Evoden

7.3

เขียนโดย Toliew

วันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 14.45 น.

  4 บท
  6 วิจารณ์
  7,223 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557 14.04 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ราชาผู้ไร้พ่าย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          “รุกฆาต ครับ” เด็กหนุ่มผมยุ่งบอกกับชายหนุ่มผู้ที่กำลังเป็นคู่ต่อสู้ของเขาในเกมสงครามบนกระดานที่ใครๆเรียกว่าหมากรุก เสียงเฮของผู้คนที่กำลังมุงดูดังขึ้นทันทีที่เด็กหนุ่มนำคิง(king) ของเขาไล่ต้อนคิงของอีกฝ่ายจนรุกฆาตได้อย่างไม่มีใครคาดคิด (***คิงเป็นตัวที่เดินได้เพียงที่ละช่อง และถ้าหากคิงโดนกำจัดจะถือว่าแพ้ในทันที ทำให้ไม่มีใครใช้คิงเป็นตัวทำเกม)

          “อ๊าาา!!! แพ้อีกจนได้” ชายหนุ่มผู้เป็นคู่แข่งทำสีหน้าเซงหลังจากแพ้ให้กับเด็กหนุ่มผมยุ่งมาสามตราติด

          “สนใจอยากจะแก้มือไหมครับ” เด็กหนุ่มผมยุ่งพูดหลังจากรับเงินจากเขาและเก็บมันใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง

          “โอ้ว!!!.."ชายหนุ่มร้องอุทานขึ้นเสียงดัง ก่อนที่จะพูดต่อ

          "เธอเล่นดูดเงินฉันไปสามรอบละ ถ้าฉันดึงดันจะเล่นอีก คงไม่มีเงินกินข้าวแน่คืนนี้” ชายหนุ่มพูดก่อนยื่นเงินให้กับเด็กหนุ่มผมยุ่ง

          “มีใครสนใจอยากจะลองเล่นดูไหมครับ” เด็กหนุ่มหันมองรอบๆ เพื่อหาคู่เเข่งคนอื่น ซึ่งดูเหมือนไม่มีใครที่กล้าที่จะเล่นกับเขาที่ยังไม่เคยแพ้แม้แต่ตราเดียว แต่ก็ยังดูเหมือนจะเหลืออยู่อีกคนหนึ่งที่ยังมีใจกล้าบ้าบิ่นก้าวออกมาข้างหน้ากลุ่มผู้ชม

          “มาลองกันสักตั้งกันไอ้หนู” ชายหนุ่มคนนี้อาสาที่จะเป็นคู่มือคนต่อไป สีหน้าของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

          “เชิญเลยครับ อยากเล่นสีไหนครับ”

          “สีขาวได้เดินก่อนใช่ไหม งั้นเอาสีขาว” เขาตอบ

          “ตามนั้นครับ” เด็กหนุ่มตอบรับพร้อมกับจัดตัวหมากที่กระจัดกระจายให้กับเขา แล้วเกมก็เริ่มในทันทีที่เขาหยิบตัวเบี้ยสีขาวเดินหน้าขึ้นมาสองช่องอย่างมั่นใจ

          “คือว่าผมมีข้อเสนอเพิ่มเติมก่อนที่ผมจะเดินหมาก”

          “ข้อเสนอเพิ่มเติม?”

          “ครับ ประมาณว่าถ้าผมสามารถรุกฆาตคุณได้ในการเดินสิบครั้งสิบสามครั้งคุณต้องจ่ายผมมากกว่าปกติ 2 เท่า แต่ถ้าผมเอาชนะคุณในไม่ได้ในสิบสามตา ถือว่าคุณชนะไปเลยสนใจไหมครับ” เด็กหนุ่มพูดขณะที่จ้องตาของเขาอย่างไม่กระพริบ

          “ฟังดูน่าสนใจดีนิไอ้หนู”

          “แปลว่าตกลงใช่ไหมครับ”

          “ตกลง เดียวจะแสดงให้ดูว่าการดูถูกฉันคนนี้ผลมันจะเป็นอย่างไร”

<><><><><><><><><><> 

 

          “ขอบคุณที่อุดหนุนค่ะ” พนักงานร้านสะดวกซื้อพูดพร้อมกับยื่นถุงพลาสติกสองถุงที่มีแต่อาหารสำเร็จรูปอยู่เต็มถุงให้กับเด็กหนุ่มที่ยืนรออยู่ตรงข้ามเคาน์เตอร์ ทั้งพนักงานเละลูกค้าคนอื่นๆต่างมองมาที่เขาที่ซื้ออาหารราวกับกำลังจะเอาไปเลี้ยงคนสิบกว่าคน

          หลังจากที่เด็กหนุ่มได้รับถุงมาเขารีบหยิบเอาขนมปังออกมากินอย่างรวดเร็วด้วยความหิวก่อนที่จะเดินออกจะร้าน

          “ดีจริงๆที่คนสุดท้ายรับคำท้าทำให้ได้กลับเร็วกว่าปกติ” เด็กหนุ่มคิดในใจขณะที่กำลังเปิดประตูห้องเช่าเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากร้านสะดวกซื้อ

          ภายในห้องเช่ามีเพียงความมืดและกลิ่นอับ เด็กหนุ่มวางกล่องหมากรุกลงบนพื้นแล้วเอื้อมมือขวาไปเปิดสวิทช์ไฟทางขวาตามความเคยชินแม้จะมองไม่เห็นก็ตาม

          แสงไฟสะท้อนให้เห็นสภาพห้องที่เต็มไปด้วยกองพาชนะอาหารสำเร็จรูปที่กินหมดแล้วว่างกระจัดกระจายอยู่ทั่วห้อง เด็กหนุ่มเดินไปยังโต๊ะตัวเดียวที่เต็มไปด้วยกองพาชนะอาหารสำเร็จรูปก่อนที่จะใช้มือเขี่ยเข้าพุ่งพาสติดแล้วโยนไปไว้มุ่งห้อง เมื่อโต๊ะว่างก็หยิบเอาอาหารสำเร็จรูปที่ยังคงอุ่นๆออกมากินอย่างหิวโหยถึงเขาจะกินไปก่อนหน้านี้เยอะแล้วก็ตาม

          แม้ว่าจะดึกมากแล้วก็ตามแต่เมืองแห่งนี้ก็ยังเต็มไปด้วยเสียงดังวุ่นวายที่ดังขึ้นมาเป็นระยะๆ ทันทีเด็กหนุ่มที่ตักกินข้าวคำสุดท้ายเข้าปากความง่วงก็มาเยือน

           “เป็นเมืองที่หนวกหูซะจริงๆ” เป็นความคิดสุดท้ายก่อนที่จะเผลอฟุบหลับไปบนโต๊ะ

<><><><><><><><><><> 

 

          “นัย”เสียงร้องเรียกของหญิงชราคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาเด็กหนุ่มผมยุ่ง

          “มีอะไรครับ เจ้าของหอ”เด็กหนุ่มหัวยุ่งหันกลับหลังจากที่กำลังจะปิดประตูห้อง เพื่อออกไปข้างนอกพร้อมกับกล่องหมากรุก

          “เมื่อวานมีคนมารอพบเธอ”

          “มีคนมารอพบผม?” นัยเด็กหนุ่มหัวยุ่งอุทานด้วยความสงสัย

          “ใช่ เป็นชายสวมชุดสูทที่ดูไม่เหมือนคนแถวนี้ เห็นบอกว่ามีธุระกับเธอ และเพราะไปตามหาเธอที่โรงเรียนแล้วไม่เจอก็เลยมาตามหาทีนี้ แต่เธอก็ไม่กลับมาสักทีเขาก็เลยกลับไปก่อน”

          “งั้นหรอครับ ขอบคุณมากครับที่มาบอก”

          “แล้วเธอกำลังจะไปไหนแต่งชุดแบบนั้นคงไม่ไปโรงเรียนใช่ไหม ป้าของเธอฝากฉันดูแลแล้วฉันจะไปบอกป้าของเธอยังไง”

          “ไม่เป็นไรหรอกครับ” นัยตอบรับแค่นั้น แต่ใจจริงแล้วเขาอยากจะบอกว่าสำหรับเขาแล้วโรงเรียนเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ทุกสิ่งที่อาจารย์สอนเป็นชั่วโมงเขาสามารถเรียนรุ้ได้เองในเวลาห้านาทีแล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะต้องไปโรงเรียนอีก สำหรับนัยมีสิ่งที่เขามีความต้องการมากกว่าอาหารก็คือ ความรู้ ความท้าทาย และปริศนาที่ยากเกินกว่าคำว่ายาก เฉพาะนั้นที่ที่เขามุ่งหน้าไปก็คือหอสมุดที่ที่ความรู้มากมายรอเขาอยู่

          ทุกวันนัยจะนั่งอยู่ในหอสมุดจนกระทั่งเวลาของเขามาถึงในตอนเย็น และวันนี้ก็เช่นเดียวกัน

          นัยกางกล่องหมากรุกที่ถือติดตัวมาแล้วกล่าวคำเชิญชวนถึงรางวัลที่จะได้หากสามารถเอาชนะเขาคนนี้ ซึ่งเป็นเงินที่เยอะไม่ใช่น้อย แต่ที่นัยยังมั่นใจพูดออกไปอย่างนั้นแม้จะไม่เหลือเงินติดตัวแล้วสักนิดก็ตามนั่นก็เพราะว่า....เขาไม่เคยแพ้ และนัยก็ยังไม่เคยพบใครที่ทำให้ผมต้องเอาจริงเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาสามารถที่จะใช้คิงไล่ตอนศัตรูได้อย่างสบายๆเหมือนกับรู้ทุกกรณีที่เป็นไปได้ที่จะเดิน จนทำให้ในการเล่นบางครั้งมีผู้ชมตั้งชายาให้เขาเล่นๆว่า “ราชาผู้ไร้พ่าย

          แขกรายแรกของนัยในวันนี้เป็นชายหนุ่มที่เดินควงมากับแฟนสาว ดูจากท่าทีก็คงตั้งใจที่จะเล่นโชว์แฟนของเขาแน่ๆ ซึ่งนัยก็ได้รับเงินจากเขาได้อย่างสบายๆในอีกไม่กี่นาทีต่อมา ทำให้คนเริ่มมามุงมากขึ้นเรื่อยๆและมีคู่ต่อสู้มาเรื่อยๆ ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีสำหรับเขา จนกระทั่ง....

          “มีใครอยากลองเล่นกับผมดูไหมครับ” นัยหันไปถามผู้ชมที่ยืนมุงดู

          ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งยกมือขึ้นและเดินมานั่งที่เก้าอีกตรงข้าม

          “อยากเล่นสีอะไรครับ”

          “ดำ” ชายคนนั้นตอบน้ำเสียงเรียบๆ เขาสวมเสื้อแจ็คเก็ดผ้าสีดำที่มีฮู้ดปิดหัวและใบหน้าบางส่วนอยู่ทำให้นัยเห็นหน้าของเขาไม่ค่อยถนัดนัก

          “งั้นผมเริ่มก่อนนะครับ”

          หลังจากที่นัยเล่นไปได้สักพักเขาก็เริ่มรู้ได้เลยว่าชายที่กำลังเล่นอยู่ด้วยไม่ธรรมดาเหมือนกับคนที่ผ่านๆมา ชายคนนั้นสามารถสกัดการบุกของนัยได้ทุกรูปแบบที่เขาคิดไว้ ราวกับรู้ว่านัยกำลังคิดอะไรอยู่

          “คุณคงเล่นบ่อยใช่ไหมครับ เพราะวิธีการเดินแตกต่างจากคนอื่นๆมาก”นัยชวนเขาคุยเมื่อเข้าถึงรอบที่สิบห้า โดยที่หมากของนัยเริ่มเสียเปรียบ

          “....”ชายคนนั้นไม่ตอบอะไรยังคงนั่งก้มมองดูที่กระดาน

          “ต้องเอาจริงแล้ว ไม่อย่างงั้นแพ้แน่” นัยคิด

          นัยไม่สามารถเล่นแบบเล่นๆเหมือนกับคนที่เเล้วๆมาได้อีกต่อไป เพราะชายคนนี้แข็งแกร่งมากอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ทุกอย่างรอบตัวนัยดูหยุดนิ่ง ในหัวของเขาเต็มไปด้วยเส้นทางและความเป็นไปได้ทั้งหมดในเดินตัวหมากของทั้งสองฝ่าย ซึ่งต้องเอามาคิดและวิธีในแต่ละขั้น

          “หมอนี่มันเป็นใครกันแน่” นัยคิดหลังจากเดินม้าของเขาเข้าประชิดตัวหมากคิงของฝ่ายตรงข้าม แต่นัยกับต้องโดนสวนกลับง่ายๆด้วยม้าของขอชายคนนั้น

          การเดินหมากแต่ละตัวล้วนเปล่งบรรยากาศตรึงเครียดออกมาเสมอ โดยนัยไม่รู้สึกตัวเลยว่าริมฝีปากของเขากำลังยิ้มอย่างมีความสุขแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนในที่สุดเกมก็ยุติเมื่อทั้งกระดานหรือตัวหมากคิงเพียงฝ่ายละตัวเท่านั้น

          “เสมอ?

          เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่มีเล่นมาที่นัยไม่ชนะ เขาต้องยอมรับว่าประมาทเกินไปที่ไม่เอาจริงตั้งแต่ช่วงเปิดเกม ทำให้ชายคนนี้สามารถป้องกันการโจมตีของเขาได้ตลอด

          “ผมไม่ได้คิดเรื่องผลของการเสมอไว้ด้วยสิครับ เอาเป็นไม่มีใครได้ไม่มีใครเสียไหมดีไหมครับ” นัยบอกกับชายสวมฮู้ดที่ยังคงนั่งก้มหน้า

          “...”ชายสวมฮู้ดเงียบ

          “คุณเป็นคนที่ผมต้องเอาจริงคนแรกเลยนะครับ คุณชื่ออะไรครับ”

          “ดีปบลูโฟร์(Deep Blue 4)” จู่ๆชายใส่สูทคนหนึ่งที่อยูท้ามกลางฝูงชนที่มุงดูก็พูดขึ้น แล้วเดินแหวกกลุ่มคนเข้ามาหานัย

          “ดีปบลู ที่เป็นเครื่องสมองกลหมากรุก ?” นัยอุทานเพราะเป็นชื่อนี่เขารู้จัก เเละมันคือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถเอาชนะแชมป์โลกหมากรุกได้ (***Deep Blue คือเครื่องที่คอมพิวเตอร์มีอยู่จริง หาอ่านได้ตามวิกินะครับ)

          “ใช่ถูกต้อง มันคือสิ่งที่เธอสู้ด้วย และมันเหนือกว่าดีปบลูปกติเพราะสามารถคิดรูปแบบการเดินได้มากกว่า 50 ขั้นในแต่ละรอบยังไงละ ชายที่นั่งตรงหน้าเธอเป็นแค่คนธรรมดาที่เดินตามที่ดีปบลูโฟร์บอกก็เท่านั้น” ชายสวมชุดสูทอธิบาย

          “แล้วคุณคือ?” นัยถาม

          “เธอชื่อ นัย ใช่ไหม สนใจมาคุยกันสักหน่อยไหม” ชายสวมชุดสูทบอก

          “คุณนั้นเองที่เจ้าของหอพูดถึง”

<><><><><><><><><><> 

 

          เขาพานัยขึ้นไปบนรถสีดำคันใหญ่ที่วิ่งไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย

          “ตอนแรกก็คงต้องแนะนำตัวก่อน ฉันชื่อ วีระ ฉันหาตัวเธอมานาน” ชายสวมชุดสูทแนะนำตัว

          “ทำไมต้องตามหาผมด้วย”

          “เธอไม่รู้สึกเลยหรือไงว่าเธอไม่เหมือนคนทั่วไป”

          “ไม่นิครับ”

          “งั้นฉันจะแสดงให้ดู ยื่นมือของเธอออกมา” คุณวีระหยิบอุปกรณ์บางอย่างที่เหมือนกล้องมีจอภาพส่องมาที่มือของนัย

          “มีถุงเหรียญทองอยู่ทั้งหมด12ถุงซึ่งแต่ละถุงจะมีเหรียญทองอยู่ และใน12ถุงนี้มีถุงหนึ่งที่เป็นเหรียญทองปลอมทั้งถุง โดยเหรียญทองจริงหนักสิบกรัม เหรียญทองปลอมหนักเก้ากรัม และมีอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวคือตราชั่งธรรมดา อยากถามว่าต้องชั่งอย่างน้อยที่สุดกี่ครั้งจึงจะรู้ว่าถุงไหนเป็นถุงเหรียญทองปลอม”

          “หนึ่งครั้ง” นัยตอบทันทีที่คุณวีระพูดคำถามจบ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณวีระแสดงสีหน้าแปลกใจแม้แต่น้อย

          “งั้นเธออธิบายได้ไหมว่าทำยังไง”คุณวีระถาม

          “ก็เขียนหมายเลขประจำถุงเอาไว้ แล้วก็หยิบเหรียญจากถุงที่หนึ่งมาหนึ่งเหรียญ ถุงที่สองมาสองเหรียญ ถุงที่สามมาสามเหรียญ ดังนั้นเมื่อหยิบถึงถุงที่สิบสองก็จะมีทั้งหมด เจ็ดสิบแปดเหรียญ หรือก็คือเจ็ดร้อยแปดสิบกรัม หลังจากนั้นก็นำเหรียญทั้งหมดไปชั่งพร้อมกัน แล้วเมื่อชั่งได้น้ำหนักก็จะพบว่าน้ำหนักหายไป และจำนวนที่หายไปก็คือถุงเบอร์นั้นแหละที่เป็นเหรียญปลอม”

          คุณวีระปรบมือให้เบาๆ ก่อนที่จะยื่นภาพถ่ายมือของนัยจากกล้องให้นัยดู

          ภาพที่ปรากฏคือมือของนัยที่เปล่งแสดงที่ฟ้าออกมา

          “กล้องนี้เป็นกล้องพิเศษที่สามารถจับรังสี อีออร่า(E-Aura) ที่จะเปล่งออกมาเมื่อเธอใช้พลัง เช่นเดียวกับตอนที่เล่นหมากรุกกับดีปบลูเธอเปล่งรังสีอีออร่าออกมาจำนวนมาก และนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ว่าเธอคือ อีโวเดน (Evoden)” คุณวีระพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

          “อีโวเดน?”

          “อีโวเดน คือเหล่ามนุษย์ที่มีการวิวัฒนาการไม่ว่าจะในด้านใดๆ จนทำให้มีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป ซึ่งถูกค้นพบไม่กี่ปีมานี้”

          “ถ้ามีการตั้งชื่อขนาดนี้ แสดงว่าต้องมีคนอื่นนอกจากผมอีกเยอะเลยใช่ไหมละครับ”

          “ใช่ เกิดขึ้นทั่วโลก แต่ตอนนี้อีโวเดนทุกคนถูกพาไปในที่ๆหนึ่ง ที่มีชื่อว่า มหานครการศึกษาอีโวเดน (Evoden Academy) เป็นเกาะเทียมที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยมนุษย์กลางมหาสมุทร”

          “แล้วทำไมผมยังอยู่ที่นี่ละ ถ้าคุณบอกอย่างนั้นผมก็ควรจะถูกพาไปที่นั่นแล้ว”

          “เพราะเธอคือคนที่ตกหล่นยังไงละ และมันเป็นข่าวดีของฉัน”

          “คุณกำลังต้องการให้ผมเข้าไปที่เกาะนั่นเพื่อทำอะไรบ้างอย่างให้คุณใช่ไหม ดูๆแล้วคุณน่าจะเป็นฝ่ายตรงข้ามหรืออะไรทำนองนั้นใช่ไหมครับ” นัยถาม ซึ่งดูจะตรงกับสิ่งที่คุณวีระคิดเอาไว้

          “การที่เลือกเธอไม่ผิดจริงๆประหยัดเวลาการพูดไปได้เยอะ ถูกต้องอย่างที่เธอพูดเราต้องการให้เธอเป็นสายให้ตอนที่อยู่ในนั้นหลังจากที่เราส่งตัวเธอไปยังเกาะนั้น”

          “แล้วผมจะได้อะไรจากการทำอย่างนั้นนอกเหนือจากการได้เข้าไปที่เกาะที่ผมต้องได้อยู่แล้ว”

          “เธอไม่ได้ทำงานให้ฉันฟรีๆแน่นอน เมื่อเสร็จภารกิจเธอจะขออะไรก็ได้จากฉันหนึ่งอย่าง”

          “แล้วถ้า....ผมปฏิเสธละ” นัยถาม

          คุณวีระยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ฉันเชื่อว่าเธอคงไม่ปฏิเสธถ้าสิ่งที่ขออาจจะเป็นเงินที่ทำให้เธอสบายได้ทั้งชีวิต อาจจะเป็นอำนาจที่เธอสามารถสั่งการใครหลายๆคนได้ หรือแม้กระทั้งองค์ความรู้ทั้งหมดในโลกนี้ แต่ไม่เอาแบบว่าขอให้ได้มากกว่าหนึ่งข้อละ คงเข้าใจใช่ไหม”

          “ผมเป็นหมากที่เหลืออยู่ไม่กี่ตัว เชื่อว่าคุณต้องให้ผมเข้าร่วมให้ได้ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมว่าลองคุยเรื่องรายละเอียดกันหน่อยดีกว่านะครับ”

          คุณวีระหันยิ้มให้นัยอีกรอบ

          “มหานครการศึกษาอีโวเดนเป็นเกาะที่ถูกสร้างขึ้นจากความร่วมมือจากหลายๆฝ่ายอย่างเป็นความลับ เพื่อที่ต้องการจะรวบรวมอีโวเดนจากทั่วโลกมาไว้ในที่เดียวกันและเก็บเรื่องของอีโวเดนเป็นความลับจากคนทั่วไป โดยการบอกผู้ปกครองของเด็กที่เป็นอีโวเดนเหล่านั้นว่าเด็กเหล่านั้นมีความสามารถพิเศษและได้รับการคัดเลือกได้รับทุนให้ไปเรียนยังที่ทันสมัยในด้านการศึกษาที่สุดของโลกและคงไม่มีผู้ปกครองคนไหนปฏิเสธอย่างแน่นอน” คุณวีระพักหายใจช่วงครู่ก่อนที่จะพูดขึ้นต่อ

          “ที่เกาะแห่งนั้นเต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อคอยพัฒนาความสามารถเพราะทางของอีโวเดนแต่ละคน และในขณะเดียวกันก็คอยวิจัยอีโวเดนไปพร้อมๆกัน เกาะแห่งนั้นสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งแผ่นดินใหญ่ไม่ว่าจะเรื่องของอาหาร น้ำจืด หรือพลังงาน ในตอนนี้มีอีโวเดนอาศัยอยู่บนเกาะรวมสองพันเจ็ดร้อยห้าสิบสี่คน และคนธรรมดาอีกแปดร้อยคนเพื่อคอยขับเคลื่อนการทำงานส่วนอื่นๆบนเกาะ ถ้าเธอไปที่เกาะแห่งนั้นเธอจะได้เจออีโวเดนอีกมากมายทั้งพวกที่ฉลาดเหมือนเธอไม่ก็มีพลังทางกายจนน่าทึ่งหรือแม้แต่พลังที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ก็มี”  คุณวีระเล่าพร้อมกับยื่นเอกสารรูปถ่ายต่างๆจากบนเกาะให้ผมดู ขณะที่รถยังคงวิ่งไปเรื่อยๆรอบเมือง

          “ก็ดูคุณจะรู้ละเอียดดีอยู่แล้วนะครับ แล้วจะให้ผมเป็นสายให้ทำไมอีก”

          “ที่เรารู้ก็แค่เบื้องหน้าก็เท่านั้นแหละ ทางเรายังอยากรู้ข้อมูลเบื้องหลังของเกาะแห่งนั้นที่มีอีกมาก”

          “พวกคุณเป็นใครกันแน่ครับ ถึงได้รู้เยอะขนาดนี่และยังต้องการรู้ให้ลึกกว่าเดิมอีก”

          “พวกเราเป็นองค์กรหลังฉากองค์กรหนึ่งที่ค่อยรักษาสมดุลของโลกนี่ เธอรู้เท่านี้นี่ก็พอ แต่ถ้าเธอยังสงสัยในสิ่งที่ต้องทำ ให้เธอเชื่อว่าสิ่งที่ทำเป็นการช่วยโลกใบนี้ก็แล้วกัน”

          “ฟังดูยิ่งใหญ่นะครับ แล้วเรื่องที่จะให้ผมเป็นสายให้คุณ ผมต้องทำยังไงบ้าง”

          “ในตอนแรกเธอก็แค่เข้าไปอาศัยอยู่ในเกาะไปก่อน แล้วเมื่อเธอเริ่มชินกับเกาะก็จะมีคำสั่งไปหาเธอเป็นภารกิจๆเอง”

          “แล้วทำไมต้องเป็นผม เห็นคุณบอกว่าคิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกผมแสดงว่าต้องมีอีโวเดนคนอื่นๆที่ตกหล่นเหมือนกันแน่นอน”

          “เพราะเธอเหมาะสมที่สุดทั้งเรื่องของความสามารถ และเรื่องขอทางครอบครัว จากข้อมูลพ่อแม่ของเธอที่หายตัวไปตอนที่เธอยังเด็ก จนต้องไปอยู่กับป้าก่อนที่เธอจะออกมาอาศัยอยู่คนเดียวที่หอพักใช่ไหม ถ้าพูดกระทบอะไรก็ขอโทษด้วย”

          นัยรู้สึกได้เลยว่าคนนี้คุณวีระอาจจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขามากกว่าที่ตัวเขารู้จักตัวเองแล้วก็ได้

          “..คุณวีระครับ ผมมีคำถามข้อสุดท้ายอยากจะถาม... ที่นั้นมันจะสามารถทำให้ผมสนุกได้ไหม”

          คุณวีระมีท่าทีแปลกใจกับคำถามข้อสุดท้ายของนัยไม่ใช่น้อย

          “แน่นอนครับ ท่านราชาผู้ไร้พ่าย” คุณวีระตอบ

<><><><><><><><><><> 

 

          เช้าวันถัดมาคุณวีระรับนัยที่หอพักตั้งแต่รุ่งเช้าเพื่อที่จะพามาส่งที่ท่าเรือ ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวที่จะเข้าไปยังเกาะได้

          “ฉันส่งเธอได้แค่นี่หลังจากนี้เธอต้องไปต่อเอง” คุณวีระบอกกับนัยที่กำลังลงจากรถที่จอดห่างจากท่าเรือพอสมควร

          “ครับ” นัยตอบ

          “ของที่เธอเอาไปด้วยน้อยดีนะ” คุณวีระพูดเพราะเห็นนัยที่ทั้งตัวของเข้ามีเพียงกระเป๋าเป้ใบเดียว

          “ผมมีของไม่มากอยู่แล้ว และอีกอย่างคุณวีระก็บอกเองว่าที่เกาะจะมีอุปกรณ์การใช้ชีวิต รวมถึงเสื้อผ้าเตรียมพร้อมให้หมด”

          “ก็จริงตามนั้น ถ้างั้นก็ขอให้โชคดีแล้วภารกิจจะตามไปหาเธอทีหลัง”

          “ครับ”

          นัยยืนรอจนกระทั่งรถได้ถูกขับออกไปจึงเดินไปบริเวณท่าเรือที่มีเรือรับส่งสองชั้นสีขาวจอดเทียบท่าอยู่ บริเวณสะพานขึ้นเรือมีกะลาสีเรือคนหนึ่งที่ถือแฟ้มรายงานกำลังพูดคุยบางอย่างกับหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีฟ้าขาวถือกระเป๋าลากและกระเป๋าถือใบใหญ่อย่างละใบ

          “ขอบัตรด้วยครับ” กะลาสีบอกนัยเมื่อถึงคิวของเขา

          นัยจึงยื่นบัตรที่คุณวีระมอบให้ตอนอยู่บนรถ เหมือนกลับว่าคุณวีระได้เตรียมการและจัดการเรื่องทุกอย่างไว้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งเรื่องการติดต่อและเอกสารต่างๆ

          กะลาสีเมื่อได้รับบัตรก็เปิดแฟ้มเอกสารพลิกไปพลิกมาอยู่สองสามหน้า หันกลับมามองที่นัยอีกรอบแล้วใช้ปากเขียนบางอย่างลงบนแฟ้มเอกสาร

          “ครับขึ้นเรือได้เลยครับ” กะลาสีพูด

          ไม่นานหลังจากนั้นเสียงร้องของเรือก็ได้ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เรือขาวค่อยๆเคลื่อนแหวกแนวคลื่นที่พัดเข้ามากระทบอย่างช้าๆ แนวฝั่งเริ่มดูห่างไกลเรื่อยๆจนเห็นผู้คนขนาดเท่ากับปลายนิ้วก้อย

          นัยรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ถ้าที่เกาะแห่งนั้นเป็นอย่างที่คุณวีระบอกจริงๆ หรือแม้แต่องค์กรที่อยู่เบื้องหลังของคุณวีระเขาก็อยากที่จะรู้ว่ามันคือองค์กรอะไรกันแน่ และนั้นแหละคือเหตุผลหลักที่ทำให้เขายอมร่วมมือด้วย

          “ไม่ว่าจะมหานครการศึกษาอีโวเดนหรือองค์กรอะไรนั้น หวังว่าจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง

 

<><><><><><To be continued><><><><><>

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา