ลิขิตรักคำสั่งวิวาห์ NC+ (หวานๆ กุ๊กกิ๊กน่ารัก)
9.0
เขียนโดย สุภาวดี
วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.22 น.
15 ตอน
3 วิจารณ์
26.06K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 19.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) ตอนที่ 3 วิวาห์ไร้รัก 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความต่อจาก 50%
บรรยากาศงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสระหว่างเจ้าบ่าวนายแพทย์หนุ่มใหญ่ขวัญใจสาวๆ กับเจ้าสาวมัณฑนากรแสนสวย ได้รับเกียรติจากแขกผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงในวงการแพทย์ทั้งของพ่อตาและลูกเขย ตลอดจนญาติมิตรเพื่อนพ้องต่างยกขบวนมาร่วมแสดงความยินดีกันคับคั่ง
เจ้าบ่าวยืนอยู่ในชุดทักสิโด้สีขาวสะอาดตาเคียงข้างด้วยเจ้าสาวที่สวมชุดราตรียาวเกาะอกฟูฟ่องด้วยผ้าใยแก้วและประดับประดาด้วยลูกไม้รอบตัว หลังจากทั้งคู่ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจกันไปแล้วในตอนเช้ากับความเหมาะสมที่เปรียบเสมือนกิ่งทองใบหยกที่ใครๆ ต่างก็พูดถึง ตกเย็นทั้งคู่ก็ยังสร้างความประทับใจให้กับแขกที่มาในงานได้ไม่น้อย ด้วยความสง่าและงดงามของคู่บ่าวสาวที่ยืนต้อนรับแขกอยู่บริเวณซุ้มดอกไม้หน้าห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม
ทั้งสองยืนห่างกันประมาณหนึ่งช่วงแขน ประกอบกับต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า ทำให้คนเป็นแม่ของทั้งสองฝ่ายต้องออกมาเตือน
“วิท ยืนใกล้ๆ น้องหน่อยสิลูก” คุณนายกมลวรรณเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับบอกลูกชายเสียงเข้มแกมบังคับ
“เอ่อ... ครับคุณแม่” วิทยารับคำมารดาก่อนจะขยับเข้าไปใกล้หญิงสาว ซึ่งดูเหมือนเธอจะไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร เพราะเมื่อเขาขยับไปใกล้ เธอกลับยิ่งขยับห่างออกไปอีก ‘จะเล่นตัวอะไรนักหนาแม่คุณ... นึกว่าอยากจะเข้าใกล้นักหรือไง เหอะ!’ หมอหนุ่มบ่นในใจอย่างนึกฉุนกับท่าทางของคนเป็นเจ้าสาว
“หนูอรจับแขนพี่เขาไว้แบบนี้นะลูก จะได้ไม่ดูห่างเหินจนเกินไป” คุณนายมณีนุชเดินไปจับมือบางของบุตรสาวมาสอดไว้ที่แขนของคนเป็นเจ้าบ่าวพร้อมทั้งกำชับด้วยสายตาและคำพูด
“คุณแม่ขา...” อรณิชาทำท่าจะคัดค้านเพราะเธอไม่อยากทำอย่างที่มารดาต้องการเลยสักนิด
“นะ แม่ขอร้อง อีกไม่กี่ชั่วโมงนะลูก อดทนหน่อย” เมื่อรู้ว่าลูกสาวจะพูดอะไรคนเป็นแม่จึงรีบดักคอ เพราะยังไงตอนนี้ต้องรักษามารยาทของหน้าตาและชื่อเสียงทางสังคมเอาไว้ก่อน
เมื่อจัดการกับบุตรชายและบุตรสาวของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คนเป็นแม่ก็กลับเข้าไปในงานเพื่อต้อนรับพูดคุยกับแขกผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่ทยอยเดินทางมาจนเกือบจะเต็มห้องจัดเลี้ยงแล้ว
บ่าวสาวยืนกระฟัดกระเฟียดใส่กันอยู่เพียงครู่ ก่อนที่ฝ่ายเจ้าบ่าวจะเป็นคนสะบัดแขนเพื่อให้มือบางของคนเป็นเจ้าสาวหลุดออกไป และเมื่อเธอกำลังมองการกระทำของเขาด้วยความมึนงงอยู่นั้น เธอก็ได้รับความกระจ่างขึ้นเมื่อเห็นผู้หญิงสวยหวานคนหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามา
“น้องแพร...” น้ำเสียงหวานนุ่มของเจ้าบ่าวข้างกายทำให้เธอเข้าใจได้ทันทีว่าหญิงสาวที่เดินเข้ามานั้นต้องมีความสำคัญกับเขามากแน่ๆ
“ยินดีด้วยนะคะพี่วิท พอดีเมื่อเช้ายุ่งๆ แพรก็เลยยังไม่ได้อวยพร” แพรวายิ้มหวานให้พี่ชายแสนดีของเธอและเผื่อแผ่ไปถึงเจ้าสาวของเขาด้วย วันนี้เขาดูหล่อเหลากว่าทุกวัน ที่สำคัญเจ้าสาวของเขานั้นช่างสวยงดงามไม่มีที่ติเลยจริงๆ
“ขอบคุณครับ” หมอหนุ่มทำท่าจะเข้าไปจับมือของหญิงสาวตรงหน้า แต่สามีของเธอที่ยืนเคียงข้างนั้นรีบยื่นมือออกมาสัมผัสกับมือของเขาเสียก่อน
“ผมขอให้คุณมีความสุขนะครับหมอวิท เจ้าสาวของคุณสวยมาก” ธีรพัฒน์ที่อุ้มลูกชายตัวน้อยเอาไว้ในอกแกร่ง กล่าวอวยพรและชื่นชมจากใจ พลางบีบมือนั้นให้แน่นขึ้นเพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าอีกฝ่ายกำลังจะล้ำเส้น
“ครับ... ขอบคุณครับ” คนเป็นเจ้าบ่าวกล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือลงข้างตัวเหมือนคนสิ้นหวัง เมื่อกี้เขาลืมตัวเกือบเผลอไปจับมือหญิงสาวที่เป็นคนต้องห้ามสำหรับเขาไปแล้วต่อหน้าต่อตาสามีของเธอและเจ้าสาวของเขา
“นายกรกับน้องมลอยู่ข้างในใช่ไหมครับ” ธีรพัฒน์ถามขึ้นเมื่อต้องการไปจากตรงนี้ก่อนที่เขาจะหมดความอดทน
“ครับ อยู่ข้างใน เชิญครับ” วิทยาตอบพลางส่งยิ้มให้กับชายหนุ่มและหญิงสาวตรงหน้า นั่นเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจเป็นครั้งแรกตลอดงานแต่งงานของเขา และแน่นอนว่าคนเป็นเจ้าสาวก็เพิ่งได้เห็นด้วยเหมือนกัน เพราะตลอดเวลาเขาไม่เคยมองหญิงสาวข้างกายหรือแม้แต่จะยิ้มให้ใครแบบนี้เลยสักครั้ง ‘ฮึ หลงรักเมียชาวบ้านเขาล่ะสิท่า อีตาคุณหมอขี้เก๊กเอ้ย... ก็เพราะทั้งหยิ่งทั้งเย็นชาแบบนี้ไงล่ะ ผู้หญิงเขาถึงไม่ชอบ’ อรณิชาแอบเยาะเย้ยชายหนุ่มในใจ ก่อนจะหันไปเห็นคนเป็นแม่ที่ส่งสายตาดุๆ มาให้และชี้นิ้วมาที่มือของเธอ หญิงสาวจึงรีบคว้าหมับที่ลำแขนแกร่งของคนเป็นเจ้าบ่าวทันที
“ไม่ได้อยากจะจับนักหรอกนะ โน่น... คุณแม่ท่านยืนมองตาเขียวปัดอยู่นั่น” อรณิชาหันมาแหวเสียงเขียวเมื่อเจ้าของลำแขนที่เธอจับอยู่นั้นก้มลงมามองที่มือของเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรสักคำ จะจับก็จับไปสิ หน้าที่ของคุณไม่ใช่หน้าที่ผม” วิทยาตอบกลับอย่างนึกหมั่นไส้ที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนไม่เต็มใจจนชัดเจนขนาดนั้น
“เก็บอาการหน่อยก็ดีนะคุณ ทำตัวอย่างกับเด็กถูกขัดใจ” คนเป็นเจ้าบ่าวพูดขึ้นมาลอยๆ ส่งผลให้เจ้าสาวที่ถูกกล่าวหาว่าทำตัวเหมือนเด็กหันมามองตาขวางอย่างเอาเรื่อง
“ฉัน ไม่ ใช่ เด็ก” หญิงสาวย้ำทีละคำชัดๆ พร้อมกับจิกเล็บลงไปที่แขนของชายหนุ่มทันที จนอีกฝ่ายสะดุ้งน้อยๆ ด้วยรู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขน ก่อนที่ทั้งสองจะตั้งแง่กันมากกว่านี้แขกคนสำคัญของเจ้าสาวก็ปรากฎตัวขึ้น
“ก้อย นนท์ ทำไมมาช้าจัง” อรณิชาเรียกชื่อเพื่อนสาวที่เดินมาพร้อมกับแฟนหนุ่มของเธอด้วยน้ำเสียงตัดพ้อแกมน้อยใจเล็กๆ ที่ทั้งสองมาช้าจนเธอรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังกับชายหนุ่มที่ไม่รู้จัก มือบางของเธอรีบดึงออกมาจากลำแขนของคนเป็นเจ้าบ่าวทันที ก่อนจะยื่นไปจับมือของเพื่อนสาวที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า
“ก้อยรอนนท์น่ะจ้ะอร ว่าจะมาพร้อมกัน” กรรณิการ์ตอบเพื่อนรักพร้อมกับส่งยิ้มเผื่อแพร่ไปถึงเจ้าบ่าวของเพื่อนด้วยเช่นกัน
“ก้อยขอให้อรมีความสุขนะ วันนี้อรเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดและโชคดีที่สุดเลยรู้ตัวหรือเปล่า” คนเป็นเพื่อนกล่าวอวยพรและชื่นชมจากใจจริง
“ไม่เห็นจะโชคดีเลย...” คนเป็นเจ้าสาวพึมพำเบาๆ ก่อนจะหันไปหาแฟนหนุ่มที่เป็นเพื่อนรักของเธออีกคน
“นนท์...” อรณิชาเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ถึงตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกผิดที่ทำให้เขาเสียใจ
“นนท์ยังยืนยันคำเดิมนะ นนท์ไม่ขอให้อรมีความสุข แต่นนท์ขอให้อรไม่ลืมสัญญาและกลับมาหานนท์เร็วๆ ก็พอ” นนท์ประวิธสบตาหญิงสาวด้วยความรู้สึกปวดร้าว ตัดพ้อและน้อยใจ ชายหนุ่มยื่นม้วนกระดาษสีขาวที่ผูกโบว์สีชมพูสวยให้กับเธอ และหันไปจ้องหน้าคนเป็นเจ้าบ่าวด้วยดวงตาวาวโรจน์ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินกลับออกไปทันทีโดยไม่ฟังเสียงร้องเรียกของเพื่อนสาวอีกคนที่มากับเขา
“เดี๋ยวก่อน! นนท์... นนท์” กรรณิการ์ตะโกนเรียกเพื่อนชายที่เธอแอบรัก เมื่อเห็นเขาไม่หันกลับมาทำให้เธอลังเลระหว่างจะวิ่งตามเขาไป หรือเดินเข้าไปในงานเพื่อร่วมงานเลี้ยงดี
“ไปเถอะก้อย... อรฝากนนท์ด้วยนะ” อรณิชาบอกเพื่อนสาวเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังตัดสินใจเพราะไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี
“จ้ะๆ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ก้อยจะโทรมาหานะ ขอโทษด้วยนะคะคุณหมอ” กรรณิการ์ละล่ำละลักรับคำฝากจากเพื่อนรักและหันไปขอโทษคนเป็นเจ้าบ่าวซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มอบอุ่นกลับมา ก่อนที่เธอจะรีบวิ่งตามชายหนุ่มที่ออกไปก่อนหน้านี้ให้ทัน
“ฮึ ฮึ รักสามเศร้าเราสามคน หรือจะเข้าตำราเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อกันแน่น้า...” เสียงกระแหนะกระแหนของชายหนุ่มข้างกายทำให้อรณิชาแทบควันออกหู หญิงสาวหันควับมามองหน้าเขาทันทีเหมือนนางแมวจ้องตะครุบเหยื่อ
“นี่คุณ!ถ้าไม่พูดก็คงไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอกนะ” หญิงสาวกระแทกเสียงใส่ด้วยความโมโหที่ชายหนุ่มแอบฟังและวิจารณ์ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเพื่อนๆ
“ผมก็แค่อยากแสดงทัศนคติเท่านั้น” คนพูดยังคงลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิด แต่กลับดูน่าหมั่นไส้ในสายตาของคนมอง
“มันเรื่องของฉัน” อรณิชาสะบัดหน้าพรืดหันไปทางอื่นด้วยไม่อยากเห็นหน้าคนกวนประสาทที่ทำให้เธอยิ่งหงุดหงิดจนเกินจะทนยืนตรงนี้ได้อีก
“อย่าลืมหน้าที่สิคุณ” วิทยาปรายตามองคนข้างๆ ก่อนจะเอ่ยเตือนเมื่อเห็นเธอยืนนิ่งไม่ยอมจับแขนเขาเหมือนเดิม และด้วยคำบอกนั้นทำให้เขาได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอของเธอพร้อมกับมือบางจับหมับที่ลำแขนแกร่งทันทีแบบกระแทกกระทั้น
วิทยาหวนคิดไปถึงคำพูดของชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาเจ้าสาวของเขาด้วยท่วงท่าที่กรุ่นโกรธและมองเขาด้วยแววตาดุดัน ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนั้นกับเจ้าสาวของเขาจะต้องมีความสัมพันธ์กันมากกว่าเพื่อนอย่างแน่นอน ‘ฮึ ในเมื่อมีแฟนอยู่แล้วจะมาแต่งงานกับเขาทำไมกัน’ ชายหนุ่มคิดด้วยความสงสัย พลันหัวใจดวงแกร่งกลับรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อคิดว่าเธอที่เป็นเจ้าสาวของเขานั้นมีคนรักอยู่ก่อนแล้ว
ทั้งสองยืนอยู่อีกไม่นานผู้มีหน้าที่จัดพิธีการก็เดินมาเรียกคู่บ่าวสาวให้เข้าไปเตรียมตัวที่จะขึ้นเวทีเพื่อกล่าวขอบคุณแขก พร้อมทั้งกิจกรรมอื่นๆ ต่อไป
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการต่างๆ บนเวทีแล้ว สองบ่าวสาวก็ลงมาพบปะพูดคุยกับแขกภายในงานเพียงครู่ก็ถึงเวลาเข้าหอตามฤกษ์ที่เหมาะสม โดยทั้งสองฝ่ายต่างลงความเห็นว่าให้ใช้ห้องสวีตบนโรงแรมแห่งนี้เป็นเรือนหอชั่วคราวเพื่อส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวในค่ำคืนแรกของการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเข้ามาส่งตัวบุตรชายและบุตรสาวของตนและกล่าวคำอวยพรพร้อมทั้งแนะนำความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตคู่ รวมไปถึงการฝากฝังให้ดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันด้วย จากนั้นทั้งหมดก็ออกไปเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน ปล่อยให้คู่บ่าวสาวได้มีเวลาส่วนตัวตามลำพัง
“คุณแต่งงานกับผมเพราะอะไร” จู่ๆ คนเป็นเจ้าบ่าวก็พูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่เข้าปกคลุมภายในห้องนานเกือบสิบนาทีหลังจากพวกผู้ใหญ่กลับออกไปแล้ว เขาอยากรู้ว่าเธอแต่งงานกับเขาเพราะตั้งใจหรือถูกบังคับมากันแน่ แม่เจ้าประคุณถึงทำหน้าทำตาอย่างกับถูกส่งเข้าโรงเชือด
“ฉันไม่มีทางเลือก” คนเป็นเจ้าสาวตอบน้ำเสียงราบเรียบ เมื่อเห็นเขาลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดยืนที่ประตูกระจกหลังห้อง เธอจึงลุกขึ้นตามแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงมุมข้างเตียง
“ไม่มีได้ยังไง ก็ไอ้หน้าหล่อที่มายืนทำท่าเจ็บปวดอยู่ตรงหน้าคุณเมื่อตอนหัวค่ำนั่นไง” วิทยาหันมามองหน้าเธอแวบเดียว ก่อนจะหันกลับไปมองทิวทัศน์ด้านนอกต่อไป
“ถ้าฉันเลือกเขาแล้วคุณพ่อท่านยอมรับ ฉันก็คงไม่ต้องมาแต่งงานกับคุณหรอกค่ะ” อรณิชาพูดฉะฉานยืดหลังตรงเพื่อบ่งบอกว่าเธอก็มีศักดิ์ศรี และไม่ได้เป็นฝ่ายร้องขอจะแต่งงานกับเขา
“แสดงว่าพ่อคุณไม่ชอบไอ้หมอนั่น ก็เลยยัดเยียดคุณให้แต่งงานกับผมเพื่อตัดปัญหางั้นสิ” คนที่ยืนชมวิวอยู่หลังห้องหันหน้ามาเผชิญกับหญิงสาวที่เขาพูดด้วย
“เรื่องนั้นฉันไม่ทราบ แต่สาเหตุที่ทำให้ฉันตัดสินใจยอมแต่งงานกับคุณ ก็เพราะคำสัญญาที่คุณพ่อท่านให้ไว้กับคุณแม่ของคุณ ฉันไม่อยากให้ท่านเป็นคนไม่รักษาคำพูด”
“งั้นเราก็มีเหตุผลเดียวกัน” หมอหนุ่มบอกเสียงเรียบ พลางถอดเสื้อสูทออกจากตัวแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหาข้าวของของตัวเองที่ให้คนเอาขึ้นมาไว้ให้
“อะไรคะ” อรณิชาย้อนถามอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายหนุ่มบอก ขณะนั่งมองการกระทำของเขาที่หยิบนั่นหยิบนี่ออกมาจากตู้เสื้อผ้าซึ่งเธออดสงสัยไม่ได้ว่าเขานำไปยัดไว้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
“ก็เราแต่งงานกันเพราะคำสัญญาของผู้ใหญ่ที่ตกลงกันไว้... โดยที่เราสองคนไม่ได้เต็มใจยังไงล่ะ” วิทยาหอบเสื้อผ้าข้าวของที่จำเป็นต้องใช้ออกมาถือไว้ เมื่อพูดประโยคสุดท้ายจบเขาก็เดินหายวับเข้าไปในห้องน้ำฝั่งตรงข้ามกับตู้เสื้อผ้าทันที ‘ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ชอบใจที่เธอแต่งงานกับเขาเพราะถูกบังคับนะ แต่ถ้าเธอตอบว่าแต่งงานกับเขาด้วยความเต็มใจล่ะ เขาจะรู้สึกดีกว่านี้หรือเปล่า’ หมอหนุ่มคิดสับสนในใจก่อนจะหันไปทำธุระส่วนตัวของตัวเองต่อ
อรณิชานั่งตัวแข็งทื่อเมื่อชายหนุ่มเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ และไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝักบัว นั่นแสดงว่าเขาคงกำลังอาบน้ำอยู่ แค่คิดหัวใจดวงน้อยก็สั่นระรัวขึ้นมาดื้อๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอนั่งอยู่ในห้องที่มีชายหนุ่มกำลังอาบน้ำ เมื่อคิดว่าเขาจะต้องออกมาในสภาพล่อแหลมเหมือนพระเอกในละครทีวีที่เธอเคยดูแน่ๆ แค่คิดใบหน้าหวานก็ร้อนผ่าวขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นลูบแก้มเนียนใสของตัวเองเพื่อช่วยบรรเทาความรู้สึกแปลกๆ ที่ตีตื้นเข้ามาอย่างประหลาด
ผ่านไปเพียงครู่ประตูห้องน้ำก็เปิดออก ทำให้คนที่นั่งหน้าแดงอยู่รีบหันไปทางอื่นเพื่อหลบซ่อนความเขินอายของตัวเองพลางคิดว่าชายหนุ่มที่ออกมานั้นจะต้องมีเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำที่เปิดเผยแผงอกรำไรหรือไม่ก็มีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวปกปิดร่างกายส่วนล่างเอาไว้เท่านั้น แต่แล้วจินตนาการทุกอย่างที่เธอคิดไว้ก็ดับวูบไปทันทีเมื่อชำเลืองเห็นชายหนุ่มส่วมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงแสลคเนื้อดีก้าวออกมาด้วยท่วงท่าที่มั่นคง ก่อนจะมาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก สายตาคมเหลือบมองหญิงสาวที่ตอนนี้เธอนั่งจ้องมองเขาเหมือนมีคำถาม ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมือหนายังคงจัดแต่งทรงผมให้เข้าที่เรียบร้อยและดูดีเหมาะสมกับการออกไปทำงานเหมือนเช่นทุกวัน
“คุณหมอ...” อรณิชาเรียกชายหนุ่มเพื่ออยากจะถามความสงสัยของตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยคำถามออกไปเสียงของเขาก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ต้องให้เกียรติผมขนาดนั้นก็ได้ เราแต่งงานกันแล้วนี่” หมอหนุ่มพูดขณะที่สายตายังคงจับจ้องตัวเองในกระจก
“เอ่อ... พะ... พี่วิท...” หญิงสาวส่งเสียงตะกุกตะกักพยายามเปลี่ยนสรรพนามของเขาตามที่แม่ของเธอบอกไว้ว่าให้เรียกชายหนุ่มตรงหน้าว่าพี่... แต่เมื่อเจอคำพูดต่อไปของเขาที่แทรกขึ้นมาทำให้เธอถึงกับเลือดขึ้นหน้าทันที
“เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” น้ำเสียงของชายหนุ่มที่ขัดขึ้นมานั้นแฝงไปด้วยความแข็งกระด้างและเย็นชา โดยที่เขาไม่ได้หันมามองเธอเลยแม้แต่น้อย
“คุณวิทยา!” อรณิชากระชากเสียงอย่างนึกโมโหที่เขายียวนกวนประสาทเธอขนาดนี้
“ครับ” เมื่อได้ยินคำเรียกขานที่เขาพอใจ ชายหนุ่มจึงรับคำพร้อมทั้งหันมามองคนต้นเสียงที่ทำท่าเหมือนว่าเธอมีอะไรจะพูดกับเขา
“นั่นคุณกำลังจะไปไหน”
“ไปทำงาน... วันนี้ผมต้องเข้าเวรที่โรงพยาบาล” หมอหนุ่มตอบเสียงเรียบก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ที่เขาวางไว้ในตู้เสื้อผ้ามาใส่ในกระเป๋ากางเกง เมื่อเห็นหญิงสาวที่เขาพูดด้วยนิ่งไปเขาจึงเอ่ยเย้า
“อย่าบอกนะว่าคุณเสียใจที่ผมไม่อยู่ค้างคืนที่นี่ด้วยน่ะ” น้ำเสียงที่ดูแดกดันประกอบกับแววตาวิบวับของเขาทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ตามมาเธอจึงคิดได้ว่าเขาแค่ล้อเล่นให้เธอคิดลึกเท่านั้น หญิงสาวจึงหันไปแหวทันทีอย่างนึกโมโหปนเขินอาย
“บ้า!ฉันดีใจต่างหากล่ะ จะไปไหนก็รีบๆ ไปเลย ฉันง่วงแล้ว”
“พรุ่งนี้ผมจะมารับที่นี่แต่เช้า และตราบใดที่ผมยังไม่กลับมาคุณก็ห้ามออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอกห้องเด็ดขาด ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงผู้ใหญ่ของเราล่ะก็ ผมฆ่าคุณแน่... อรณิชา” วิทยาชี้มือทำเสียงเข้มขู่หญิงสาวให้ทำตามคำสั่งของเขา ก่อนจะเดินไปเปิดประตูแล้วก้าวออกไปโดยไม่หันกลับมามองคนในห้องอีกเลย
ชายหนุ่มตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะใกล้ชิดเธอให้น้อยที่สุด และจะไม่เอาตัวเข้าไปผูกพันกับเธอมากนัก เพราะไม่ว่ายังไงเขากับเธอก็ต้องแยกทางกันอยู่ดี และที่สำคัญเขามั่นใจว่าเขาคงจะรักใครไม่ได้อีกแล้วด้วย
“ชิ!บ้าอำนาจ เผด็จการ เย็นชา อีตาหมอผีดิบเอ้ย... ฉันไม่กลัวนายหรอกย่ะ” อรณิชาตะโกนด่าว่าชายหนุ่มที่เพิ่งเดินออกไปด้วยความกรุ่นโกรธที่เขามาทำตัววางอำนาจกับเธอ
เมื่อคิดได้ว่าดีเหมือนกันที่เขาออกไปข้างนอก เธอจะได้ไม่ต้องอึดอัดหรือเป็นกังวลเรื่องต่างๆ นาๆ ที่เธอกลัวในการอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายแปลกหน้า ดังนั้นหญิงสาวจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปล็อคประตูให้แน่นหนาเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาในห้องนี้ได้อีก หลังจากนั้นก็จัดการกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวของตัวเองเพื่ออาบน้ำและเข้านอน
วันนี้เธอรู้สึกเหนื่อยมากไม่คิดเลยว่าเจ้าสาวที่ใครหลายๆ คนอยากจะเป็นนั้น ต้องเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ ทั้งยืน ทั้งเดิน ไหนจะต้องฉีกยิ้มตลอดเวลาอีก เมื่อจัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้วก่อนจะล้มตัวลงนอน หญิงสาวหันไปเห็นม้วนกระดาษสีขาวผูกโบว์สีชมพูหวานที่เธอรับมาจากแฟนหนุ่มแล้วนำมาวางไว้บนหัวเตียงตอนเข้ามาในห้องนี้ มือบางหยิบม้วนกระดาษนั้นขึ้นมาแล้วแกะโบว์ออกเพื่อดูสิ่งที่อยู่ข้างใน
ภาพวาดของผู้หญิงที่งดงามในชุดเจ้าสาวแสนสวยปรากฏขึ้นมาตามรอยเปิดของกระดาษ ก่อนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อเธอกางออกจนเต็มแผ่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหญิงสาวในภาพนั้นเป็นใคร เพราะมันเหมือนเธอราวกับส่องกระจก ดวงตาหวานกวาดมองไปยังข้อความด้านล่างที่บ่งบอกความในใจของผู้วาดอย่างชัดเจน ‘อรจะเป็นเจ้าสาวของนนท์เสมอและตลอดไป’
“นนท์...” อรณิชาครางเรียกชื่อแฟนหนุ่มอย่างรู้สึกผิด เธอไม่น่าตอบตกลงจะคบหาดูใจกับเขาเลย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ไม่อย่างนั้นการวิวาห์ของเธอโดยคำสั่งของผู้เป็นพ่อคงไม่ทำให้เขาต้องเสียใจขนาดนี้ เธอผิดเองที่ไม่บอกความรู้สึกกับเขาไปตรงๆ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเธอ... หญิงสาวตะโกนด่าตัวเองในใจ น้ำตาที่เอ่อคลอเต็มหน่วงทั้งสองข้างค่อยๆ หลั่งไหลพรั่งพรูลงมาด้วยความสงสารเพื่อนที่ต้องเป็นทุกข์เพราะรักเธอ และสงสารตัวเองที่ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก
อรณิชามองกลีบกุหลาบสีสวยที่โรยเป็นรูปหัวใจบนเตียงกว้างด้วยสายตาชิงชัง สองมือน้อยๆ กอบรวบรวมกลีบดอกไม้ขึ้นมาแล้วนำไปทิ้งถังขยะจนหมด ก่อนจะเดินกลับมาแล้วซุกตัวลงไปใต้ผ้าห่มสีขาวผืนหนานุ่ม หญิงสาวนอนร้องไห้อยู่เพียงครู่ก็ผล็อยหลับไปทั้งน้ำตาที่ยังเจิ่งนองเต็มวงหน้าสวย
ภายในผับหรูใจกลางเมืองที่เนืองแน่นไปด้วยลูกค้าระดับวีไอพีที่ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจชาวต่างชาติหรือผู้บริหารระดับสูง รวมไปถึงไฮโซและคนมีชื่อเสียงในทุกสายงานอาชีพต่างก็มาหาความบันเทิงเริงใจหรือปลดปล่อยอารมณ์กันที่นี่
“นนท์... พอเถอะ นนท์เมามากแล้วนะ” กรรณิการ์ร้องห้ามชายหนุ่มตรงหน้าที่กำลังกระดกแก้วเหล้าในมือเข้าปากปานว่านั่นเป็นน้ำเปล่า เมื่อตอนหัวค่ำเธอวิ่งตามเขาออกมาจากงานแต่งของเพื่อนรักเพราะความเป็นห่วง กลัวเขาจะคิดมากจนทำร้ายตัวเองหรือได้รับอันตรายที่เกิดจากการใช้อารมณ์
“ไม่ต้องมายุ่ง!...” คนเมาตวาดลั่นจนหญิงสาวที่แสดงความเป็นห่วงสะดุ้งตกใจ ตั้งแต่เขาพาเธอมาที่นี่ นนท์ประวิธก็เอาแต่ดื่มเหล้าจนเมามายพูดจาไม่รู้เรื่อง เธอพูดด้วยก็ตวาดจนเธอนึกน้อยใจ
“ถ้านนท์เป็นแบบนี้ งั้นก้อยกลับแล้วนะ” หญิงสาวตะโกนไปที่ข้างหูของเขา หวังให้เสียงดังๆ ของเธอช่วยเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงของคนเมาให้กลับคืนมาบ้าง
“ไม่ได้!ก้อยต้องอยู่คุยกับนนท์ก่อน” เสียงอ้อแอ้ของคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ดังขึ้น พร้อมกับหันมามองหญิงสาวเพื่อนสนิทที่เขาพาเธอติดรถมาด้วย จริงๆ ก็เขาเองนั่นแหละที่ไปรับเธอมาจากคอนโดเพื่อไปงานแต่งงานของผู้หญิงที่เขารัก ตอนแรกเขาคิดว่าจะอยู่ร่วมงานเลี้ยงจนถึงเวลาที่เหมาะสมแต่เมื่อเขาเห็นภาพหญิงสาวคนรักอยู่ในชุดเจ้าสาวยืนเคียงคู่กับเจ้าบ่าวที่หล่อเหลาเพอร์เฟค ทั้งสองคนดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกจนเขาไม่อาจทนมองอยู่ได้จึงต้องหุนหันวิ่งแล่นออกมาด้วยความปวดร้าว
“จะคุยอะไรได้ล่ะ ก็นนท์เอาแต่ดื่มๆ อยู่แบบนี้น่ะ” กรรณิการ์บอกชายหนุ่มด้วยอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่น เขาพาเธอมานั่งดูเขาดื่มเหล้าโดยไม่สนใจเธอสักนิด พอเธอจะกลับก็ไม่ให้กลับ เขาจะเอายังไงกับเธอกันแน่
“ก้อย... ป่านนี้เขาจะเข้าหอกันหรือยัง... อรเขาจะคิดถึงนนท์บ้างหรือเปล่า” นนท์ประวิธที่มีอาการมึนเมาส่งเสียงอ้อแอ้ถามหญิงสาวตรงหน้าที่เขาให้เธอมานั่งเป็นเพื่อนอยู่นานแล้ว
“เฮ้อ... นนท์ ทำใจเถอะนะ อรเขาแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว” กรรณิการ์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะบอกชายหนุ่มให้ทำใจและยอมรับความเป็นจริง
“ไม่!นนท์ไม่ทำใจ ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น... นนท์ไม่ยอมรับ... อรต้องเป็นของนนท์ เป็นของนนท์คนเดียว... ก้อยได้ยินไหม อรเป็นของนนท์คนเดียว” คนเมายังคงโวยวายเอาความเจ็บปวดและความคิดของตัวเองเป็นใหญ่
“นนท์... ก้อยว่าเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ นนท์เมามากแล้วนะ” หญิงสาวร้องเตือนเขาอีกครั้ง เพราะยิ่งเขาเมามากเขาก็ยิ่งพร่ำเพ้อโวยวายจนรบกวนโต๊ะข้างๆ ให้เกิดความรำคาญไปด้วย เมื่อเห็นคนเมานิ่งงันเหมือนกำลังคิดตัดสินใจ เธอจึงคะยั้นคะยอเร่งเร้าเขาอีก
“นะ นนท์ กลับเถอะ” นนท์ประวิธมองหญิงสาวนิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบตกลงแล้วหงายตัวไปกับโซฟาหนานุ่มที่เขานั่งอยู่ เขาเอนกายหลับตานิ่งเหมือนกำลังรวบรวมสติที่เหลือเพียงน้อยนิดในเวลานี้ เพื่อพาตัวเองและเพื่อนสาวกลับบ้านอย่างปลอดภัย
กรรณิการ์รินน้ำเปล่าใส่แก้วแล้วส่งให้ชายหนุ่มดื่มเพื่อช่วยเจือจางแอลกอฮอล์ที่เขาดื่มเข้าไป จนเขามีสติกลับมาบ้างแต่ก็แค่พยุงตัวเองไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้นเท่านั้น หากจะขับรถเองคงไม่ปลอดภัยแน่ๆ หญิงสาวจึงจำเป็นต้องทิ้งรถของเขาเอาไว้ที่นี่ แล้วพาชายหนุ่มขึ้นรถแท็กซี่ไปที่คอนโดของเธอ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหากเธอไปส่งเขาที่บ้านซึ่งเขาอยู่เพียงลำพังกับพ่อและแม่บ้านที่อาวุโสมากแล้ว จะมานั่งดูแลชายหนุ่มตัวโตๆ ที่เมามายไม่ได้สติแบบนี้คงลำบากกันเปล่าๆ เธอจึงคิดจะดูแลให้ที่พักพิงกับเขาเอง
กรรณิการ์เปิดประตูห้องพักของตัวเองแล้วประคองนนท์ประวิธเข้ามานั่งที่โซฟาตัวยาวในมุมรับแขก ก่อนจะเดินไปหาผ้าและกะละมังใส่น้ำเพื่อมาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้เขา
“อรไม่รักนนท์แล้วใช่ไหม อร...” ชายหนุ่มพร่ำเพ้อออกมาขณะที่ผ้าชุบน้ำหมาดๆ กำลังซับลงบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาด้วยมืออ่อนนุ่มของหญิงสาวเพื่อนสนิท
“นนท์รักอรนะ รักมาก” เสียงรำพึงรำพันของคนเมายังดังอยู่ต่อเนื่อง คำว่ารักที่เขาสารภาพออกมาจากปากเพื่อบอกความในใจกับผู้หญิงที่เขารักนั้น ทำให้มือบางที่กำลังจับผ้าขนหนูผืนน้อยเพื่อจะซับไปตามลำคอของเขาต้องหยุดชะงักทันทีด้วยความรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในหัวใจดวงน้อย แม้จะรู้และบอกตัวเองมาตลอดว่าเขารักเพื่อนของเธอมากแค่ไหน แต่ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังอีกกี่ครั้งเธอก็ยังเจ็บปวดและไม่เคยชินสักที
“ก้อยรู้ว่านนท์เจ็บปวดแค่ไหนกับการได้เห็นคนที่ตัวเองรักอยู่เคียงข้างกับคนอื่น เพราะก้อยก็เจ็บปวดแบบนั้นมาตลอด” หญิงสาวกล้าพูดกับเขาเพราะรู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในอาการมึนเมาจนแทบไม่มีสติที่จะได้ยินได้ฟังหรือรับรู้เรื่องราวใดๆ ได้อีก
หญิงสาวเช็ดหน้าและลำตัวของเขาเท่าที่จะสามารถทำได้ จากนั้นก็จับให้เขานอนราบไปกับโซฟาตัวยาวในท่าที่เหมาะสมแม้จะไม่ค่อยสบายตัวมากนัก แต่ก็ยังดีกว่าลงไปนอนกับพื้น เธอหาผ้าห่มมาคลุมกายให้เขาแค่อกเพื่อไม่ให้อึดอัดมากจากนั้นก็ถอยออกมาแล้วยืนจ้องมองเขาอยู่เพียงครู่เมื่อเห็นว่าเขาสงบลงแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อจัดการกับตัวเองบ้าง โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มที่เธอคิดว่าเขาหลับไปแล้วเพราะความเมานั้น กลับลืมตาโพรงขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงประตูห้องนอนของเธอปิดลง ชายหนุ่มนึกทบทวนประโยคของเพื่อนสาวที่เพิ่งได้ยินก่อนหน้านี้แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก และยังไม่แน่ใจว่าคำพูดนั้นจะเกี่ยวข้องอย่างไรกับตัวเองหรือเปล่า ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยไม่อาจฝืนความอ่อนล้าของร่างกายได้
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
^_^
สนใจนิยายเล่มนี้ในรูปแบบ E-Book สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่
...หรือ...
หากสนใจสั่งซื้อในรูปแบบเล่ม สามารถติดต่อผู้แต่งได้โดยตรงทาง
E-mail : oilza24@hotmail.com
โทร/ไลน์ : 094-4942566
บรรยากาศงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสระหว่างเจ้าบ่าวนายแพทย์หนุ่มใหญ่ขวัญใจสาวๆ กับเจ้าสาวมัณฑนากรแสนสวย ได้รับเกียรติจากแขกผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงในวงการแพทย์ทั้งของพ่อตาและลูกเขย ตลอดจนญาติมิตรเพื่อนพ้องต่างยกขบวนมาร่วมแสดงความยินดีกันคับคั่ง
เจ้าบ่าวยืนอยู่ในชุดทักสิโด้สีขาวสะอาดตาเคียงข้างด้วยเจ้าสาวที่สวมชุดราตรียาวเกาะอกฟูฟ่องด้วยผ้าใยแก้วและประดับประดาด้วยลูกไม้รอบตัว หลังจากทั้งคู่ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจกันไปแล้วในตอนเช้ากับความเหมาะสมที่เปรียบเสมือนกิ่งทองใบหยกที่ใครๆ ต่างก็พูดถึง ตกเย็นทั้งคู่ก็ยังสร้างความประทับใจให้กับแขกที่มาในงานได้ไม่น้อย ด้วยความสง่าและงดงามของคู่บ่าวสาวที่ยืนต้อนรับแขกอยู่บริเวณซุ้มดอกไม้หน้าห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม
ทั้งสองยืนห่างกันประมาณหนึ่งช่วงแขน ประกอบกับต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า ทำให้คนเป็นแม่ของทั้งสองฝ่ายต้องออกมาเตือน
“วิท ยืนใกล้ๆ น้องหน่อยสิลูก” คุณนายกมลวรรณเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับบอกลูกชายเสียงเข้มแกมบังคับ
“เอ่อ... ครับคุณแม่” วิทยารับคำมารดาก่อนจะขยับเข้าไปใกล้หญิงสาว ซึ่งดูเหมือนเธอจะไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร เพราะเมื่อเขาขยับไปใกล้ เธอกลับยิ่งขยับห่างออกไปอีก ‘จะเล่นตัวอะไรนักหนาแม่คุณ... นึกว่าอยากจะเข้าใกล้นักหรือไง เหอะ!’ หมอหนุ่มบ่นในใจอย่างนึกฉุนกับท่าทางของคนเป็นเจ้าสาว
“หนูอรจับแขนพี่เขาไว้แบบนี้นะลูก จะได้ไม่ดูห่างเหินจนเกินไป” คุณนายมณีนุชเดินไปจับมือบางของบุตรสาวมาสอดไว้ที่แขนของคนเป็นเจ้าบ่าวพร้อมทั้งกำชับด้วยสายตาและคำพูด
“คุณแม่ขา...” อรณิชาทำท่าจะคัดค้านเพราะเธอไม่อยากทำอย่างที่มารดาต้องการเลยสักนิด
“นะ แม่ขอร้อง อีกไม่กี่ชั่วโมงนะลูก อดทนหน่อย” เมื่อรู้ว่าลูกสาวจะพูดอะไรคนเป็นแม่จึงรีบดักคอ เพราะยังไงตอนนี้ต้องรักษามารยาทของหน้าตาและชื่อเสียงทางสังคมเอาไว้ก่อน
เมื่อจัดการกับบุตรชายและบุตรสาวของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คนเป็นแม่ก็กลับเข้าไปในงานเพื่อต้อนรับพูดคุยกับแขกผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่ทยอยเดินทางมาจนเกือบจะเต็มห้องจัดเลี้ยงแล้ว
บ่าวสาวยืนกระฟัดกระเฟียดใส่กันอยู่เพียงครู่ ก่อนที่ฝ่ายเจ้าบ่าวจะเป็นคนสะบัดแขนเพื่อให้มือบางของคนเป็นเจ้าสาวหลุดออกไป และเมื่อเธอกำลังมองการกระทำของเขาด้วยความมึนงงอยู่นั้น เธอก็ได้รับความกระจ่างขึ้นเมื่อเห็นผู้หญิงสวยหวานคนหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามา
“น้องแพร...” น้ำเสียงหวานนุ่มของเจ้าบ่าวข้างกายทำให้เธอเข้าใจได้ทันทีว่าหญิงสาวที่เดินเข้ามานั้นต้องมีความสำคัญกับเขามากแน่ๆ
“ยินดีด้วยนะคะพี่วิท พอดีเมื่อเช้ายุ่งๆ แพรก็เลยยังไม่ได้อวยพร” แพรวายิ้มหวานให้พี่ชายแสนดีของเธอและเผื่อแผ่ไปถึงเจ้าสาวของเขาด้วย วันนี้เขาดูหล่อเหลากว่าทุกวัน ที่สำคัญเจ้าสาวของเขานั้นช่างสวยงดงามไม่มีที่ติเลยจริงๆ
“ขอบคุณครับ” หมอหนุ่มทำท่าจะเข้าไปจับมือของหญิงสาวตรงหน้า แต่สามีของเธอที่ยืนเคียงข้างนั้นรีบยื่นมือออกมาสัมผัสกับมือของเขาเสียก่อน
“ผมขอให้คุณมีความสุขนะครับหมอวิท เจ้าสาวของคุณสวยมาก” ธีรพัฒน์ที่อุ้มลูกชายตัวน้อยเอาไว้ในอกแกร่ง กล่าวอวยพรและชื่นชมจากใจ พลางบีบมือนั้นให้แน่นขึ้นเพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าอีกฝ่ายกำลังจะล้ำเส้น
“ครับ... ขอบคุณครับ” คนเป็นเจ้าบ่าวกล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือลงข้างตัวเหมือนคนสิ้นหวัง เมื่อกี้เขาลืมตัวเกือบเผลอไปจับมือหญิงสาวที่เป็นคนต้องห้ามสำหรับเขาไปแล้วต่อหน้าต่อตาสามีของเธอและเจ้าสาวของเขา
“นายกรกับน้องมลอยู่ข้างในใช่ไหมครับ” ธีรพัฒน์ถามขึ้นเมื่อต้องการไปจากตรงนี้ก่อนที่เขาจะหมดความอดทน
“ครับ อยู่ข้างใน เชิญครับ” วิทยาตอบพลางส่งยิ้มให้กับชายหนุ่มและหญิงสาวตรงหน้า นั่นเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจเป็นครั้งแรกตลอดงานแต่งงานของเขา และแน่นอนว่าคนเป็นเจ้าสาวก็เพิ่งได้เห็นด้วยเหมือนกัน เพราะตลอดเวลาเขาไม่เคยมองหญิงสาวข้างกายหรือแม้แต่จะยิ้มให้ใครแบบนี้เลยสักครั้ง ‘ฮึ หลงรักเมียชาวบ้านเขาล่ะสิท่า อีตาคุณหมอขี้เก๊กเอ้ย... ก็เพราะทั้งหยิ่งทั้งเย็นชาแบบนี้ไงล่ะ ผู้หญิงเขาถึงไม่ชอบ’ อรณิชาแอบเยาะเย้ยชายหนุ่มในใจ ก่อนจะหันไปเห็นคนเป็นแม่ที่ส่งสายตาดุๆ มาให้และชี้นิ้วมาที่มือของเธอ หญิงสาวจึงรีบคว้าหมับที่ลำแขนแกร่งของคนเป็นเจ้าบ่าวทันที
“ไม่ได้อยากจะจับนักหรอกนะ โน่น... คุณแม่ท่านยืนมองตาเขียวปัดอยู่นั่น” อรณิชาหันมาแหวเสียงเขียวเมื่อเจ้าของลำแขนที่เธอจับอยู่นั้นก้มลงมามองที่มือของเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรสักคำ จะจับก็จับไปสิ หน้าที่ของคุณไม่ใช่หน้าที่ผม” วิทยาตอบกลับอย่างนึกหมั่นไส้ที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนไม่เต็มใจจนชัดเจนขนาดนั้น
“เก็บอาการหน่อยก็ดีนะคุณ ทำตัวอย่างกับเด็กถูกขัดใจ” คนเป็นเจ้าบ่าวพูดขึ้นมาลอยๆ ส่งผลให้เจ้าสาวที่ถูกกล่าวหาว่าทำตัวเหมือนเด็กหันมามองตาขวางอย่างเอาเรื่อง
“ฉัน ไม่ ใช่ เด็ก” หญิงสาวย้ำทีละคำชัดๆ พร้อมกับจิกเล็บลงไปที่แขนของชายหนุ่มทันที จนอีกฝ่ายสะดุ้งน้อยๆ ด้วยรู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขน ก่อนที่ทั้งสองจะตั้งแง่กันมากกว่านี้แขกคนสำคัญของเจ้าสาวก็ปรากฎตัวขึ้น
“ก้อย นนท์ ทำไมมาช้าจัง” อรณิชาเรียกชื่อเพื่อนสาวที่เดินมาพร้อมกับแฟนหนุ่มของเธอด้วยน้ำเสียงตัดพ้อแกมน้อยใจเล็กๆ ที่ทั้งสองมาช้าจนเธอรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังกับชายหนุ่มที่ไม่รู้จัก มือบางของเธอรีบดึงออกมาจากลำแขนของคนเป็นเจ้าบ่าวทันที ก่อนจะยื่นไปจับมือของเพื่อนสาวที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า
“ก้อยรอนนท์น่ะจ้ะอร ว่าจะมาพร้อมกัน” กรรณิการ์ตอบเพื่อนรักพร้อมกับส่งยิ้มเผื่อแพร่ไปถึงเจ้าบ่าวของเพื่อนด้วยเช่นกัน
“ก้อยขอให้อรมีความสุขนะ วันนี้อรเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดและโชคดีที่สุดเลยรู้ตัวหรือเปล่า” คนเป็นเพื่อนกล่าวอวยพรและชื่นชมจากใจจริง
“ไม่เห็นจะโชคดีเลย...” คนเป็นเจ้าสาวพึมพำเบาๆ ก่อนจะหันไปหาแฟนหนุ่มที่เป็นเพื่อนรักของเธออีกคน
“นนท์...” อรณิชาเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ถึงตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกผิดที่ทำให้เขาเสียใจ
“นนท์ยังยืนยันคำเดิมนะ นนท์ไม่ขอให้อรมีความสุข แต่นนท์ขอให้อรไม่ลืมสัญญาและกลับมาหานนท์เร็วๆ ก็พอ” นนท์ประวิธสบตาหญิงสาวด้วยความรู้สึกปวดร้าว ตัดพ้อและน้อยใจ ชายหนุ่มยื่นม้วนกระดาษสีขาวที่ผูกโบว์สีชมพูสวยให้กับเธอ และหันไปจ้องหน้าคนเป็นเจ้าบ่าวด้วยดวงตาวาวโรจน์ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินกลับออกไปทันทีโดยไม่ฟังเสียงร้องเรียกของเพื่อนสาวอีกคนที่มากับเขา
“เดี๋ยวก่อน! นนท์... นนท์” กรรณิการ์ตะโกนเรียกเพื่อนชายที่เธอแอบรัก เมื่อเห็นเขาไม่หันกลับมาทำให้เธอลังเลระหว่างจะวิ่งตามเขาไป หรือเดินเข้าไปในงานเพื่อร่วมงานเลี้ยงดี
“ไปเถอะก้อย... อรฝากนนท์ด้วยนะ” อรณิชาบอกเพื่อนสาวเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังตัดสินใจเพราะไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี
“จ้ะๆ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ก้อยจะโทรมาหานะ ขอโทษด้วยนะคะคุณหมอ” กรรณิการ์ละล่ำละลักรับคำฝากจากเพื่อนรักและหันไปขอโทษคนเป็นเจ้าบ่าวซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มอบอุ่นกลับมา ก่อนที่เธอจะรีบวิ่งตามชายหนุ่มที่ออกไปก่อนหน้านี้ให้ทัน
“ฮึ ฮึ รักสามเศร้าเราสามคน หรือจะเข้าตำราเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อกันแน่น้า...” เสียงกระแหนะกระแหนของชายหนุ่มข้างกายทำให้อรณิชาแทบควันออกหู หญิงสาวหันควับมามองหน้าเขาทันทีเหมือนนางแมวจ้องตะครุบเหยื่อ
“นี่คุณ!ถ้าไม่พูดก็คงไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอกนะ” หญิงสาวกระแทกเสียงใส่ด้วยความโมโหที่ชายหนุ่มแอบฟังและวิจารณ์ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเพื่อนๆ
“ผมก็แค่อยากแสดงทัศนคติเท่านั้น” คนพูดยังคงลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิด แต่กลับดูน่าหมั่นไส้ในสายตาของคนมอง
“มันเรื่องของฉัน” อรณิชาสะบัดหน้าพรืดหันไปทางอื่นด้วยไม่อยากเห็นหน้าคนกวนประสาทที่ทำให้เธอยิ่งหงุดหงิดจนเกินจะทนยืนตรงนี้ได้อีก
“อย่าลืมหน้าที่สิคุณ” วิทยาปรายตามองคนข้างๆ ก่อนจะเอ่ยเตือนเมื่อเห็นเธอยืนนิ่งไม่ยอมจับแขนเขาเหมือนเดิม และด้วยคำบอกนั้นทำให้เขาได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอของเธอพร้อมกับมือบางจับหมับที่ลำแขนแกร่งทันทีแบบกระแทกกระทั้น
วิทยาหวนคิดไปถึงคำพูดของชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาเจ้าสาวของเขาด้วยท่วงท่าที่กรุ่นโกรธและมองเขาด้วยแววตาดุดัน ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนั้นกับเจ้าสาวของเขาจะต้องมีความสัมพันธ์กันมากกว่าเพื่อนอย่างแน่นอน ‘ฮึ ในเมื่อมีแฟนอยู่แล้วจะมาแต่งงานกับเขาทำไมกัน’ ชายหนุ่มคิดด้วยความสงสัย พลันหัวใจดวงแกร่งกลับรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อคิดว่าเธอที่เป็นเจ้าสาวของเขานั้นมีคนรักอยู่ก่อนแล้ว
ทั้งสองยืนอยู่อีกไม่นานผู้มีหน้าที่จัดพิธีการก็เดินมาเรียกคู่บ่าวสาวให้เข้าไปเตรียมตัวที่จะขึ้นเวทีเพื่อกล่าวขอบคุณแขก พร้อมทั้งกิจกรรมอื่นๆ ต่อไป
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการต่างๆ บนเวทีแล้ว สองบ่าวสาวก็ลงมาพบปะพูดคุยกับแขกภายในงานเพียงครู่ก็ถึงเวลาเข้าหอตามฤกษ์ที่เหมาะสม โดยทั้งสองฝ่ายต่างลงความเห็นว่าให้ใช้ห้องสวีตบนโรงแรมแห่งนี้เป็นเรือนหอชั่วคราวเพื่อส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวในค่ำคืนแรกของการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเข้ามาส่งตัวบุตรชายและบุตรสาวของตนและกล่าวคำอวยพรพร้อมทั้งแนะนำความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตคู่ รวมไปถึงการฝากฝังให้ดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันด้วย จากนั้นทั้งหมดก็ออกไปเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน ปล่อยให้คู่บ่าวสาวได้มีเวลาส่วนตัวตามลำพัง
“คุณแต่งงานกับผมเพราะอะไร” จู่ๆ คนเป็นเจ้าบ่าวก็พูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่เข้าปกคลุมภายในห้องนานเกือบสิบนาทีหลังจากพวกผู้ใหญ่กลับออกไปแล้ว เขาอยากรู้ว่าเธอแต่งงานกับเขาเพราะตั้งใจหรือถูกบังคับมากันแน่ แม่เจ้าประคุณถึงทำหน้าทำตาอย่างกับถูกส่งเข้าโรงเชือด
“ฉันไม่มีทางเลือก” คนเป็นเจ้าสาวตอบน้ำเสียงราบเรียบ เมื่อเห็นเขาลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดยืนที่ประตูกระจกหลังห้อง เธอจึงลุกขึ้นตามแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงมุมข้างเตียง
“ไม่มีได้ยังไง ก็ไอ้หน้าหล่อที่มายืนทำท่าเจ็บปวดอยู่ตรงหน้าคุณเมื่อตอนหัวค่ำนั่นไง” วิทยาหันมามองหน้าเธอแวบเดียว ก่อนจะหันกลับไปมองทิวทัศน์ด้านนอกต่อไป
“ถ้าฉันเลือกเขาแล้วคุณพ่อท่านยอมรับ ฉันก็คงไม่ต้องมาแต่งงานกับคุณหรอกค่ะ” อรณิชาพูดฉะฉานยืดหลังตรงเพื่อบ่งบอกว่าเธอก็มีศักดิ์ศรี และไม่ได้เป็นฝ่ายร้องขอจะแต่งงานกับเขา
“แสดงว่าพ่อคุณไม่ชอบไอ้หมอนั่น ก็เลยยัดเยียดคุณให้แต่งงานกับผมเพื่อตัดปัญหางั้นสิ” คนที่ยืนชมวิวอยู่หลังห้องหันหน้ามาเผชิญกับหญิงสาวที่เขาพูดด้วย
“เรื่องนั้นฉันไม่ทราบ แต่สาเหตุที่ทำให้ฉันตัดสินใจยอมแต่งงานกับคุณ ก็เพราะคำสัญญาที่คุณพ่อท่านให้ไว้กับคุณแม่ของคุณ ฉันไม่อยากให้ท่านเป็นคนไม่รักษาคำพูด”
“งั้นเราก็มีเหตุผลเดียวกัน” หมอหนุ่มบอกเสียงเรียบ พลางถอดเสื้อสูทออกจากตัวแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหาข้าวของของตัวเองที่ให้คนเอาขึ้นมาไว้ให้
“อะไรคะ” อรณิชาย้อนถามอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายหนุ่มบอก ขณะนั่งมองการกระทำของเขาที่หยิบนั่นหยิบนี่ออกมาจากตู้เสื้อผ้าซึ่งเธออดสงสัยไม่ได้ว่าเขานำไปยัดไว้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
“ก็เราแต่งงานกันเพราะคำสัญญาของผู้ใหญ่ที่ตกลงกันไว้... โดยที่เราสองคนไม่ได้เต็มใจยังไงล่ะ” วิทยาหอบเสื้อผ้าข้าวของที่จำเป็นต้องใช้ออกมาถือไว้ เมื่อพูดประโยคสุดท้ายจบเขาก็เดินหายวับเข้าไปในห้องน้ำฝั่งตรงข้ามกับตู้เสื้อผ้าทันที ‘ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ชอบใจที่เธอแต่งงานกับเขาเพราะถูกบังคับนะ แต่ถ้าเธอตอบว่าแต่งงานกับเขาด้วยความเต็มใจล่ะ เขาจะรู้สึกดีกว่านี้หรือเปล่า’ หมอหนุ่มคิดสับสนในใจก่อนจะหันไปทำธุระส่วนตัวของตัวเองต่อ
อรณิชานั่งตัวแข็งทื่อเมื่อชายหนุ่มเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ และไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝักบัว นั่นแสดงว่าเขาคงกำลังอาบน้ำอยู่ แค่คิดหัวใจดวงน้อยก็สั่นระรัวขึ้นมาดื้อๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอนั่งอยู่ในห้องที่มีชายหนุ่มกำลังอาบน้ำ เมื่อคิดว่าเขาจะต้องออกมาในสภาพล่อแหลมเหมือนพระเอกในละครทีวีที่เธอเคยดูแน่ๆ แค่คิดใบหน้าหวานก็ร้อนผ่าวขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นลูบแก้มเนียนใสของตัวเองเพื่อช่วยบรรเทาความรู้สึกแปลกๆ ที่ตีตื้นเข้ามาอย่างประหลาด
ผ่านไปเพียงครู่ประตูห้องน้ำก็เปิดออก ทำให้คนที่นั่งหน้าแดงอยู่รีบหันไปทางอื่นเพื่อหลบซ่อนความเขินอายของตัวเองพลางคิดว่าชายหนุ่มที่ออกมานั้นจะต้องมีเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำที่เปิดเผยแผงอกรำไรหรือไม่ก็มีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวปกปิดร่างกายส่วนล่างเอาไว้เท่านั้น แต่แล้วจินตนาการทุกอย่างที่เธอคิดไว้ก็ดับวูบไปทันทีเมื่อชำเลืองเห็นชายหนุ่มส่วมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงแสลคเนื้อดีก้าวออกมาด้วยท่วงท่าที่มั่นคง ก่อนจะมาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก สายตาคมเหลือบมองหญิงสาวที่ตอนนี้เธอนั่งจ้องมองเขาเหมือนมีคำถาม ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมือหนายังคงจัดแต่งทรงผมให้เข้าที่เรียบร้อยและดูดีเหมาะสมกับการออกไปทำงานเหมือนเช่นทุกวัน
“คุณหมอ...” อรณิชาเรียกชายหนุ่มเพื่ออยากจะถามความสงสัยของตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยคำถามออกไปเสียงของเขาก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ต้องให้เกียรติผมขนาดนั้นก็ได้ เราแต่งงานกันแล้วนี่” หมอหนุ่มพูดขณะที่สายตายังคงจับจ้องตัวเองในกระจก
“เอ่อ... พะ... พี่วิท...” หญิงสาวส่งเสียงตะกุกตะกักพยายามเปลี่ยนสรรพนามของเขาตามที่แม่ของเธอบอกไว้ว่าให้เรียกชายหนุ่มตรงหน้าว่าพี่... แต่เมื่อเจอคำพูดต่อไปของเขาที่แทรกขึ้นมาทำให้เธอถึงกับเลือดขึ้นหน้าทันที
“เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” น้ำเสียงของชายหนุ่มที่ขัดขึ้นมานั้นแฝงไปด้วยความแข็งกระด้างและเย็นชา โดยที่เขาไม่ได้หันมามองเธอเลยแม้แต่น้อย
“คุณวิทยา!” อรณิชากระชากเสียงอย่างนึกโมโหที่เขายียวนกวนประสาทเธอขนาดนี้
“ครับ” เมื่อได้ยินคำเรียกขานที่เขาพอใจ ชายหนุ่มจึงรับคำพร้อมทั้งหันมามองคนต้นเสียงที่ทำท่าเหมือนว่าเธอมีอะไรจะพูดกับเขา
“นั่นคุณกำลังจะไปไหน”
“ไปทำงาน... วันนี้ผมต้องเข้าเวรที่โรงพยาบาล” หมอหนุ่มตอบเสียงเรียบก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ที่เขาวางไว้ในตู้เสื้อผ้ามาใส่ในกระเป๋ากางเกง เมื่อเห็นหญิงสาวที่เขาพูดด้วยนิ่งไปเขาจึงเอ่ยเย้า
“อย่าบอกนะว่าคุณเสียใจที่ผมไม่อยู่ค้างคืนที่นี่ด้วยน่ะ” น้ำเสียงที่ดูแดกดันประกอบกับแววตาวิบวับของเขาทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ตามมาเธอจึงคิดได้ว่าเขาแค่ล้อเล่นให้เธอคิดลึกเท่านั้น หญิงสาวจึงหันไปแหวทันทีอย่างนึกโมโหปนเขินอาย
“บ้า!ฉันดีใจต่างหากล่ะ จะไปไหนก็รีบๆ ไปเลย ฉันง่วงแล้ว”
“พรุ่งนี้ผมจะมารับที่นี่แต่เช้า และตราบใดที่ผมยังไม่กลับมาคุณก็ห้ามออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอกห้องเด็ดขาด ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงผู้ใหญ่ของเราล่ะก็ ผมฆ่าคุณแน่... อรณิชา” วิทยาชี้มือทำเสียงเข้มขู่หญิงสาวให้ทำตามคำสั่งของเขา ก่อนจะเดินไปเปิดประตูแล้วก้าวออกไปโดยไม่หันกลับมามองคนในห้องอีกเลย
ชายหนุ่มตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะใกล้ชิดเธอให้น้อยที่สุด และจะไม่เอาตัวเข้าไปผูกพันกับเธอมากนัก เพราะไม่ว่ายังไงเขากับเธอก็ต้องแยกทางกันอยู่ดี และที่สำคัญเขามั่นใจว่าเขาคงจะรักใครไม่ได้อีกแล้วด้วย
“ชิ!บ้าอำนาจ เผด็จการ เย็นชา อีตาหมอผีดิบเอ้ย... ฉันไม่กลัวนายหรอกย่ะ” อรณิชาตะโกนด่าว่าชายหนุ่มที่เพิ่งเดินออกไปด้วยความกรุ่นโกรธที่เขามาทำตัววางอำนาจกับเธอ
เมื่อคิดได้ว่าดีเหมือนกันที่เขาออกไปข้างนอก เธอจะได้ไม่ต้องอึดอัดหรือเป็นกังวลเรื่องต่างๆ นาๆ ที่เธอกลัวในการอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายแปลกหน้า ดังนั้นหญิงสาวจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปล็อคประตูให้แน่นหนาเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาในห้องนี้ได้อีก หลังจากนั้นก็จัดการกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวของตัวเองเพื่ออาบน้ำและเข้านอน
วันนี้เธอรู้สึกเหนื่อยมากไม่คิดเลยว่าเจ้าสาวที่ใครหลายๆ คนอยากจะเป็นนั้น ต้องเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ ทั้งยืน ทั้งเดิน ไหนจะต้องฉีกยิ้มตลอดเวลาอีก เมื่อจัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้วก่อนจะล้มตัวลงนอน หญิงสาวหันไปเห็นม้วนกระดาษสีขาวผูกโบว์สีชมพูหวานที่เธอรับมาจากแฟนหนุ่มแล้วนำมาวางไว้บนหัวเตียงตอนเข้ามาในห้องนี้ มือบางหยิบม้วนกระดาษนั้นขึ้นมาแล้วแกะโบว์ออกเพื่อดูสิ่งที่อยู่ข้างใน
ภาพวาดของผู้หญิงที่งดงามในชุดเจ้าสาวแสนสวยปรากฏขึ้นมาตามรอยเปิดของกระดาษ ก่อนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อเธอกางออกจนเต็มแผ่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหญิงสาวในภาพนั้นเป็นใคร เพราะมันเหมือนเธอราวกับส่องกระจก ดวงตาหวานกวาดมองไปยังข้อความด้านล่างที่บ่งบอกความในใจของผู้วาดอย่างชัดเจน ‘อรจะเป็นเจ้าสาวของนนท์เสมอและตลอดไป’
“นนท์...” อรณิชาครางเรียกชื่อแฟนหนุ่มอย่างรู้สึกผิด เธอไม่น่าตอบตกลงจะคบหาดูใจกับเขาเลย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ไม่อย่างนั้นการวิวาห์ของเธอโดยคำสั่งของผู้เป็นพ่อคงไม่ทำให้เขาต้องเสียใจขนาดนี้ เธอผิดเองที่ไม่บอกความรู้สึกกับเขาไปตรงๆ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเธอ... หญิงสาวตะโกนด่าตัวเองในใจ น้ำตาที่เอ่อคลอเต็มหน่วงทั้งสองข้างค่อยๆ หลั่งไหลพรั่งพรูลงมาด้วยความสงสารเพื่อนที่ต้องเป็นทุกข์เพราะรักเธอ และสงสารตัวเองที่ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก
อรณิชามองกลีบกุหลาบสีสวยที่โรยเป็นรูปหัวใจบนเตียงกว้างด้วยสายตาชิงชัง สองมือน้อยๆ กอบรวบรวมกลีบดอกไม้ขึ้นมาแล้วนำไปทิ้งถังขยะจนหมด ก่อนจะเดินกลับมาแล้วซุกตัวลงไปใต้ผ้าห่มสีขาวผืนหนานุ่ม หญิงสาวนอนร้องไห้อยู่เพียงครู่ก็ผล็อยหลับไปทั้งน้ำตาที่ยังเจิ่งนองเต็มวงหน้าสวย
ภายในผับหรูใจกลางเมืองที่เนืองแน่นไปด้วยลูกค้าระดับวีไอพีที่ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจชาวต่างชาติหรือผู้บริหารระดับสูง รวมไปถึงไฮโซและคนมีชื่อเสียงในทุกสายงานอาชีพต่างก็มาหาความบันเทิงเริงใจหรือปลดปล่อยอารมณ์กันที่นี่
“นนท์... พอเถอะ นนท์เมามากแล้วนะ” กรรณิการ์ร้องห้ามชายหนุ่มตรงหน้าที่กำลังกระดกแก้วเหล้าในมือเข้าปากปานว่านั่นเป็นน้ำเปล่า เมื่อตอนหัวค่ำเธอวิ่งตามเขาออกมาจากงานแต่งของเพื่อนรักเพราะความเป็นห่วง กลัวเขาจะคิดมากจนทำร้ายตัวเองหรือได้รับอันตรายที่เกิดจากการใช้อารมณ์
“ไม่ต้องมายุ่ง!...” คนเมาตวาดลั่นจนหญิงสาวที่แสดงความเป็นห่วงสะดุ้งตกใจ ตั้งแต่เขาพาเธอมาที่นี่ นนท์ประวิธก็เอาแต่ดื่มเหล้าจนเมามายพูดจาไม่รู้เรื่อง เธอพูดด้วยก็ตวาดจนเธอนึกน้อยใจ
“ถ้านนท์เป็นแบบนี้ งั้นก้อยกลับแล้วนะ” หญิงสาวตะโกนไปที่ข้างหูของเขา หวังให้เสียงดังๆ ของเธอช่วยเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงของคนเมาให้กลับคืนมาบ้าง
“ไม่ได้!ก้อยต้องอยู่คุยกับนนท์ก่อน” เสียงอ้อแอ้ของคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ดังขึ้น พร้อมกับหันมามองหญิงสาวเพื่อนสนิทที่เขาพาเธอติดรถมาด้วย จริงๆ ก็เขาเองนั่นแหละที่ไปรับเธอมาจากคอนโดเพื่อไปงานแต่งงานของผู้หญิงที่เขารัก ตอนแรกเขาคิดว่าจะอยู่ร่วมงานเลี้ยงจนถึงเวลาที่เหมาะสมแต่เมื่อเขาเห็นภาพหญิงสาวคนรักอยู่ในชุดเจ้าสาวยืนเคียงคู่กับเจ้าบ่าวที่หล่อเหลาเพอร์เฟค ทั้งสองคนดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกจนเขาไม่อาจทนมองอยู่ได้จึงต้องหุนหันวิ่งแล่นออกมาด้วยความปวดร้าว
“จะคุยอะไรได้ล่ะ ก็นนท์เอาแต่ดื่มๆ อยู่แบบนี้น่ะ” กรรณิการ์บอกชายหนุ่มด้วยอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่น เขาพาเธอมานั่งดูเขาดื่มเหล้าโดยไม่สนใจเธอสักนิด พอเธอจะกลับก็ไม่ให้กลับ เขาจะเอายังไงกับเธอกันแน่
“ก้อย... ป่านนี้เขาจะเข้าหอกันหรือยัง... อรเขาจะคิดถึงนนท์บ้างหรือเปล่า” นนท์ประวิธที่มีอาการมึนเมาส่งเสียงอ้อแอ้ถามหญิงสาวตรงหน้าที่เขาให้เธอมานั่งเป็นเพื่อนอยู่นานแล้ว
“เฮ้อ... นนท์ ทำใจเถอะนะ อรเขาแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว” กรรณิการ์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะบอกชายหนุ่มให้ทำใจและยอมรับความเป็นจริง
“ไม่!นนท์ไม่ทำใจ ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น... นนท์ไม่ยอมรับ... อรต้องเป็นของนนท์ เป็นของนนท์คนเดียว... ก้อยได้ยินไหม อรเป็นของนนท์คนเดียว” คนเมายังคงโวยวายเอาความเจ็บปวดและความคิดของตัวเองเป็นใหญ่
“นนท์... ก้อยว่าเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ นนท์เมามากแล้วนะ” หญิงสาวร้องเตือนเขาอีกครั้ง เพราะยิ่งเขาเมามากเขาก็ยิ่งพร่ำเพ้อโวยวายจนรบกวนโต๊ะข้างๆ ให้เกิดความรำคาญไปด้วย เมื่อเห็นคนเมานิ่งงันเหมือนกำลังคิดตัดสินใจ เธอจึงคะยั้นคะยอเร่งเร้าเขาอีก
“นะ นนท์ กลับเถอะ” นนท์ประวิธมองหญิงสาวนิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบตกลงแล้วหงายตัวไปกับโซฟาหนานุ่มที่เขานั่งอยู่ เขาเอนกายหลับตานิ่งเหมือนกำลังรวบรวมสติที่เหลือเพียงน้อยนิดในเวลานี้ เพื่อพาตัวเองและเพื่อนสาวกลับบ้านอย่างปลอดภัย
กรรณิการ์รินน้ำเปล่าใส่แก้วแล้วส่งให้ชายหนุ่มดื่มเพื่อช่วยเจือจางแอลกอฮอล์ที่เขาดื่มเข้าไป จนเขามีสติกลับมาบ้างแต่ก็แค่พยุงตัวเองไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้นเท่านั้น หากจะขับรถเองคงไม่ปลอดภัยแน่ๆ หญิงสาวจึงจำเป็นต้องทิ้งรถของเขาเอาไว้ที่นี่ แล้วพาชายหนุ่มขึ้นรถแท็กซี่ไปที่คอนโดของเธอ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหากเธอไปส่งเขาที่บ้านซึ่งเขาอยู่เพียงลำพังกับพ่อและแม่บ้านที่อาวุโสมากแล้ว จะมานั่งดูแลชายหนุ่มตัวโตๆ ที่เมามายไม่ได้สติแบบนี้คงลำบากกันเปล่าๆ เธอจึงคิดจะดูแลให้ที่พักพิงกับเขาเอง
กรรณิการ์เปิดประตูห้องพักของตัวเองแล้วประคองนนท์ประวิธเข้ามานั่งที่โซฟาตัวยาวในมุมรับแขก ก่อนจะเดินไปหาผ้าและกะละมังใส่น้ำเพื่อมาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้เขา
“อรไม่รักนนท์แล้วใช่ไหม อร...” ชายหนุ่มพร่ำเพ้อออกมาขณะที่ผ้าชุบน้ำหมาดๆ กำลังซับลงบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาด้วยมืออ่อนนุ่มของหญิงสาวเพื่อนสนิท
“นนท์รักอรนะ รักมาก” เสียงรำพึงรำพันของคนเมายังดังอยู่ต่อเนื่อง คำว่ารักที่เขาสารภาพออกมาจากปากเพื่อบอกความในใจกับผู้หญิงที่เขารักนั้น ทำให้มือบางที่กำลังจับผ้าขนหนูผืนน้อยเพื่อจะซับไปตามลำคอของเขาต้องหยุดชะงักทันทีด้วยความรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในหัวใจดวงน้อย แม้จะรู้และบอกตัวเองมาตลอดว่าเขารักเพื่อนของเธอมากแค่ไหน แต่ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังอีกกี่ครั้งเธอก็ยังเจ็บปวดและไม่เคยชินสักที
“ก้อยรู้ว่านนท์เจ็บปวดแค่ไหนกับการได้เห็นคนที่ตัวเองรักอยู่เคียงข้างกับคนอื่น เพราะก้อยก็เจ็บปวดแบบนั้นมาตลอด” หญิงสาวกล้าพูดกับเขาเพราะรู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในอาการมึนเมาจนแทบไม่มีสติที่จะได้ยินได้ฟังหรือรับรู้เรื่องราวใดๆ ได้อีก
หญิงสาวเช็ดหน้าและลำตัวของเขาเท่าที่จะสามารถทำได้ จากนั้นก็จับให้เขานอนราบไปกับโซฟาตัวยาวในท่าที่เหมาะสมแม้จะไม่ค่อยสบายตัวมากนัก แต่ก็ยังดีกว่าลงไปนอนกับพื้น เธอหาผ้าห่มมาคลุมกายให้เขาแค่อกเพื่อไม่ให้อึดอัดมากจากนั้นก็ถอยออกมาแล้วยืนจ้องมองเขาอยู่เพียงครู่เมื่อเห็นว่าเขาสงบลงแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อจัดการกับตัวเองบ้าง โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มที่เธอคิดว่าเขาหลับไปแล้วเพราะความเมานั้น กลับลืมตาโพรงขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงประตูห้องนอนของเธอปิดลง ชายหนุ่มนึกทบทวนประโยคของเพื่อนสาวที่เพิ่งได้ยินก่อนหน้านี้แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก และยังไม่แน่ใจว่าคำพูดนั้นจะเกี่ยวข้องอย่างไรกับตัวเองหรือเปล่า ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยไม่อาจฝืนความอ่อนล้าของร่างกายได้
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
^_^
สนใจนิยายเล่มนี้ในรูปแบบ E-Book สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่
...หรือ...
หากสนใจสั่งซื้อในรูปแบบเล่ม สามารถติดต่อผู้แต่งได้โดยตรงทาง
E-mail : oilza24@hotmail.com
โทร/ไลน์ : 094-4942566
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ