[YAOI] Lessons Of Loves รักเร้นลับ ฉบับคุณครู
เขียนโดย ดลณกร
วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 13.39 น.
แก้ไขเมื่อ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2557 18.42 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) 008th นิ่มนุชVSพรหมพัชร
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
Lesson 008th นิ่มนุชVSพรหมพัชร
“อ้น ไอ้อ้น ตื่นได้แล้ว” ผมเขย่าตัวหนุ่มน้อยที่นอนหลับเหยียดยาวอยู่ตรงหน้าผม เพราะนี่มันก็เย็นมากแล้ว ถ้าปล่อยให้อ้นนอนนานกว่านี้ มันคงได้ค้างคืนที่บ้านผมเป็นแน่
“กี่โมงแล้วพี่” อ้นถามพร้อมเสียงแหบๆ และค่อยๆ ขยับม่านตาหรี่ขึ้น เพื่อรับแสงยามเย็นจากหน้าต่าง
“5 โมงเย็นแล้ว กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวที่บ้านเป็นห่วง”
“ผมโตแล้วนะพี่” มันลากเสียงยาวคาดว่าอาจยาวถึงเชียงใหม่ ...ผมละเบื่อไอ้เสียงกวนประสาทของมันจริงๆ
“นั่นแหละ โตก็ต้องกลับบ้าน”
“แล้วไหนมาม่าของผม บอกจะไปทำให้กิน แล้วหายไปอย่างนานเลย” มันยังมีหน้ามาทวงมาม่าผมอีกนะ
“ก็ทำมาให้แล้วเนี่ย เห็นว่าหลับเป็นหมา เลยไม่ได้ปลุก”
“ใจร้ายอ่ะพี่” อ้นค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นเหมือนคนหมดแรง ไอ้นี่แสดงเก่งจริงๆ
“โคตรหิวอ่ะ พี่พาผมไปกินข้าวหน่อยสิ”
“ไม่เอาอ่ะ ไปกับแก แล้วก็มาส่งกันไป ส่งกันมา ไม่ต้องนอนกันพอดี” ผมปฏิเสธทันที เพราะยังคิดภาพความสนุกที่เราต้องไปรับ ไปส่งกันไปมาไม่ออก
“นะพี่นะ นะนะนะนะ” ทำไมต้องทำท่าน่ารักให้กูเหนว๊า ไอ้หน้าขาว T_T
“ไม่เอา จะทำงาน”
“โอเคพี่ ผมกลับก็ได้”
“เออๆ แล้วอย่าดึกล่ะ แต่ขากลับพี่นั่งแท็กซี่มาเอง อ้นไม่ต้องมาส่ง” ปากของผม...ทรยศความคิดอีกครั้ง นี่ปากมันรับคำสั่งจากสมองหรือหัวใจกันแน่ฟะ!
“โอเคครับพี่” แหม ไอ้คนหน้างอเมื่อกี้ หายไปไหนแล้ว น่าหมั่นไส้ชะมัด!
-----------------------------------------------
หลังจากเรา 2 คนกินข้าวกันอิ่มแปล้ (ณ ร้านลาบเป็ดร้านเดิม) สมใจอยากของไอ้หน้าขาวแล้ว อ้นก็ขับรถมาส่งผมตรงหน้าปากซอยเพื่อขึ้นรถแท็กซี่
“ส่งตรงนี้ก็ได้” อ้นค่อยๆ จอดรถ ขณะที่ผมกำลังหันไปปลดเข็มขัดนิรภัย
“พี่ครับ” ผมชะงักแล้วหันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าลงบนพวงมาลัย ผมสัมผัสถึงความสุขจากอ้นไม่ได้เลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ผมรับรู้ว่าอ้นมีมันอย่างเต็มเปี่ยม ไอ้อ้นที่ผมคุ้นเคยไม่เคยเป็นแบบนี้ หรือมันกำลังจะแกล้งอะไรผมอีก
“ว่าไงไอ้น้อง” ผมตอบรับอ้นไป ด้วยน้ำเสียงปกติที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะเอาเข้าจริงๆ ผมก็คาดเดาไม่ได้เหมือนกันว่าผมกำลังจะเจออะไร
“ผม...ผม” อ้นอึกอักและท่าทางเหมือนมีอะไรจะบอกผม แต่มันคงยังค้างอยู่ตรงส่วนใดซักที่ของความรู้สึก... ที่ผมทำได้ตอนนี้ คือทำให้อ้นรู้สึกผ่อนคลายและไว้วางใจ
“เฮ้ย เป็นห่าอะไรเนี่ย มีอะไรก็ว่ามาเลย พี่ฟังได้” ผมหัวเราะกลั้วคำหยอกเอินเพื่อบรรเทาอาการตึงเครียด แต่ที่ผมสัมผัสได้ มีเพียงความเงียบที่อยู่ตรงหน้าระหว่างเรา บอกตรงๆ ว่าผมทำได้ดีที่สุดแค่นี้ครับ เพราะตอนนี้หัวใจของผมเองก็เต้นไม่เป็นจังหวะเช่นกัน เกิดอะไรกับมัน
“......................” เสียงจากเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ คือเสียงดังที่สุดในตอนนี้ ผมไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจของตัวเองว่าตอนนี้มันเต้นเป็นจังหวะอะไร อ้นหันมามองหน้าผม แววตาของอ้นที่เคยซ่อนซุกความสุขกลับกลายเป็นเพียงลูกแก้วสีดำที่ไร้การเคลื่อนไหว ร่างกายของผมเหมือนถูกดูดไปในแววตาไร้คำตอบคู่นั้นที่ลึกลับน่ากลัว แต่ทว่า มันช่างน่าค้นหาเหลือเกิน
ผมรู้ตัวอีกทีก็รู้สึกเหมือนใบหน้าของอ้นเคลื่อนมาใกล้หน้าผมเต็มที ใกล้เข้ามา และใกล้จนผมรับรู้ได้ถึงไออุ่นของลมหายใจอ้นที่ตอนนี้มันไหลรินบนแก้มซ้ายของผม ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่ามันเกิดได้อย่างไร และมันเกิดเพราะอะไร แต่ที่รู้คือวินาทีนี้ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆ ของอ้นได้บดทับริมฝีปากแห่งความคลางแคลงใจของผมอย่างแนบแน่น เรียวลิ้นซุกซนของอ้น ที่พยายามชอนไชทำหน้าที่ของมัน ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ จนมันสามารถทำลายกำแพงแห่งความรู้สึกประหม่าของผมไปจนหมดสิ้น ผมหลับตาลงเพื่อซึมซับสัมผัสอันร้อนแรง แต่หวานฉ่ำนี้ด้วยความอยากรู้ อยากลองประสบการณ์ที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน เพื่อตอบคำถามว่า นับจากวินาทีนี้ จะเกิดอะไรต่อไป
ผมล่องลอยอยู่ในสัมผัสรสของจูบหอมหวานที่อ้นบรรจงมอบให้อย่างละเมียดละไม มือกร้านๆ ของอ้น ประคองใบหน้าของผมไว้ คล้ายกับกลัวว่าผมจะหลุดไปจากพันธนาการปีศาจนี้ได้ แล้วก็เป็นมือคู่นี้เช่นกัน ที่ตอนนี้เริ่มซุกซนสอดประสานมาภายในเสื้อสีขาวตัวบางของผม มันปีนป่ายสะเปะสะปะไปตามแผ่นหลังกว้าง และกดแน่นแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
แล้วก็เป็นผม ที่ปลุกตัวเองจากฝันแสนหวาน เพื่ออยู่กับความจริงที่ว่า “เรา” ควรจะหยุดสิ่งที่เรากำลังทำลงเพียงตรงนี้ เพราะนี่เป็นจูบแรกของผมในชีวิต...กับผู้ชาย และเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเป็นไปได้
“เฮ้ย!” ผมผลักมันออก จนอ้นทำหน้าตกใจในท่าทีของผม
“พี่ ... ผมขอโทษครับ” อ้นมองหน้าผมด้วยแววตาสำนึกผิด
“พี่กลับบ้านก่อนนะ”
“ผมขอโทษ ผม.....”
“ช่างมันเหอะ” ผมมองหน้ามันนิ่งๆ เรา 2 คน ไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ ผมก็ไม่อาจอ่านใจของคนแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้าผมได้
“พี่ไปละ” ผมลงจากรถ ปิดประตูแล้วไม่ได้หันกลับไปมองอีกว่ามันพูด หรือทำท่าอะไร จนเมื่อรถของอ้น ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกตัวออกไปและลับหายในความมืด เช่นกันกับความมืดในใจของผมที่มันยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เช่นกัน
---------------------------------------------------
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพื่อพบว่า ผมไม่ได้รับสายของอ้น 58 สาย (ถ้าใครไม่รู้คงคิดว่าญาติฝ่ายไหนของมันเสีย) ไม่ใช่ไม่ได้ยิน ไม่ใช่ไม่เห็น
แต่ผมไม่อยากรับสาย .....
เรื่องเมื่อคืน ผมไม่ได้โกรธ หรือเกลียดมัน แต่ที่ผมรู้สึกตอนนี้คือ ผมเรียนโรงเรียนชายล้วน ต่อด้วยเทคนิค แฟนทุกคนก็เป็นผู้หญิง ส่วนเรื่องสวยงาม หรือกรี๊ดกร๊าดกับตัวผมเองไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ไม่มีเลยยย ผมว่ามองยังไงผมก็ไม่มีทางชอบผู้ชายหรือเป็นเกย์แน่ๆ
ผมเป็นเชี่ยอะไรวะ!?
คิดมาทั้งคืนจนปวดหัว เลิกคิดแล้วสอนหนังสือดีกว่าครับ
ส่วนอ้นก็ยังพยายามโทรหาผมทั้งวัน แต่ผมก็บอกตรงๆ เลยว่า ผมไม่มีอะไรจะคุยกับมัน ไม่มีจริงๆ ไมมีแม้แต่กระทั่งกับพี่อิส....
---------------------------------------------------
เย็นวันนี้ ผมออกมาเป็นเพื่อนครูนุ่นที่เมกะ บางนา เพื่อซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์เข้าโรงเรียนครูนุ่นครับ เรา 2 คนเดินเหมือนกะเหรี่ยงเข้าเมือง เพราะด้วยความกว้างใหญ่แล้วแผนที่ที่ผมอ่านกี่ทีก็งง ทำให้กว่าจะได้ของครบ ขาผมกับครูนุ่นก็แทบลาก ครูนุ่นเลยชวนผมกินชาบูชิ เพื่อเลี้ยงเป็นการขอบคุณ (มันคือดีอ่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า)
“ขอบคุณมากนะพี่ ที่วันนี้มาช่วยนุ่นเลือก ถ้าพี่ไม่มานะ 3 ทุ่มนุ่นก็ยังไมได้กลับบ้าน” นุ่นพูดพร้อมหยิบจานปลาหมึกจากสายพานเทใส่หม้อชาบู
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามาแล้วเลี้ยงแบบนี้ทุกมื้อ มาได้ทู๊กกก วัน”
“งั้นมาเป็นเพื่อนนุ่นทุกวันเลยนะ” ผมละความสนใจจากถ้วยชาบูตัวเอง เงยหน้ามองนุ่นแบบยังไม่เข้าใจ
“แล้วนุ่นจะมาเมกะ ทำไมทุกวันล่ะครับ”
“นุ่นหมายถึง ไปไหนพี่ก็พานุ่นไปไง” เอาแล้วไง ยังไงวะครับเนี่ย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นุ่นตลกอีกละ” ผมตอบได้แค่นี้ครับ พร้อมยิ้มตาหยีๆ เพราะไม่คุ้นเคยกับการถูกจู่โจม (ก็ของเก่าผมยังไม่หายช็อคเลยนี่นา)
“นุ่นพูดจริงนะ... พี่นัทรังเกียจนุ่นหรือเปล่า” เจี๊ยก! นี่มันสัปดาห์แห่งความตกใจของผมหรือไงวะ
“รังเกียจทำไม ก็นุ่นเป็นเพื่อนรุ่นน้องพี่ทั้งคน.... เดี๋ยวพี่ไปตักซูชิก่อนนะ เดี๋ยวมา” แล้วผมก็ลุกขึ้นเดินไปซูชิบาร์ทันทีโดยไม่รอฟังคำอนุญาตจากปากเธอ
อย่างที่บอกครับ นี่มันสัปดาห์แห่งความตกใจของผมหรือไงวะ ผมโดนลวนลามจากพี่อิส โดนขโมยจูบจากไอ้อ้น (อาจไม่ได้เรียกว่าขโมย หิหิหิ) และวันนี้ นุ่นก็มีท่าทางแปลกๆ กับผมอีก ผมคิดเชี่ยอะไรไม่ออกเลยครับตอนนี้ ถ้าพรุ่งนี้ครูเหน่งมาบอกว่ารักผมอีกคน ผมจะกระโดดต้นมะเขือตาย!
ผมเดินมาตามทางเดินของร้านเพื่อจู่โจมซูชิบาร์ที่มีข้าวปั้น ปูอัด เทมปุระ ปลาซาบะ เรียงกันสลอนรอคอยการมาเยือนของผม เมื่อสิ่งเหล่านี้มันอยู่ตรงหน้า ผมเลือกที่จะหยิบปูอัด แซลม่อนโรล และเทมปุระกุ้งใส่จาน แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงใครบางคนคุ้นๆ หู กำลังพูดคุยกัน โดยมีเสียงผู้หญิงหัวเราะอย่างมีความสุข
“ไม่ใช่น่า...กูคงไม่ซวยขนาดนั้นหรอก!”
แต่ผมก็ไวเท่าความคิด ผมหันหน้ากลับไปมองโต๊ะข้างๆ ซูชิบาร์ที่ตอนนี้กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ สาย9kของผมกับเจ้าของโต๊ะนั้นก็เสือกสบตากันพอดี
ไอ้อ้น!
ผมตั้งสติแล้วหันกลับมาทันที หยิบจานซูชิ แล้วรีบเดินจ้ำอ้าวกลับไปที่โต๊ะ ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อซักครู่นี้ ภาพลางๆ ที่ผมจำได้คือ ผมเห็นอ้น นั่งตรงข้ามกับผู้หญิงคนหนึ่ง พูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องเบือนหน้ากลับมา คือ มือข้างขวาของอ้น กุมมือของหญิงสาวคนนั้นไว้....ภาพที่ผมเห็น ผมต้องสับสนหรือเปล่า? ในเมื่อไอ้อ้นคนนี้ ที่จูบผมอย่างดูดื่มในรถเมื่อคืน แล้วก็ไอ้อ้นคนนี้ที่พยายามโทรหาผมเป็นร้อยสาย แต่เพียงข้ามคืน ผมกลับพบมันมานั่งกุมมือสาวสวยในนี้ ถึงผมจะเป็นผู้ชาย แต่ผมก็ไม่ค่อยโอเคกับเรื่องนี้เท่าไร
มึงต้องการอะไร!
ผมวางจานอาหารลงบนโต๊ะ แล้วบอกนุ่นว่าขอไปเข้าหองน้ำซักครู่ เพราะในความจริงแล้ว ผมไม่อาจนั่งตรงนี้ รู้สึกอย่างเดิมได้ในตอนนี้อีกแล้ว ผมเดินออกมาไกลพอสมควร แล้วหยุดยืนมองถนนที่ทอดยาวไปไกลผ่านกระจกบานใสของที่นี่ สมองผมตื้อไปหมด ผมมีแต่คำถามในใจวนเวียนส่งเสียงกันเซ็งแซ่ อะไร ยังไง ทำไมกับใคร ที่ไหน อย่างไร
อ้นที่จูบผมอย่างดูดดื่มในคืนนั้น ท่าทางห่วงหาในวันนั้น ความสนิทสนิมกันในเวลานั้น กับอ้นในวันนี้...วันที่เกาะกุมมือของใครบางคนอยู่
มึงทำอะไรของมึงวะ!
“พี่ครับ” เสียงคุ้นเคยหอบเบาๆ ท่ามกลางโลกของผมที่เงียบลง และมือคู่เดิมนั้นได้สัมผัสที่ต้นแขนผม ผมหันกลับไปมองหน้ามันอีกครั้ง พบอ้นกับท่าทางเหนื่อยหอบจากการวิ่ง สายตาของผมหรี่ลงเขม้นมองเหมือนจะเค้นเอาคำตอบในสิ่งที่ผมยังไม่เข้าใจ
“...................”
“แฮ่ก แฮ่ก พี่รู้ไหม ผมโคตรเหนื่อยเลย พี่เดินเร็วจนผมวิ่งตามมาแทบไม่ทัน”
“...................” ผมมองหน้ามันแล้วโคตรเจ็บใจตัวเอง ที่ปล่อยให้ไอ้เด็กตรงหน้ามาปั่นหัวผมเป็นเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ภาพความทรงจำที่มันทำหยิ่ง ไม่สนใจผม ไหลเวียนมาในหัว
“พี่ทำไมไม่รับสายผม”
“...................” ผมโคตรรู้สึกแย่กับมัน มันที่ทำเหมือนความรู้สึกของผมเป็นของเล่น
“พี่ครั......”
“มึงต้องการอะไรวะ?” ในเมื่อมึงมีคนนั้น แล้วมึงมาจูบกู มาทำแบบนี้แบบนี้กับกูทำไม มาทำให้กูไม่เข้าใจตัวเองทำไม มึงรู้ไหมว่ากูสับสนตัวเองชิบหาย
“พี่นั......”
“ช่างแม่งเหอะ กูไม่ได้คิดอะไร?” ตอนนี้ผมรู้ตัวอีกที ผมก็พบว่าน้ำตาแห่งความเจ็บใจ ความอัดอั้นของผมแม่งเสือกคลอที่เบ้าตา ใบหน้าผมร้อนผ่าวด้วยความโมโห ผมกำมือแน่นทั้งที่บอกมันว่า ผมไม่ได้คิดอะไร
“ฟังผมก่อนพี่” มันยื่นมือของมันเพื่อจะสัมผัสตรงส่วนไหนไหล่ของผม ผมปัดมือมัน
"นั่น ... ก้อย .... แฟนของผม ... ครับ...เรา....” ผมรู้สึกเหมือนทั่วร่างถูกตรึงไปด้วยตะปูนับพันตัว แขนขาของผมมันแข็งทื่อ หูของผมไม่ได้ยินอะไรอีกต่อไปแล้ว ผมรู้เพียงว่า ผมต้องรีบออกไปจากที่นี่ จากตรงนี้ให้เร็วที่สุด (เพราะผมอาจจะถีบมันซักทีก็เป็นได้) ผมเดินจากไปโดยไม่ได้สนใจที่จะหันหลังไปมองว่า มันที่พยายามเรียกชื่อผมอยู่นั้น มันต้องการพูดว่าอะไร เพราะตอนนี้ผมไม่อยากรู้อะไรเกี่ยวกับมัน
เพราะคำถามที่ว่า ผมเป็นเชี่ยอะไร?
ผมตอบคำถามในใจตัวเองได้แล้วว่า
ผมไม่ได้เป็นเชี่ยอะไรหรอก ผมเป็นเพียงแค่
"คนที่ตกหลุมรักมันเท่านั้นเอง"
To be continue
เอาแล้วไง ตอนนี้คือตอนที่อ้นกับนัทไม่เข้าใจกันนะครับ
รวมทั้งยังมีตัวละครใหม่ปรากฏกายด้วย
เรื่งราวเริ่มจะวุ่นวาย นุงนังแล้ว แม้กระทั่งนัทเองทีตอนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจตัวเอง
ว่าที่จริงแล้ว รู้สึกยังไงกับอ้น จนถึงวินาทีนี้
ตอนหน้าเราจะได้เห็นอะไรในความสัมพันธ์ของทั้ง 2 คน อย่าลืมติดตามนะครับ
รักคนอ่านทุกคนเลยยยย
ปล.
ยังไงฝากแฟนเพจของเรื่องด้วยนะครับ ^_^
https://www.facebook.com/LessonsOfLoves
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ