สัญญา

10.0

เขียนโดย KlassicBoom

วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 12.14 น.

  3 ตอนที่1-ชีวิตที่กำลังเปลี่ยนไป
  1 วิจารณ์
  6,087 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 12.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                “นี่ๆ แดดหมดแล้ว เราจะเล่นอะไรกันดีอ่ะ”

                “ไม่รู้สิ ...ว่ายังไงล่ะ”

                “เราว่าไปเล่นชิงช้ากันเหอะนะๆ บุญแกว่งให้ด้วยนะๆ”

                “เราอีกแล้ว เดี๋ยวเราก็ไม่ได้เล่นอีกอ่ะ ไม่เอาหรอก”

                “นะๆ วันนี้เราสัญญาว่าจะแกว่งให้บุญด้วย สัญญา”

                “งั้นก็เกี่ยวก้อยกันสิ”

                “ได้เลย เราขอสัญญาว่าจะไม่เล่นอยู่คนเดียว จะแกว่งให้บุญด้วย”

                “งั้นเราขอสัญญาว่า จะแกว่งให้...ตลอดไปเลย”

                “กริ๊งๆๆๆๆๆ” เสียงนาฬิกาดังกังวานขึ้นในวันนี้เช้ากว่าเดิม ดังมากพอที่จะปลุกหลายๆคนตื่นขึ้นมาแม่จะง่วงเพียงใด รวมถึงอาจารย์บุญด้วย

                “ฝันอีกแล้วเหรอเนี่ย ต่อจากครั้งนั้นเลยแหะ ตลอดไปงั้นเหรอ ฟังดูแย่จัง แต่ทำไมเราถึงนึกชื่อเพื่อนที่เราคุยด้วยไม่ออกเลยนะ ช่างเถอะ รีบดีกว่าวันนี้มีประชุมซะด้วยสิ”

            “สรุปว่าการประชุมในวันนี้ ว่าด้วยเรื่องกิจกรรมการแสดงความสามารถของอาจารย์ในสาขาต่างๆ ของคณะศิลปะนี้ คือเราจะให้เริ่มจากสาขาการวาดรูป โดยจะเริ่มกันอาทิตย์หน้า โดยการให้จัดแสดงโชว์ที่อาคารใหญ่ จบการประชุมแค่นี้ ขอบคุณค่ะ” รองอาจารย์ใหญ่หญิง พิชญา หรือ รองแก้ว เป็นผู้ปิดการประชุมอาจารย์ครั้งนี้

                ในทุกๆเดือนของโรงเรียนบูรณาการวิทยา คณะศิลปะแห่งนี้ จะมีการแสดงของอาจารย์ในแต่ล่ะสาขาหมุนเวียนไป เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักเรียนทุกคนและให้ได้รู้สึกถึงความมีศักยภาพของอาจารย์ทุกคน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อรักษาศักยภาพของตัวอาจารย์ไว้ด้วย

                “อีกสองสามเดือนก็คงถึงคิวของสาขาดนตรีสากล เราจะเล่นเพลงอะไรดีนะ คงต้องเริ่มซ้อมได้แล้วสิ” อาจารย์บุญครุ่นคิดในขณะที่เดินออกมาจากห้องประชุม

                ในเวลานี้ยังคงเป็นเวลาเช้าตรู่ เนื่องจากการเรียนการสอนมีเวลาที่ต้องเป็นไปตามตารางสอนอย่างเคร่งครัด เมื่อมีการประชุมจึงต้องนัดเวลาและให้เรียบร้อยก่อนถึงชั่วโมงเรียนของนักเรียน

                “อาจารย์บุญคะ”

                “อ่ะ อาจารย์นุ่น มีอะไรรึเปล่าครับ”

                “กำลังไปไหนหรือเปล่าคะ”

                “อ๋อ ว่าจะไปหาข้าวเช้าหน่อยน่ะครับ ยังอีกนานกว่าคาบเรียนแรกจะเริ่มน่ะครับ แล้วอาจารย์นุ่นทานรึยังครับ”

                “ยังเลยคะ ก็ว่าจะไปหาเหมือนกัน งั้นขอไปด้วยเลยแล้วกันนะคะ”

                “ยินดีครับ” ทั้งคู่เดินตรงไปที่โรงอาหารของโรงเรียนทันที

                ในช่วงเวลาเช้าขนาดนี้ ก็จะมีอาหารประเภทง่ายๆ อย่างเช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แต่จะมีร้านเปิดน้อยและมีคนน้อยมาก เนื่องจากโรงเรียนแห่งนี้ สามารถมาเข้าห้องเรียนได้เลยในช่วงเช้า ๙ โมงเช้า โดยให้เหตุผลว่าให้นักเรียนและอาจารย์ทุกคนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และให้สามารถมีเวลาเตรียมตัวรวมถึงดูแลตัวเอง ซึ่งเป็นนโยบายใหม่ของเจ้าของโรงเรียนรุ่นที่ ๔ ที่เพิ่งจบการจัดการบริหารโรงเรียนจากต่างประเทศ

                ทั้งคู่ได้นั่งทานข้าวเช้ากันอยู่ที่ในโซนของอาจารย์

                “เป็นยังไงบ้างครับ กับ ๑ เดือนของโรงเรียนแห่งนี้ คงไม่เหนื่อยน่ะครับ แต่ผมว่าคงเหนื่อยแน่ๆสำหรับอาจารย์ใหม่อย่างคุณ”

                “ก็นิดหน่อยนะคะ แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีอาจารย์บุญค่อยช่วยอยู่ตลอด เลยไม่แย่อย่างที่คิด ก็ต้องขอบคุณอาจารย์ด้วยนะคะ”

                “อย่างพูดอย่างนั้นสิครับ ผมเข้าใจนะครับ ผมเองก็เคยเป็นอาจารย์ใหม่มาก่อน ตอนนั้นแน่กว่านี้อีก ผมน่าจะเป็นอาจารย์ใหม่อายุรุ่นๆคนเดียวในตอนนั้นด้วยซ้ำ ไม่มีใครค่อยแนะนำเลยซักที เพราะคุยกันคนละภาษา คิดแล้วก็ขำนะครับท่าทางผมตอนนั้น ไม่ต่างอะไรจากคุณที่เข้ามาใหม่ๆเลย”

                “แหะๆ เขินจังเลยค่ะ” ท่าทางเขินอายของเธอชั่งน่ารัก เธอคงไม่รู้หรอกว่าท่าทางแบบนี้มันทำให้ในใจของอาจารย์บุญรู้สึกเติมเต็มขึ้นมาอีกนิด

                “ผมว่าเราควรไปกันดีกว่าครับ ผมมีเคล็ดลับอยู่อย่างหนึ่ง คือโรงเรียนแห่งนี้ มีการประชุมอยู่บ่อยครั้ง ช่วงเช้านี้แหละดีที่สุด สำหรับการเตรียมตัวสอนในอีกหลายๆวันข้างหน้า จะได้มีเวลาพักผ่อนช่วงอื่นๆอีกเยอะ”

                “ก็ดีค่ะ นุ่นก็คงต้องทำตามด้วย งั้นเราไปกันเถอะค่ะ” ทั้งคู่ออกจากโรงอาหาร ไปที่ห้องพักอาจารย์ทันที

                อาคารคณะศิลปะ ในชั้น ๑ จะเป็นห้องพักอาจารย์ทั้งหมด แบ่งออกเป็นตามแต่ละสาขา ด้วยความที่เป็นอาคารที่มาทีหลัง หลังจากที่โรงเรียนก่อตั้งมาได้ ๕๐ ปี จึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกและรูปแบบอาคารที่มีความเป็นสากล แต่ก็ยังมีบางส่วนที่มีการออกแบบโดยความคิดส่วนตัวของเจ้าของโรงเรียนรุ่นที่ ๔ ให้มีโซนที่มีเป็นห้องนอนแบบโรงแรม ๒ ห้อง สำหรับอาจารย์ที่ต้องการใช้สถานที่ของโรงเรียนจนถึงดึก

“ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้อาจารย์ และเพื่อให้เหล่าอาจารย์ได้พักผ่อนและเตรียมสำหรับการสอนที่มีศักยภาพที่ดี แม้ว่าจะต้องทำงานหนัก” เจ้าของโรงเรียนรุ่นที่ ๔ กล่าวไว้

“ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้วสินะ ที่มีเหตุการณ์นั้น ทำไมเธอถึงได้พูดแบบนั้นนะ แล้วหลังจากนั้นก็เงียบไปเลย ถึงแม้ว่าเราจะค่อยดูและก็ไปส่งเธออยู่ห่างๆ ตลอด เฮ้อ”อาจารย์บุญครุ่นคิดถึงวันแรกที่ได้เข้าไปคุยกับนักเรียนท่าทางเงียบคนนั้น พลางหยิบสมุดรายชื่อของนักเรียนที่อยู่ในชั้นขึ้นมาเปิดดู

“ดูสิ อืม เจอล่ะ ชื่อ จารุวรรณ เครื่องเอกไวโอลิน อ่อ แบบนี้คงต้องลองไปคุยกับอาจารย์หมิวซักหน่อยแล้ว เอาล่ะเตรียมการสอนดีกว่า”

“กิ๊งก่องๆ”เสียงกริ่งดังเป็นสัญญาณพักเที่ยงของโรงเรียน อาจารย์บุญรีบเดินไปที่โรงอาหารโดยหวังจะได้คุยกับอาจารย์หมิว เรื่องของนักเรียนคนนั้น หลังจากที่เขามานั่งทานข้าวที่มุมเดิมของเขา อาจารย์ หมิวก็มาทันที

“อ้าว อาจารย์บุญมาเร็วจังนะคะ แต่เอ๊ะ ปกติก็มาก่อนฉันอยู่แล้วนี่เนอะ”

“พอดีมีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อยน่ะครับ”

“งั้นเดี๋ยวฉันไปซื้อข้าว แล้วเรามาคุยกัน”

“โอเคครับ”

“ว่าแต่อาจารย์บุญมีอะไรรึเปล่า คงไม่ใช่จะชวนฉันไปเล่นดนตรีที่ไหนนะคะ”

“เปล่าเลยครับ จะมาถามเรื่องของเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่คุณสอนอยู่ ถ้าจำไม่ผิดชื่อ จารุวรรณ คือจะถามว่าเวลาที่คุณได้สอนไวโอลินเธอเนี่ย เป็นยังไงบ้างครับ”

“จารุวรรณ อ๋อ มื้นน่ะเหรอคะ เธอเป็นเด็กที่หัวไวมากเลย แต่เธอดูเงียบๆมากเลย ไม่มีคำถามเลย ไม่มีการสนทนาใดในเวลาสอนให้เธอเล่นเพลงไหน แบบฝึกหัดอะไรเธอเวลาในชั่วโมงก็แทบจะเล่นได้หมดแล้ว ฉันเลยให้เธอจำทั้งแบบฝึกหัดและเพลงมาเล่นให้ดูทุกครั้งสำหรับชั่วโมงต่อไปน่ะ ว่าแต่ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นนักเรียนในห้องคุณ มีอะไรงั้นเหรอ”

”นิดหน่อยน่ะครับ พอดีเธอก็ดูเงียบในชั่วโมงเรียน เลยเป็นห่วงว่าจะกระทบกับการเรียนของชั่วโมงอื่น ที่ผมไม่ได้ดูแลอยู่ แค่นี่ก็ได้ข้อมูลอะไรบ้างแล้วล่ะครับ ผมว่าเราทานข้าวกันเถอะครับ”

“ค่ะๆ” ตั้งแต่วันแรกที่ทั้งคู่ได้มานั่งทานข้าวด้วยกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้น เป็นอีกหนึ่งชีวิตประจำที่ได้เปลี่ยนไปแล้วของอาจารย์บุญ ภายในใจของเขาตอนนี้ก็คงได้บางสิ่งมาเติมเต็มเพิ่มอีก

ในเย็นของวันนี้ก็เหมือนเดิม นักเรียนหญิงที่ชื่อมิ้นก็ยังมองท้องฟ้า จากทางหน้าต่างของห้องเรียนเป็นเวลานานแน่นอนอาจารย์บุญต้องเปลี่ยนจากสรุปผลการเรียนที่ห้องพักอาจารย์ มาที่ห้องเรียนนี่ เพื่อค่อยจับดูเธออย่างห่าง โดยกลัวว่าเธอจะทำอะไรโดยไม่คาดคิด

“เดือนหนึ่งแล้วก็ยังเหมือนเดิม การเรียนดี ดนตรีเด่น  มีการพัฒนาที่รวดเร็ว อืม จะทำยังไงถึงจะเปลี่ยนท่าทีของเธอได้นะ ปวดหัวจริงๆ ไม่นึกเลยว่าจะเจออะไรแบบนี้ ถ้าไม่ยุ่งไม่ช่วยก็คงไม่ใช่เราสินะ รู้สึกว่าเพราะอะไรแบบนี้ก็ทำให้เราต้องลำบากมาทีแล้ว ไม่เข็ดเลยนะ บารมีนะ บารมี” เขาครุ่นคิดพลางสรุปงานของวันนี้ไปเรื่อยๆจนเสร็จ แต่ก็ไม่ได้ทำท่าว่าจะเสร็จแกล้งทำเป็นว่ายังไม่จบ เพื่อรอดูว่าเธอจะเดินออกไปเมื่อไหร่ แต่ท่าทีของมิ้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ยังคงมองท้องฟ้าอยู่และไม่ไปไหน

“อาจารย์คะ”

“อะ ว่าไง”เขาตกใจอีกครั้งกับเสียงเรียกของเธอ         

                “หนูว่าอาจารย์คงเสร็จนานแล้ว แต่ไม่ไปเพราะเราหนูใช่ไหมคะ”

                “เออ ยังหรอกๆอีกนิดหนึ่งน่ะ”

                “งั้นก็รีบทำให้เสร็จเถอะค่ะ หนูอยากกลับบ้านแล้ว”

                “เอ๋ หรือว่า นี่”

                “ดูแล้ว อาจารย์คงเสร็จแล้วงั้นหนูกลับล่ะค่ะ”เธอลุกขึ้นเดินออกไปทันที

                “เดี๋ยวสิ มิ้น”

                “อาจารย์ รู้ชื่อเล่นของหนู แสดงว่าคงไปหาข้อมูลของหนูมา แล้วนี่จะทำให้หนูไม่คิดได้ยังไง ว่าอาจารย์ชอบหนู”

                “ผมหาข้อมูลของนักเรียนที่ผมสอน นั่นก็เพราะเป็นวิธีการดูแลนักเรียนของผม ไม่มีแบ่งแยกหรอกนะ”

                “เอาเถอะค่ะ นี่ก็หน้าโรงเรียนแล้ว อาจารย์ก็อยู่ตรงที่ๆอาจารย์รอมองดูหนูอยู่ทุกทีแล้ว งั้นหนูไปล่ะคะ อีกอย่างหนึ่ง อาจารย์นี่สนุกดีนะคะ” เธอยิ้มให้เบาๆพร้อมกับเดินจากไปทิ้งไว้แต่ความตกใจ ด้วยรอยยิ้มที่ได้รับจากมิ้น เด็กนักเรียนเงียบๆ ที่ไม่สามารถเดาได้เลยว่าเธอจะทำอะไร

                “ให้ตายสิ ถ้ายังเป็นแบบนี้ เราคงต้องโดนเด็กคนนี้ปั่นหัวแน่ๆ เราคงต้องทำอะไรซักอย่าง กลับก่อนแล้วกัน เฮ้อ”

                ในเวลาเย็นแบบนี้ ก่อนที่อาจารย์บุญจะกลับบ้าน เขามักแวะทานข้าวเย็นตามที่ต่างๆระหว่างทางกลับบ้าน ซึ่งจะเปลี่ยนไปเรื่อย จะได้ไม่เบื่อ ตัวเขาเองไม่ค่อยจะกลับบ้านเร็วนัก เพราะกลับไปก็คือพักผ่อนและนอนหลับ เขาทำแบบนี้ได้ ๒ – ๓ ปีแล้ว ตั้งแต่เป็นอาจารย์มา  ห้องของเขานั้นมีเพียงของใช้ที่เป็นกิจกรรมวันธรรมดา ไม่มีทีวี และเฟอร์นิเจอร์อะไรมาก มีเปียโน ๑ ตัว ใช้สำหรับซ้อมในบางโอกาสเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นถึงห้องคอนโดอย่างดี ใหญ่โตและหรูหรา แต่ก็คงเพราะเขาอยู่คนเดียว เขาถึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการอยู่ห้องนัก

                “วันนี้ที่นี่ล่ะกัน”เขาหยุดอยู่ตรงร้านขายอาหารเก่าๆแห่งหนึ่ง เป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ท่าทางน่าอร่อย เขาจึงไม่รอช้า เข้าไปหาที่นั่ง

                “ยินดีต้อนรับค่ะ ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีคะ” พนักงานหญิงคนหนึ่งเข้ามาต้อนรับ

                “อืม เส้นเล็ก เนื้อ ทุกอย่างครับ”

                “รอซักครู่นะคะ” เขาแปลกใจกับการต้อนรับของพนักหญิงคนนี้ ที่ดีเกินกว่าจะอยู่ในร้านแบบนี้ แต่สิ่งที่เขาไม่แปลกใจเลย ที่รสชาติอาหารนั้นอร่อย เพราะเขาคิดไว้อยู่แล้วว่าร้านที่ดูเก่าแบบนี้ อยู่มานานได้ด้วยรสชาติ ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีคนมาทานมากนัก

                “กว่า ๒ ปีแล้วสินะ ที่เราเปลี่ยนร้านอาหารไปเรื่อยๆ แต่แปลกจริงๆที่เราเพิ่งจะมาเจอร้านนี้ จะว่าไปกว่า ๒ ปีที่ผ่านมา ทำไมทุกอย่างมันยังคงเดิมๆ ตั้งแต่หลังจากเรื่องตอนนั้นนะ เพราะนิสัยอย่างเราอย่างนั้นเหรอ ไม่น่าเลย อุตส่าลืมไปได้แล้วแท้ๆ เพราะเทอมนี้มีหลายๆอย่างที่ต่างออกไป ทำให้เราต้องคิดใหม่ทำใหม่หลายอย่างทีเดียว เอาล่ะ ยังไงก็กลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่านะ”เขาครุ่นคิดในระหว่างที่กำลังทานอาหาร เมื่อเสร็จแล้วเขาก็ออกจากร้าน เดินเท้าไปที่รถไฟฟ้าเพื่อกลับบ้านของเขา พอถึงแล้วเขาก็ไปนั่งที่เก้าอี้เปียโน แล้วใช้มือลูบเปียโนอย่างอ่อนโยน

                “๒ ปีแล้วนะที่ไม่ได้เล่นแกเลย ฉันว่าหลังจากนี้ คงต้องอดใจเล่นแกไม่ไหวแน่ๆ”

                “ติ๊งๆๆๆ”เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น

                “สวัสดีครับ อ๋อ พี่ไหวเองเหรอครับ มีอะไรรึเปล่าครับ อ่อ ไม่รับครับ ผมไม่เล่นงานตามโรงแรมแล้ว ขอโทษด้วยครับ ผมต้องขอโทษจริงๆครับ ครับๆ ถ้าเกิดในอนาคตผมเปลี่ยนใจ ผมจะรีบโทรไปหาพี่คนแรกแน่นอนครับ สวัสดีครับ”

                “คงอีกนานล่ะครับ ยังมีคนที่พร้อมกว่าผมอีกเยอะแน่นอน”เขาคิดพลางเตรียมตัวพักผ่อน

                 ในเวลานี้ของหลายๆคน คงยังไม่นอนกัน แต่สำหรับอาจารย์บุญแล้วเขาก็คงต้องนอนลง ถึงแม้ว่าการเป็นนักดนตรีควรจะต้องให้เวลากับการซ้อม การทบทวนสิ่งต่างๆ แต่เป็นเพราะเขามีความสามารถในระดับที่เรียกว่าอัฉริยะเลยก็ว่าได้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาก เพียงแค่ผ่านตาเขา ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะจดจำและทำตาม แต่นั้นแหละ ความสามารถนี้กลับเป็นดาบสองคมทำร้ายเขาในตอนนี้ เมื่อไม่สามารถลบภาพหรือเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา เขาจึงต้องตัดเอาเวลาการใช้ชีวิตช่วงนั้นออกไป เพื่อไม่ให้รำลึกถึงสิ่งเหล่านั้น

                ในเช้าต่อไป เขาได้ออกจากบ้านเร็วกว่าปกติ เพราะไม่มีอาหารที่เหลืออยู่สำหรับอาหารเช้า เขาจึงต้องไปหาที่โรงอาหารของโรงเรียน

                “สวัสดีค่ะ อาจารย์บุญ วันนี้ไม่มีประชุม แต่อาจารย์ก็มาเช้าจังนะคะ” ยังไม่ได้ทันได้เข้าโรงเรียน ก็ได้พบอาจารย์นุ่นอยู่หน้าโรงเรียน เธอก็เข้ามาทักทายอย่างยิ้มแย้ม

                “สวัสดีครับ อาจารย์นุ่น คุณคงมาแต่เช้าอย่างนี้ทุกวันสินะครับ”

                “ไม่หรอกค่ะ นุ่นก็เพิ่งมาแต่เช้า โดยไม่มีประชุมนี่แหละค่ะ ก็อาจารย์บุญบอกเองนี่ค่ะ ว่าเคล็ดลับก็คือให้เตรียมตัวสอนช่วงเช้า เมื่อวานหลังจากทำตามที่อาจารย์บอก นุ่นก็มีเวลาตอนเย็นไปนู่นนี่ ได้สบายเลยล่ะค่ะ”

                “ไม่นึกเลยนะครับ ว่ามันจะช่วยได้ขนาดนี้ เราไปทานข้าวด้วยกันก่อนไหมครับ แล้วจะได้ไปเตรียมตัวกัน”

                “ดีค่ะ วันนี้ทานอะไรดีน้า” เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปหาอะไรทานในโรงอาหาร อาจารย์บุญได้สังเกตเห็นบางอย่างในตัวของอาจารย์นุ่น นั้นคือความสดใส ร่าเริง คงเพราะได้อยู่ที่นี่มาซักพักแล้ว ท่าทีเคอะเขินและลุกลี้ลุกลนของเธอจึงหมดไป

                “ที่คุณบอกนุ่นว่าอาหารที่ห้องหมดเลยต้องมาทานข้าวเช้าที่นี่ แสดงว่าปกติก็ทำทานเองเหรอคะ”

                “ประมาณนั้นล่ะครับ แต่ก็ง่ายๆอ่ะครับ ไม่ได้ยุ่งยากอะไร จะได้ไม่ต้องรีบตื่นเท่าไหร่”

                “เป็นผู้ชายที่ทำอาหารได้เนี่ย ยอดเลยนะคะ ยังงี้ไม่มีผู้หญิงมาจีบบ้างเหรอคะเนี่ย”

                “ไม่หรอกครับ ผมอยู่แต่บ้านแล้วก็โรงเรียน จะไปเจอใครมันก็ยากล่ะครับ ว่าแต่คุณนี่ คงเริ่มชินกับที่นี้แล้วสินะครับ ถ้าเทียบกับตอนแรกที่เจอ”

                “ไม่หรอกค่ะ ถ้าพูดกันตรงๆก็เป็นแบบนี้กับอาจารย์บุญคนเดียวล่ะค่ะ เพราะนุ่นไม่ได้คุยแบบนี้กับใครเลยนอกจากคุณ อ่า เราทานข้าวกันเถอะค่ะ เดี๋ยวเวลาจะน้อยลงไปอีก” เธอพูดด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย

                “กะ ก็ดีครับ”อาจารย์บุญรู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกๆจากเธอ แต่เขาไม่อยากให้ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นเลย ไม่ว่ามันจะใช่หรือไม่ เขาก็ได้แต่ภาวนาว่าจะมันไม่ใช่ เพราะความรู้สึกแบบนี้แหละ ที่ทำให้เขาต้องมาเป็นอาจารย์อยู่ที่นี่

                ในทุกๆวันของการสอนที่นี่ จะมีชั่วโมงพิเศษสำหรับการเรียนตัวต่อตัวกับอาจารย์ของแต่ล่ะเครื่องดนตรี ซึ่งจะมีเฉพาะในคณะศิลปะนี้เท่านั้น แน่นอนอาจารย์บุญก็ต้องสอนด้วยเช่นกัน

                “ดีมากเลย กาย ถึงแม้ว่าจะยังมีบางช่วงที่ติดขัดแต่ก็ยังทำได้เหมือนเดิม”

                “อาจารย์ครับ เล่นเปียโนนี่มันเหนื่อยจริงๆนะครับ ถ้ามีเปียโนที่บ้านก็คงจะดีสิครับ ต้องอยู่ซ้อมที่โรงเรียนทุกวันนี้มันเหนื่อยจริงๆ”

                “เอาเถอะ สำหรับเธอในตอนนี้แค่นี้ก็ดีแล้ว แต่อย่าลืมซะล่ะ คำว่าเหมือนเดิม สำหรับผมแล้วมันคือยังธรรมดานะ คราวหน้ามันจะต้องดีกว่าเดิม แล้วก็ถ้าอยากมีเปียโนล่ะก็ เอาให้เก่งกว่านี้แล้วจะแนะนำงานให้”

                “จริงเหรอครับ อาจารย์ เอาล่ะคงต้องขยันขึ้นกว่านี้ซะแล้ว วันนี้ขอบคุณมากนะครับ ครั้งหน้ารับรองจะไม่มีคำว่าเหมือนเดิมแน่นอนครับ สวัสดีครับ” กายยกมือไหว้แล้วเดินออกจากห้องเปียโนไป

                “เหมือนเดิมอย่างนั้นเหรอ ธรรมดาแบบนี้สำหรับเราในตอนนี้ก็คงพอแล้ว อย่าให้มันมีมากไปกว่านี้เลยนะ”อาจารย์บุญครุ่นคิดถึงชีวิตประจำวันของเขา แต่ตอนนี้เที่ยงแล้วเขาก็คงต้องหาอะไรทาน ในชีวิตๆเดิมของเขา

                “อาจารย์บุญค่า”เสียงเรียกมาจากโต๊ะนั่งทานข้าวประจำของเขา

                “อาจารย์หมิว มาเร็วกว่าจังนะครับ งั้นผมไปซื้อข้าวก่อนนะครับ”

                “ไม่ต้องค่ะๆ ไม่ต้อง ที่ฉันมาเร็วก็เพราะว่ากลัวคุณจะไปซื้อข้าวทานซะก่อน พอดีว่าเมื่อเช้า ฉันตั้งใจจะทำข้าวกล่องมากินตอนเที่ยงเพราะช่วงนี้กำลังหัดทำอาหารเองอยู่อ่ะค่ะ กะจะทำมาเพื่อให้คุณชิม แต่ดันเยอะเกินไป เลยว่าจะให้คุณมาทานกับฉันเลยน่ะค่ะ” อาจารย์หมิวยิ้มแหะๆ

                “ขอบคุณนะครับ ถ้าไม่ทานคุณคงเสียใจแย่ แล้วนี่มันคืออะไรน่ะครับเนี่ย”

                “เอ๋ คุณดูไม่ออกเลยเหรอ มันคือกะเพราหมู กับต้มจืด นี่ค่ะ ช้อนและก็ส้อม ทานเลยค่ะ วิจารณ์ด้วยก็ดีนะคะ”

                “งั้นไม่เกรงใจนะครับ อืม ผมพูดตรงๆเลยนะ กะเพราจืด แต่ต้มจืดเค็ม”

                “เอ๋ ฉันคงปรุงสลับกันแน่เลย เพราะทำพร้อมกัน แล้วรูปร่างหน้าตาล่ะ”

                “กะเพราเนี่ย ไม่หอมเลยครับ คงลำดับของที่ใส่ผิด ส่วนต้มจืดเนี่ย ก็โอเคนะครับ แต่ผมว่าใส่เต้าหู้ไข่เพิ่มเข้าไปมันจะดูน่าทานขึ้นอีกนะครับ”

                “โห ยอดเลย ท่าทางจะมาชิมถูกคนแล้ว คุณทำอาหารเป็นด้วยเหรอคะเนี่ย”

                “นิดหน่อยน่ะครับ ก็แค่ทำให้ตัวเองทาน”

                “คุณนี่ถ่อมตัวตลอดเลย เอางี้ดีกว่า วันไหนที่ฉันทำอาหารมาให้คุณทาน วันต่อไปคุณจะต้องเหมือนกะที่ฉันทำ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ถูกต้องให้ฉัน จะได้เป็นการแนะนำไปในตัวไงล่ะคะ โอเคไหมคะ”

                “เอ๋ ไม่ดีมั้งครับ ผมไม่เก่งขนาดนั้น เดี๋ยวคุณได้ตัวอย่างที่ผิดไปซะเปล่า”

                “อืม เป็นอันว่าตกลงแล้วกันนะ ห้ามปฏิเสธ พรุ่งนี่ฉันจะรอ ถ้าคุณไม่ทำมาฉันก็จะอดข้าว ค่อยดู”

                “ครับๆ มัดมือชกกันยังงี้เลย ยังไงซะผมก็ไม่ปล่อยให้คุณอดข้าวแน่นอน แต่ก่อนอื่นเราทานข้าวกันเถอะครับ”

                “ค่า” เที่ยงนี้ถึงแม้ว่าอาหารจะไม่อร่อย แต่มันไม่แค่เติมเต็มแค่กระเพราะ แต่มันกับเติมเต็มจิตใจของเขาด้วย

                หลังเลิกเรียนวันนี้ ก็เหมือนทุกวันที่มิ้น เด็กนักเรียนที่อาจารย์บุญมองในตอนนี้ว่าเป็นเด็กสุดแสบ ที่หวังจะปั่นหัวของเขาเล่น ยังคงนั่งจ้องมองท้องฟ้า แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคืออาจารย์บุญเดินออกไปทันทีโดยไม่รอเธอ เขาเปลี่ยนไปสรุปการเรียนการสอนของวันนี้ ที่ห้องพักอาจารย์

เมื่อถึงเวลาที่ปกติแล้วเธอต้องออกจากห้อง เขาได้เดินไปแอบดูว่าเธอกลับไปหรือยัง แต่เขาก็ไม่พบใครเลยในนั้น เขารู้สึกโล่งใจเล็กๆ แต่ก็รู้สึกผิดที่ปล่อยให้เธอกลับไปโดยไม่มีใครดู เขาจึงเดินดูตามชั้นต่างๆของอาคาร เพื่อให้แน่ใจว่าเธอออกไปแล้ว เมื่อไม่พบ เขาจึงตัดสินใจกลับบ้านถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดนิดหน่อยก็ตาม

“ใครอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนเนี่ย เอ๋”

“อาจารย์นี่ใจร้ายจังนะคะ แค่หนูหยอกนิดหยอกหน่อยถึงกับทิ้งกันแบบนี้” เธอจ้องมองอาจารย์อย่างเย็นชา

“ไม่ใช่นะๆ ผมแค่ต้องไปทำอะไรในห้องพักอาจารย์นิดหน่อยน่ะ มันไม่สะดวกที่จะทำในห้องเรียนน่ะ”

“อ้างโน้นอ้างนี่ คิดว่าหนูไม่รู้เหรอว่าอาจารย์หลบหน้าหนู เอ คงเพราะอาจารย์คิดว่าหนูปั่นหัวอาจารย์แน่ๆเลย”

“เด็กอะไรเดาเก่งจริงๆ”เขาคิด “ตอนนี้ก็เจอกันแล้ว เธอก็ไปซะสิ ผมจะค่อยดูอยู่ตรงนี้แหละ”

“วันนี้อาจารย์คงแค่ยืนมองดูหนูไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”

“หมายความว่ายังไง”

“วันนี้อาจารย์ต้องส่งหนูถึงที่บ้าน เพราะมันเย็นมากแล้ว แล้วก็ทำโทษที่อาจารย์ทำให้หนูรอ”

“เอ๋ แต่ก็จริงนะมันเย็นมากแล้ว แต่จะปล่อยให้เธอไปคนเดียวไม่ได้แน่ แล้วก็ที่บอกว่าทำโทษนี่มันเกี่ยวเลยนะ เป็นเพราะเธอรอผมเอง ทีหลังก็อย่ารอผมสิ กลับไปเลย”

“คงไม่ได้หรอกค่ะ เป็นเพราะว่า......หนูชินซะแล้ว”เป็นครั้งแรกที่เธอหลบตาขณะพูด ท่าทีของเธอที่เปลี่ยนไป มันไปกระทบบางสิ่งบางอย่างในจิตใจของอาจารย์บุญ ทำให้เขาใจอ่อน

“เอาเถอะ วันหลังผมจะมาค่อยส่งเธอที่หน้าโรงเรียนทุกวันล่ะกัน อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องเย็นขนาดนี้”มิ้นยิ้มเบาๆแล้วเดินนำไปอย่างรวดเร็ว เขารีบเดินตามไปประกบทันที เดินกันไปซักพัก เขารู้สึกได้ว่าเป็นทางเดียวกับที่เขาใช้กลับอยู่ทุกที แล้วเดินเลยจากรถไฟฟ้าไปอีกเล็กน้อย เพียง ๒๐ –๓๐ ก้าว

“ที่นี้แหละค่ะบ้านของหนู”

“นี่มันเลยรถไฟฟ้าที่ผมต้องไปมาทุกวันแค่นิดเดียวเองนิ”

“จริงเหรอคะ งั้นอาจารย์ก็มาส่งหนูได้ทุกวันเลยสินะคะ”

“ผมพูดแบบนั้นซะที่ไหนล่ะ เฮ้อ แต่ก็จริงนะ ในเมื่อมาทางเดียวกัน มันก็ไม่แย่เท่าไหร่”

“มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอค่ะ แค่มาส่งหนูแค่นี้ อาจารย์นี่พูดตรงจังนะคะ”

“เฮ้อ ว่าแต่บ้านของเธอก็ดูใหญ่ดีนิ บ้านเดี่ยวที่อยู่แถวนี้ได้ก็ต้องรวยใช่เล่น บ้านเธอมีฐานะขนาดนี้ น่าจะมีคนมาค่อยรับส่งได้ไม่ยากนิ อย่างน้อยก็พ่อแม่”

“ไม่มีหรอกค่ะ แค่เคยมี”เธอทำหน้าตาเย็นชาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกได้ถึงความเศร้าของเธอ

“ขอบคุณอาจารย์มากนะคะ หนูขอตัวก่อน”เธอยกมือไหวและเดินเข้าบ้านไปทันที ด้วยท่าทางแข็งกระด้าง อาจารย์บุญยืนมองดูเธอเข้าไปในบ้าน ก็พลางคิดไปว่าวันนี้เธอดูหมองๆเหมือนวันแรกที่เจอกัน แต่มันมีอะไรที่มากกว่านั้น เขาสังเกตเห็นก่อนเธอเข้าไปในบ้านว่าบ้านนี้ ดูเงียบเกินไป อาจเป็นเพราะพ่อแม่ของเธอกลับที่หลังเธอก็เป็นได้

หลังจากที่ยืนคิดอยู่ซักพัก ก็ได้เวลาที่เขาต้องไปซักที แต่เพราะวันพรุ่งนี้จะต้องทำอาหารไปทานเองตอนเที่ยง ตามที่ได้ตกลงไว้กับอาจารย์หมิว เขาจึงต้องแวะที่ตลาดแถวนี้เพื่อซื้อวัตถุดิบ สำหรับอาหารทั้งเที่ยงพรุ่งนี้และเช้าวันต่อๆไป

“เอ ต้องซื้ออะไรบ้างนะ อืม ซื้อเฉพาะของเที่ยงพรุ่งนี้ดีกว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้เราไปหาข้าวเช้าที่โรงเรียนดีกว่านะ อย่างน้อยอาจารย์นุ่น ก็จะได้มีเพื่อนคุย ถ้าหากที่เธอบอกเป็นเรื่องจริง เราก็ต้องไปทุกวัน เพราะไม่มีใครรุ่นๆเดียวกับเธอเลย จริงสิ ลองให้ได้รู้จักอาจารย์หมิวดีกว่าคงดีไม่น้อย”ในระหว่างที่เขาเดินซื้อของ คิดไป ก็มีเสียงดังโวยวายมาจากข้างหลัง

“คนข้างหน้าหลบไปค่า หลบไปค่า”

“หืม”เขาหันหลังไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ทันได้หันเข้าก็ถูกชนด้วยจักรยาน ทั้งคนขี่แหละตัวเขากระเด็นไปคนละทาง เขากระเด็นไปไม่ใกล้ แต่หัวกระแทกพื้นเข้าอย่างแรง คนที่ขี่จักยานชนเขา รีบเข้ามาดูอาการทันที

“คุณๆเป็นอะไรรึเปล่า คุณๆ อย่าเพิ่งหลับสิ คุณๆ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา