
          “ตอนนี้แม้ว่าอินสเปกเตอร์จะกำลังจับไล่อีโวเดนที่ใช้หรือแจกจ่ายมูนอยู่แล้ว แต่พวกนั้นก็ไม่มีอำนาจพอที่จะเอามายุ่งในส่วนของนักวิจัยได้ ผมจึงอยากในคุณช่วยสืบในส่วนของนักวิจัยด้วยว่าใครกันที่เป็นคนผลิตยานั่น เพราะผมเชื่อว่าคนผลิตยานั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มของนักวิจัย”
          “ค่ะศาสตราจารย์ชาร์ลส์ เดียวฉันจะสืบหาให้โดยเร็วที่สุด”
          “ฝากด้วยคุณมาริลิน ก่อนที่อาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น”
<><><><><><><><> 
 
          กลับมายังฝั่งของนัย หลังจากที่เขากับนภาเลือกซื้อแว่นใหม่อยู่นานพอสมควรจากแว่นเป็นร้อยๆแบบที่มีในร้านขายแว่นแห่งนี้ ในที่สุดนภาก็ตัดสินใจเลือกแว่นทรงสีเหลี่ยมพื้นผ้าขอบมน กรอบสีขาวบาง มีลายรูปดอกไม้สีชมพูอ่อนๆเล็กที่ขาแว่น เธอสวมใส่มันในทันทีโดยทีเพราะเธอไม่จำเป็นต้องวัดสายตาเพื่อหาเลนส์สายตามาใส่
          ที่เคาน์เตอร์นภาสามารถจ่ายเงินโดยการหักเงินผ่านคอยล์ของเธอได้ในทันที
          “ขอบคุณที่อุดหนุนค่ะ” เจ้าของร้านขายแว่นพูดกับนภา
          เมื่อทั้งสองออกมาจากร้าน แสงไฟตามทางเดินก็ถูกเปิดต้อนรับค่ำคืนที่กำลังมาถึง
          “ให้เดินไปส่งไหม” นัยถาม
          “อืม....อ๊ะ!! ไม่เป็นไรๆชั้นเดินกลับเองได้” จู่ๆนภาก็ปฏิเสธเสียงแข็งจากตอนแรกที่ดูเหมือนจะตอบตกลง
          “แน่ใจใช่ไหม”
          “อืมๆ ชั้นจำได้ว่าต้องเดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้าย แล้วเลี้ยวขวาอีกทีใช่ไหม”
          “อืม”
          “งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี่นะนัย” นภาโบกมือแล้วเดินจากไปอย่างรีบร้อน
          “.....”
          นภาเดินอย่างรวดเร็วจนกระทั่งหยุดอยู่หน้าร้านขายของร้านหนึ่ง เธอมองย้อนกลับไปตามทางที่เดินมาเพื่อมั่นใจว่านัยไม่ได้ตามเธอมา เธอจึงเปิดประตูที่มีกระดิ่งส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งและหายเข้าไปในร้านนั้นกว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนที่กลับออกมาพร้อมกับถุงหูหิ้วกระดาษถุงหนึ่ง
          “ตุบ!!!” ทันใดนั้นชายคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาชนบริเวณหัวไหล่ของนภา จนทำให้เธอเกือบล้ม
          “ขอโทษค่ะ” นภารีบกล่าวขอโทษ เพราะเธอผิดเองที่เดินออกจากร้านโดยไม่ทันระวัง
          แต่ก็ไม่มีคำตอบรับใดๆจากชายคนนั้น เขาหันมามองหน้านภาเพียงครู่เดียวก่อนที่จะวิ่งหายไปในซอยข้างร้าน เหมือนกับว่ากำลังวิ่งหนีบางอย่าง
          ‘นั้นชายที่โยนขนมปังใส่ปีเตอร์เมื่อตอนกลางวัน ’ นภาจำหน้าของชายคนนั้นได้
          เมื่อนภาหันกลับมาก็พบกับชายสวมปลอกแขนสีแดงสองคนยืนอยู่ ทั้งสองคนมีเหงื่อไหลท่วมทั้งตัวและหายใจไม่เป็นจังหวะเพราะความเหนื่อย
          “ขอโทษครับเห็นผู้ชาย ย้อมผมสีทองวิ่งมาทางนี่ไหมครับ” หนึ่งในชายสวมปลอกแขนพูด
          “รู้สึกว่าจะวิ่งเข้าไปในซอยข้างๆค่ะ” นภาบอกพวกเขา
          “ขอบคุณครับ” เมื่อพูดจบชายทั้งสองก็วิ่งหายเข้าไปในซอยข้างร้านอย่างรวดเร็ว
          นภาชายตามองตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างงุนงง โดยที่ไม่รู้สึกตัวเลยว่า ชายคนนั้นได้แอบหยอดหลอดแก้วขนาดนิ้วก้อยที่บรรจุของเหลวใสอยู่ภายในเข้าไปในถุงของกระดาษของเธอในตอนที่ชนกัน
<><><><>< To be continued ><><><><>

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา