มัธยมวิปลาส มิตรฆาตวิทยา
-
เขียนโดย bluemouse
วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.53 น.
6 บท
0 วิจารณ์
9,151 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 16.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) วิชาสามัญชั่วโมงสุดท้าย - ๑ เสียง (ครึ่งหลัง)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ สมพรปาก ศุทธวีร์เซไปกระแทกไหล่นักเรียนหญิงที่เดินสวนมา หนังสือ กระเป๋าถือ เอกสาร ทั้งหมดทั้งมวลในวงแขนเธอร่วงกระจัดกระจาย เด็กหนุ่มยืนอึ้งกับผลงานอยู่อึดใจใหญ่ จนเด็กสาวย่อตัวลงเริ่มเก็บของถึงค่อยพูดออก "ข...ขอโทษ เจ็บตรงไหนรึเปล่า" "ไม่เป็นไร" เธอตอบสั้น ๆ ขณะหยิบตลับลายกระต่ายหวานแหววจากพื้นขึ้นมาปัดทรายออก ศุทธวีร์นึกได้ว่าควรช่วยจัดการไอ้ที่ตนทำเกลื่อนกลาดก่อน เขาก้าวเก้ ๆ กัง ๆ คว้าซองขนมซึ่งหล่นอยู่ใกล้ที่สุด "อันนั้นไม่ใช่ของเรา คงปลิวมาจากถังขยะน่ะ" เด็กสาวบอกเมื่อเขายื่นมันให้ ...ได้ยินเสียงเพล้งแถว ๆ หน้าตัวเอง ถึงตอนนี้ ศุทธวีร์เห็นแล้วว่าเธอคือนุชนาถ...อีกหนึ่งสาวเนื้อหอมของโรงเรียน ผู้มีรูปร่างน่าทะนุถนอม ผมหางม้าดำขลับ ผิวขาวผ่อง แก้มอมชมพู ดวงตากลมโต... ใจเขาแกว่งวืด ตาโตปิ๊งวับคู่นั้นจู่ ๆ ก็มองขึ้นมาหา สำหรับศุทธวีร์ ถ้า 'ต่อยตี' เป็นภาษาต่างด้าว 'สบตาสาว' ก็เป็นภาษาต่างดาว เด็กหนุ่มแข็งทื่อในทันใด นุชนาถยังคงมองเขาที่ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นนานเกือบนาที ก่อนที่ริมฝีปากบอบบางของเธอจะขยับเป็นรอยยิ้ม เอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล "เอ่อ ถอยนิดนึงได้มั้ย" ? คงเพราะเขาทำหน้าหมางง นุชนาถจึงช่วยขยายความ "เธอเหยียบชีทเราอยู่" เด็กหนุ่มรีบชักเท้าออก หน้าร้อนผ่าว เขาก้มลงจะเก็บมัน แต่ไม่ทันไชยพศ (ศุทธวีร์สาบานว่าเพื่อนของตนฉกไปด้วยความไวเข้าใกล้แสง) "เปื้อนหมดเลย" ไชยพศปั้นหน้ารู้สึกผิดสี่ส่วน หล่อเหลาอีกหกส่วน และเสนอความช่วยเหลือที่ศุทธวีร์ต้องยอมรับว่าดูดีกว่าตนมาก "ชีทวิชานี้เรามีเก็บไว้ เดี๋ยวเราเอาของเรามาให้แล้วกัน" "ไม่เป็นไร" นุชนาถยิ้มตอบ "เรามีจดเพิ่มเติมไว้ในนั้นด้วยน่ะ อยากได้ของเราเองมากกว่า มีรอยเหยียบก็ไม่เป็นไรหรอก" ศุทธวีร์ฟังแล้วสะอึก โลโก้ยี่ห้อรองเท้าของตัวเองบนชีทของเธอเด่นกระแทกแสกหน้า ความละอายทะลุออกทุกรูขุมขนโดยไม่ต้องเสแสร้งแกล้งปั้นแบบผู้เป็นเพื่อน "อืม" ไชยพศพลิกดูชีทไปมา "ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเราลอกคืนให้ ลายมือเราคงไม่สวยเท่าเธอ แต่ไว้ใจได้ว่าอ่านออก" เจ้าคนแพรวพราวไม่ลืมหยอด ทั้งไม่พลาดโอกาสต่อยอดอันดี "ถือของมาเยอะแยะเลยเนี่ย ให้เราช่วยถือนะ" "ไม่เป็นไร" คำตอบยังเหมือนเดิม สงสัยเป็นสโลแกนประจำตัว "เราถือเองได้ เมื่อกี้ที่ทำหล่นเพราะโดนชน" เจอกระทุ้งเข้าอีกดอก ศุทธวีร์ชักไม่แน่ใจ ที่เห็นเธอยิ้ม ๆ อยู่นี่ไม่ได้โกรธกันใช่มั้ย เด็กสาวยื่นมือมาขอคืน ไชยพศรู้งานพอที่จะไม่ยื้อต่อ "ขอบใจนะ" นุชนาถยิ้มให้อีกครั้งแล้วเดินจากไป ไชยพศมองตามด้วยสายตาเคลิ้มฝัน ท่าทางพร้อมจะจูบทุกคนที่อยู่ใกล้ (ศุทธวีร์รีบเขยิบออกห่าง) "นี่มันแม่ของลูกข้าชัด ๆ น่ารักขึ้นทุกวัน ๆ นุดชะนฮฮาดดด" ว่าจบก็ทวนชื่อสาวเป็นเสียงกระเส่า "สามนาทีก่อนเอ็งยังบอกจริงจังกับขวัญสุดา" ศุทธวีร์อดไม่ได้ที่จะเหน็บ "คนหนึ่งข้ารักด้วยใจภักดิ์ อีกคนข้ารักด้วยใจปอง" จอมเจ้าชู้ยกข้ออ้างยุคบรรพชน "ขวัญสุดาคือคนที่ใช่ นุชนาถคือคนที่ใจไม่อาจปฏิเสธ" "เอ็งใส่ความซึ้งเยอะไปละ เว้นช่องไฟนิดนึง เหลือที่ให้ข้าอ้วกบ้าง" "เดี๋ยวช่วยเอาเท้ายันกลับลงท้องให้ แหม่ ไอ้หำนี่" ด่าเสร็จไชยพศยกแขนจะหลังแหวนใส่ แต่ค้างไว้ แล้วเปลี่ยนมาตบบ่า "ยังไงก็ต้องขอบใจเอ็งมากว่ะกล้า ชนได้แจ่มจรัสมาก เรียนด้วยกันมาตั้งปีเศษแล้ว ข้ายังไม่มีโอกาสได้คุยกับเขาเลย" โรงเรียนนี้รับเด็กเข้าเรียนสองช่วง คือเข้าตั้งแต่ระดับม.ต้น กับเข้าตอนระดับม.ปลาย เขากับไชยพศเป็นแบบแรก นุชนาถเป็นแบบหลัง "ตัวพ่ออย่างเอ็งเนี่ยนะบอกว่าไม่มีโอกาส" ศุทธวีร์ไม่อยากจะเชื่อ "คนนี้กำแพงสูงปรี๊ด ยากกว่าทุกสาวที่เคยสอยมาว่ะ" ข้อนี้ศุทธวีร์เห็นด้วย อย่ามองแค่ว่านุชนาถไม่มีลิ่วล้อคอยห้อมล้อมเหมือนขวัญสุดา ในความเป็นจริงแล้วก็ฮ็อตไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ที่ไม่มี คงเพราะกำแพงที่ว่านั่นแหละ นุชนาถอยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งหมายถึงเธอเป็นเด็กเรียน และยังเป็นเด็กเรียนที่รักการเรียนมาก ผู้ชายส่วนใหญ่รักเธอ แต่ไม่ได้รักเรียน เวลาคุยกับเธอเลยใบ้กิน นุชนาถเป็นคุณหนูผู้ดี มีคนขับรถของครอบครัวคอยบริการเสมอ เรื่องชวนไปเที่ยวหรือเกี้ยวไปส่งบ้าน หมดสิทธิ์ นุชนาถมีเพื่อนในกลุ่ม...ผู้หญิงล้วน ๆ และหวงเธอยิ่งกว่าสมบัติประจำตระกูล คอยทำหน้าที่เป็นแผนกคัดกรองป้องกันจากไอ้หนุ่มทั้งหลายแหล่ที่แห่เข้าไปหา และยังด้วยบุคลิกนิสัยของสาวเจ้าเอง เทียบกับขวัญสุดาที่เป็นคนกล้าแสดงออก มีมนุษยสัมพันธ์ เข้ากันง่ายกับทุกคนแล้ว นุชนาถนั้นร่าเริงจริง แต่เรียบร้อย ยิ้มแย้มจริง แต่ไว้ตัว ไม่รังเกียจที่จะรู้จักกับคนต่างเพศจริง แต่รักษาระยะห่างเสมอ "งั้นแม่คนนี้ก็ถือเป็นกรณีพิเศษที่เอ็งควรปล่อยผ่าน" ศุทธวีร์หวังอย่างนั้น ขวัญสุดาคนเดียวก็เรียกเภทภัยได้เกินพอแล้ว แต่ก็รู้ดี... "ปล่อยผ่านเข้าอ้อมใจข้าไปเลย" เพื่อนของเขาตอบชัดถ้อยชัดคำ ไม่สิ อันที่จริงไม่รู้ คือไม่รู้ทำไม ไชยพศมักจะคึกเป็นพิเศษกับสาวแนวนี้ คงเข้าทำนองเหยื่อที่ท้าทายกระตุ้นสัญชาตญาณนักล่า "หนทางหมื่นลี้ต้องมีก้าวแรก อย่างน้อยวันนี้ก็ได้คุยกันแล้ว" นักล่ายิ้มพราย หยิบปากกาสีชมพูที่อยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไรไม่ทันสังเกตขึ้นมาจูบเบา ๆ "ต่อจากนี้ก็ซัดเต็มสูบ" ศุทธวีร์ไม่ต้องเสียเวลาถามว่าใช่ของที่นุชนาถทำหล่นไว้รึเปล่า เด็กหนุ่มข้ามไปคำถามถัดไป "เอ็งจิ๊กของเขามาเพื่อ?" "เพื่อที่คราวหน้า ข้าจะได้ 'นุช ๆ เราเจ๋งนะ ที่เจอกันวันนั้นไง นี่ใช่ของเธอรึเปล่า มันตกอยู่ตรงซอก วันนั้นจะเรียกก็ไม่ทันละ เอ้อถามนิดนึง ปากกาด้ามนี้ซื้อจากที่ไหนเหรอ พอดีน้องสาวเพื่อนเราเขาเห็นแล้วชอบ เลยว่าจะซื้อไปฝาก' ไงเอ็ง" ไชยพศสาธยาย "แล้วใช้คำว่าจิ๊กนี่มันไม่ใช่นะเว้ย ข้าแค่ 'คืนให้ช้าไปหน่อย' จะโทษก็ต้องโทษเอ็งนั่นแหละ" อ้าว? เมื่อกี้มันยังขอบใจอยู่หยก ๆ "เอ็งน่าจะเหยียบชีทเขาให้ขาดไปเลย เขาจะได้ไม่ปฏิเสธข้อเสนอของข้า คราวหน้าอย่าพลาดนะกล้าเอ๊ย เออ แต่เมื่อกี้เห็นละว่าชอบกระต่าย ไอ้ตัวกระต่ายอ้วน ๆ นั่นมันชื่ออะไรวะ อ๋อ พูดลอย ๆ ไม่ได้ถามเอ็ง เอ็งไม่รู้จักแหง ๆ อยู่แล้ว ไว้ข้าลองไปถามสาว ๆ ดู" ศุทธวีร์ทำหน้าเหนื่อย "ตกลงเอ็งไม่อยากรู้แล้วใช่มะ ว่าตรงลานเขามีเรื่องอะไรกัน" "เออใช่ ขวัญสุดาของข้า" กว่าจะมาถึง ขวัญสุดาของไชยพศก็หายไปแล้ว เหลือแต่... "ระวังตัวไว้นะเอ็งน่ะ" อชิระ หรือไอ้รัน ฉายาไอ้ลิง ไฮเปอร์หัวตั้งแห่งห้องหก ผู้ควรจะไปเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณายาชูกำลัง เพราะระริกระรี้มีพลังตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้มันดูยัวะจัด ฮึดฮัดเหมือนพร้อมจะเหาะขึ้นฟ้าไปหาโจทก์ที่ทำให้มันอารมณ์บูดได้เลย ติดที่มีนักเรียนหญิงสองคนช่วยกันดึงแขนไว้คนละข้าง พยายามลากตัวไปอีกทาง คนหนึ่งเป็นสาวน้อยท่าทางทะมัดทะแมงแก่นแก้ว ไม่ได้ใส่ชุดพละแต่สวมรองเท้าพละ "ใจเย็น ๆ สิคะ อีพี่ลิง" ...วรัสยา เด็ก ม.สี่ อีกคนไม่ได้ใส่ชุดพละเหมือนกัน และสวมรองเท้าพละเหมือนกัน แต่เหยียบส้นด้วย "บอกว่าพอได้แล้ว นี่ นายแปลคำว่าพอไม่ออกรึไงยะ" ...ณัฐนรี หรือเตา...อีกหนึ่งเรื่องแปลกของโลกนี้ ตัวก็เล็ก ผิวก็ขาว ดันใช้ชื่อเล่นที่ทำให้นึกถึงอะไรดำ ๆ ทนทาน ๆ ซะงั้น "เขาเป็นเตาที่พร้อมจะแผดเผาใจชายให้มอดไหม้ไงล่ะเว้ย" ไชยพศเคยให้ความเห็นเลี่ยน ๆ เอาไว้ ศุทธวีร์มองไปรอบ ๆ วง...พงศ์พิชกับกลุ่มเพื่อนร่วมห้องเดินไปโน่นแล้ว เขาโล่งใจเล็กน้อย ปรกติอชิระขยันทำอะไรเพี้ยน ๆ และโวยเหวี่ยงเสียงดังพอ ๆ กับไชยพศตอนโดนคนอื่นยืนบังสาวก็จริง แต่ไม่เคยเห็นมันของขึ้นขนาดนี้ คำถามคือใครเป็นคู่กรณี หวังว่าคงไม่ใช่เจ้ายักษ์ใหญ่ ให้ไชยพศงัดมุกมาหมดกระปุก ครูชนันธรก็คงไม่ยิ้มส่งให้อีกครั้งหรอก ถ้าได้รู้ว่าหลังยุติศึกชั้นบนไปหมาด ๆ พี่เบิ้มก็ขยายแนวรบลงมาเปิดศึกใหม่ที่ชั้นล่าง "เสียของว่ะ" ไชยพศทำเสียงจิ๊จ๊ะ ดูเหมือนกำลังกังวลไปคนละเรื่อง "ไอ้ลิงแม่มหน้าหยั่งกะลิง น้องยากับเตานึกไงไปสนิทกับมันวะ" จอมเจ้าชู้เหม็นหน้าผู้ชายกว่าครึ่งค่อนโลก ยิ่งเหม็นเป็นพิเศษสำหรับผู้ชายที่รู้จักกับผู้หญิงหน้าตาดี ศุทธวีร์ส่งเสียงเฮ่อแบบไม่เก็บงำ "ปีก่อนเอ็งเคยบอกน้องยาเด็กไป" "และข้าก็ยังบอกไว้ว่าปีนี้จะพิจารณาน้องเขาอีกที" "แล้วที่เอ็งว่าเตาห้าวไป ไม่อ่อนหวาน เห็นแล้วไม่มีอารมณ์จีบ" "แต่ถ้าให้ก็ยินดีนะ" ไชยพศยิ้มแฉ่ง ศุทธวีร์แบะปาก "อย่างเอ็งนี่ควรจะเรียกว่าไม่เรื่องมากหรือว่าไอ้โลภมากดีวะ" จอมเจ้าชู้เหมือนไม่ได้ยิน "เออใช่ เตาอยู่กลุ่มนุชด้วยนี่หว่า ถ้าสบโอกาสต้องเนียนตีซี้หน่อย" ศุทธวีร์ถึงกับเหวอ "เฮ้ย ๆ เฮ้ย ๆ เอ็งจะจีบเขา เพื่อจะได้มีช่องทางไปสอยเพื่อนเขาต่อเนี่ยนะ" "กล้า เอ็งไม่เข้าใจคำว่าอาหารหลักกับของว่างเหรอวะ อย่างแรกกินเพื่อดำรงชีพ เราขาดมันไม่ได้ อย่างหลังจริง ๆ แล้วไม่ต้อง แต่ซะหน่อยเพื่อความรื่นรมย์" "งั้นข้าว่าเอ็งควรไดเอ็ตบ้างแล้วล่ะ" "ไอ้คนใจหินผาหน้าตายด้าน เจอสาวไหนก็ไม่เคยกระดี๊กระด๊าแบบเอ็งไม่รู้หรอก" เจ้าคนช่างกินเถียงกลับ "เอ๊ หรือว่านั่น คู่ในฝันเอ็งเป็นแบบนั้นรึเปล่า" มันจับแขนเขาชูขึ้นโบกมือให้เจนนี่ เด็กห้องสามที่ยืนอยู่อีกฝั่งสนาม ศุทธวีร์หัวเราะแหบ ๆ เมื่อเจนนี่...ที่ชื่อจริงคือเจนยุทธ...ยิ้มยิงฟัน โบกแขนอันล่ำสันทักทายตอบ "เฮ้ย อย่าบอกนะ" ไชยพศทำหน้าคลางแคลง "เอ็งไม่ได้คิดอะไรกับข้าใช่มั้ยวะกล้า" "ไปกินข้าวกันเหอะ" เขาตัดบท "จะของหลักของว่างก็แล้วแต่ สมองเอ็งต้องการคุณค่าทางอาหารอย่างด่วนเลย" "อะล้อเล่ง แหม แซวหน่อยทำเคือง" เพื่อนของเขาเอามือแหย่ด้วยท่าดัดจริต "ข้าก็แค่อยากเห็นเอ็งทำตัวให้มันสมกับเป็นผู้ชายบ้าง ผู้หญิงน่ะมองได้คุยได้ เขาไม่ลากเอ็งไปฆ่าหรอก อย่างเมื่อกี้ที่ชนกับนุชก็โคตรล่กเลยเอ็งอะ ตอบสนองอย่างกับเจอเจ้าหนี้" ไชยพศขำ "แต่ดีแล้วแหละ เพราะคนนี้ข้าจอง เอ็งไปหาคนอื่น" ศุทธวีร์สาวเท้าออกเดินไปทางทิศที่โรงอาหารตั้งอยู่ ไม่สนใจจะตอบ "เดี๋ยว ๆ คงไม่ใช่ว่า..." ไชยพศวิ่งเหยาะ ๆ ตามหลังมา ยังไม่ยอมจบง่าย ๆ "เอ็งแอบปิ๊งใครในกลุ่มพวกแฟน ๆ เก่า ๆ ของข้ารึเปล่า" มันยิ้มเหมือนเวลาที่จับผิดคนอื่นได้ "ถ้าเอ็งเกรงใจข้าอยู่ บอกเลยว่าไม่ต้องคิดมากนะเว้ย ข้าไม่ถือ คือมันเรื่องในอดีต แล้วมันก็ความผิดข้าด้วยที่เล่นคั่วพวกแจ่ม ๆ ในโรงเรียนเราแทบจะเรียบวุธเลย" "เลิกพูดเรื่องนี้เหอะ" ศุทธวีร์ชักหงุดหงิด "เอ้าเขินอีก" จอมเจ้าชู้ตีความอาการของเขาไปอีกอย่าง "เล็งคนไหนบอกนะ คือข้าอาจจะเข้าไปช่วยสานสัมพันธ์ไม่ได้ แต่ช่วยแนะข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ได้" "บอกว่าเลิกพูดซะที!" ศุทธวีร์ขึ้นเสียง หันกลับไปด่า "เอ็งบอกว่าข้าไม่รู้อะไรงั้นเหรอ เอ็งต่างหากที่ไม่ --" ...ไชยพศหายไปแล้ว มันตามมาติด ๆ จนถึงเมื่อกี้ แล้วอยู่ดี ๆ ก็ล่องหนหายแว่บไปซะเฉย ๆ ศุทธวีร์งุนงง หันไปมองรอบตัว...และพอเห็นคนที่เดินมา เขาก็หายสงสัย "หวัดดี กล้า" ชนกนันท์เอ่ยทัก เสียงแผ่วและทอดช้าเล็กน้อยเหมือนเช่นเคย เด็กหนุ่มเงียบ "หวัดดี" เด็กสาวกะพริบตาปริบ ๆ เดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยซ้ำ คงนึกว่าเขาไม่ได้ยิน "หวัดดีเอิน" ศุทธวีร์รีบตอบ "สบายดีมั้ย" "ไม่ค่อยสบาย" เธอตอบอู้อี้พร้อมกับจามหนึ่งที ...ไอ้เขาก็ดันเผลอ สะเหล่อถามออกไปได้ ชนกนันท์ร่างกายไม่แข็งแรงนัก ป่วยอยู่บ่อย ๆ และมีหน้ากากอนามัยสวมหูพับอยู่ใต้คางเสมอจนเหมือนเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว เพื่อนบางคนเรียกเธอว่าสวยกระเสาะกระแสะ "ไม่ได้คุยกันซะนาน" เด็กสาวบอก "เป็นเดือนแล้วมั้ง" "นานขนาดนั้นเลย" นานขนาดนั้นแหละ ศุทธวีร์จำได้ว่าคุยกับชนกนันท์ครั้งสุดท้ายเดือนที่แล้วโน่น ไม่นึกว่าเธอจะจำได้เหมือนกัน "ก็เวลาพัก กล้ากินข้าวเสร็จก็กลับขึ้นไปนั่งฟุบกับโต๊ะอยู่คนเดียวในห้องนี่ เลยไม่เจอกัน ตอนนี้ยังชอบทำแบบนั้นรึเปล่า" "มีบ้าง" อันที่จริงทำเป็นประจำ เขาเกาหัว ไม่นึกว่าเรื่องนี้เธอก็ยังอุตส่าห์จำได้อีก "นี่กินข้าวรึยัง" "ก็...กำลังจะไป แล้วเอินกินรึยัง" "กินไม่ลง" ชนกนันท์ยิ้มพร้อมกับสั่นศีรษะ "มีไข้นิดหน่อย จะไปเอายาที่ห้องพยาบาล แล้วก็อาจจะขอนอนพักสักชั่วโมงน่ะ" "อือ ดี -- เอ้ย ไม่ได้หมายถึงป่วยแล้วดีนะ" ศุทธวีร์รีบแก้ "หมายถึงถ้าไม่สบาย ไปนอนพักก็ดีแล้วล่ะ" "เข้าใจ ๆ" เด็กสาวหัวเราะ "แล้ว...นี่มาคนเดียวเหรอ" ศุทธวีร์เงียบอีกรอบ รู้ ว่าคำถามของเธอหมายถึงใคร ...ปีที่แล้วชนกนันท์ยังคบหากับไชยพศ "ไอ้เจ๋งเดินไปกินก่อนแล้ว" เขาเดา มันคงแอบชิ่งไปทางอื่น "เจ๋งเขาเป็นไงมั่งน่ะช่วงนี้" เธอถาม "ก็...สบายดี" "หมายถึงยังจีบสาวไปทั่วเหมือนเดิม" ชนกนันท์ยิ้มจาง ๆ มีอารมณ์บางอย่างเจืออยู่ เขาไม่รู้ว่าคืออะไร ถ้าไชยพศเห็นคงตอบได้ และไม่มีทางที่หมอนั่นจะมองไม่เห็น ไชยพศบอกว่าเขาใจหิน มันต่างหากที่ใจหิน ถึงทนกับสายตาแบบนี้ของเธอได้ หรืออย่างน้อยก็หินพอที่จะแกล้งทำเป็นไม่เห็น "อืม" เธอพยักหน้ารับรู้ "ขอบใจนะ" เด็กสาวยังคงยิ้ม ชนกนันท์เป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่ค่อยพูดจา หน้าหวานติดเศร้า ดูซึมเซาผิดวัย แม้แต่ตอนยิ้มก็ให้ความรู้สึกเปราะบางและน่าสงสาร ...ยกเว้นรอยยิ้มเวลาที่พูดถึงไชยพศ เธอยิ้มน้อย ๆ เสมอเมื่อพูดถึงไชยพศ ศุทธวีร์ยิ้มตอบ ได้แต่ยิ้มตอบ ...รอยยิ้มของตัวเขาเองตอนที่เห็นเธอยิ้มในเวลาแบบนั้นดูเป็นยังไงนะ "กล้ากับเจ๋งนี่แปลกจัง" "หือ?" เขาเลิกคิ้ว เด็กสาวยิ้ม "เจ๋งเขาเป็นพวกขี้โวยวาย ไม่ค่อยยอมอยู่เงียบ ๆ นิ่ง ๆ แต่กล้านี่ตรงกันข้ามเลย มาสนิทกันได้ยังไงน่ะ" ไม่ใช่แค่ชนกนันท์หรอกที่สงสัย ...เขาด้วย คงสยิวพิลึกที่ผู้ชายจะมายกยอกันเรื่องเสน่ห์ดึงดูดใจ แต่ศุทธวีร์ไม่อาจออกความเห็นเป็นอื่นได้ เพื่อนของตนมีสิ่งนั้นอย่างล้นเหลือจริง ๆ บุคลิกมาดมั่น มนุษยสัมพันธ์เปี่ยมล้น (แม้ว่ามอบให้เพศตรงข้ามซะเป็นส่วนมากก็ตาม) คารมเป็นต่อ และรูปหล่อก็ไม่ได้เป็นรอง สารพัดคุณสมบัติอีกเป็นพะเรอที่คงง่ายกว่าถ้าจะรวบรัดสั้น ๆ ว่าดูดีเหมือนดารา ส่วนเขา...ดูกี่ทีก็เหมือนนักเรียนชายคนอื่น ๆ ไม่มีคำอวยเยอะแยะให้ต้องย่อความ พูดอีกอย่างคือยากเกินไปถ้าจะหาความโดดเด่น หุ่นกะหร่องกว่าชาวบ้านหรือทึ่มทื่อเป็นพิเศษได้มั้ย...ไอ้บ้าที่ไหนอวด เรื่องแบบนั้นกัน สรุป...แทบไม่มีอะไรใกล้เคียง เหมือนหนังที่มีตัวเอกเป็นคู่หูคนละขั้วนั่นล่ะ หล่อเพียบพร้อมคนหนึ่ง หน้าบ้าน ๆ ทำหน้าที่ยิงมุกอีกคนหนึ่ง เผอิญว่าไชยพศทั้งหล่อและยิงมุกได้ในตัวเอง ศุทธวีร์เลยกลายเป็นอุปกรณ์ประกอบฉาก ใช่ หนุ่มป๊อประดับคนรู้จักทั้งโรงเรียน กับเพื่อนซี้ที่ถ้าไม่ขยับก็นึกว่าของประดับอาคาร ไม่ เขาไม่ได้คิดมาก ไม่ ไม่คิดเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเพื่อนหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะ... "...เรื่องผู้หญิง" ท้ายประโยคจากชนกนันท์แว่วเข้าหู ศุทธวีร์ค่อยรู้สึกตัวว่ายังคุยกับเธอค้างอยู่ "หา?" เขาส่งคำแสดงความงุนงงไปแบบบื้อ ๆ ...เยี่ยมจริง ต่อจากหือก็เป็นหา ไชยพศไม่พูดอะไรง่าว ๆ แบบนี้แน่ "เราบอกว่ายิ่งไม่เหมือน โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง" เธอขำแล้วเอียงคอมอง "ไม่เคยเห็นกล้าตามจีบหรือคบใครเป็นแฟนนี่นา ไม่มีคนที่ถูกใจเลยเหรอ" ศุทธวีร์เงียบกริบ หน้าร้อนวูบและหาลิ้นตัวเองไม่เจอขึ้นมาเฉย ๆ ตอบสิวะ จะ 'หือ' หรือ 'หา' หรือคำที่โง่กว่านี้ก็ได้ อย่างน้อยก็ตอบสนองบ้าง ไม่ใช่สงบนิ่งเป็นรูปปั้นเด็กฉี่แบบนี้ "อ๋อ" ชนกนันท์ส่งเสียงออกมาเบา ๆ อ๋อ? อ๋ออะไร หรือเอินรู้? ศุทธวีร์เตรียมจะวิ่งหนี แต่แล้ว เด็กสาวก็ทาบนิ้วชี้กับริมฝีปากที่อมยิ้มเล็ก ๆ "เป็นความลับสิเนาะ" เธอว่า "...เอ่อ" เขาหาลิ้นเจอแล้ว ยังเป็นคำโง่ ๆ เหมือนเดิม "ฮัดเช้ย" ชนกนันท์ตะครุบปากตัวเอง ก่อนจะดึงหน้ากากอนามัยขึ้นปิดด้วยท่าทางเขิน ๆ "เดี๋ยวเรารีบไปห้องพยาบาลดีกว่า เอาแต่จามใส่กล้าแบบนี้ เดี๋ยวพลอยติดหวัดไปด้วยแย่เลย" "อือ รีบไปน่ะดีแล้วล่ะ" ศุทธวีร์ผงกหัวเห็นด้วย แล้วค่อยนึกขึ้นได้ว่าฟังดูเหมือนไล่ "ไม่ ๆ หมายถึงรีบไปห้องพยาบาลน่ะ" บ้าจริง ความหมายไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไร "คือ...เราตั้งใจจะบอกว่าให้รีบไปพัก ไม่ใช่ให้เอินรีบไปเพราะเรากลัวติดหวัดนะ" "เข้าใจ ๆ" ชนกนันท์หัวเราะเหมือนทุกครั้ง "ไปนะ แล้วเจอกัน" "กินยาเยอะ ๆ ไว้ นอนแล้วเจอกันนะ" พอพูดจบ เด็กหนุ่มค่อยรู้สึกตัวว่าที่ถูกควรจะเป็น 'กินยาแล้วนอนเยอะ ๆ ไว้เจอกันนะ' มากกว่า เขาได้แต่โบกมือลาแรงเกินจำเป็นเพื่อแก้เก้อ จากนั้นก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ มองเด็กสาวเดินไปจนสุดทาง เขาอยากบอกเธอ ว่าถ้าติดหวัดแล้วมันจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ได้ไปห้องพยาบาลด้วยกันล่ะก็ เขายินดียื่นหน้าให้เธอจามใส่ไปตลอดทั้งปี ไม่มีคนที่ถูกใจเลยเหรอ คำถามของชนกนันท์แว่วขึ้นในความคิด "...เธอไง" ศุทธวีร์ตอบ ตัวเขาเองคนเดียวที่ได้ยิน : : : : : : : : : : : : : : : : : : : น้ำไม่ช่วยให้เย็นขึ้นมาได้เลย มันจะร้อนอะไรนักหนา ศุทธวีร์ที่สะลึมสะลือตลอดทั้งบ่ายบ่นปนด่าอยู่ในใจ ช่วงพักสั้น ๆ ระหว่างคาบที่คนแทบทั้งชั้นเจอแดดรมจนงอม นั่งเหี่ยวกันอยู่ในห้อง คร้านจะขยับไปไหน บางส่วนไปดับร้อนที่ห้องน้ำ ศุทธวีร์เลือกเดินลงจากตึกเรียนมาเข้าห้องน้ำนอกอาคาร เพราะคนน้อยกว่า และด้านข้างมีอ่างล้างหน้าแบบแถวยาวที่กว้างกว่าสะดวกกว่าห้องน้ำบนอาคาร (จุดโอเอซิสที่นักเรียนชายมักใช้ดื่มและล้างเท้าในคราวเดียวกัน) หลังจากวักน้ำสาดใส่หน้าอยู่เป็นนาน เด็กหนุ่มก็เริ่มยื่นหัวไปจ่อก๊อก อ่างควรขยายออกมาอีกนิดนึง เขาจะได้โดดลงไปเลย ยังเหลืออีกคาบ...เป็นรอบที่ร้อยที่ศุทธวีร์คิดว่าชั่วโมงเรียนต่อวันเยอะ เกินไป เด็กหนุ่มตัดสินใจจะเดินเอ้อระเหยตากลมอีกสักพัก อย่างมากครูก็จะดุแค่ 'สายอีกแล้วนะนายศุทธวีร์' เขายักไหล่ เดินไปเข้าห้องน้ำ นักเรียนหญิงผมสั้นคนหนึ่งยืนชะเง้อคอลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ข้างใน เด็กหนุ่มหันขวับไปมองข้าง ๆ มีโถยืนฉี่นี่หว่า เราเข้าไม่ผิดฝั่ง "เฮ้ย แกมาก็ดีแล้วกล้า มาช่วยเล็งหน่อยดิ๊" เจ้าหล่อนกวักมือเรียก เขารู้ทันที ยัยกรรณิการ์นี่เอง กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการเหยียดแขนยื่นโทรศัพท์มือถือให้พ้นขอบหน้าต่าง เพื่อเก็บภาพอะไรสักอย่าง "ทำอะไรของเธอเนี่ย" ศุทธวีร์ชักระแวง "หามุมตั้งกล้องแอบถ่ายผู้ชายเยี่ยวเหรอ" เด็กสาวทำท่าอุแหวะใส่ "อยากดูตายชักล่ะ มาหาเบาะแสโว้ย" กรรณิการ์เป็นเจ้ากรมข่าวลือ มนุษย์ประเภทที่หากไปพูดใส่หน้าว่า 'ไม่รู้สักเรื่องได้มั้ย' จะเจอตอบสวนมาว่า 'ไม่ได้' แม่สาวผู้อยากรู้อยากเห็นและพอสงสัยเป็นต้องสืบหามานำเสนอเสมอ จริงบ้างไม่จริงบ้าง...จุดขายของกรรณิการ์คือส่วนใหญ่ดูเหมือนจะจริง เรื่องไหนก็ตามแต่ที่กลายเป็นหัวข้อดังพูดกันทั้งโรงเรียน เก้าในสิบเปิดประเดิมจากเธอ คนอื่นมักคิดว่าเขาสนิทกับยัยคนนี้ เอาไปจับคู่เรียกรวมกันเป็นไอ้กาก้ากับอีก๋ากั่น (ตัวการริเริ่มน่าจะเป็นเจ้าไชยพศ) มันก็ไม่ได้สนิทขนาดนั้น แค่รู้จักกันมานานเฉย ๆ "เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก" ศุทธวีร์ถาม "หา นี่แกไม่รู้เหรอ" กรรณิการ์ทำหน้าเหมือนเขาเพิ่งถามว่าปลาเป็นสัตว์บกรึเปล่า "ลือกันให้แซ่ดตั้งแต่เช้าแล้วนะ" "เออ ไม่รู้" "อะฮ้า อยากรู้อะดี้" เด็กสาวหรี่ตา ยิ้มเจ้าเล่ห์ "อ้อนเพราะ ๆ หน่อย แล้วเจ๊จะแย้มให้" หาคำตอบไม่ได้ว่าการแหย่คนเฉื่อยเนือยอย่างเขามันบันเทิงตรงไหน แต่คุณเธอดูจะสนุกกับมันเหลือเกิน ผ่านมาหลายปีก็ยังติดใจไม่ยอมเลิก "ไม่เป็นไร ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น" ศุทธวีร์หันไปให้ความสนใจกับโถฉี่ "เพื่อนร่วมชั้นของเราหายตัวไป" กรรณิการ์เฉลยด้วยใบหน้าหมดอารมณ์ (ตามคาด ถ้าอยากรู้อะไรจากยัยคนนี้ การบอกว่าไม่อยากรู้เป็นวิธีที่จะได้รู้เร็วที่สุด) "ยัยวัน จิรวรรณห้องสี่น่ะ รู้จักมั้ย" "อืม..." เขานึก "เคยคุยด้วยสองสามครั้ง" "เมื่อวานเขาไม่ได้กลับบ้าน วันนี้ก็ไม่มา" เด็กสาวบอก "ปรกติแม่นี่ไม่ใช่คนเถลไถล ในกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันที่วันนี้ก็เข้าเรียนกันครบยืนยันว่าเมื่อคืนยัยวัน ไม่ได้ไปค้างที่บ้านพวกเขาคนใดคนหนึ่ง ไม่มีแฟน แล้วก็ไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากนี้ให้ไปขอค้างแน่ เรื่องทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวก็ไม่ พ่อแม่เขากลัวว่าอาจถูกลักพาตัว แจ้งความแล้วด้วย ช่วงสาย ๆ มีตำรวจมาที่โรงเรียนเราขอสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ยินมาว่าทางครูขอให้มานอกเครื่องแบบ กลัวนักเรียนตกใจกัน" ศุทธวีร์ไล่นึกว่าวันนี้เจอใครในวัยกลางคนที่ไม่คุ้นหน้าบ้างมั้ย "แล้วมันเกี่ยวอะไรกะที่เธอมาตะกายผนังส้วม" "ตรงโน้นเขาห้ามเข้านี่ เลยต้องส่องจากข้างนอกแทน" กรรณิการ์ว่า "ไปยืนถ่ายโต้ง ๆ เดี๋ยวครูเห็นก็เจอสวดอีก ตรงนี้เหมาะแล้ว" "ไม่ไปถ่ายจากห้องน้ำหญิงล่ะ" "ไม่เอาอะ ฉันเขิน เดี๋ยวผู้หญิงคนอื่นมาเห็น" ระดับความเอียงอายต่อสายตาชาวโลกของยัยนี่นี่มันยังไงกัน เดี๋ยวนะ ห้ามเข้าเหรอ คงไม่ใช่... มุมที่กรรณิการ์หันกล้องไปคือสวนหลังโรงเรียน ศุทธวีร์ขมวดคิ้ว "ที่นั่นทำไมเหรอ" "จากข้อมูลที่ได้มา มีคนเห็นจิรวรรณครั้งสุดท้ายแถว ๆ นั้น" เป็นเรื่องที่ควรจะมีแค่ตำรวจกับครูแล้วก็อื่น ๆ อีกไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้แท้ ๆ แต่เอาเถอะ เขาเลิกสงสัยไปนานแล้วว่ากรรณิการ์เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นได้ยังไง "คนให้ปากคำบอกว่ายัยวันเดินอยู่กับคนตัวสูง ๆ ...น่าจะผู้ชาย" เด็กสาวป้องปากกระซิบ น้ำเสียงหน้าตาเหมือนกำลังพูดเรื่องลามก "ชายกับหญิงสองต่อสองในที่อับลับตาคน แกคิดว่าไง" "คิดว่าฝ่ายชายอยากจะฉี่ ส่วนฝ่ายหญิงยืนหัวโด่อยู่ข้าง ๆ ถ่ายรูปอะไรก็ไม่รู้" "ถ้าคราวหลังตอบแบบนี้อีก ฉันจะเลิกคบแก" "มันใช่ทำเลเหมาะแก่การจู๋จี๋มั้ยนั่น คิดเข้าไปได้ ใครที่ไหนจะอยากไปเล่นสัปดนกันในนั้น" "อ้าว ไม่แน่นา บางครั้งคนเราก็ใช้แค่ฟีลลิ่ง ไม่ได้ติ๊งกิ้งอะไรซับซ้อนหรอก" ก็ถูกของกรรณิการ์ (ผู้เดินเข้าห้องน้ำชายหน้าตาเฉย) บางทีคนเราไม่ต้องมีเหตุผลอะไร แค่นึกพิเรนทร์อยากเข้าในที่ที่ห้ามเข้าก็เป็นแรงจูงใจได้แล้ว ...เพียงแต่ไม่ใช่เขา อย่างน้อยไม่ใช่เขากับสวนหลังโรงเรียน ศุทธวีร์มองผ่านหน้าต่างออกไป ข้ามผ่านสนามหญ้าเล็ก ๆ ด้านหลังอาคาร จนถึงแนวรั้วเหล็กสีดำที่ติดป้ายห้ามเข้า...ป้ายที่ไม่จำเป็นสำหรับเขา เพราะถัดจากนั้นคือพื้นที่ที่ต่อให้อนุญาต เด็กหนุ่มก็ไม่คิดจะย่างกราย 'สวน' เป็นแค่คำติดปาก ควรจะเรียกว่า 'ป่า' มากกว่า แม้ว่าตามความเป็นจริงขนาดของมันไม่น่าจะเกินหนึ่งไร่ แต่ในความรู้สึกกลับดูกว้างและลึกอย่างประหลาด ต้นไม้ในอาณาเขตสูงใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่ต้นหญ้ายังท่วมหัว รกทึบแน่นขนัดจนแสงส่องไม่ถึง เห็นแต่ความมืด มันเป็นที่ดินเหลือใช้ที่ตระกูลของผอ. เก็บไว้รอการต่อเติมในอนาคตแล้วปล่อยทิ้งร้างนานเกินไปหรือยังไงก็ไม่ทราบ ตอนที่เขาเข้าเรียนเมื่อห้าปีก่อน มันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว...ไม่สิ หรือใหญ่ขึ้นกว่าตอนนั้น? เขาไม่แน่ใจ ไม่เคยกล้ามองได้นาน ในหมู่นักเรียนมีตำนานเล่าลือเกี่ยวกับมันมากมายนับไม่ถ้วน ผู้ปกครองบางคนก็เคยตั้งประเด็นเรื่องความปลอดภัย ทั้งจากสัตว์ ทั้งจากคน แต่ผอ. ยืนยันว่าไม่มีอันตราย และยืนกรานจะคงสภาพมันไว้แบบนี้ ซึ่งก็เป็นตามนั้น ไม่เคยมีสัตว์มีพิษ ไม่มีกระทั่งสัตว์เล็ก ๆ หรือแมลงอย่างพวกนกพวกต่อออกมาทำร้ายนักเรียน ไม่มีคนลักลอบเข้าไปใช้ทำเรื่องไม่ดี รวมถึงไม่เคยเห็นใครเข้าไปดูแลจัดการ พิจารณาแล้วนับว่าแปลกจนน่ากลัว แต่เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีเหตุใด ๆ เกิดขึ้น คำตอบที่ชัดเจนจึงไม่เป็นที่เรียกร้อง ที่ยิ่งแปลกและอาจจะน่ากลัวกว่าคือ พอ ผอ. เริ่มจัดให้มีพิธีกรรมที่คล้าย ๆ กับการบูชาเจ้าสวนนี่อย่างเป็นกิจจะลักษณะปีละครั้ง หลายคนก็เลิกตั้งคำถาม ยอมรับได้ง่าย ๆ ด้วยคำว่าเรื่องลี้ลับกับความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น สุดท้ายก็ลงเอยเป็นการบอกต่อหรือพูดถึงในฐานะเรื่องขนหัวลุกสนุกสนาน ทุกวันนี้คนที่หวาด ๆ มันอยู่บ้างก็เฉพาะเด็กเข้าใหม่ไม่กี่ราย พวกที่อยู่มานานมองมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสถานที่กันเกือบทุกคน เกือบทุกคน...เพราะศุทธวีร์คิดว่าอย่างน้อยต้องยกเว้นเขาคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นความกลัวอย่างเด็ก ๆ รึเปล่า แต่เขาไม่เคยเปลี่ยนความคิด ป่าแห่งนี้เหมือนไม่ใช่แค่ป่า มันเหมือนเงายักษ์ที่จ่ออยู่ด้านหลังโรงเรียน ...เหมือนกลุ่มก้อนสีดำที่ซ่อนบางอย่างไว้ข้างใน พริบตาหนึ่งที่คิดแบบนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกหนาวเยือก ขนที่ต้นคอตั้งชัน ทั้งที่วินาทีก่อนหน้าอากาศยังร้อนแทบไหม้ จู่ ๆ ลมที่ด้านนอกก็แรงขึ้น ...พัดออกมาจากป่านั่น ใบไม้และเศษสิ่งของตามพื้นลอยกระจัดกระจาย ต้นไม้เล็ก ๆ เอนลู่ ตามมาด้วยเสียง หวีดหวิวและอื้ออึง ไม่ใช่เสียงจากลม ใกล้เคียง...แต่ไม่ใช่ มันฟังคล้ายเสียงครวญครางของผู้หญิง แต่ขณะเดียวกันก็คล้ายเสียงโห่ร้องของผู้ชาย เสียงนั้นทำให้ศุทธวีร์รู้สึก...ไม่ใช่ได้ยิน แต่รู้สึก...เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เหมือนมีอะไรบางอย่างในโรงเรียนเปลี่ยนไป บางอย่างที่หลบเร้น บางอย่างที่หลับใหล ...'สิ่งนั้น' ปรากฏขึ้นมา ...'มัน' ตื่นขึ้นมา ทันใด เสียงเงียบลง ปุบปับเหมือนตอนที่ดังขึ้น เงียบสนิท... "ลมแรงน่าดู" กรรณิการ์ปัดผมยุ่งเหยิงที่ปรกลงปิดหน้าให้พ้นตา "มืดตื๋อเลย ฝนจะตกแหง" เธอพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่นั่นสิ แค่ลมพัด ฟ้ามืดโดยไม่ทันสังเกต ถ้าไม่นับเสียงที่เขารู้สึกแปลก ๆ ...ซึ่งก็แวบเดียวนั่น มันก็ไม่มีอะไรจริง ๆ แค่เพ้อไปเองล่ะมั้ง ศุทธวีร์กำลังจะคิดแบบนั้น ถ้าไม่มีเสียงอื่นดังขึ้นแทนที่ เสียงตะโกน ที่มุมตึกด้านล่าง นักเรียนชายสองสามคนกึ่งวิ่งกึ่งคลานกึ่งพยุงกึ่งหามกันออกมา จากจุดที่ศุทธวีร์อยู่ฟังไม่ชัดว่าพูดอะไร เห็นไม่ชัดว่าเป็นใคร แต่พอจะมองออกว่าคนกลุ่มนี้ได้รับบาดเจ็บ...สาหัส ครูที่เดินอยู่ใกล้ ๆ หันมาเห็นและรีบวิ่งเข้าไปดู "เห เกิดอะไรขึ้นน่ะ" เด็กสาวข้างตัวตั้งท่าจะออกวิ่ง "ต้องไปดูลาดเลาซะหน่อย" "เฮ้ย ยัยก๋า อย่าเพิ่ง" ศุทธวีร์รีบห้าม "ทำไมอะ" กรรณิการ์ทำหน้างง "ก็..." ทำไมงั้นเหรอ ศุทธวีร์ไม่รู้เหมือนกัน คงเพราะไม่สบายใจ ถึงเขาจะเป็นพวกชอบสังหรณ์เกินเหตุ แต่วันนี้มันผิดปรกติ ไม่รู้ว่าตรงไหน แต่มันผิดปรกติแน่ ๆ...รึเปล่านะ ลึก ๆ เขาก็ยังหวังให้ตัวเองแค่คิดมากไป "ทำไมเล่า" กรรณิการ์ถามซ้ำ 'ให้ผู้ใหญ่จัดการกันดีกว่า' เขาเคยบอกแบบนี้ แต่ยัยนี่ก็จะไม่สนใจอยู่ดี "ระวัง ๆ ล่ะ" ศุทธวีร์เปลี่ยนเป็นเตือน ...คำเตือนที่ประหลาด ระวังเหรอ ถึงจะยังไม่รู้ว่าพวกนั้นไปโดนอะไรมา แต่เพื่อนของเขาก็แค่จะไปแอบถ่ายรูปอยู่ห่าง ๆ เท่านั้นเอง "ขอบใจที่เป็นห่วง แค่ไปแอบถ่ายรูปอยู่ห่าง ๆ เท่านั้นเอง" กรรณิการ์หัวเราะและพูดเหมือนที่เขาคิด เธอเปิดประตูออกไป แล้วก็ตายอยู่ตรงนั้น : : : : : : : : : : : : : : : : : : :
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ