พันแสงราตรี
9.9
เขียนโดย กุลภัสสร์
วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.17 น.
4 บท
6 วิจารณ์
6,983 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 15.37 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) บทที่ ๔ - "สัญญา...ที่รักษาไว้ไม่ได้"
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 3
“สัญญา…ที่รักษาไว้ไม่ได้”
เมื่อกลับไปหามังกรคลั่งที่ยังคงยืนรออยู่ที่เดิมให้เป็นจุดเด่นเพราะใบหน้าอันหล่อเหลา เงือกวารีก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อมองไม่เห็นความไม่พอใจบนใบหน้าของอีกฝ่ายเลยสักนิด ก็แหงล่ะ จะไม่ให้เธอกลัวได้อย่างไร ในเมื่อจู่ๆเธอก็ลากตัวคู่สนทนาของเขาออกไปแบบนั้น…
เมื่อกี้ ตอนที่เธอคิดขึ้นได้ว่าทิ้ง ‘คนรักในจินตนาการ’ไว้ เงือกวารีก็เลยตัดสินใจว่า ‘หมดเวลาซาบซึ้ง’ ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์แล้ว ก่อนจะรีบลากตัวจิ้งจอกไฟที่ทำหน้าเหม็นเบื่อ (หน้านิ่ง) ตลอดเวลากลับมาด้วยทันที โชคดีนักที่อีกฝ่ายไม่ได้อารมณ์เสียเพราะถูกทิ้งไว้คนเดียวอย่างที่กลัว
“เงือกวารี จิ้งจอกไฟ คุยกันเรียบร้อยแล้วรึยังครับ?” มังกรคลั่งถาม ยิ้มกว้าง แลดูสว่างไสวประหนึ่งเทพบุตรในความคิดของสาวน้อยใหญ่ที่มองอยู่เป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะในสายตาของเงือกวารีที่บัดนี้นัยน์ตาแทบจะกลายเป็นรูปหัวใจวิ้งวับๆอยู่แล้ว
“ก็…ค่ะ”
ในขณะที่เอลฟ์สาวชาวอัคคีพิฆาตที่กำลังส่งสายตาหวานหยดไปให้ทางคนที่กำลังยืนปล่อยรัศมีสดใสไปรอบๆกาย แต่ที่สายตาของเหล่าชายหนุ่มในห้องนั้นเห็นก็คือ หัวหน้าพวกตนที่กำลัง…
‘โกรธ…โกรธสุดๆไปเลยนี่หว่า!’
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ ‘มังกรคลั่ง’ เป็นเพศเดียวกันกับพวกเขารึเปล่า ถึงได้ส่งสัญญาณที่เข้าใจกันเฉพาะในกลุ่มบุรุษออกมาให้ทั้งห้องได้เสียวสันหลังเล่นๆ
“แล้วคุยกันเรื่องอะไรงั้นหรือครับ?”
เงือกวารีอ้าปากจะตอบ ก่อนจะหุบปากอย่างรวดเร็วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่เธอคุยกับ ‘จิ้งจอกไฟ’ ยังคงต้องเป็นความลับปิดบังโลกไม่ให้ผู้อื่นรู้ จะมีใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเธอเป็นลูกศิษย์แท้ๆคนเดียวของจิ้งจอกไฟคนนั้น…
‘เพราะถ้าศัตรูรู้เรื่องนี้เข้า เจ้าจะเป็นเป้าหลักที่พวกนั้นจ้องจะจับไปเค้นความลับของข้า…’
น้ำเสียงเรียบๆของผู้เป็นอาจารย์ยังคงฝังลึกอยู่ในสมอง
…ความลับของอาจารย์
ที่จริงแล้วเงือกวารีมั่นใจมาก ว่าเธอไม่ได้ล่วงรู้ความลับของอาจารย์ท่านนี้ไปเสียหมดหรอก แม้แต่ชื่อจริงของท่านชื่อว่าอะไร เธอก็ยังไม่รู้เลย แต่ก็ใช่ว่าจะรู้สึกน้อยอกน้อยใจอะไรกับเขา เพราะ…ยังมีอีกหลายมุม ที่เธอรู้ รู้ว่ามีแต่เธอเท่านั้นที่ได้เห็น
และแค่มุมเล็กๆไม่กี่มุมที่มีเธอเท่านั้นที่ได้เห็น ก็สามารถทำให้เธอซื่อสัตย์และพร้อมที่จะสละชีวิตให้กับเขาอย่างไม่ลังเล
เพราะเขาคือคนที่เลี้ยงเธอให้โตขึ้นมาได้
อย่างที่เคยได้บอกไป บอกใคร ใครจะเชื่อ ว่าจิ้งจอกไฟก็คือคนที่เงือกวารีคนนี้แอบทึกทักเอาเองในอกว่าเป็น ‘บิดา’
เงือกวารีหลุบตามองพื้น ก่อนจะอุบอิบตอบ “ไม่มี…อะไรมากหรอกค่ะ”
ด้านหลังของหล่อน จิ้งจอกไฟกระตุกริมฝีปากยิ้มในใจเมื่อเห็นว่าเอลฟ์สาวไม่ได้ลืมตัวเมื่ออยู่ใกล้คนที่ชอบมากมายขนาดนั้นไปเสียทีเดียว
“งั้นหรือ” ถึงปากจะพูดเหมือนยอมรับคำตอบของเอลฟ์สาว แต่ทว่านัยน์ตาของมังกรคลั่งกลับหรี่ลงอย่างสงสัย
ทว่า ก่อนที่จะได้เอ่ยถามสิ่งใด เสียงระรื่นอย่างน่าหมั่นไส้ก็ดังขึ้นจากนอกวงสนทนา
“สวัสดีขอรับ”
จิ้งจอกไฟลอบกลอกตา…ในใจ ในขณะที่มังกรคลั่งและเงือกวารีหันขวับไปมองคนมาใหม่ด้วยความสงสัย ก่อนที่เงือกวารีจะทำปากเป็นรูป ‘O’ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
“เจ้า…!” คนที่เธอนินทาเมื่อตอนนั้น…!?
“ข้า หมาป่าทมิฬ เด็กในสังกัดของจิ้งจอกไฟคนใหม่น่ะครับ” หมาป่าทมิฬกล่าวจบก็แจกรอยยิ้มแพรวพราวให้กับทั้งมังกรคลั่งและเงือกวารี นัยน์ตาสีโกเมนสั่นระริกด้วยความอารมณ์ดีสุดๆ ท่าทางเหมือนไม่สนใจเลยว่าสามคนที่เขาทักนั้นกำลังมีปฏิกิริยาอย่างไร
หนังคิ้วของจิ้งจอกไฟกระตุกนิดๆ
มังกรคลั่งชะงักเพราะนึกได้ว่าตนเองไปทำอะไรเอาไว้
เงือกวารีเองก็ชะงักเช่นเดียวกัน แต่เธอชะงักกับคำว่า ‘เด็กในสังกัด’ ต่างหาก เอลฟ์สาวเอามือปิดปากเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะเมื่อเห็นหน้าเหม็นเบื่อระคนไม่พอใจที่ดูจะทวีหนักกว่าเดิมของอาจารย์ตนเองเข้า
“เจ้า…” มังกรคลั่งส่งเสียงตะกุกตะกัก นัยน์ตาสีแดงดั่งเลือดกลอกตาไปรอบๆอย่างเลิกลัก และเหลือบมองจิ้งจอกไฟ ที่ตอนนี้แม้จะทำหน้าเรียบเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่นัยน์ตาสีโกเมนที่น่าพรั่นพรึงนั่นกลับกำลังส่งจิตอาฆาตมายังเขาเป็นระยะๆ
เขาเป็นหัวหน้านะ!…จะร้องไห้
หมาป่าทมิฬมองทั้งสามคนที่กำลังทำหน้าทำตาต่างกันอย่างสิ้นเห็นได้ชัดอย่างขบขัน ก่อนที่จะกล่าวถาม
“แล้วนี่จะเริ่มภารกิจเมื่อไหร่ เริ่มสักทีเถอะ พวกข้าได้ฟังไอ้พิธีกรที่ไหนกัน ดูสิ บรรยายสนุกเสียจนหลับกันไปเป็นร้อยแล้ว” พูด ‘ดูสิ’ จบ เขาก็ชี้ให้เห็นเหล่าอัคคีพิฆาตมากมายที่หลับคาเก้าอี้ด้วยท่าทางทุเรศที่สุด ในขณะที่คนที่ยังตื่นอยู่ต่างก็กำลังจ้องมองมาที่กลุ่มพวกเขาอย่างสนอกสนใจเต็มที่
ไม่ได้ใส่ใจไอ้คุณพิธีกรที่ยืนตัวสั่นอยู่บนเวลาด้วยท่าทีเหมือนจะร้องแหล่ไม่ร้องแหล่เลยสักนิด!
“…” จิ้งจอกไฟมองตามมือของหมาป่าทมิฬไปก่อนที่จะนึกในใจอย่างอดไม่ได้ว่า
‘จะรอดไหมนี่…รุ่นนี้…’
ไอ้พิธีกรก็เหมือนกัน มันโผล่มาบรรยายให้หน่วยได้ยังไงในเมื่อทำท่ากลัวตลอดเวลาแบบนั้น!
ดูเหมือนในที่สุดเงือกวารีที่ขำแล้วขำอีกกับคำพูดของหมาป่าทมิฬก็ตัดสินใจแล้วว่าอาจจะพิจารณานับเจ้าหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์เป็นเพื่อนใหม่ (ถ้าหากมันไม่ตายเสียวันนี้) เพราะหล่อนเลือกจังหวะที่ทุกคนกำลังอึ้งอยู่นั้นแหละตอบคำถามของหมาป่าทมิฬด้วยน้ำเสียงสดใส
“ตอนที่ข้าเข้ามาเป็นอัคคีพิฆาตครั้งแรกก็เป็นแบบนี้เหมือนกันนั่นแหละค่ะ แล้วก็…เรื่องเวลาเริ่มงานของอัคคีพิฆาตนั้นความจริงมันจะมีเสียงที่ดังแบบ…”
ก๊อง! ก๊อง! ยังไม่ทันที่เอลฟ์สาวจะพูดจบ เสียงระฆังดังกังวานก็ดังขึ้น แต่หล่อนก็ไม่ทำทำท่าไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะการพูดเลยสักนิด กลับกัน เอลฟ์สาวค่อยๆขยับยิ้มบาง
“อ๊ะ นั่นไง” หล่อนกระซิบ และโดยที่หล่อนคิดว่าไม่มีใครเห็น เอลฟ์สาวก็ค่อยๆเหลือบมองอาจารย์คนดีของตัวเองที่ยืนหน้านิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ด้วยสายตาเป็นกังวล
เธอไม่รู้เลยว่าทั้งมังกรคลั่งและหมาป่าทมิฬต่างก็เห็นท่าทางเช่นนั้นของตัวเอง
เสียงจ้อกแจ้กจอแจของเหล่าอัคคีพิฆาตรุ่นใหม่ที่ดูจะตื่นเต้นเหลือเกินกับภารกิจครั้งแรกทำให้บรรยากาศง่วงหงาวหาวนอนในตอนแรกหายวับไปในทันที หมาป่าทมิฬมองภาพเหล่าเอลฟ์ทั้งหมดเจ็ดคนที่เดินออกมายืนเรียงกันด้วยสายตาตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ
และเพราะกำลังตื่นเต้นอยู่นั่นเอง เขาเลยไม่ได้สังเกตุว่าจิ้งจอกไฟเองก็กำลังเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับเหล่าเอลฟ์ในชุดดำสนิททั้งหมดแล้ว
กว่าจะรู้ตัวอีกที หมาป่าทมิฬก็ต้องสะดุ้ง ก่อนจะรีบกุลีกุจอไปเข้าแถวด้วยความเร็วมากกว่าปกติ เพราะน้ำเสียงทุ้มต่ำ เย็นชาทว่ากลับเต็มไปด้วยความกดดันของอำนาจที่เขามองไม่เห็นของคนที่เขาเพิ่งจะตีตนไปเป็น ‘เด็กในสังกัด’ ที่ก้องกังวานไปทั่วทั้งห้อง
“ประตูเมืองตะวันออกเฉียงเหนือ ทางนี้!!”
“โอ้ โคเรล” หมาป่าทมิฬอุทานเรียกชื่อของ ‘เทพเจ้าผู้สร้าง’ ขึ้นมาเบาๆอย่างตะลึงตะลาน มองภาพบ้านเมืองที่เขาอาศัยอยู่มานานกว่ายี่สิบเก้าปีท่ามกลางความมืดด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
จะไม่ให้ร้องเรียกหาเทพได้อย่างไร ในเมื่อภาพที่เห็น…มันช่างแปลกประหลาดนักในความรู้สึก!
สำหรับเมืองต้นไม้แล้ว ความมีชีวิตชีวาคือภาพที่เห็นจนชาชิน สิ่งที่จะรู้สึกได้ยามพระอาทิตย์ต้องใบหน้าคือความอบอุ่น และสิ่งที่จะรู้สึกได้ยามพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าก็คือความอิ่มเอมที่ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในแต่ละวัน เสียงดนตรี เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยจอแจ้กจอแจจึงไม่เคยขาดหาย
ความชุ่มชื้นของต้นไม้และกลิ่นหอมของดอกปุยเมฆทำให้บรรยากาศของเมืองต้นไม้ไม่ต่างอะไรจากเมืองสวรรค์
ถึงกระนั้น…
ถึงกระนั้น ภาพที่เห็นในตอนนี้มันกลับไม่ใช่
บ้านเมืองที่ดูเหมือนถูกทิ้งร้าง สะพานไม้ที่ไร้คนเดิน ไร้แสงไฟ และแลดูไร้ชีวิต… ไร้ซึ่งแสงอาทิตย์ที่ส่องมาให้ความอบอุ่น มีเพียงแค่แสงจันทร์ที่รังแต่จะทำให้ความหนาวในใจดูจะทวีความรุนแรงมากขึ่นทุกทีๆเท่านั้นเอง
ที่นี่ไม่ใช่เมืองต้นไม้
‘ก็อยากจะคิดอย่างนั้นอยู่หรอก’
เพราะชาวเอลฟ์เป็นพวกที่ยึดมั่นในกฏเกณฑ์เป็นอย่างมาก ดังนั้น เมื่อมีกฎที่บอกว่าหลังเสียงเคาะระฆังอันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ‘ถึงเวลาพักผ่อน’ แล้ว ให้ทุกคนเข้าบ้านไปอยู่ในบ้านของตนเองเงียบๆ ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามนั้น!
เมืองก็เลยร้างไง
“เดินให้ระวัง…เราจะลงไปที่พื้นดินกัน” จิ้งจอกไฟกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบ
หน่วยอัคคีพิฆาตในชุดน้ำเงินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ ‘มือใหม่’ ทุกคน ซึ่งรวมถึงหมาป่าทมิฬพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง แม้ในใจของทั้งหมดจะมีคำถามผุดขึ้นมาในหัว ‘พื้นดิน…?’
หมาป่าทมิฬกลืนน้ำลาย
พื้นดิน เป็นเสมือนกับพื้นที่ต้องห้ามของเหล่าเอลฟ์ที่ไม่มีความสามารถพอที่จะต่อสู้ป้องกันตัวได้ จะมีก็แต่พวกทหารนักรบชั้นสูงเท่านั้นที่ได้ลงไป ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะหาบเอาน้ำขึ้นมาให้ใช้ข้างบน ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่หน้าที่หนักหนาอะไรเพราะส่วนใหญ่ชาวเอลฟ์สามารถหาน้ำกินน้ำใช้ได้จากใบไม้ยักษ์ของต้นไม้และถังไม้เก็บน้ำหน้าบ้านของพวกตนอยู่แล้ว
ว่ากันว่าข้างล่างนั่น…ถ้าเป็นตอนกลางคืนล่ะก็ หากไม่เจ๋งจริง ไม่มีทางรอดขึ้นมาได้แน่
คิดจบปุ๊บ หมาป่าทมิฬก็จ้องเส้นทางเดียวที่จะพาเขาลงไปข้างล่างด้วยสายตาว่างเปล่า
‘ไอ้เถาวัลย์ที่ดูจะขาดแหล่มิขาดแหล่นี่เนี่ยนะ! จะตกลงไปตายก่อนถึงพื้นไหม?’
ไม่…ตก…ไม่ตก…
…
ตก! ตกแหงๆ
อันตราย! อันตรายรอบตัวเต็มไปหมด!
“เร็ว” จิ้งจอกไฟสั่ง
หมาป่าทมิฬกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่
จะให้ปีนลงไปจริงๆสินะ!
เมื่อไม่มีทางเลือก หมาป่าทมิฬที่เคยโม้ไว้เยอะเลยจำเป็นที่จะต้องเดินนำหน้าไปที่เถาวัลย์อันเก่าท่ามกลางสายตาลุ้นระทึกของมือใหม่ที่เหลือ เอลฟ์หนุ่มได้แต่กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่อีกรอบเมื่อสัมผัสได้ถึงความสูงน่าหวาดเสียวของจุดที่ตนเองยืนอยู่
แต่ด้วยความที่เป็นลูกผู้ชายตัวจริง (?) เขาจึงค่อยๆจับไม้เถาวัลย์ หลับตาแน่น ก่อนจะค่อยๆไต่ลงทีละนิด…ทีละนิด ในใจภาวนา ‘ขอให้รอดด้วยเหอะ’
ไต่หนึ่ง…ไต่สอง…ไต่สาม…ไต่สี่…ไต่ห้า…ไต่หนึ่ง…
แล้วทำไมมันกลับมาไต่หนึ่งวะ!
เอลฟ์หนุ่มไต่ไปทะเลาะกับตัวเองไป กว่าจะรู้ตัวอีกที เขาก็มาถึงพื้นเสียแล้ว
เมื่อขาแตะพื้นดินได้ไม่นาน และยังไม่ทันที่จะได้พักผ่อน หมาป่าทมิฬที่เริ่มขยับปากยิ้มเพราะความสำเร็จในการเดินทาง ก็มีอันต้องสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อเห็นว่าไอ้คุณจิ้งจอกไฟที่ไม่ได้ไต่ลงมาด้วยกับเขาดันมายืนหน้านิ่งอยู่ข้างล่างก่อนแล้ว ‘มันทำได้ยังไง?’
หัวหน้ากลุ่ม ‘ตะวันออกเฉียงเหนือ’ปรายตามองพวกที่เพิ่งจะถึงพื้นนิดหนึ่งราวกับจะเช็คจำนวนเมื่อทุกคนลงมาครบ และ ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริด จิ้งจอกไฟก็เริ่มเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงโทนเสมอกันทั้งประโยคว่า “เมื่อเจ้ามายืนตรงนี้ ก็ไม่มีเวลาให้ได้ถอยหนีอีก ต่อแต่นี้ไป คือเวลาที่พวกเจ้าทุกคนต้องป้องกันตัวเอง และหมู่บ้าน…ด้วยชีวิต หากใครถูกจับ เราจะไม่ไปช่วย หากใครพ่าย เราจะไม่ไยดี”
ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ว่าคำพูดที่ฟังดูไร้น้ำใจพวกนี้มันก็คือกฏเหล็กที่จะฝ่าฝืนไม่ได้เด็ดขาด… อาจจะฟังดูโหดร้าย แต่พวกเราก็เลือกที่จะเข้ามาทำงานที่นี่กันเอง จะให้โทษใคร?
หมาป่าทมิฬคิด ในขณะพยายามที่จะไม่เผลอทำหน้าขบขันออกไปเรื่องจิ้งจอกหน้านิ่งที่ดูจะพูดเยอะกว่าปกติ
จะไม่ให้เขาจำกฏที่ไร้หัวใจพวกนั้นได้อย่างไร ในเมื่อนั่นเป็นหนึ่งในข้อสอบสุดหินที่พวกเขาต้องทำเมื่อเขาก้าวเข้ามาในประตูลับของหน่วยลับอัคคีพิฆาต
“สิ่งที่ข้าจะสามารถพูดได้…ก็คงจะมีแค่คำว่า ‘ระวังตัว’ และ ‘ยินดีต้อนรับ’ เท่านั้น” จิ้งจอกไฟพูดต่อ น้ำเสียงไม่ใส่ใจยามที่พูดคำว่า ‘ระวังตัว’ ทำให้คนที่ได้ฟังทุกคนรู้สึกหนาวยะเยือกในอก พากันมองไปรอบตัวด้วยสายตาหวาดระแวง ด้วยเพิ่งจะรู้สึกตัวขึ้นมาว่าไม่มีใครสามารถระวังหลังให้ได้อย่างที่หวัง
เมื่อจิ้งจอกไฟหยุดพูดไปนิดนึง หมาป่าทมิฬและเหล่ามือใหม่คนอื่นๆก็ชะงักอาการหวาดระแวง มองตามสายตาของเอลฟ์หนุ่มไป แล้วก็ต้องอุทานในใจด้วยความตกใจ เมื่อมองเห็นดวงตาแดงๆ แลดูกระหายเลือดนับร้อยที่จู่ๆก็ลืมขึ้นพร้อมกันท่ามกลางความมืด
“ยินดีต้อนรับ…”
ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจ ทว่า มือของทุกคนต่างก็ค่อยๆเลื่อนไปหาอาวุธที่ตนถนัดอย่างช้าๆ…แทบจะไม่สามารถสังเกตุเห็นได้
“เข้าสู่ ‘ป่าหิมาราตรี’ ยามค่ำคืน…”
และการต่อสู้ของเหล่าอัคคีพิฆาตก็เริ่มต้นขึ้น
คุยกับนักเขียน:
ฮ่าๆๆ และแล้ว ไรเตอร์ก็ลงตอนใหม่ให้อีกตอนหนึ่ง เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย? ชอบหรือไม่ยังไงก็บอกกันได้นะรีดเดอร์ที่น่ารักทุกท่าน
เพลงประกอบที่ไรเตอร์ใส่ไว้ในตอนแรกคือเพลงที่มีชื่อว่า 'Moon Of The Princesss' ซึ่งเป็นเพลงประกอบของภาพยนตร์เรื่อง 'Faith, the great doctor' เป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นและเศร้าหวานๆยังไงไม่รู้ ไรเตอร์ชอบมากๆๆๆ เลยขอจิ๊กมาเป็นซาวน์แทร็คของนวนิยายเรื่องนี้เสียเลย 555+
สำหรับใครที่กำลังรอคอยให้นางเอกของเรื่องโผล่หัว เอ๊ย แสดงตัวออกมาให้เห็น ก็ไม่ต้องรอนานแล้ว จะได้พบกันในตอนหน้าแน่นอนค่ะ
ขอบคุณทุกท่านจริงๆนะคะที่อุตส่าห์กดเข้ามาอ่านนวนิยายของไรเตอร์ ไรเตอร์รักทุกคนนะ
จุ๊บๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ