ลิขิตรักคำสั่งวิวาห์ NC+ (หวานๆ กุ๊กกิ๊กน่ารัก)
9.0
เขียนโดย สุภาวดี
วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.22 น.
15 ตอน
3 วิจารณ์
26.08K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 19.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) ตอนที่ 3 วิวาห์ไร้รัก 50%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ3
วิวาห์ไร้รัก
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน หลังจากวิทยาได้ตอบตกลงจะแต่งงานกับหญิงสาวที่มารดาเลือกให้ ในวันนั้นเขาลืมถามไปเสียสนิทว่ากำหนดการแต่งงานคือวันไหน และแม้แต่เจ้าสาวของเขาชื่ออะไร เขาก็ไม่ได้สนใจจะถามเลยด้วยซ้ำ
ตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาสนใจแต่งานประจำของโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ และถ้าหากมีเวลาว่างเขาก็มักจะเข้าไปขอตรวจดูความเรียบร้อยของโรงพยาบาลเปิดใหม่ที่ตอนนี้เขาเป็นหุ้นส่วนอยู่ครึ่งหนึ่งซึ่งได้รับมาจากมารดา แม้จะได้พบเจอและพูดคุยกับว่าที่พ่อตาบ่อยครั้ง แต่เขาก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดหรือถามถึงบุตรสาวของท่านด้วยส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสำหรับเขา การที่เขายอมแต่งงานด้วยก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
วันนี้เป็นวันแต่งงานของเขาซึ่งเขาคิดว่ามันเร็วเกินไปหรือเปล่า แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีไม่ว่าจะเร็วหรือช้าเขาก็ต้องแต่งอยู่ดี เพราะไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ยังรู้สึกเช่นเดิมก็คือ แค่ทำหน้าที่ของตัวเองตามข้อตกลงให้ผ่านๆ ไปเท่านั้น
“วิท... มาแล้วหรือลูก แม่คิดว่าลูกจะเบี้ยวซะแล้ว ดูสิ เมื่อคืนแทนที่จะนอนบ้าน” คุณนายกมลวรรณที่อยู่ในชุดผ้าไหมสีสวย ร้องเรียกบุตรชายด้วยความดีใจเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในบ้าน พลางต่อว่าเล็กๆ เมื่อคนเป็นลูกทำอะไรไม่ถูกใจ
“ผมทำงานดึกไปหน่อยก็เลยนอนที่คอนโดน่ะครับ” วิทยาบอกมารดาเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อเหลาบ่งบอกถึงความอ่อนล้าเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นกับการแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในเช้านี้หรอกนะ แต่เพราะเขาเร่งมือทำงานต่างๆ เพื่อเคลียร์ตัวเองให้มีเวลาว่างพอที่จะไปดูแลงานโรงพยาบาลที่เปิดใหม่ของเขาได้
“ไปๆ รีบอาบน้ำแต่งตัวเลยนะลูก แม่เตรียมชุดไว้ให้แล้ว” คนเป็นแม่รีบคะยั้นคะยอดันตัวบุตรชายให้ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว เพราะใกล้ถึงเวลาที่จะต้องออกเดินทางไปบ้านเจ้าสาวแล้ว ซึ่งฝ่ายนายแพทย์สินชัยจะเป็นเจ้าภาพจัดงานพิธีในตอนเช้าที่บ้านเรือนไทยของเขา
“ครับคุณแม่” ชายหนุ่มรับคำก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้องเพื่อจัดการกับตัวเองตามที่มารดาได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ แม้แต่ชุดที่เขาจะต้องใส่ เขาเองก็ไม่ได้เป็นคนเลือก เขามีส่วนร่วมในการเตรียมงานของตัวเองเพียงแค่ตอนที่ช่างมาวัดสัดส่วนของเขาไปเท่านั้น ที่เหลือทั้งหมดเป็นหน้าที่ของมารดาทั้งสิ้น
สถานที่ประกอบพิธีมงคลสมรสในตอนเช้านั้น นายแพทย์สินชัยและคุณนายมณีนุชยินดีเปิดบ้านเรือนไทยไม้สักทองที่เลื่องลือถึงความงดงามและคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างหาที่ติไม่ได้ สำหรับประกอบพิธีแบบไทยๆ ซึ่งภายในบริเวณบ้านถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามอบอวลไปด้วยเสน่ห์และกลิ่นอายของความเป็นไทยอย่างเต็มเปี่ยม นอกจากนี้ยังรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มคลึ้มสบายตา ต้อนรับแขกเหรื่อคนสำคัญและญาติผู้ใหญ่ที่มาร่วมเป็นสักขีพยานกันอย่างเนืองแน่น
อรณิชาอยู่ในชุดเจ้าสาวแบบไทยดุสิตเปิดไหล่สีเหลืองทองอร่ามขับกับผิวขาวนวลเนียนทำให้เธอดูสง่าและงดงามราวกับเทพธิดาในวรรณคดีไทย ผมที่ยาวสลวยถูกเกล้าไว้เป็นทรงเรียบร้อยปักด้วยปิ่นรูปดอกไม้สีทองรับกับใบหน้าสวยให้ยิ่งหวานล้ำมากยิ่งขึ้น
“อร... หนูไม่เป็นไรใช่ไหมลูก” คุณนายมณีนุชเอ่ยถาม พลางลูบที่ไหล่บอบบางของบุตรสาวเบาๆ อย่างปลอบโยน
“คุณแม่...” อรณิชาเรียกมารดาเสียงแผ่วหันมองสบตาท่านด้วยแววตาเศร้าหมอง
“อร ไม่เป็นไรค่ะ แค่รู้สึกว่ามันเร็วเกินไปเท่านั้นเอง”
“หืม... ตื่นเต้นหรือเปล่าลูก ดูสิ มือเย็นเฉียบเชียว” คนเป็นแม่จับมือลูกสาวมากุมไว้เพื่อให้ไออุ่น
“คุณแม่ขา... อรเปลี่ยนใจได้ไหมคะ” ใบหน้าสวยที่ดูหม่นหมองประกอบกับน้ำเสียงสั่นเครือของบุตรสาวทำให้คนเป็นแม่รู้สึกสงสารจับใจ
“หนูอร... โถ่... ไม่ได้แล้วลูก มาถึงขนาดนี้แล้ว” แม้รู้ว่าต้องฝืนใจแต่นางเองก็ไม่รู้จะช่วยบุตรสาวยังไงดี ในเมื่อทั้งหมดเป็นคำสั่งของผู้เป็นสามีที่ชี้ขาดลิขิตรักให้กับบุตรสาวในครั้งนี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้สองแม่ลูกรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแม้จะต้องกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงไปก้อนใหญ่ก็ตาม
“สวัสดีค่ะคุณแม่” กรรณิการ์ยกมือไหว้มารดาของเพื่อนรักอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองคน
“สวัสดีลูก... หนูก้อย แม่ฝากหนูอรหน่อยนะ แล้วแม่จะให้เด็กมาเรียกเมื่อถึงเวลา” คุณนายมณีนุชรับไหว้เด็กสาวที่เป็นเพื่อนสนิทของบุตรสาว พร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่นไปให้เหมือนเคย
“ค่ะคุณแม่ ไม่ต้องห่วงค่ะ ก้อยจะดูแลอรให้เอง” คนมาใหม่ยิ้มกว้างตอบรับคำฝากฝังด้วยความยินดี
“ขอบใจมากจ้ะ” คุณนายมณีนุชยิ้มตอบอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปบอกบุตรสาว
“แม่ไปก่อนนะลูก” มืออวบอิ่มของคนเป็นแม่บีบเบาๆ ที่ข้อมือเล็กของลูกสาวเพื่อให้กำลังใจ และเมื่อได้รับรอยยิ้มน้อยๆ กลับมา นางจึงเดินออกไปจากห้องเพื่อไปเตรียมการต้อนรับแขกสำคัญที่กำลังเดินทางมา
“อร... วันนี้อรเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดเท่าที่ก้อยเคยเห็นมาเลยนะ สวยอย่างกับนางฟ้านางสวรรค์แน่ะ” กรรณิการ์กระโดดเข้าคว้ามือบางของเพื่อนสาวมาจับไว้ด้วยความชื่นชมจากหัวใจ วันนี้เพื่อนของเธอสวยมาก สวยจนเธออยากจะหยิบดินสอขึ้นมาขีดเขียนภาพของหญิงสาวตรงหน้าที่งดงามราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ ซึ่งจัดว่าเป็นศิลปะชิ้นเอกที่เลิศล้ำจนหาที่ติไม่ได้
“ก้อย... อรไม่อยากแต่งเลย” อรณิชาบอกเพื่อนรักตามความเป็นจริงจากก้นบึ้งของหัวใจกับความรู้สึกที่มี
“เฮ้อ... ก้อยเข้าใจอรนะ แต่ในเมื่อเราตัดสินใจแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป อรทำเพื่อคุณพ่อไม่ใช่หรือจ้ะ” คนเป็นเพื่อนพยายามปลุกปลอบเจ้าสาวด้วยความเห็นใจ เธอเองก็ตกใจไม่น้อยในวันที่รู้ว่าเพื่อนรักจะแต่งงานแบบสายฟ้าแลบขนาดนี้ แถมเจ้าบ่าวยังเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักหรือคบหากันมาก่อนอีกด้วย นั่นเท่ากับว่า เพื่อนของเธอโดนจับคลุมถุงชนเหมือนที่ผู้ใหญ่สมัยโบราณเขาทำกัน แม้เธอจะไม่เห็นด้วยกับความคิดแบบนี้ แต่อีกใจก็คิดว่านายแพทย์สินชัยพ่อของอรณิชานั้นรักลูกสาวคนนี้ขนาดไหน การที่ท่านเลือกคู่ครองให้นั่นแสดงว่าผู้ชายคนนั้นจะต้องเป็นคนดีและเป็นคนที่ท่านไว้ใจอย่างแน่นอน
“ใช่... อรทำเพื่อคุณพ่อ... อรจะพยายามอดทนไว้” คนเป็นเจ้าสาวหันมาบอกเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอย่างตัดสินใจ ทั้งหมดที่เธอทำไปหลังจากนี้ก็เพื่อคุณพ่อคุณแม่ของเธอเท่านั้น และเมื่อหมดสัญญาสองปีที่ตั้งเงื่อนไขเอาไว้ เธอก็จะเป็นอิสระอย่างที่ใจต้องการ
“ก้อยเป็นกำลังใจให้อรเสมอนะ” กรรณิการ์ยิ้มหวานให้เพื่อนรักเพื่อยืนยันคำพูดที่ออกมาจากหัวใจ
“ขอบใจนะก้อย ก้อยเป็นเพื่อนที่อรรักมากที่สุด แล้วก็... เอ่อ... นนท์ด้วย” อรณิชาบอกเพื่อนสาวก่อนที่น้ำเสียงจะเศร้าลงเมื่อเอ่ยถึงแฟนหนุ่ม
“ก้อยว่าวันนี้นนท์จะมาหรือเปล่า” คนเป็นเจ้าสาวถามออกไปด้วยความกังวลและเป็นห่วงในความรู้สึกของแฟนหนุ่มไม่น้อย วันที่เธอบอกกับเขาว่าเธอต้องแต่งงานกับคนที่บิดาเลือกให้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปนานจนเธอใจหาย และเธอก็อธิบายถึงข้อผูกมัดต่างๆ นาๆ ให้อีกฝ่ายได้ฟัง จนได้รับคำตอบจากเขาว่า ‘นนท์จะรอ รอจนกว่าอรได้เป็นอิสระแล้วเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป’
“เอ่อ... ก่อนเข้ามาหาอร ก้อยลองโทรไปถามแล้ว นนท์เขาบอกว่าเช้านี้ไม่ว่างน่ะจ้ะ แต่จะไปร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น” กรรณิการ์อึกอักตอบเพื่อนรักออกไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก ด้วยรู้ดีว่าสถานการณ์ของคนทั้งสองนั้นเป็นอย่างไร แม้เธอจะไม่อาจปฏิเสธได้ว่าลึกๆ แล้วเธอก็ดีใจไม่น้อยที่เพื่อนสาวแต่งงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่ชายหนุ่มที่เธอแอบหลงรักมานาน แต่เธอก็รู้ดีว่าเขาไม่เคยมองเธอในความรู้สึกอื่นที่นอกเหนือไปกว่าคำว่าเพื่อนเลยสักนิด
“ก้อย... นนท์เป็นยังไงบ้าง”
“ก็... เอ่อ... ก็ดีขึ้นนะ ตอนโทรไปน้ำเสียงก็ดูปกติดี อาจจะทำใจได้บ้างแล้วมั้ง” หารู้ไม่ว่าฝ่ายนั้นร้องไห้ฟูมฟายจนแทบคลั่ง ตอนที่เธอโทรไปเขายังเมามายจนพูดไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะไม่อยากให้คนเป็นเจ้าสาวต้องกังวลและรู้สึกผิดเธอจึงจำเป็นต้องโกหกไป
เสียงโห่ร้องของขบวนขันหมากที่ดังกึกก้องมาแต่ไกล ทำให้สองสาวหันมามองหน้ากันทันทีด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน คนเป็นเจ้าสาวนิ่งงันและเศร้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนคนเป็นเพื่อนนั้นมีอาการตื่นเต้นจนแทบปิดไม่มิดเพราะเธอเองก็อยากเห็นหน้าตาของเจ้าบ่าวตัวจริงสักที จากที่เคยถามใครต่อใครก็บอกว่าหมอหนุ่มนั้นทั้งหล่อเหลาขาวตี๋ อบอุ่นแสนดี และนุ่มนวลตามแบบฉบับคุณชายในวัง แถมยังเจ้าเสน่ห์ไม่เป็นรองใครทั้งบรรดาคนไข้สาวน้อยสาวใหญ่จนไปถึงแพทย์หญิงและพยาบาลต่างก็หลงใหลได้ปลื้มกันนักหนา
“อร มาสิ... ไม่แอบดูหน้าเจ้าบ่าวหน่อยเหรอ ใกล้จะถึงเรือนแล้วนะ” กรรณิการ์ละล่ำละลักเรียกเพื่อนด้วยความตื่นเต้นเหมือนเธอเป็นเจ้าสาวเสียเอง พลางชะเง้อชะแง้อยู่ที่หน้าต่างเพื่อแอบมองขบวนขันหมากที่กำลังใกล้เข้ามา
“ไม่น่ะ อรไม่อยากเห็น ไม่อยากจะมองเลยด้วยซ้ำ” คนเป็นเจ้าสาวหันหลังเดินไปนั่งบนเตียงกว้างอย่างเศร้าใจ
“ว๊าว!นี่น่ะเหรอ นายแพทย์วิทยา เดชาวัฒนสกุล หล่อเหลาสมคำร่ำลือจริงๆ ด้วย” คนแอบดูเจ้าบ่าวของเพื่อนรัก อุทานออกมาอย่างสมใจ ก่อนจะหันไปชักชวนเจ้าสาวให้มาดูด้วยกันอีกครั้ง
“อรมาดูสิ” คนเป็นเพื่อนไม่วายคะยั้นคะยอพร้อมกับกวักมือเรียก
“ไม่ง่ะ เดี๋ยวตอนออกไปก็ได้เห็นอยู่ดี” แม้คำบรรยายของเพื่อนสาวจะกระตุกหัวใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เธอรู้สึกยินดีอะไรมากนัก ตอนแรกที่ตอบตกลงกับบิดาไปนั้น เธอภาวนาขอแค่เจ้าบ่าวที่เธอจะแต่งงานด้วยไม่พิการหรือหน้าตาบูดเบี้ยวจนดูไม่ได้ก็พอ ไม่ได้หวังให้เขาเลิศเลอเพอร์เฟคอย่างที่เพื่อนรักของเธอบอกตอนนี้เลยสักนิด
ขบวนขันหมากที่ยาวจนสุดสายตาด้วยข้าวของอันเป็นมงคลตามแบบฉบับต้นตำรับของไทย ที่คัดสรรมาอย่างดี ค่อยๆ ถูกลำเลียงขึ้นมาบนเรือนจนแน่นขนัด ท่ามกลางความปลื้มปิติยินดีของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย
คุณนายกมลวรรณและคุณหญิงเพ็ญพักตร์เดินนำหน้าขบวนขันหมากมาพร้อมกับเจ้าบ่าว ที่วันนี้ดูหล่อเหลาสง่างามสมกับเป็นชายไทยที่สมบูรณ์แบบที่สุดด้วยชุดเสื้อพระราชทานผ้าไหมสีเหลืองทองสวมกับโจงกระเบนลายไทยสีทองเข้มที่ทำให้เขายิ่งดูหล่อเนี๊ยบเหมือนดั่งคุณชายในวังหลวง ประกอบกับใบหน้าคมคายนั้นขาวหมดจดสะอาดตาเปรียบดั่งเทพบุตรก็ไม่ปาน ตลอดทางที่ชายหนุ่มเดินเข้ามามีเสียงอื้ออึงจากแขกที่มาร่วมแสดงความยินดีกล่าวชื่นชมในตัวเจ้าบ่าวดังแว่วมาเป็นระยะไม่ขาดช่วงเลยทีเดียว
เมื่อผ่านด่านประตูเงินประตูทองตามประเพณีขึ้นมาบนเรือนในบริเวณรับรองเรียบร้อยแล้ว ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างทำความเคารพซึ่งกันและกันพร้อมด้วยรอยยิ้มแห่งความปลื้มปิติยินดี ก่อนที่เจ้าภาพจะเชิญฝ่ายเจ้าบ่าวให้นั่งลงยังเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้
“หมอวิท...” ทินกรสะกิดที่แขนเจ้าบ่าวเบาๆ เพื่อเรียกสติ เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งงันไปนานไม่ยอมเดินเข้าไปนั่งยังที่ของตนที่ผู้ใหญ่นั่งรออยู่ เขาสังเกตว่าเจ้าบ่าวที่มีศักดิ์เป็นพี่เขยของเขาคนนี้ ดูเหม่อลอยและมีใบหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด แม้เจ้าตัวจะพยายามยิ้มออกมาก็ตาม
“ครับ... เอ่อ... ขอบคุณครับ” วิทยาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคิดว่าตัวเองมัวแต่มองบรรยากาศรอบตัวจนลืมหน้าที่ พร้อมกับหันไปขอบคุณคนเป็นน้องเขยที่ช่วยเตือนสติ ก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงแล้วคลานเข่าเข้าไปนั่งกับพื้นตรงหน้าผู้ใหญ่ ตามหลังมาด้วยพิชามลน้องสาวที่คุกเข่าตามเข้ามาพร้อมกับสามีและลูกสาวตัวน้อย ถัดไปเป็นแพรวากับธีรพัฒน์ที่อุ้มลูกชายตัวจ้ำม่ำตามเข้ามานั่งด้วยเป็นคนสุดท้าย
“ให้ใครไปตามเจ้าสาวออกมาได้แล้วจ้ะ” คุณนายมณีนุชหันไปบอกสาวใช้ในบ้านที่นั่งรอรับคำสั่งอยู่ใกล้ๆ
ทันทีที่ได้ยินคำเอ่ยขานของผู้เป็นแม่ฝ่ายหญิง หัวใจดวงแกร่งของวิทยาที่สงบนิ่งมานานกลับเต้นโครมครามขึ้นมาอย่างประหลาด ท่ามกลางความแปลกใจของตัวเองยิ่งนัก ทำไมเขาต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วยนะ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกอะไรเลย
รอเพียงไม่นานเสียงฮือฮาเซ็งแซ่ไปด้วยความตื่นตาตื่นใจและชื่นชมยินดีก็ดังขึ้น พร้อมทั้งเสียงชัตเตอร์ที่ถี่รัวจนแทบไม่ต้องนับ ทำให้ชายหนุ่มอดที่จะหันไปมองทางต้นเหตุของเสียงนั้นไม่ได้ และทันทีที่เขาพบเธอ หัวใจดวงแกร่งถึงกับกระตุกวาบด้วยความตกตะลึง เขายอมรับว่าหญิงสาวร่างบางระหงที่กำลังเยื้องย่างเข้ามาหาเขาด้วยท่วงท่าที่สง่างามและนุ่มนวลนั้น ‘สวย’ เป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในความรู้สึกของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ตอนที่ตอบตกลงไปนั้นเขาคิดว่าผู้หญิงที่จะแต่งงานด้วยคงจะขี้เหร่จนไม่มีใครเอาแล้วแน่ๆ หรือเรียกง่ายๆ ว่า หาสามีไม่ได้แล้วนั่นเอง บิดาของเธอถึงคิดจะคลุมถุงชน แต่เมื่อได้มาเจอตัวจริงแล้ว เขายอมรับว่าเธอไม่มีส่วนใดจะเป็นอย่างที่เขาคิดเลยแม้แต่น้อย
อรณิชาคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าของคนเป็นเจ้าบ่าว ก่อนจะหันไปยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่เคารพทุกคน จนมาถึงเจ้าบ่าวที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคู่คมของเขา เธอยอมรับทันทีว่าเขาเป็นเหมือนอย่างที่ได้ยินได้ฟังจากเพื่อนรักของเธอมาทุกประการ เพียงแค่มองหัวใจดวงน้อยก็สั่นไหวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน แม้แต่นนท์ประวิธแฟนหนุ่มของเธอ
“หนูอร ไหว้พี่เขาสิลูก” คนเป็นแม่เอ่ยเตือนบุตรสาวเมื่อเห็นเธอนั่งก้มหน้านิ่งๆ ไม่ยอมมองหน้าเจ้าบ่าว
คำบอกของมารดาทำให้อรณิชาจำต้องเงยหน้าขึ้นก่อนจะยกมือไหว้เจ้าบ่าวของเธออย่างอ่อนหวาน ฝ่ายเจ้าบ่าวที่เตรียมตั้งรับอยู่ก่อนแล้วก็ยกมือขึ้นรับไหว้เจ้าสาวอย่างนุ่มนวลเช่นเดียวกัน ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าขาวเนียนของหญิงสาวนิ่งราวต้องมนต์สะกด เมื่อได้เห็นเธอใกล้ๆ ความสวยและงดงามของเธอทำให้หัวใจดวงแกร่งที่คิดว่าจะไม่มีวันหวั่นไหวให้กับผู้หญิงคนไหนอีกกลับสั่นคลอนขึ้นมาอย่างประหลาด
ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลานั้นเขาเกือบจะหลุดยิ้มออกไปตามความรู้สึก แต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่าจุดประสงค์ที่หญิงสาวแต่งงานกับเขานั้นยังคลุมเครือ เธอตั้งใจเจาะจงอยากแต่งงานกับเขาหรือเพราะถูกบังคับฝืนใจเหมือนกับเขากันแน่ ทำให้ชายหนุ่มซ่อนรอยยิ้มนั้นไว้จนมิดเหลือเพียงความเย็นชาเฉยเมยที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าเท่านั้น
‘ฮึ หยิ่งชะมัด นึกว่าฉันอยากจะไหว้นักเหรอ หน้าตาก็ดีแต่มารยาทไม่ได้เรื่อง’ อรณิชาคิดในใจก่อนจะลดมือลงเมื่อชายหนุ่มรับไหว้เธอแล้ว
หลังจากนั้นพิธีการสำคัญก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้นและผ่านไปด้วยดีแล้ว แขกที่มาร่วมเป็นสักขีพยานต่างก็ทยอยแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงฉลองในตอนเย็นที่ฝ่ายเจ้าบ่าวจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ณ โรงแรมหรูระดับห้าดาวใจกลางเมือง
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
^_^
สนใจนิยายเล่มนี้ในรูปแบบ E-Book สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่
...หรือ...
หากสนใจสั่งซื้อในรูปแบบเล่ม สามารถติดต่อผู้แต่งได้โดยตรงทาง
E-mail : oilza24@hotmail.com
โทร/ไลน์ : 094-4942566
และอีกช่องทางการติดต่อง่ายๆ ด้วย QR โค้ด
วิวาห์ไร้รัก
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน หลังจากวิทยาได้ตอบตกลงจะแต่งงานกับหญิงสาวที่มารดาเลือกให้ ในวันนั้นเขาลืมถามไปเสียสนิทว่ากำหนดการแต่งงานคือวันไหน และแม้แต่เจ้าสาวของเขาชื่ออะไร เขาก็ไม่ได้สนใจจะถามเลยด้วยซ้ำ
ตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาสนใจแต่งานประจำของโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ และถ้าหากมีเวลาว่างเขาก็มักจะเข้าไปขอตรวจดูความเรียบร้อยของโรงพยาบาลเปิดใหม่ที่ตอนนี้เขาเป็นหุ้นส่วนอยู่ครึ่งหนึ่งซึ่งได้รับมาจากมารดา แม้จะได้พบเจอและพูดคุยกับว่าที่พ่อตาบ่อยครั้ง แต่เขาก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดหรือถามถึงบุตรสาวของท่านด้วยส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสำหรับเขา การที่เขายอมแต่งงานด้วยก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
วันนี้เป็นวันแต่งงานของเขาซึ่งเขาคิดว่ามันเร็วเกินไปหรือเปล่า แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีไม่ว่าจะเร็วหรือช้าเขาก็ต้องแต่งอยู่ดี เพราะไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ยังรู้สึกเช่นเดิมก็คือ แค่ทำหน้าที่ของตัวเองตามข้อตกลงให้ผ่านๆ ไปเท่านั้น
“วิท... มาแล้วหรือลูก แม่คิดว่าลูกจะเบี้ยวซะแล้ว ดูสิ เมื่อคืนแทนที่จะนอนบ้าน” คุณนายกมลวรรณที่อยู่ในชุดผ้าไหมสีสวย ร้องเรียกบุตรชายด้วยความดีใจเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในบ้าน พลางต่อว่าเล็กๆ เมื่อคนเป็นลูกทำอะไรไม่ถูกใจ
“ผมทำงานดึกไปหน่อยก็เลยนอนที่คอนโดน่ะครับ” วิทยาบอกมารดาเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อเหลาบ่งบอกถึงความอ่อนล้าเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นกับการแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในเช้านี้หรอกนะ แต่เพราะเขาเร่งมือทำงานต่างๆ เพื่อเคลียร์ตัวเองให้มีเวลาว่างพอที่จะไปดูแลงานโรงพยาบาลที่เปิดใหม่ของเขาได้
“ไปๆ รีบอาบน้ำแต่งตัวเลยนะลูก แม่เตรียมชุดไว้ให้แล้ว” คนเป็นแม่รีบคะยั้นคะยอดันตัวบุตรชายให้ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว เพราะใกล้ถึงเวลาที่จะต้องออกเดินทางไปบ้านเจ้าสาวแล้ว ซึ่งฝ่ายนายแพทย์สินชัยจะเป็นเจ้าภาพจัดงานพิธีในตอนเช้าที่บ้านเรือนไทยของเขา
“ครับคุณแม่” ชายหนุ่มรับคำก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้องเพื่อจัดการกับตัวเองตามที่มารดาได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ แม้แต่ชุดที่เขาจะต้องใส่ เขาเองก็ไม่ได้เป็นคนเลือก เขามีส่วนร่วมในการเตรียมงานของตัวเองเพียงแค่ตอนที่ช่างมาวัดสัดส่วนของเขาไปเท่านั้น ที่เหลือทั้งหมดเป็นหน้าที่ของมารดาทั้งสิ้น
สถานที่ประกอบพิธีมงคลสมรสในตอนเช้านั้น นายแพทย์สินชัยและคุณนายมณีนุชยินดีเปิดบ้านเรือนไทยไม้สักทองที่เลื่องลือถึงความงดงามและคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างหาที่ติไม่ได้ สำหรับประกอบพิธีแบบไทยๆ ซึ่งภายในบริเวณบ้านถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามอบอวลไปด้วยเสน่ห์และกลิ่นอายของความเป็นไทยอย่างเต็มเปี่ยม นอกจากนี้ยังรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มคลึ้มสบายตา ต้อนรับแขกเหรื่อคนสำคัญและญาติผู้ใหญ่ที่มาร่วมเป็นสักขีพยานกันอย่างเนืองแน่น
อรณิชาอยู่ในชุดเจ้าสาวแบบไทยดุสิตเปิดไหล่สีเหลืองทองอร่ามขับกับผิวขาวนวลเนียนทำให้เธอดูสง่าและงดงามราวกับเทพธิดาในวรรณคดีไทย ผมที่ยาวสลวยถูกเกล้าไว้เป็นทรงเรียบร้อยปักด้วยปิ่นรูปดอกไม้สีทองรับกับใบหน้าสวยให้ยิ่งหวานล้ำมากยิ่งขึ้น
“อร... หนูไม่เป็นไรใช่ไหมลูก” คุณนายมณีนุชเอ่ยถาม พลางลูบที่ไหล่บอบบางของบุตรสาวเบาๆ อย่างปลอบโยน
“คุณแม่...” อรณิชาเรียกมารดาเสียงแผ่วหันมองสบตาท่านด้วยแววตาเศร้าหมอง
“อร ไม่เป็นไรค่ะ แค่รู้สึกว่ามันเร็วเกินไปเท่านั้นเอง”
“หืม... ตื่นเต้นหรือเปล่าลูก ดูสิ มือเย็นเฉียบเชียว” คนเป็นแม่จับมือลูกสาวมากุมไว้เพื่อให้ไออุ่น
“คุณแม่ขา... อรเปลี่ยนใจได้ไหมคะ” ใบหน้าสวยที่ดูหม่นหมองประกอบกับน้ำเสียงสั่นเครือของบุตรสาวทำให้คนเป็นแม่รู้สึกสงสารจับใจ
“หนูอร... โถ่... ไม่ได้แล้วลูก มาถึงขนาดนี้แล้ว” แม้รู้ว่าต้องฝืนใจแต่นางเองก็ไม่รู้จะช่วยบุตรสาวยังไงดี ในเมื่อทั้งหมดเป็นคำสั่งของผู้เป็นสามีที่ชี้ขาดลิขิตรักให้กับบุตรสาวในครั้งนี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้สองแม่ลูกรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแม้จะต้องกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงไปก้อนใหญ่ก็ตาม
“สวัสดีค่ะคุณแม่” กรรณิการ์ยกมือไหว้มารดาของเพื่อนรักอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองคน
“สวัสดีลูก... หนูก้อย แม่ฝากหนูอรหน่อยนะ แล้วแม่จะให้เด็กมาเรียกเมื่อถึงเวลา” คุณนายมณีนุชรับไหว้เด็กสาวที่เป็นเพื่อนสนิทของบุตรสาว พร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่นไปให้เหมือนเคย
“ค่ะคุณแม่ ไม่ต้องห่วงค่ะ ก้อยจะดูแลอรให้เอง” คนมาใหม่ยิ้มกว้างตอบรับคำฝากฝังด้วยความยินดี
“ขอบใจมากจ้ะ” คุณนายมณีนุชยิ้มตอบอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปบอกบุตรสาว
“แม่ไปก่อนนะลูก” มืออวบอิ่มของคนเป็นแม่บีบเบาๆ ที่ข้อมือเล็กของลูกสาวเพื่อให้กำลังใจ และเมื่อได้รับรอยยิ้มน้อยๆ กลับมา นางจึงเดินออกไปจากห้องเพื่อไปเตรียมการต้อนรับแขกสำคัญที่กำลังเดินทางมา
“อร... วันนี้อรเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดเท่าที่ก้อยเคยเห็นมาเลยนะ สวยอย่างกับนางฟ้านางสวรรค์แน่ะ” กรรณิการ์กระโดดเข้าคว้ามือบางของเพื่อนสาวมาจับไว้ด้วยความชื่นชมจากหัวใจ วันนี้เพื่อนของเธอสวยมาก สวยจนเธออยากจะหยิบดินสอขึ้นมาขีดเขียนภาพของหญิงสาวตรงหน้าที่งดงามราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ ซึ่งจัดว่าเป็นศิลปะชิ้นเอกที่เลิศล้ำจนหาที่ติไม่ได้
“ก้อย... อรไม่อยากแต่งเลย” อรณิชาบอกเพื่อนรักตามความเป็นจริงจากก้นบึ้งของหัวใจกับความรู้สึกที่มี
“เฮ้อ... ก้อยเข้าใจอรนะ แต่ในเมื่อเราตัดสินใจแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป อรทำเพื่อคุณพ่อไม่ใช่หรือจ้ะ” คนเป็นเพื่อนพยายามปลุกปลอบเจ้าสาวด้วยความเห็นใจ เธอเองก็ตกใจไม่น้อยในวันที่รู้ว่าเพื่อนรักจะแต่งงานแบบสายฟ้าแลบขนาดนี้ แถมเจ้าบ่าวยังเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักหรือคบหากันมาก่อนอีกด้วย นั่นเท่ากับว่า เพื่อนของเธอโดนจับคลุมถุงชนเหมือนที่ผู้ใหญ่สมัยโบราณเขาทำกัน แม้เธอจะไม่เห็นด้วยกับความคิดแบบนี้ แต่อีกใจก็คิดว่านายแพทย์สินชัยพ่อของอรณิชานั้นรักลูกสาวคนนี้ขนาดไหน การที่ท่านเลือกคู่ครองให้นั่นแสดงว่าผู้ชายคนนั้นจะต้องเป็นคนดีและเป็นคนที่ท่านไว้ใจอย่างแน่นอน
“ใช่... อรทำเพื่อคุณพ่อ... อรจะพยายามอดทนไว้” คนเป็นเจ้าสาวหันมาบอกเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอย่างตัดสินใจ ทั้งหมดที่เธอทำไปหลังจากนี้ก็เพื่อคุณพ่อคุณแม่ของเธอเท่านั้น และเมื่อหมดสัญญาสองปีที่ตั้งเงื่อนไขเอาไว้ เธอก็จะเป็นอิสระอย่างที่ใจต้องการ
“ก้อยเป็นกำลังใจให้อรเสมอนะ” กรรณิการ์ยิ้มหวานให้เพื่อนรักเพื่อยืนยันคำพูดที่ออกมาจากหัวใจ
“ขอบใจนะก้อย ก้อยเป็นเพื่อนที่อรรักมากที่สุด แล้วก็... เอ่อ... นนท์ด้วย” อรณิชาบอกเพื่อนสาวก่อนที่น้ำเสียงจะเศร้าลงเมื่อเอ่ยถึงแฟนหนุ่ม
“ก้อยว่าวันนี้นนท์จะมาหรือเปล่า” คนเป็นเจ้าสาวถามออกไปด้วยความกังวลและเป็นห่วงในความรู้สึกของแฟนหนุ่มไม่น้อย วันที่เธอบอกกับเขาว่าเธอต้องแต่งงานกับคนที่บิดาเลือกให้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปนานจนเธอใจหาย และเธอก็อธิบายถึงข้อผูกมัดต่างๆ นาๆ ให้อีกฝ่ายได้ฟัง จนได้รับคำตอบจากเขาว่า ‘นนท์จะรอ รอจนกว่าอรได้เป็นอิสระแล้วเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป’
“เอ่อ... ก่อนเข้ามาหาอร ก้อยลองโทรไปถามแล้ว นนท์เขาบอกว่าเช้านี้ไม่ว่างน่ะจ้ะ แต่จะไปร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น” กรรณิการ์อึกอักตอบเพื่อนรักออกไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก ด้วยรู้ดีว่าสถานการณ์ของคนทั้งสองนั้นเป็นอย่างไร แม้เธอจะไม่อาจปฏิเสธได้ว่าลึกๆ แล้วเธอก็ดีใจไม่น้อยที่เพื่อนสาวแต่งงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่ชายหนุ่มที่เธอแอบหลงรักมานาน แต่เธอก็รู้ดีว่าเขาไม่เคยมองเธอในความรู้สึกอื่นที่นอกเหนือไปกว่าคำว่าเพื่อนเลยสักนิด
“ก้อย... นนท์เป็นยังไงบ้าง”
“ก็... เอ่อ... ก็ดีขึ้นนะ ตอนโทรไปน้ำเสียงก็ดูปกติดี อาจจะทำใจได้บ้างแล้วมั้ง” หารู้ไม่ว่าฝ่ายนั้นร้องไห้ฟูมฟายจนแทบคลั่ง ตอนที่เธอโทรไปเขายังเมามายจนพูดไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะไม่อยากให้คนเป็นเจ้าสาวต้องกังวลและรู้สึกผิดเธอจึงจำเป็นต้องโกหกไป
เสียงโห่ร้องของขบวนขันหมากที่ดังกึกก้องมาแต่ไกล ทำให้สองสาวหันมามองหน้ากันทันทีด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน คนเป็นเจ้าสาวนิ่งงันและเศร้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนคนเป็นเพื่อนนั้นมีอาการตื่นเต้นจนแทบปิดไม่มิดเพราะเธอเองก็อยากเห็นหน้าตาของเจ้าบ่าวตัวจริงสักที จากที่เคยถามใครต่อใครก็บอกว่าหมอหนุ่มนั้นทั้งหล่อเหลาขาวตี๋ อบอุ่นแสนดี และนุ่มนวลตามแบบฉบับคุณชายในวัง แถมยังเจ้าเสน่ห์ไม่เป็นรองใครทั้งบรรดาคนไข้สาวน้อยสาวใหญ่จนไปถึงแพทย์หญิงและพยาบาลต่างก็หลงใหลได้ปลื้มกันนักหนา
“อร มาสิ... ไม่แอบดูหน้าเจ้าบ่าวหน่อยเหรอ ใกล้จะถึงเรือนแล้วนะ” กรรณิการ์ละล่ำละลักเรียกเพื่อนด้วยความตื่นเต้นเหมือนเธอเป็นเจ้าสาวเสียเอง พลางชะเง้อชะแง้อยู่ที่หน้าต่างเพื่อแอบมองขบวนขันหมากที่กำลังใกล้เข้ามา
“ไม่น่ะ อรไม่อยากเห็น ไม่อยากจะมองเลยด้วยซ้ำ” คนเป็นเจ้าสาวหันหลังเดินไปนั่งบนเตียงกว้างอย่างเศร้าใจ
“ว๊าว!นี่น่ะเหรอ นายแพทย์วิทยา เดชาวัฒนสกุล หล่อเหลาสมคำร่ำลือจริงๆ ด้วย” คนแอบดูเจ้าบ่าวของเพื่อนรัก อุทานออกมาอย่างสมใจ ก่อนจะหันไปชักชวนเจ้าสาวให้มาดูด้วยกันอีกครั้ง
“อรมาดูสิ” คนเป็นเพื่อนไม่วายคะยั้นคะยอพร้อมกับกวักมือเรียก
“ไม่ง่ะ เดี๋ยวตอนออกไปก็ได้เห็นอยู่ดี” แม้คำบรรยายของเพื่อนสาวจะกระตุกหัวใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เธอรู้สึกยินดีอะไรมากนัก ตอนแรกที่ตอบตกลงกับบิดาไปนั้น เธอภาวนาขอแค่เจ้าบ่าวที่เธอจะแต่งงานด้วยไม่พิการหรือหน้าตาบูดเบี้ยวจนดูไม่ได้ก็พอ ไม่ได้หวังให้เขาเลิศเลอเพอร์เฟคอย่างที่เพื่อนรักของเธอบอกตอนนี้เลยสักนิด
ขบวนขันหมากที่ยาวจนสุดสายตาด้วยข้าวของอันเป็นมงคลตามแบบฉบับต้นตำรับของไทย ที่คัดสรรมาอย่างดี ค่อยๆ ถูกลำเลียงขึ้นมาบนเรือนจนแน่นขนัด ท่ามกลางความปลื้มปิติยินดีของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย
คุณนายกมลวรรณและคุณหญิงเพ็ญพักตร์เดินนำหน้าขบวนขันหมากมาพร้อมกับเจ้าบ่าว ที่วันนี้ดูหล่อเหลาสง่างามสมกับเป็นชายไทยที่สมบูรณ์แบบที่สุดด้วยชุดเสื้อพระราชทานผ้าไหมสีเหลืองทองสวมกับโจงกระเบนลายไทยสีทองเข้มที่ทำให้เขายิ่งดูหล่อเนี๊ยบเหมือนดั่งคุณชายในวังหลวง ประกอบกับใบหน้าคมคายนั้นขาวหมดจดสะอาดตาเปรียบดั่งเทพบุตรก็ไม่ปาน ตลอดทางที่ชายหนุ่มเดินเข้ามามีเสียงอื้ออึงจากแขกที่มาร่วมแสดงความยินดีกล่าวชื่นชมในตัวเจ้าบ่าวดังแว่วมาเป็นระยะไม่ขาดช่วงเลยทีเดียว
เมื่อผ่านด่านประตูเงินประตูทองตามประเพณีขึ้นมาบนเรือนในบริเวณรับรองเรียบร้อยแล้ว ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างทำความเคารพซึ่งกันและกันพร้อมด้วยรอยยิ้มแห่งความปลื้มปิติยินดี ก่อนที่เจ้าภาพจะเชิญฝ่ายเจ้าบ่าวให้นั่งลงยังเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้
“หมอวิท...” ทินกรสะกิดที่แขนเจ้าบ่าวเบาๆ เพื่อเรียกสติ เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งงันไปนานไม่ยอมเดินเข้าไปนั่งยังที่ของตนที่ผู้ใหญ่นั่งรออยู่ เขาสังเกตว่าเจ้าบ่าวที่มีศักดิ์เป็นพี่เขยของเขาคนนี้ ดูเหม่อลอยและมีใบหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด แม้เจ้าตัวจะพยายามยิ้มออกมาก็ตาม
“ครับ... เอ่อ... ขอบคุณครับ” วิทยาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคิดว่าตัวเองมัวแต่มองบรรยากาศรอบตัวจนลืมหน้าที่ พร้อมกับหันไปขอบคุณคนเป็นน้องเขยที่ช่วยเตือนสติ ก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงแล้วคลานเข่าเข้าไปนั่งกับพื้นตรงหน้าผู้ใหญ่ ตามหลังมาด้วยพิชามลน้องสาวที่คุกเข่าตามเข้ามาพร้อมกับสามีและลูกสาวตัวน้อย ถัดไปเป็นแพรวากับธีรพัฒน์ที่อุ้มลูกชายตัวจ้ำม่ำตามเข้ามานั่งด้วยเป็นคนสุดท้าย
“ให้ใครไปตามเจ้าสาวออกมาได้แล้วจ้ะ” คุณนายมณีนุชหันไปบอกสาวใช้ในบ้านที่นั่งรอรับคำสั่งอยู่ใกล้ๆ
ทันทีที่ได้ยินคำเอ่ยขานของผู้เป็นแม่ฝ่ายหญิง หัวใจดวงแกร่งของวิทยาที่สงบนิ่งมานานกลับเต้นโครมครามขึ้นมาอย่างประหลาด ท่ามกลางความแปลกใจของตัวเองยิ่งนัก ทำไมเขาต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วยนะ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกอะไรเลย
รอเพียงไม่นานเสียงฮือฮาเซ็งแซ่ไปด้วยความตื่นตาตื่นใจและชื่นชมยินดีก็ดังขึ้น พร้อมทั้งเสียงชัตเตอร์ที่ถี่รัวจนแทบไม่ต้องนับ ทำให้ชายหนุ่มอดที่จะหันไปมองทางต้นเหตุของเสียงนั้นไม่ได้ และทันทีที่เขาพบเธอ หัวใจดวงแกร่งถึงกับกระตุกวาบด้วยความตกตะลึง เขายอมรับว่าหญิงสาวร่างบางระหงที่กำลังเยื้องย่างเข้ามาหาเขาด้วยท่วงท่าที่สง่างามและนุ่มนวลนั้น ‘สวย’ เป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในความรู้สึกของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ตอนที่ตอบตกลงไปนั้นเขาคิดว่าผู้หญิงที่จะแต่งงานด้วยคงจะขี้เหร่จนไม่มีใครเอาแล้วแน่ๆ หรือเรียกง่ายๆ ว่า หาสามีไม่ได้แล้วนั่นเอง บิดาของเธอถึงคิดจะคลุมถุงชน แต่เมื่อได้มาเจอตัวจริงแล้ว เขายอมรับว่าเธอไม่มีส่วนใดจะเป็นอย่างที่เขาคิดเลยแม้แต่น้อย
อรณิชาคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าของคนเป็นเจ้าบ่าว ก่อนจะหันไปยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่เคารพทุกคน จนมาถึงเจ้าบ่าวที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคู่คมของเขา เธอยอมรับทันทีว่าเขาเป็นเหมือนอย่างที่ได้ยินได้ฟังจากเพื่อนรักของเธอมาทุกประการ เพียงแค่มองหัวใจดวงน้อยก็สั่นไหวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน แม้แต่นนท์ประวิธแฟนหนุ่มของเธอ
“หนูอร ไหว้พี่เขาสิลูก” คนเป็นแม่เอ่ยเตือนบุตรสาวเมื่อเห็นเธอนั่งก้มหน้านิ่งๆ ไม่ยอมมองหน้าเจ้าบ่าว
คำบอกของมารดาทำให้อรณิชาจำต้องเงยหน้าขึ้นก่อนจะยกมือไหว้เจ้าบ่าวของเธออย่างอ่อนหวาน ฝ่ายเจ้าบ่าวที่เตรียมตั้งรับอยู่ก่อนแล้วก็ยกมือขึ้นรับไหว้เจ้าสาวอย่างนุ่มนวลเช่นเดียวกัน ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าขาวเนียนของหญิงสาวนิ่งราวต้องมนต์สะกด เมื่อได้เห็นเธอใกล้ๆ ความสวยและงดงามของเธอทำให้หัวใจดวงแกร่งที่คิดว่าจะไม่มีวันหวั่นไหวให้กับผู้หญิงคนไหนอีกกลับสั่นคลอนขึ้นมาอย่างประหลาด
ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลานั้นเขาเกือบจะหลุดยิ้มออกไปตามความรู้สึก แต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่าจุดประสงค์ที่หญิงสาวแต่งงานกับเขานั้นยังคลุมเครือ เธอตั้งใจเจาะจงอยากแต่งงานกับเขาหรือเพราะถูกบังคับฝืนใจเหมือนกับเขากันแน่ ทำให้ชายหนุ่มซ่อนรอยยิ้มนั้นไว้จนมิดเหลือเพียงความเย็นชาเฉยเมยที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าเท่านั้น
‘ฮึ หยิ่งชะมัด นึกว่าฉันอยากจะไหว้นักเหรอ หน้าตาก็ดีแต่มารยาทไม่ได้เรื่อง’ อรณิชาคิดในใจก่อนจะลดมือลงเมื่อชายหนุ่มรับไหว้เธอแล้ว
หลังจากนั้นพิธีการสำคัญก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้นและผ่านไปด้วยดีแล้ว แขกที่มาร่วมเป็นสักขีพยานต่างก็ทยอยแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงฉลองในตอนเย็นที่ฝ่ายเจ้าบ่าวจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ณ โรงแรมหรูระดับห้าดาวใจกลางเมือง
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
^_^
สนใจนิยายเล่มนี้ในรูปแบบ E-Book สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่
...หรือ...
หากสนใจสั่งซื้อในรูปแบบเล่ม สามารถติดต่อผู้แต่งได้โดยตรงทาง
E-mail : oilza24@hotmail.com
โทร/ไลน์ : 094-4942566
และอีกช่องทางการติดต่อง่ายๆ ด้วย QR โค้ด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ