Love Unlimited! รักนี้ไม่มีจำกัด
เขียนโดย Fame
วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.46 น.
แก้ไขเมื่อ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557 22.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) มาวันแรกก็งานเข้าซะแล้ว?!
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความChapter 1 : มาวันแรกก็งานเข้าซะแล้ว?!
ณ สนามบิน
“จะไปจริงๆหรอฟิล์ม…?”
“จริงฮะแม่”
“ถ้าแกไป แล้วฉันจะอยู่ยังไง ฮือ~”
ฟิล์มมองแม่ที่สะอื้นไห้พลางเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลพรากอยู่ๆร่างเล็กของมารดาก็โผเข้ากอดจนฟิล์มเองถึงกับตั้งรับแทบไม่ทัน แต่มือเรียวที่หยาบด้านของนักกีฬาก็รวบกอดแม่ของตนตอบเสียแน่น
“มี้ก็อยู่กับผมแล้วก็ป๊าไง”
“แกไม่ต้องมาพูดมากเลยเฟรด... โอ้ลูกชายสุดน่ารักของหม่ามี้ ลูกต้องไปอยู่คนเดียวโดดเดี่ยวในเมืองไทยหรือนี่.. ฮือ~”
“น่าๆแม่ ผมแค่เปลี่ยนบรรยากาศ”
“ใช่ฮะ อีกอย่างฟิล์มมันก็ไม่เชิงไปอยู่คนเดียวเสียหน่อย เรายังมีบ้านที่ซื้อทิ้งไว้ในกรุงเทพอยู่นี่ฮะ”
ฟิล์มรีบหันขวับมามองพี่ชายต่างมารดาของตนทั้งๆที่ตัวเขายังกอดแม่ที่ยังคงร้องไห้ไม่อายคนที่เดินพลุกพล่านอยู่ในสนามบินอยู่ เฟรดได้แต่ยิ้มเยาะอย่างนึกสะใจ ส่วนคนเป็นพ่อที่มองดูสถานการณ์แล้วเลยพูดแทรก
“เอาล่ะครับที่รัก ฟิล์มเขาโตแล้วนะครับ อีกอย่างเขาต้องรีบขึ้นเครื่องแล้วด้วย”
จอห์นพูดมือหนาค่อยๆประครองร่างของภรรยาตนเองออกจากลูกชายคนเล็กของเขา
“แต่คุณคะ...ฟิล์มต้องไปอยู่คนเดียวนะคะ แถมกรุงเทพฯก็อันตราย ฮือ~”
ฟิล์มยิ้มหยันๆให้กับความเป็นห่วงเกินเหตุของแม่ตัวเอง แต่ตัวเขานั้นก็ไม่ได้อะไรมากไม่รำคาญ ไม่ได้รังเกียจความเป็นห่วงนั่นแต่ตัวเขากลับดีใจมากด้วยซ้ำที่แม่ของเป็นห่วง แต่ให้ตายเถอะ ตัวเขาจะอายุ20แล้วเหอะ ดวงตาคู่คมหันไปมองไอ้ตัวต้นเรื่องอย่างไม่สบอารมณ์ เฟรดทำเพียงแค่หัวเราะหึใส่เขาเท่านั้น และแล้วเสียงของโอเปเรเตอร์ก็ดังขึ้น และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเขาในการเดินทางครั้งนี้ในทันที
“ฟิล์ม.. อย่าลืมดูแลตัวเองนะลูก”
“ฮะ”
“แม่รักลูกนะ”
“ผมก็รักแม่ฮะ”
ฟิล์มพูดตอบก่อนจะกอดตอบแม่ของตนอีกครั้งและเข้าก็ผละออกจากอ้อมกอดของผู้หญิงที่เขารักยิ่งเพื่อที่จะออกเดินทางไปยังจุดหมายที่ถูกกำหนดขึ้น
.
.
.
.
ย้อนกลับไปเมื่อ 2 วันก่อน
.
.
.
.
.
.
.
“โธ่เว้ย!!!”
“ฮ่าๆๆ”
ฟิล์มหน้ามุ่ยใส่เฟรดทันทีใบหน้าหวานแสดงอารมณ์ของความไม่พอใจอย่างชัดเจน ดวงตาคู่เรียวมองไพ่ที่เขาและสลับไปมองกับที่อีกหงายอยู่บนโต๊ะฝั่งตรงข้ามไปมาอย่างหงุดหงิดสุดๆ ทั้งๆที่เป็นเกมส์ที่เขาถนัดแท้ๆแต่ทำไมถึงแพ้มันหมดรูปแบบนี้วะ!
“ตามสัญญา~~”
“ไม่ลืมหรอกน่า”
ฟิล์มฮึดฮัดใส่ก่อนจะกระดกโค้กที่เย็นช่ำลงคอให้ความซ่าของแก๊สที่ผสมในน้ำอัดลมดับอารมณ์หงุดหงิดที่กำลังพลุ่งพล่านให้เย็นลง เฟรดมองใบหน้าที่ถอดแบบออกมาจากเขาที่ค่อนไปทางหวานหน่อยๆนั่นของน้องชายตัวเองก่อนจะเก็บไพ่เข้าตลับแก้วอย่างบรรจงจนฟิล์มอดที่นึกหมั่นไส้ไม่ได้
“แล้วจะไปก่อนเปิดเทอมสองวันเนี่ยนะ?”
“ฉันคิดไว้แล้วว่าแกต้องถามแบบนี้”
“คิดไว้แล้ว?.... อย่าบอกนะว่า!!”
“ฉันเตรียมเอกสารไว้ให้ล่วงหน้าก่อนที่จะชวนแกพนันแกซะอีก”
“อ..ไอ้เฟรด!!”
“เฮ้ๆ หม่ามี้ไม่เคยสอนให้นายพูดคำหยาบเลยนะ!!”
“F**k!!”
เฟรดคลี่ยิ้มอย่างนึกสนุกที่สามารถแหย่น้องชายตัวเองให้หลุดโมโหได้ ร่างสูงถอนหายใจยาวๆซึ่งเรียกความสนใจให้กับคนตรงหน้าได้อย่างดี
“เรียนไปเถอะ ฉันทำเรื่องให้เรียบร้อยแล้ว มือฉมังอย่างแกคงเรียนได้สบายๆเลยหรอกมั้ง”
“........”
“หึ งั้นอีก2วันเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ”
เฟรดเดอริกยิ้มแล้วเดินออกจากโต๊ะที่ตั้งอยู่ส่วนหลังบ้านกลับเข้าไปในตัวบ้านทันที
“เหอะ”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ทำอีท่าไหนไปแพ้มันได้วะ...”
ฟิล์มพึมพำตอนนี้เขาอยู่บนตัวเครื่องบินที่บินอยู่บนชั้นบรรยากาศ สายตาคู่คมกวาดมองไปรอบๆในสายเที่ยวบินนี้ถึงกับเลิกคิ้วด้วยความฉงน แต่ก็ไม่คิดแปลกใจอะไรเพราะจุดหมายปลายทางที่เขาต้องลงนั้นเป็นเมืองในเอเชียที่ดูน่าเที่ยวที่สุดแล้วนั่นคือ.... กรุงเทพมหานครฯเมืองหลวงของประเทศราชแบบเปิดที่สามารถให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปมาระหว่างประเทศได้เพื่อเสริมสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ มิน่าล่ะถึงได้มีคนเยอะเต็มสายเที่ยวบินนี้ แต่ก็แปลกตรงที่ทำไมที่นั่งข้างๆเขาถึงว่างไปสองที่ ฟิล์มยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนที่เจ้าตัวจะกอดลูกบาสกลมๆไว้แน่น เปลือกตาบางกระพริบปริบๆอย่างเมื่อยล้า ฟิล์มเผลอหลับไปพร้อมกับสภาพร่างกายที่เมื่อยล้าตลอดการเดินทาง
ความรู้สึกแรกที่ได้รับรู้คือก้อนกลมๆนุ่มๆที่ตักและความรู้สึกต่อมาคือแรงเขย่าเบาๆเล็กน้อยตรงแขนพอให้รู้สึกตัวพร้อมกับเสียงเรียกของผู้หญิง
.
.
.
ของผู้หญิง.....
.
.
.
.
.
ผู้หญิงงั้นหรอ!!??
“คุณ! คุณคะ ถึงที่หมายแล้วนะคะ”
สำเนียงBritishที่เป็นภาษากลางที่ใช้ในการสื่อสารของคนต่างชาติดังขึ้นอย่างคล่องแคล่ว ฟิล์มลืมตาตื่นทันทีอาการงัวเงียหายไปเป็นปลิดทิ้ง ร่างเล็กกล่าวขอบคุณแอโฮสเตรสอย่างเป็นมิตรด้วยภาษาบ้านเกิดของตน แอโฮสเตรสสาวชะงักเล็กน้อยแล้วเธอก็กล่าวคำยินดีตามภาษาบ้านเกิดของเขาเช่นกัน
ขาเรียวก้าวออกจากอาคารสูงที่เป็นสนามบิน สายตาคู่คมสอดส่องหมายจะหาพาหนะรับจ้างและจบลงตรงที่รถแท็กซี่สีเหลืองเขียวที่ติดป้ายไฟสีแดงสว่างว่า ‘ว่าง’ ฟิล์มไม่รอช้าเจ้าตัวรีบกวักเรียกรถแท็กซี่คันนั้นและรีบตรงไปที่จุดบ้านพักของตนทันที รถแท็กซี่จอดสนิทที่หน้ารั้วบ้านสูงเกือบสองเมตรหลังหนึ่งมือเรียวยื่นเงินค่ารถให้กับลุงคนขับแล้วรถแท็กซี่คันนั้นก็เคลื่อนตัวออกไปจากที่แห่งนี้ ฟิล์มมองบ้านไม้หลังใหญ่ทรงญี่ปุ่น2ชั้นตอนที่เขาเคยอยู่สมัยเด็กๆ มือเรียวล้วงหยิบกุญแจในกระเป๋าเสื้อแขนยาวออกมาไขประตูรั้วออกก่อนที่จะเดินเข้าไปไข้ประตูบ้านอีกขั้นแล้วขนสัมภาระเข้าไปในตัวบ้าน ตัวเขาที่นั่งเครื่องบินจากฝรั่งเศสมาเวลาที่นี่ก็ห่างจากประเทศไทยก็ราวๆ11ชั่วโมง หากตอนที่เขาออกเดินทางนั้นก็ราวๆ 8.00นาฬิกาของเช้าวันนี้ ส่วนเวลาปัจจุบันก็คง... ฟิล์มแหงนมองขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิด
แต่ก็ไม่มืดสนิทเพราะมีแสงไฟนีออนสาดส่องสว่างทั่วท้องถนนแล้วมองดูนาฬิกาของตนเองที่ตอนนี้เวลามันผิดเพี้ยนไปก่อนที่เจ้าตัวจะปรับเปลี่ยนเวลาในนาฬิกาข้อมือตัวเองหลังจากที่คำนวณเวลาเอาไว้ มือบางเอื้อมไปเปิดสวิต์ชไฟที่อยู่ข้างๆประตู ก่อนจะวางกระเป๋าไว้ข้างๆโซฟาแล้วฟุบตัวลงโซฟาของห้องรับแขกด้วยความเพลียจัด
ครืด~ ครืด~
เสียงสั่นของโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้เจ้าตัวชะงัก มือเรียวล้วงเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ Nokia Lumia 1020ออกมาดูหน้าจอ ก่อนจะเห็นว่ามันเป็นเพียงแค่อีเมลธรรมดาก่อนจะเปิดอ่าน
‘หัวข้อ: อะโลฮ่า~ ’
‘ไงไอ้น้องชาย ตอนนี้แกคงถึงบ้านแล้วใช่มั้ย?
เออ ไม่มีไรมากหรอกหม่ามี้ฝากฉันมาบอกแปกว่าคิดถึงแล้วก็ดูแลตัวเองดีๆ
ส่วนป๊าบอกว่าถ้าแกติดเกียรตินิยม1ใน5ป๊าจะมีรางวัลให้เคปะ?
จาก: เฟรดเดอร์ริก แอนเดอร์สัน’
“งี่เง่าชิบ”
ถึงปากจะพูดไปแบบนั้นแต่อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมาอย่างดีใจก่อนจะพิมพ์อีเมลตอบกลับในหัวข้อยอดยี้งี่เง่าๆนั่นกลับไป แล้วก็มีอีเมลเข้ามาใหม่ทันทีที่เขาส่งไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำอีก1ฉบับ
‘ไว้กลางๆเทอมแล้วเจอกัน’
“กลางๆเทอม...งั้นหรอ?”
ฟิล์มเลิกคิ้วมองก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าด้วยความเพลียจัดเนื่องจากจะนั่งเครื่องบินแล้วเขาก็ยังต้องนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านอีกก็ทำเขาเหนื่อยสุดๆแม้ว่าตัวเขาเองถึงจะเป็นนักกีฬาบาสก็เถอะฟิล์มหลับตาลงอย่างง่วงงุนอีกครั้ง
(Part 1: Film Talk)
06:10am
นั่นคือเวลาที่ผมเห็นตอนหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ผมตื่นขึ้นมากลางห้องรับแขกของบ้านสมัยเด็กๆของผมที่ตัวผมนอนอยู่บนโซฟาสีดำในสภาพที่ผมยังใส่ชุดของเมื่อวานอยู่ ผมถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆแล้วรีบไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อที่จะไปมหา’ลัยเพื่อไปยืนยันตัวในวันนี้
ตอนนี้ผมกำลังเดินเข้าตึกคณะตัวเอง คณะที่ผมเรียนคือสถาปัตยกรรม(โดยเฟรดจัดการให้แล้วเสร็จสรรพ) ที่ผมเลือกเรียนคณะนี้เพราะผมแค่อยากทำตามความฝันของตัวเอง และผมเองก็ทำได้เอง(แกมถูกรวบรัด)จริงๆ ผมเดินตามพวกปี1ไปพร้อมกับดูหนังสือคู่มือนักเรียนที่พึ่งได้ตอนที่ไปยื่นยืนยันที่ฝ่ายวิชาการ ตลอดเวลาที่ผมเดินมาก็มักจะมีคนมามองตามผมตลอด.... ผมก็คนเอเชีย(แม้จะได้มาแค่ครึ่งนึงก็เถอะ)นะ แต่หน้าผมก็ไม่ได้ออกฝรั่งจ๋าถึงกับให้ผมเป็นจุดเด่นนักหรอก...หรือจะเป็นเพราะสีผม? อย่างที่รู้ๆกันไปหรือยังไม่รู้... งั้นผมแนะนำตัวเองเลยนะ ผมชื่อ ฟิล์ม โมริตะ แอนเดอร์สัน ได้ยินไม่ผิดหรอก.. ผมเป็นลูกครึ่งไทย ญี่ปุ่นละฝรั่งเศส โดยที่เชื้อสายชาวเอเชียผมได้มาจากคุณแม่ คุณแม่ผมเป็นคนเชื้อสายญี่ปุ่น ส่วนป๊าผมเป็นคนเชื้อสายฝรั่งเศสแท้ แต่ทำไมเฟรดเดอร์ริกไม่ใช่ลูกครึ่ง หลายๆคนคงอาจสงสัย เพราะว่าเฟรดเดอร์ริกเป็นลูกต่างแม่ของผมนั่นเอง และด้วยความที่ผมเป็นลูกครึ่งนั้นเอง... ทำให้ผมมีสีผมที่สว่างสะดุดตาคนมองละมั้ง ผมได้ยินจากเฟรดมาว่าที่นี่เขาไม่ให้เด็กปี1ย้อมสีผมก่อนเข้าคณะหรอกมันผิดระเบียบ เฟรดเองก็ยังถามผมอยู่นะว่าไม่ย้อมผมเหรอ? ไปแบบนี้มันอาจจะทำให้นายโดนเขม่นตั้งแต่เริ่มเข้าเชียวนะ แล้วก็บลาๆๆ หลายๆเรื่องจนผมเริ่มหงุดหงิดกับความจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง ช่างเรื่องนั้นไป แต่ผมเองที่คิดผิดที่ไม่เชื่อหมอนั่นเพราะ...
“น้องครับ”
“ครับ?”
ผมมองรุ่นพี่ที่น่าจะเป็นเฮดว้ากนั้นมายืนเรียกผม ร่างสูงโปร่งของเขาทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองตัวผมสูง179เซนถ้าให้เดาส่วนสูงผมว่าเขาคงสูง189เซนละมั้งทำไมคนเอเชียตัวสูงชะมัด
“เวลาตอบเขาต้องให้บอกชื่อคณะชั้นปีไม่ใช่หรอครับ?”
“ค..ครับ”
“ถ้ารู้แล้วทำไมไม่ทำล่ะครับ?”
“......”
“ผมถามทำไมคุณไม่ตอบ!”
“ผ..ผมฟิล์ม โมริตะ แอนเดอร์สัน ปี่1 คณะสถาปัตย์ครับ!”
“ดี... ไปวิ่งรอบสนาม20แล้วบอกชื่อ ปี คณะที่คุณอยู่ไปด้วยจนกว่าจะครบรอบ!”
“.......”
“ไม่ได้ยินที่พูดหรอ? วิ่งรอบสนาม20รอบปฏิบัติ!!!”
ผมสะดุ้งกับเสียงตวาดของคนตรงหน้าแล้วได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของพวกปี1ที่อยู่ด้านของรุ่นพี่ บ้างก็พูดว่า ‘ปี1ก็ทำซ่าส์ซะแล้ว’ ‘ไม่รู้หรือไงว่าเขาไม่ให้ทำสีผมตอนเข้ารับน้อง’ แล้วก็บลาๆจนผมไม่เข้าใจความหมาย ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะตอบรับอย่างปลงๆ
“วิ่งรอบสนาม20ปฏิบัติ!!”
แล้วผมก็จำใจวิ่งไป
“ผม ชื่อ ฟิล์ม โมริตะ แอนเดอร์สัน ปี1 คณะสถาปัตยกรรมครับ!”
“เสียงมันหายไปไหนหมด!! ผมรู้ว่าเสียงคุณไม่ได้มีแค่นี้แน่! ตะโกนให้มันดังๆ!!!”
“อึก... ผ..ผม ชื่อ ฟิล์ม โมริตะ แอนเดอร์สัน ปี1 คณะสถาปัตยกรรมครับ!!!!!”
ผมวิ่งตะโกนบอกชื่อของผมไป ทำให้เด็กหลายๆคณะรวมถึงรุ่นพี่ต่างคณะก็แทบจะมองผมทุกครั้งตอนที่พวกเขาเดินผ่านมาที่สนามกีฬา แล้วก็เด็กรุ่นเดียวกับผมนั้นก็ทำกิจกรรมรับน้องไปแล้วเหลือแค่ผมคนเดียวที่โดนลงโทษ ผมมองรุ่นพี่เฮดว้ากที่ตอนนี้ยืนเฝ้าผมอยู่ฝั่งตรงข้ามของสนามไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไร ที่ตอนนี้...ผมวิ่งจนรอบที่19และ
“ผม ชื่อ ฟิล์ม โมริตะ แอนเดอร์สัน ปี1 คณะสถาปัตยกรรมครับ!!!”
และก็มาหยุดลงที่ตรงหน้าของรุ่นพี่เฮดว้ากที่ยืนกอดอกมองผม ผมยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมตามหน้าผากและคอ และผมพยามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ และเนื่องจากที่ผมเป็นนักกีฬาบาสวิ่งสนาม20รอบคงไม่ทำให้ผมเหนื่อยซักเท่าไหร่
“ช้า”
ห๊ะ?..
“ผมบอกว่าคุณช้า ไม่เข้าใจที่ผมพูด?”
“.......”
“เวลาที่ผมพูดแล้วคุณตอบต้องทำยังไง!!!”
“ได้ ไม่เข้าใจที่พูดใช่มั้ย? ภายในหนึ่งอาทิตย์ คุณต้องไปตามล่าหาลายเซ็นพวกเฮดว้ากทุกคนในคณะนี้! แล้วตามล่าหาลายเซ็นสายรหัสของตัวเองให้ครบ!!! ปฏิบัติ!!”
“ป..ปฏิบัติ!!!”
“ดี งั้นก็ไปรวมกลุ่มกับเขาได้แล้ว”
“.........”
ไม่รอให้พี่แกพูดซ้ำสอง ผมรีบวิ่งไปหากลุ่มปี1ทันที คำสั่งของพวกรุ่นพี่ถือว่าเป็นคำขาดแต่ว่าคำสั่งนั้นก็แทบจะทำให้ผมล้มทั้งยืน ให้ตายเถอะ ผมเป็นเด็กนอกนะแถมอยู่ปี1นะนี่แค่ฟังภาษาไทยพอรู้เรื่องผมก็แทบจะกะอักแล้ว ให้ตายเถอะเมอร์ลิน ผมจะไปพบหน้าพระเจ้าได้ยังไงกัน
ช่วงเวลาพักเที่ยง พวกรุ่นก็ให้พวกเด็กปี1พักตามอัธยาศัยแล้วก็นัดเจอกันอีกทีตอนบ่ายๆ มันเหมือนกับว่าผมได้หลุดออกมาจากขุมนรกเตาอบที่อยู่กลางแจ้งนั่น ผมลืมไปเสียสนิทว่าเมืองไทยเกือบอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรขนาดไหนๆจะเป็นป่าดิบชื้นที่เป็นสถานที่ๆน่าท่องเที่ยวถึงจะไม่น่ากลัวเท่าป่าอะเมซอนก็เถอะ ผมดูดน้ำโกโก้ปั่นที่ซื้อจากร้านขายน้ำที่โรงอาหารของคณะ ผมมองบรรยากาศด้านในที่ดูวุ่นวายอย่างกับรังมดจนผมแทบจะอ้วก ผมนั่งอยู่โต๊ะหินอ่อนนอกตัวเขตโรงอาหาร และนั่นก็ยิ่งทำให้ผมเป็นจุดเด่นมากขึ้นเพราะผมดันมานั่งอยู่คนเดียว ทำไงได้ผมนั่งรอเพื่อนใหม่ที่กำลังไปหาอะไรกินนี่ แล้วตัวผมก็มานั่งเด่นหลาอยู่คนเดียว ผมถอนหายใจยาวๆกับขำนินทากล่าวสบประมาทผมขณะที่เด็กหลายๆปีหลายๆคณะเดินผ่านโต๊ะที่ผมนั่ง บางคำผมก็พอแปลความหมายถูกบางคำผมก็ฟังไม่รู้เรื่อง
“Hi”
ผมหันกลับไปตามเสียงเรียกทัก ผมเลิกคิ้วมองผู้มาใหม่อย่างแปลกใจ เพราะเขาทักทายมาด้วยสำเนียงอังกฤษ
“ผมพูดไทยได้ ไม่ต้องใช่ภาษากลางหรอก”
ผมตอบเสียงเรียบๆให้ ผู้มาใหม่ยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรแล้วนั่งลงตรงข้ามกับผม ดวงตาสีเข้มที่ดูแลคนเอเชีย ผิวสีแทน ราวกับคนตากแดดทำงานบ่อยๆ ร่างสูงๆที่ทำให้ผมรู้สึกอิจฉาทำไมคนเอเชียถึงตัวสูงกว่าผมนักนะ
“ฉันไม่คิดว่าจะมีคนต่างชาติพูดภาษาไทยชัดขนาดนี้มาก่อนเลย”
“คงงั้น”
ผมมองร่างที่สูงกว่าผมอย่างไม่สบอารมณ์ นี่หรือคำพูดทักทายของคนไทย? ทำไมดูไม่มีมารยาทเลยทั้งๆที่เขาต้องแนะนำตัวก่อนแท้ๆ ดูเหมือนคนตรงข้ามจะอ่านใจผมออกละมั้ง
“อ่า...ฉันวาโย เอกรัตน์ ส่วนนายคง ฟิล์ม ใช่มั้ย?”
“อืม”
ผมไม่แปลกใจหรอกที่เขาจะรู้ชื่อผม(ก็เล่นตะโกนเสียงดังให้เกือบทั้งมหา’ลัยให้เขารู้)ผมมองหน้าก่อนจะดูดโกโก้ปั่นแล้วหยิบPSPในกระเป๋าเป้ใบโปรดมาเล่นต่อหน้า ดูเหมือนวาโยจะชะงักแล้วตีสีหน้าลำบากใจสุดๆ ผมกลั้นขำก่อนจะเงยหน้ามามองเขา
“เอ่อ ดูเหมือนฉันจะมารบกวนนาย”
“คิดว่าไง?”
“อ่า... งั้นขอตัว”
ผมพยักหน้าให้ ก่อนจะหัวเราะออกมาหลังจากที่วาโยเดินออกไปไกลพอสมควร ใส่เสื้อช็อปแถมปักระดับชั้นไว้ผมคงเดาได้ว่าไม่ปี2ก็3แต่ยังไม่ทันจะคิดอะไรมาก เพื่อนสามคนที่หายหัวไปนานก็กลับมาซักที
.
.
.
.
.
“เป็นไงบ้างวะโย?”
“ก็...น่ารักดี”
“สรุปเด็กปี1ใช่ปะวะ? ทำไมไม่เหมือนเลยวะ”
วาโยมองหน้าเพื่อนแล้วเลิกคิ้วให้
“มึงไม่ต้องมาตีหน้างงให้กูดูหรอก คนที่มึงไปคุยใช่คนๆเดียวกับคนที่ถูกไอ้ทศเล่นให้จริงๆหรอวะ?”
“เออ เจ้าตัวยืนยันเอง”
“จริงดิ?”
“จริง”
“ให้ตายเถอะ เจอไอ้ทศเล่นตั้งแต่วันแรกกูว่าแม่งซวยทั้งเทอม”
“หึๆ”
วาโยหัวเราะหึในลำคอก่อนจะโดนเพื่อนซี่ตัวแสบลากคอกลับเข้ากลุ่มเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่นั่งรออยู่น่าตึก ‘ฟิล์ม โมริตะ แอนเดอร์สัน’ น่าสนใจใช่ย่อย
.
.
.
.
.
.
ตอนนี้จบการรับน้องไปอีกหนึ่งวันแล้วซึ่งผมที่ตอนนี้นั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนหน้าคณะและก็นั่งกับเพื่อนอีกสามคนที่รวมกับผมด้วยก็จะเป็นสี่คนด้วยกัน ดูจากแต่ละคนแล้วก็หน้าตาดีใช้ได้จนผมรู้สึกอิจฉาในรอบที่สามของวันก็มันมีใบหน้าที่ผู้หญิง เก้ง กวาง กระเทย ทอม ดี้ ให้หลงแต่ทำไมผมนอกจากผู้หญิงแล้วทำไมต้องมีผู้ชายมาพ่วงด้วย ผมไม่เข้าใจแม่เลยจริงๆทำไมผมต้องเกิดมาหน้าตาสวยเหมือนแม่ด้วย มันเป็นปมด้อยตั้งแต่เด็กที่ผมถูกเด็กผู้ชายชอบตั้งแต่เกรด5 แล้วจนถึงปัจจุบัน
“ไหนๆก็รู้จักกันแล้วทำไมพวกเราไม่มาฉลองรับเพื่อนใหม่ละ?”
‘มอส’พูดขึ้นหลังจากที่เขานั่งเล่นเกมส์ในโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของเขา ผมเองก็ละจากหน้าจอ PSP มามองคนเริ่มบทสนทนา ผมขอแนะนำตัวเลยคนที่พูดอยู่นั้น ชื่อ มอส ผมพึ่งรู้จักเขาวันนี้โดยที่พี่เฮดว้าก(เจ้าเก่า)บอกให้ผมออกมาทำกิจกรรมนันทนาการโดยเล่นเกมส์(ขอไม่บอกละกันว่าเล่นเกมส์อะไร)เพราะเหตุผลที่สุดแสนจะเย้ายี้งี่เง่ามากโดยที่ว่าไม่มีใครออกมา ผมกับหมอนี่เลยซวยไปและผมว่าไอ้พี่ว้ากคงจะจงใจให้ผมออกมา ทำไงได้ผมก็แค่ปลงแล้วยอมรับชะตากรรมที่ดันมาซวยเอง
มอส สูง188เซนติเมตร มีเรือนผมสีดำไฮไลท์น้ำเงินทรงอีโม(ที่รอดจากเฮ้ดว้ากได้ยังไงผมเองก็ไม่ทราบ)ทั้งๆที่เขาบอกไม่ให้ทำสีผมในปีแรกแท้ๆ แต่งตัวเซอๆในแนวขาวดำตามสไตล์เจ้าตัวเขานั่นแหละ หมอนี่เป็นคนนิ่งๆแต่อย่าให้พูด ไม่งั้นได้กลายเป็นผู้ฟังที่ดีแทน
“เฮ้ยๆ แต่พรุ่งนี้เขามีรับน้องอีกไม่ใช่หรอวะ?”
เสียงคนนี้คือ‘ภูมิ’ที่ตอนนี้กำลังอะไรซักอย่างใส่สมุดสเก็ตภาพอยู่ โดยที่เขาไม่ได้เงยหน้ามามอง ภูมิผมรู้จักตอนเที่ยงๆหรือตอนที่ก่อนจะปล่อยพวกปี1พัก หมอนั่นทักผมยังไงรู้มั้ย?
‘ฟิล์มใช่มั้ย?’
‘อืม’
‘กูภูมิ กูชอบสีผมมึงว่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก’
และนั่นแหละผมอึ้งไป10วิ
“ทำไม? หรือมึงกลัวพี่ว้าก? มึงดูไอ้ฟิล์มดิ ขนาดพี่ว้ากรังแกมันๆยังทำหน้าตายใส่ กูล่ะฮาชิบหาย”
ถึงแม้ว่าผมจะฟังภาษาไทยออก พูดได้ แต่บางคำผมก็ไม่เข้านักหรอก อย่างไอ้คำว่า ‘กู, มึง, ชิบหาย’ ที่ไอ้มอสพูดมา ผมก็ไม่รู้ความหมายหรอก ต้องเรียนรู้อีกเยอะแต่ก็โชคดีที่ภูมิบอกผมตั้งแต่เนิ่นๆว่ามันเป็นคำหยาบแต่ก็ไม่ได้ทำให้ใครเสื่อมเสียหรือผูกใจเจ็บเพราะมันเป็นคำเรียกแทนอย่างคำว่า ‘I, You, It’
“เฮ้ยๆ อย่าลามมาหากูดิ”
ผมเอ็ดเข้าให้แล้วเล่นPSPต่อ
“แต่กูว่าพี่ว้ากแม่งก็เกินไปว่ะ ไอ้ฟิล์มก็เสือกซวย พึ่งเข้ามาใหม่แบบมึนๆ ก็โดนเล่นซะแล้ว”
‘เดียร์’ พูดเสียงเรียบๆ เดียร์เป็นที่ดูเป็นที่ดูนิ่งอย่างกับรูปปั้น มีใบหน้าที่ดูดุดัน เดียร์เป็นเพื่อนกับภูมิ หมอนี่สูง186เซนติเมตรและภูมิก็สูง180เซนติเมตร เดียร์เป็นผมยาวแต่ไม่ปล่อยกระเซอะกระเซิง เดียร์มัดผมยาวๆที่เป็นรากไทรให้เป็นหางม้าอย่างเรียบร้อย ส่วนภูมิเองก็ตัดเปิดข้างปล่อยยาวหลังเหมือนพวกติสแตกประมาณนั้น
“มึงแม่ง เจอใครไม่เจอดันมาเจอกับพี่ทศ”
“Who?”
มอสเอือมใส่ผมทันทีส่วนคนอื่นๆก็มองผมด้วยตาที่สื่อมาว่า ‘มึงไม่รู้จริงๆอ่ะ?’ ประมาณนี้
“ What? ก็กูไม่รู้จริงๆ”
ผมตอบ
“ก็ที่พี่เขาเรียกมึงให้วิ่งรอบสนามนั่นไง นั่นแหละพี่ทศ เห็นหล่อๆแต่โหดชิบหาย กูรู้เพระกูรู้จักกับพวกรุ่นพี่ที่เป็นเฮดว้าก ไอ้ห่า แค่นี้ก็ไม่รู้จัก”
“ไอ้ห่า...?”
ผมมองไปหาภูมิ เจ้าตัวถอนหายใจยาวๆก่อนจะพูดออกมา
“คล้ายๆกับคำว่า ‘Shit’ ประมาณนั้นแหละ”
ผมพยักหน้าให้แล้วภูมิก็พูดต่อ
“แล้วมึงไปรู้จักเขาได้ไงวะไอ้มอส?”
ภูมิถามมอสพร้อมกับตีหน้านิ่งใส่มือเรียวๆที่เลอะคราบดินสอหน่อยๆนั่นยกขึ้นมาดันแว่นกรอบหนาสีดำที่บดบังดวงคู่คมนั่น
“ก็ที่กูรู้เพราะบ้านกูอยู่ใกล้เขา”
ผมเลิกคิ้วมองมอสส่วนเดียร์ทำหน้าอึนใส่คงมีภูมิคนเดียวละมั้งที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยแล้วยังวาดรูปต่อได้อย่างหน้าตาเฉย ผมพึ่งรู้มาว่าบ้านผมกับพวกนั้นก็ไม่ได้ห่างกันซักเท่าไรนักหรอก เพียงแค่ห่างกันคนละป้ายรถบัสมันคงบังเอิญสุดๆล่ะมั้ง แต่พอผมถามจริงๆพวกนั่นก็ตอบมาอย่างหน้าเฉยว่าอยู่ตั้งแต่เกิดแล้ว ส่วนตัวผมเองคงจะเกิดอยู่ที่นั่นแล้วย้ายไปอยู่ฝรั่งเศสเลยล่ะมั้งผมเลยไม่รู้จักพวกเขา
“มึงรู้ได้ไงวะว่าเขาจะจับสายรหัสวันพรุ่งนี้”
อยู่เดียร์ก็โพล่งออกมาหลังจากที่เจ้าตัวนั่งเงียบเป็นผู้ฟังที่ดีไปซักพัก มอสไม่เชิงพูดตอบเพียงแค่ยักไหล่ให้แทน ภูมิเองก็แค่พยักหน้าตอบคงยังมีแต่ผมที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร ผมมองเดี่ยร์ที่ยังทำหน้านิ่งๆไม่เลิก เดียร์ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆแล้วเขกหัวผมด้วยสันหนังสือ
“เจ็บ!”
“ก็มึงอยากบื้อเอง....ไอ้ห่าที่พวกพี่เขาพูดมึงไม่ได้ฟังบ้างหรือไง?”
ผมส่ายหน้าแทน
“มึงไม่ต้องไปเค้นจากมันหรอกเดียร์ ไอ้ห่านี่เคยฟังที่พวกรุ่นพี่เขาพูดซะที่ไหนกันเล่า ตลอดงานแม่งเอาแต่ทำหน้านิ่งใส่ ถึงมันจะฟังตลอดแต่ที่มึงเห็นแม่งละครตบตาชัดๆ กูล่ะโคตรหมั่นไส้”
“แล้วไปโวยมันทำไมวะ? มันก็ตั้งใจฟังดีนะกูก็เห็น”
“ถุ้ย! กูก็บอกมึงอยู่นี่ไงว่านั่นมันละครตบตา มึงอ่ะโดนมันหลอกเอาแล้ว ไอ้ที่นั่งนิ่งๆตั้งใจฟังมันฟังที่ไหนกันล่ะ มันหลับ!!!!”
“Shit!! หุบปากไปเลยไป”
ผมเอากระเป๋าฟาดใสหัวไอ้มอสเข้าเต็มเปาส่งผลให้ร่างสูงถึงกับหน้าขมำทิ่มโต๊ะเรียกเสียงหัวเราะให้กับคนในโต๊ะได้เป็นอย่างดี ใบหน้าผมแดงก่ำด้วยความอาย เกิดมาทั้งทีไม่เคยโดนเพื่อนเผากันซึ่งๆหน้า ให้ตายสิพับผ่า พวกเรานั่งคุยกันซักพักแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ก็แปลกตรงที่สามคนนั้นเขาไม่ได้กลับทางเดียวกันกับผมเพราะภูมิบอกมาว่าทำเรื่องอยู่หอไว้เลยต้องอยู่หอใกล้มหา’ลัย ส่วนผมก็ต้องกลับไปนอนบ้าน..... นั่นแหละผมเลยต้องมานั่งแท็กซี่กลับบ้านคนเดียวแทนที่จะได้นั่งรถบัสหรือที่นี่เรียกว่ารถเมย์กลับกับเพื่อน ผมถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆแล้วหยิบสายสโมทอล์คออกมาจากกระเป๋ากางเกงมาเสียบหัวแล้วเปิดเพลงฟัง จังหวะเพลงร็อคหนักที่ทำให้ใครหลายๆคนปวดหูแต่ตอนนั้นทำให้หัวของผมโล่งอย่างประหลาด ยังไงซะเพลงร็อคมันก็ยังดีกว่าเพลงที่เปิดในผับในบาร์เสียอีก ผมเหม่อมองออกนอกกระจกรถก่อนจะนึกถึงคำสั่งของรุ่นพี่เฮดว้ากที่สั่งไว้กับผมเมื่อตอนเช้า ยิ่งคิดก็ยิ่งเซ็ง ผมเลยพยายามไม่คิด เอาเถอะยังไงซะอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดอยู่ดีนั่นแหละ
(Part 1: End Talk)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ