พันแสงราตรี
9.9
เขียนโดย กุลภัสสร์
วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.17 น.
4 บท
6 วิจารณ์
6,986 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 15.37 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่ ๒ - "หมาป่าทมิฬ เงือกวารี มังกรคลั่ง 1"
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 2
“หมาป่าทมิฬ เงือกวารี มังกรคลั่ง”
‘เมืองต้นไม้ เป็นเมืองหลวงของเผ่าเอลฟ์แสงที่สูงศักดิ์ ซึ่งสาเหตุที่เรียกพวกเขาว่า ‘เอลฟ์แสง’ นั่นก็เพราะว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีเชื้อสายของเทพปะปนอยู่ด้วยนั่นเอง เป็นเมืองที่มีสีเขียวขจีของแมกไม้หลายชนิด บ้างก็พบเห็นได้ทั่วไป บ้างก็มีเฉพาะที่นี่เท่านั้น เช่น เมฆารัศมี ซึ่งเป็นพืชเถาไม้เลื้อยที่มีดอกเหมือนก้อนเมฆ (สีเขียวอ่อน) มีสรรพคุณรักษาอาการเจ็บปวดภายนอกเล็กน้อยได้ชะงัด เป็นต้น
แน่นอนว่าเอลฟ์ไม่ได้มีเพียงแค่เผ่าเทพที่สูงศักดิ์เท่านั้น
แต่นั่นเป็นเรื่องในภายภาคหน้า…’
“หาว”
กึก
คำบรรยายชะงัก
สาเหตุนั้นมาจาก…
“อะไร ก็มันน่าเบื่อนี่”
ทุกคน…ยกเว้นจิ้งจอกไฟพากันกลอกตาอย่างละเหี่ยใจ
หมาป่าทมิฬ ‘พูด’ คำว่า ‘หาว’ ออกมาเสียงดัง แถมยังทำท่าทางยียวนกวนส้นเท้าเหมือนไม่แคร์สื่อทั้งที่เหล่าเอลฟ์ทั้งหนุ่มและวัยฉกรรจ์ต่างก็พร้อมใจกันหันขวับมามองจ้องที่ตนราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออย่างพร้อมเพรียง
จะไม่ให้จ้องเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อมันขัดจังหวะการบรรยายเป็นรอบที่สามแล้ว!
“อย่าสนใจข้าเลย บรรยายต่อเหอะ” เจ้าตัวพูดพึมพำพร้อมกับหลับตาลง
นอน
จิ้งจอกไฟเหลือบมองอาการของ ‘ลูกศิษย์’ คนล่าสุดของตนเองอย่างเบื่อหน่าย แม้ว่าภายนอก ใบหน้าของเอลฟ์หนุ่มจะยังคงงดงาม…แต่นิ่งเหมือนรูปสลักเช่นเดิม ทว่าภายในใจของเขากลับมีคำถามอยู่หนึ่งคำถามลอยว่อนไปทั่วจิต
‘ใครเป็นคนปล่อยให้มันผ่านเข้าหน่วยมาได้เนี่ย…’
“หมอนี่ต้องตายก่อนได้พ้นวันแรกแน่ๆ” คำทำนายและน้ำเสียงหวานที่คุ้นเคยเรียกให้สายตาของจิ้งจอกไฟต้องหันไปมองนิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้กับผู้มาใหม่ซึ่งเป็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่เป็นเชิงทักทาย
“เป็นไงบ้าง จิ้งจอกไฟ หลับสบายดีไหม”
แกล้งถามกันหรือ?
จิ้งจอกไฟตั้งคำถามในใจที่ไม่น่าจะได้คำตอบภายในเร็ววันขึ้นมาอีกข้อ ก่อนจะปัดข้อสงสัยนี้ทิ้งไปเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าหล่อนยังคงไม่รู้ถึงเรื่องที่เขามี ‘ศิษย์’ เป็นเจ้าเด็กกวนโอ๊ยนั่น
“เงือกวารี…”
หล่อนยิ้มรับเสียงเรียกชื่อ
‘เงือกวารี’ เป็นเอลฟ์สาวที่งาม…งามมาก เกือบจะงามเป็นอันดับหนึ่งของเมืองเลยก็เป็นได้
ด้วยเส้นผมสีบลอนด์ทองยาวสยายจนถึงกลางหลัง ล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่งามหมดจด นัยน์ตาเรียวงามสีฟ้าค่อนไปทางน้ำเงินนั้นฉายให้เห็นถึงความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยนในแบบของผู้หญิง ริมฝีปากสีอ่อนนั้นมักจะเหยียดเป็นเส้นตรงเสมอเพราะเธออยากจะรักษาภาพลักษณ์ ‘ความเป็นผู้หญิงแกร่ง’ เอาไว้
ใช่แล้ว จิ้งจอกไฟยอมรับเลยจริงๆ หากบวกกับทรวดทรงที่เรียกได้ว่าอยู่ในระดับ ‘แนวหน้า’ ก็การันตีได้เลยว่า เมื่อไหร่ที่หล่อนตัดสินใจที่จะไปเดินเล่นอยู่ในจตุจักรกลางเมืองล่ะก็…เมื่อนั้นพวกเขาคงจะได้หัวปั่นเพราะเกิดสงครามขนาดย่อมขึ้นมาแน่ๆ
‘ชิงนาง’ น่ะสิ!
หากเป็นปกติ เพราะความใกล้ชิดและความสนิทสนมอย่างมากมายที่ทั้งเขาและเธอมี บางทีเขาอาจจะเผลอหลงไปในความงามของหล่อนด้วยเช่นเดียวกัน
แต่โชคดีที่มีอย่างอื่นมาขั้นกลางระหว่างพวกเขาไว้
เงือกวารีเห็นท่าทางเงียบจนน่าอึดอัดของจิ้งจอกไฟแล้วจึงตัดสินใจหาเรื่องคุย
“เห็นว่า ‘มังกรคลั่ง’ให้เจ้ารับลูกศิษย์ไปหนึ่งคนไม่ใช่หรือ? เก่งไหม? น่ารักรึเปล่า? ผู้หญิงหรือผู้ชาย?”
ไร้ซึ่งคำตอบจากคนพูดน้อย เงือกวารีเกือบจะเบ้หน้าใส่แล้ว หากว่าจิ้งจอกไฟไม่ตัดสินใจที่จะชี้มือไปทางเจ้าเด็กป่วน ‘หมาป่าทมิฬคนใหม่’ ด้วยสีหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนในสายตาของหล่อนว่า ‘ข้าไม่พอใจมากที่ต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กของเจ้าหมาบ้าน้ำลายยืดนั่น’
เงือกวารีกระพริบตาปริบๆ มองตามช้าๆ ก่อนที่หล่อนจะทำตาโตจนน่าขัน แล้วโพล่งออกมาอย่างสุดแสนจะตกใจว่า “หา! ตัวป่วนตนนั้นเป็นลูกศิษย์เจ้าหรือ?”
“…” จิ้งจอกไฟพยักหน้า
คนถามถึงกับต้องนิ่งใส่เพราะไม่รู้จะทำสีหน้าเช่นไรดี อยากจะหัวเราะ…ก็กลัวจะโดนฆ่าหมกป่า แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องปล่อยให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า
คนที่ดูใจร้อน กับ น้ำแข็งพันปีเนี่ยนะ
บางทีเธอก็สงสัยว่านี่เป็นตลกร้ายตามฉบับของ ‘มังกรคลั่ง’ คนนั้นใช่ไหม?
จิ้งจอกไฟชักสีหน้านิดหนึ่งจนแทบจะไม่สามารถสังเกตุเห็นได้เมื่อเอลฟ์ที่เกือบที่จะเป็นเพื่อนของเขาดันปล่อยหัวเราะออกมาพรืดใหญ่อย่างไม่มีความเกรงใจ
นี่ตกลงคิดจะซ้ำเติมกันจริงๆสินะ
“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะใสๆที่ดังก้องไปทั่วทำให้การบรรยายต้องหยุดลงอีกครั้ง ทุกสายตา รวมถึงสายตาของหมาป่าทมิฬต่างก็หันมามองเจ้าของเสียงกันพรึ่บพรั่บโดยไม่ได้นัดหมายแต่อย่างใด
‘สวย’
ถ้าความคิดมีเสียง หลายๆคนคงต้องสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าคนอื่นจะคิดเหมือนกันเป็นแน่
และเมื่อสายตาของพวกเขามองเลยจากคนสวยไปยังก้อนน้ำแข็งที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนัก สายตาเคลิบเคลิ้มก็เปลี่ยนเป็นสายตาที่ร้องตะโกน ‘โอ๊ย มันอีกแล้ว!’ อย่างสุดจะทน
เห็นเงือกวารีที่ไหน มันก็ต้องอยู่ที่นั่นทุกที!
ทำไมไม่เป็นพวกเขาวะที่ได้สนิทกับเธอเนี่ย!
หางตาของจิ้งจอกไฟมองเห็นปฏิกิริยาของทุกคนดี และออกจะรู้สึก ‘รำคาญ’ เมื่อได้ยินเสียง ‘ชิ’‘เชอะ’ ที่ดังต่อกันเป็นแถวๆ นัยน์ตาสีโกเมนหรี่ลงมองพรรคพวกที่กำลังแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ‘เกลียดขี้หน้า’ เขา
“พวกนั้นท่าจะว่างมาก” เงือกวารีที่คงจะรับรู้ถึงสายตาร้อนแรงของเหล่าชายหนุ่มที่จ้องมองมาเหมือนกันพึมพำเสียงเมื่อย ท่าทางไม่ค่อยพอใจของเธอเกือบจะทำให้จิ้งจอกไฟรู้สึกถึงความขัน
แต่ก็นะ แค่เกือบเท่านั้น
“ไม่ทำงานรึไง ถึงได้ใส่ชุดเนื้อผ้าน้อยอย่างนี้” เอลฟ์หนุ่มส่งเสียงถาม ในเสียงมีรอยตำหนิ ซึ่งปกติถ้าเป็นคนอื่นคงจะได้ของขวัญเป็นมะเหงกจากคนสวยสักทีสองทีไปแล้วสำหรับการเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างไร้มารยาทที่สุด แต่เพราะเป็น ‘จิ้งจอกไฟ’ คนนี้ เงือกวารีถึงไม่ได้ถือสาอะไร หล่อนส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะตอบเสียงอ่อน
“ข้าไม่ค่อยสบายเท่าไร ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน…”
จิ้งจอกไฟกวาดตามองร่างงามของเอลฟ์สาวช้าๆราวกับตรวจเช็คว่าไม่สบายตรงไหน ก่อนจะพึมพำเมื่อพบว่าหล่อนยังคงดูสบายดีทุกประการ
“ไม่สบาย?” คำพูดเหมือนทวนทำให้เงือกวารีต้องกลั้นยิ้ม ก่อนจะกระเซ้าเสียงร่าเริงว่า
“นี่เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ”
สายตาที่ส่งมาเป็นเชิง ‘เจ้าจะบ้ารึไง’ ตามแบบฉบับของจิ้งจอกไฟที่แสนเย็นชาทำให้เงือกวารีถึงกับทำหน้าโศก ก่อนจะรีบแก้ตัวหน้าตายเมื่อได้สติ “ข้าแค่อยากจะบอกว่าถ้าเจ้าเป็นห่วงข้า ข้าจะดีใจมากเลยนะต่างหาก ไม่ได้ตั้งใจจะล้อเจ้าสักหน่อย”
“จิ้งจอกไฟเขายังไม่ได้ว่าอะไรเจ้าเลยสักคำไม่ใช่หรือ เงือกวารี”
ความนุ่มนวลแม้จะทุ้มต่ำของน้ำเสียงทำให้เอลฟ์หนุ่มเลิกคิ้ว หันไปมองเจ้าของเสียงพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ไร้ซึ่งความอ่อนโยนโดยสิ้นเชิง
“มังกรคลั่ง” เขากล่าวทักอย่างเย็นชา นัยน์ตาสีโกเมนนั้นแม้จะดูนิ่งแต่เจ้าของนาม ‘มังกรคลั่ง’ กลับรู้ว่าภายใต้ความเฉยของเจ้าตัวนั้นมีความรู้สึกไม่พอใจมากๆของเขาจิ้งจอกไฟซ่อนอยู่ ท่าทางเขานึกขึ้นได้ว่าใครเป็นคนที่ส่งเด็กนรกจอมหาเรื่องนั่นมาอยู่ในทีม
“สายัณสวัสดิ์ จิ้งจอกไฟ”
มังกรคลั่ง กล่าวหลังจากพยักหน้าเป็นเชิงทักทายกลับ ทำให้เส้นผมที่ยาวจนถึงกลางหลังเต้นไหวตามสายลมที่พัดมาอย่างได้จังหวะ แม้บนใบหน้าจะมีรอยยิ้มแหยประดับอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังคงความน่าเกรงขามอยู่เช่นเดิม นัยน์ตาสีเดียวกันกับจิ้งจอกไฟเองมองไปรอบตัวอย่างละเลิ่กละลั่กเพื่อบอกให้คนกำลังโกรธอยู่รู้ว่า เขาพร้อมที่จะหนีตลอดเวลาหากสถานการณ์เริ่มเลวร้าย
ถึงตอนนี้จิ้งจอกไฟก็อดไม่ได้ที่จะคิดในใจ
หากไม่บอก ใครจะไปเชื่อว่าคนๆนี้แหละ ‘หัวหน้าคนปัจจุบันของอัคคีพิฆาต’!
-จบ บทที่ ๒-
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ