Guardian Angels

-

เขียนโดย Pao44445

วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.18 น.

  2 Chapter
  0 วิจารณ์
  4,500 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557 06.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) อารอน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
          มหาวิทยาลัยเกนต์วูต ( Gainwood University ) เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยในไพรทแลนด์ตั้งอยู่ในเมือง “เกนต์วูต” ( Gainwood ) เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มาก เพิ่งจะถูกจัดเป็นเมืองก็เมื่อแปดปีก่อน บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ลงมาจากเมืองหลวง “เซนทิเนล” จาก ทั้งหมดห้ามหาวิทยาลัย เกนต์วูตเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ก็มีผู้คนเข้ามารับการศึกษาจำนวนมาก เพราะค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุดและเป็นเพียงมหาวิทยาลัยเดียวที่ไม่ได้ตั้งอยู่ ในเมือง ใหญ่ สิ่งเดียวที่มีไม่เหมือนมหาวิทยาลัยอื่นคือมีบรรยากาศของธรรมชาติอยู่ทั่ว ทุกที่ แม้กระทั่งในห้องสมุดที่มีชั้นวางหนังสือต่อกันยาวเหยียด ก็มีต้นไม้สีเขียวขจีประดับในอาคารมากมาย
          การศึกษาเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นหลังสงครามสิ้นสุดลง อาณาจักรไพรทแลนด์จำเป็นต้องรีบเร่งพัฒนาระบบเศรษฐกิจและอีกมากมายถึงอย่าง นั้นจำเป็นต้องมีบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์เข้ามามากขึ้น จากเดิมที่คนส่วนใหญ่ มักประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำไร่ทำสวนยังชีพ หันมาเข้ารับการศึกษาแล้วนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาอาชีพของตนและนำไปเผยแพร่ แก่ผู้คนที่ยังไม่มีงานอาชีพ ปัจจุบันประชากรมากกว่าครึ่งที่มีการศึกษากันหมดแล้ว เหลือเพียงชนบทไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังไม่ได้รับโอกาสในการศึกษา ในมหาวิทยาลัยก็จะมีหนุ่มสาวมากมายมาเข้ารับการศึกษาทุกๆปีพวกเขาเห็นว่ามัน ดีกว่าทำไร่ทำสวนเยอะ อีกอย่างคือพวกเขาหางานได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
          ในห้องสมุดที่ใหญ่โตของมหาวิทยาลัย มีนักศึกษาหลายคนเข้ามาค้นคว้าตำราวิชาการต่างๆมากมาย หนังสือทั้งหมดนี้ได้เรียบเรียงอย่างดี เป็นระเบียบและหมวดหมู่ ทำให้สามารถมองหาหนังสือที่ตนเองต้องการได้ไม่ยาก ทั้งหมดนี้มีเพียงแค่บุคคลากรเพียงสองคนเท่านั้นที่จัดการกับหนังสือจำนวน มหาศาลขนาดนี้
                   “นี่เธอดูนั่นสิ ผู้ชายคนนั่น เห็นแวบเดียวก็รู้สึก..หลงเลยละ  “
                   “เธอหมายถึง อารอน หรอ เด็กใหม่? ไม่ แปลกหรอก เขาหนะเป็นทั้งนักเรียนดีเด่นของมหาวิทยาลัยแห่งนี้มาหลายปีแล้ว อีกอย่างเขามีเสน่ห์มากเลย เรียนเก่งมากกีฬาก็ไม่แพ้ใคร ทั้งเก่งทั้งหล่อ ฉันเองก็หลงชอบเขานะ “
                   “ถึงตอนนี้ดูเหมือนเขายังไม่มีแฟนเลยด้วย แต่อย่างพวกเราไม่มีโอกาสหรอก ทำใจซะเถอะ “
                    “ขนาดนั้นเลยหรือ? “
          อารอน คาเตอร์เป็นชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีและย่างเข้าสิบแปด เขาเป็นนักเรียนที่มีผลงานมากมายทั้งด้านวิชาการและความสามารถ สร้างชื่อเสียงให้แก่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มาติดต่อกันถึงสามปี ในขณะเดียวกันก็เป็นการทำให้เขาเป็นคนมีชื่อเสียงในวงการศึกษาละอีกหลายๆ เรื่องมักจะมีชื่อของเขาขึ้นบอร์ดลำดับอยู่เสมอๆ อีกทั้งเขาเป็นชายหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลาเป็นที่หลงในหมู่หญิงสาวอย่างมาก เพียงแค่เห็นใบหน้าเท่านั้นก็หลงใหลในเสน่ห์ของเขาแล้ว
                             ปัง! เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้อง
                    “อารอน! มีหนังสือพวกนี้อยากให้ตรวจสอบแล้วก็ฝากเรียบเรียงขึ้นชั้นด้วยนะ “ อาจารย์รอเบิร์ตเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับยกหนังสือมากมายแทบล้นมือ เขาเองแทบจะยกไม่ไหวอยู่แล้ว
                    “อาจารย์ ให้ผมช่วยเถอะ “ ผมวางมือออกจากดินสอแล้วลุกไปช่วยอาจารย์รอเบิร์ต
                    “ขอบใจมากๆ “
                    “อาจารย์ได้หนังสือพวกนี้มาจาก.... “
                    “อ้อ! ไปขอซื้อแต่มาหนะ ถ้าขายเราก็ซื้อ ถ้าไม่ขายเราก็ไม่ซื้อ “
                    “อีกแล้วนะครับ อาจารย์.. “
                    “โธ่ หนังสือพวกนี้มีคุณค่าทั้งนั้น ฉันแค่ต้องการจะให้พวกมันมีที่ที่มันควรจะอยู่เสียที  “
                   “อีกอย่างพวกเขาดูเหมือนจะดีใจด้วยนะ “ มันก็จริง แต่อาจารย์แลกเงินกับหนังสือมาก็ไม่แปลกหรอกครับ
                   “อาจารย์พูดถึงขนาดนั้น ผมก็ว่าไม่ได้แล้วละครับ “     อาจารย์ เป็นคนที่คลั่งไคล้หนังสือมาก เขามักหาหนังสือมาใส่ในห้องสมุดนี้ทุกที ก็เพราะเขาเป็นทั้งอาจารย์สอนและคนที่ดูแลห้องสมุดแห่งนี้ ที่สำคัญเขาเป็นเอล์ฟอีกด้วย อาจารย์แยกตัวออกจากสังคมของเอล์ฟแล้วมาอยู่กับมนุษย์แทนเพราะว่ามีชีวิตที่ ดีกว่าการอยู่ในป่าตลอดชีวิต เขาบอกกับผมแบบนั้น แต่หลายครั้งที่เขามักจะทำอะไรเกินเลยไปบ้างเพราะไม่เข้าใจสังคมของมนุษย์ อย่างผมจนทำให้มีคนอื่นเดือดร้อนบางครั้ง  ส่วนเหตุผลที่เขากลายมาเป็นอาจารย์ได้อย่างไรนั้นผมก็ไม่รู้
           ผมอาศัยอยู่ที่นี่เมืองเกนต์วูตแห่งนี้มานานหลายปีแล้ว แม่ทำงานเป็นแม่ครัวเปิดร้านอาหารในมหาวิทยาลัยเกนต์วูตแห่งนี้ แต่ด้วยฐานะที่ไม่ดีนักตัวผมจึงต้องมารับงานในห้องสมุดแห่งนี้เพื่อหาเงินมา ให้ครอบครัว  ผมจึงได้มีโอกาสอ่านหนังสือพวกนี้มากมาย อาจารย์รอเบิร์ตที่เป็นผู้ดูแลห้องสมุดนี้มานานเห็นผมที่เข้ามาอ่านหนังสือ ที่นี่แทบทุกวัน เขาเริ่มที่จะทักทายกับผมจนกระทั่งลองแนะนำให้ผมลองเข้าเรียนที่นี่ดู ผมบอกเขาไปว่าครอบครัวผมไม่มีเงินมากมายจะเข้าเรียนที่นี่ได้ แล้วอาจารย์ก็บอกจะช่วยเรื่องเงินให้ผมถ้าตั้งใจเรียนที่นี่จนจบ ผมได้ยินแบบนั้นจึงนำกลับไปบอกให้คุณแม่ฟัง คุณแม่เองก็เห็นว่ามันเป็นโอกาสที่ตัวผมจะได้เข้ารับการศึกษาที่ดีเหมือนคน อื่นนับว่าดีมากแล้วสำหรับครอบครัวเราที่ไม่มีเงินมาก ผ่านมาห้าปีได้แล้วที่ผมได้เข้าเรียนที่นี่ ในช่วงแรกๆชีวิตการเรียนของผมค่อนข้างย่ำแย่มาก กินเวลาไปกว่าสองปีเพื่อฝึกฝนตนเองควบคู่ไปกับทำงานหาเงินให้ครอบครัว
                   “อาจารย์ เล่มนี้เอามาจากไหนหรือครับ? “     หนังสือเล่มนี้ไม่มีหน้าปก สภาพดูเก่ามาก
                             “ไหนๆ?.....เอ จำไมได้แล้วละ มันเยอะไปหน่อย โทษทีนะ “ อาจารย์หันขึ้นไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่
                   “ได้เวลาสอนแล้ว ฉันต้องไปก่อนนะ ฝากที่เหลือด้วยอารอน “ อาจารย์เดินออกจากห้องสมุดแห่งนี้ไปด้วยความเร่งรีบ
          ผมวางหนังสือเล่มนี้บนโต๊ะทำงานของอาจารย์แล้วเปิดดูหน้าแรก เป็นหน้ากระดาษเปล่าๆ มีแต่รอยเปื้อนสีดำกระจายเต็มหน้าดาษไปหมด เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วจึงเปิดมาดูหน้าต่อไปทันที แต่มันว่างเปล่าเหมือนกับหน้าแรกแทบทั้งหมด แต่ผมก็มาหยุดชะงักเมื่อได้พบว่าหน้ากระดาษถูกตัดออกเป็นช่องสี่เหลี่ยม สังเกตดูตรงกลางมีบางอย่างถูกยึดติดอยู่ มันคือผลึกสีดำสิ่งนี้คืออะไรกัน? ผมมองกลับไปที่หนังสือและเปิดหน้าต่อๆไปเรื่อยๆ มันต้องมีข้อมูลอะไรบางอย่างมากับมันด้วยสิ ถ้าผมเดาไม่ผิด.... แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้จริง ภาษาบางอย่างผมไม่สามารถอ่านมันได้เขียนเอาไว้ ผมจึงต้องใช้เวลาค้นหาแบบแปลภาษานี้ภายในห้องสมุด
 
----
 
เวลา เที่ยงเป็นเวลาที่ไม่มีคาบเรียน เหล่านักศึกษา ครูอาจารย์ก็ไปพักผ่อนทานอาหารกลางวัน บริเวณรอบๆมหาวิทยาลัยจะมีผู้คนเดินไปมาเยอะมากในช่วงเวลานี้ นักศึกษาบางกลุ่มก็ไม่มีเรียนแล้ว บางกลุ่มก็ยังคงมี สำหรับผม วันนี้ไม่มีคาบเรียนแล้ว ผมอาจจะอยู่ในห้องสมุดต่อไปจนเย็นหรือจะเดินกลับบ้านตอนนี้ก็ยังได้ แต่ยังมีเรื่องที่คาใจผมอยู่ สิ่งนี้คืออะไรกันแน่ ภาษานี้ก็ไม่มีในตำราเล่มไหนๆเลย ผมตั้งใจจะรอพบอาจารย์รอเบิร์ตในช่วงบ่ายหวังว่าเขาคงกลับมา ผมจึงพักเรื่องนี้เอาไว้เสียก่อน วางผลึกสีดำนี้ในหนังสือแล้วปิดมันตามเดิม จากนั้นเดินไปที่ภัตตาคารของมหาวิทยาลัย
                   “แม่ครับ ผมมาช่วยงานแล้ว “ ผมทักคุณแม่ที่กำลังทำอาหารอยู่ที่นี่ ที่ภัตตาคารภายในมหาวิทยาลัย ผมต้องมาช่วยคุณแม่ทำอาหารในช่วงกลางวันทุกวันที่แม่มาทำงาน
                   “โอ้ อารอน งานที่ห้องสมุดเสร็จแล้วหรือ? “
                   “ครับ เดียวผมจัดการเองครับ “    ผมเดินมาที่กระทะแล้วทำหน้าที่เป็นคนทำอาหารแทนคุณแม่
                   “จ้า จ้า ฝีมือลูกแม่เทียบไม่ติดแล้วสินะเนี่ย “         คุณแม่ยื่นตะหลิวมาให้ผม
                   “ไม่หรอกครับ แม่ก็ทำอาหารได้เก่งกว่าผมอยู่แล้ว “
                   “จริงหรอ? แม่เห็นเวลาลูกมาทีไรมีลูกค้ามาต่อแถวกันยาวเหยียดเลยละ โดยเฉพาะสาวๆหนะ " คุณ แม่หัวเราะ พวกเธอคงจะเลิกเรียนช้ากว่าคนอื่นๆถึงได้เพิ่งจะมาต่อแถวเอาตอนนี้ มันก็ผ่านเวลามานานแล้ว ร้านนี้ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นซะหน่อย
 
----
 
          เมื่อ คาบเรียนช่วงบ่ายเริ่มต้นขึ้น นักศึกษาหลายคนก็เดินกลับออกจากภัตตาคารกันมากมาย ส่วนผมก็ช่วยคุณแม่เก็บร้านให้เรียบร้อยก่อนที่ผมจะกลับเข้าไปในห้องสมุดอีก ครั้งเพื่อค้นหาเรื่องที่สงสัยต่อ
                   “ขอบใจมากเลย อารอน จะไปที่ห้องสมุดต่อสินะ? “ คุณแม่ถามผมขณะที่กำลังล้างกระทะ
                   “ครับ “ 
หลัง จากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมวิ่งออกจากภัตตาคารกลับไปที่ห้องสมุดทันที เมื่อผมเปิดตูเข้าไปข้างใน ผู้คนในห้องสมุดแทบไม่มีใครอยู่เลย พวกเขากลับออกไปหมดแล้ว     ผมได้ยินเสียงคุณรอเบิร์ตนั่งร้องเพลงเบาๆกลางห้องสมุด เขาอารมณ์ดีมากจากไหนนะ ทั้งๆที่น่าจะนั่งทำหน้าตาน่าเบื่อเหมือนที่ผ่านๆมา เขาเคยบอกกับผมว่ารู้สึกเบื่อกับการเป็นคนดูแลห้องสมุดแล้วอยากจะเปลี่ยน เป็นอย่างอื่นบ้าง แต่เขาก็ยังคงเป็นมาจนถึงทุกวันนี้
                   “อ้าว! อารอนกลับมาแล้วหรอ ไปช่วยคุณแม่อีกแล้วสินะ “ เขาสังเกตเห็นผมที่เข้ามาพอดี
                   “ครับ ว่าแต่อาจารย์.. “
                   “อ้อ! ลูกสาวของฉันกำลังจะมาเยี่ยมนะสิ ฉันดีใจมากเลยละ “
                   “แล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่ได้อยู่กับเธอละ? “ ผมถาม
                   “เมื่อ ก่อนครอบครัวฉันอยู่ในเมืองหลวงเลย ที่เซนทิเนลฉันทำงานเป็นผู้ช่วยนักวิจัยในมหาวิทยาลัยเซนทิแนล ที่นั่นทุกๆอย่างดีทั้งหมด มีบ้านหลังใหญ่โตอยู่กับภรรยาและลูกสาวแต่หลังจากสงครามจบลง เมืองรอบๆจำเป็นต้องมีการพัฒนา ฉันเลือกได้ว่าจะอยู่ที่นี่เซนทิแนลต่อหรือให้ย้ายมาเป็นอาจารย์สอนที่ เกนต์วูต ฉันเป็นผู้ช่วยนักวิจัยมานานเลยอยากมาเป็นอาจารย์บ้าง ฉันถึงต้องมาคนเดียวไง “
                   “งั้นหรือครับ... “
                   “หืม? มีอะไรหรือเปล่า อารอน? “
                   “ผมอยากให้อาจารย์ตรวจสอบเจ้าสิ่งนี้ครับ “ ผมเดินไปหยิบหนังสือเล่มนี้ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของอาจารย์ 
                   “นะ..นี่มัน “ อาจารย์หยิบมันออกมาดู "ผลึกเวทมนต์ไม่ใช่หรือ?.... "
                   “ผลึกเวทมนต์?“ อาจารย์วางมันลงไว้ที่เดิม
                   "มันเป็นผลึกที่สะสมพลังเวทมนต์ ไว้ภายในรูปแบบของผลึก ซึ่งมันมีส่วนประกอบค่อนข้างซับซ้อนมากเลย "
                   “ไหนส่งมาให้ฉันหน่อย “ อาจารย์คว้าแว่นตาขึ้นมาใส่แล้วมองดูใกล้ๆ
                   “ถึงฉันจะเห็นผลึกเวทมนต์มาเยอะแล้วก็เถอะ...แต่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย “
                   “ทำไมหรือครับ? “
                   "เดิมทีผลึกเวทมนต์จะส่องแสงออกมาตลอดเวลาเพราะพลังเวทมนต์ที่อยู่ภายใน แต่นี่กลับไม่ส่องแสง เหมือนกับพลังเวทมนต์ข้างในมัน... "
                   "มันหายไปหรือครับ? "
                   "แต่ มันเป็นไปไม่ได้ ผลึกเวทมนต์มีความเสถียรสูงมากพอที่จะกักเก็บพลังเวทมนต์ได้แทบจะถาวร หรือถ้าไม่ใช่เพราะมันหายไป ก็คิดได้อีกอย่างหนึ่งคือ "
                   "มันถูกใช้จนหมดจากภายใน..."
                   “อาจารย์ครับ มีข้อความที่เขียนด้วยภาษาบางอย่าง ผมเปิดดูตำราแล้วก็ไม่รู้ว่ามันคือภาษาของอะไร “ ผมเปิดให้อาจารย์ดู
                   “นี่มัน ภาษาของเอล์ฟโบราณ .... “ อาจารย์ยกหนังสือขึ้นมาอ่าน
                   “อาจารย์อ่านมันได้ด้วยหรือครับ? “
                   “ก็พอจับใจความได้ ไม่ได้เจอภาษานี้ตั้งแต่สมัยยังอยู่ในป่า...สมัยฉันยังเด็ก “ อาจารย์เพ้งเล็งที่หนังสือ
                   “รักษามันให้พ้นจาก...“
                   "ตัวหนังสือมันเลือนหายไป ฉันอ่านได้เท่านี้ "
                   “รักษา? “ อาจารย์ปิดหนังสือแล้ววางมันลงที่เดิม
                    “เดียวฉันจะตรวจสอบมันอย่างละเอียดด้วยตัวเองทีหลังละกัน “ อาจารย์หยิบผลึกเวทมนต์นั้นใส่ไว้ในหนังสือตามเดิม
          ผมจึงกลับมาเรียบเรียงกองหนังสือที่วางทิ้งไว้ตั้งแต่เช้าต่อ      เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งตกเย็น เมื่อผมมองออกไปข้างนอกหน้าต่างบานใหญ่ๆ มองเห็นท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มตัดกับเมฆสีแสด...ดวงอาทิตย์ก็กำลังจะตก นักศึกษาส่วนใหญ่ต่างทยอยเดินออกจากมหาวิทยาลัย
                   “อารอนงานเสร็จแล้วนี่นา กลับบ้านเถอะ คุณแม่น่าจะกลับไปแล้วละ “ อาจารย์รอเบิร์ตทัก
                             “ฉันเองก็จะปิดห้องสมุดแล้วละจะรีบกลับบ้านไปหาลูกสาวเสียที น่าจะมาถึงแล้วละมั่ง “
                             “ครับ อาจารย์ส่วนเรื่อง.... “
                             “ไม่ต้องห่วง ฉันจะวิเคราะห์มันด้วยตัวเอง รีบไปเถอะเดียวคุณแม่จะเป็นห่วงนะ “ เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมจึงเดินออกมา
 
                   “อะ..อารอน.. กลับบ้านแล้วหรอ “ หญิงคนหนึ่งทักผม
                   “ก็ใช่สิ! “ เพื่อนที่เดินคู่มากับเธอตอบใส่เธออย่างดัง
                   “ เวลานี้ไม่ว่าใครๆก็กลับบ้านกันทั้งนั้นแหละ เธอนี่ซื่อบื้อจัง!... ใช่ไหมคะ อารอน “ เธอหันกลับมาพูดคุยกับผมด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มทันที
                   “นี่เธอ! ทำหน้าแบบนั้นพูดคุยกับอารอนได้ยังไง! “
                   “นี่มันเรื่องของฉัน! เธออยู่เงียบๆไปเถอะนา! “ ผมจึงเร่งฝีเท้ากลับบ้านทันทีเมื่อเริ่มเห็นว่าพวกเธอเริ่มทะเลาะกันเอง
 
                   ----
 
          ถนนเส้นนี้เป็นถนนสายหลักที่ตัดผ่านเมืองเกนต์วูตไปถึงเมืองใกล้เคียง สังคมของที่นี่นับว่าดีเพราะหลายคนมีงานทำ ส่วนใหญ่พวกเขาก็ยังเป็นเกษตรกรหรือไม่ก็เปิดธุรกิจส่วนตัวเช่น ร้านอาหาร ร้านตัดผม ร้านเครื่องดื่ม ร้านดอกไม้ และอีกมากมาย บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำจากอิฐและปูน ทั้งนี้เป็นเพราะการออกแบบผังของเมืองให้มีช่องทางการจราจรที่สะดวกโดยให้ ถนนสายใหญ่สองสายตัดกันที่จุดศุนย์กลางของเมือง ทำการขนส่งเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยเหตุนี้เองทำให้ที่นี้พัฒนาจนเป็นเมืองได้ภายในเวลาไม่ถึงห้าปีจากเดิม ที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่นี่เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับผม          ระหว่างทางกลับทางซ้ายเป็นสวนสาธารณะวอเทอร์การ์เดน ( Water Garden )  ไมได้เข้าไปเยี่ยมชมข้างในนานแล้วเหมือนกัน สวนสาธารณะนี้ก่อสร้างหลังตัวเมืองราวๆหนึ่งปีเพราะต้องขุดร่องน้ำเชื่อมต่อ เข้ามาภายในสวนแห่งนี้ ใจกลางของสวนวอเทอร์การ์เดนคือน้ำพุขนาดใหญ่เป็นเอกลักษณ์ เหตุผลที่ทำไมสวนนี้จึงได้ชื่อนี้มาเพราะใช้ศิลปะในการออกแบบควบคู่ไปกับน้ำ ที่ไหลอยู่ตลอดเวลาตามราง   ผมก้าวเข้าในสวน มองเห็นเด็กหลายคนวิ่งเล่นไปมา เสียงหัวเราะของพวกเด็กๆทำให้ที่นี่ไม่เงียบเหงาเหมือนเมื่อก่อน มีผู้คนไม่น้อยเลยที่เข้ามาพักผ่อนในสวนแห่งนี้เพราะเป็นช่วงเวลาเลิกงานและ เรียน
 
                   “ไปเอาขนมปังกัน!! “ เสียง ของเด็กคนหนึ่งพูดกับเพื่อนๆของเขา แล้วก็พากันวิ่งไป สายตาของผมตามเด็กเหล่านั้นไป ผู้หญิงคนหนึ่งเธอสวมเสื้อคลุมหยิบขนมปังในตะกร้าใบใหญ่ให้กับเด็กพวกนั้น โดยไม่ต้องมีค่าตอบแทนรวมทั้งคนอื่นๆด้วย เมื่อเด็กๆต่างก็ได้ขนมปังกันหมดแล้วก็วิ่งจากไป ส่วนเธอก็วางตะกร้าลงแล้วนั่งที่ม้านั่ง เมื่อเธอนำเสื้อคลุมออก ผมจึงได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวและผมยาวสีดำ เธอหันมาเห็นผม
 
                   “ขอโทษนะคะ หมดเสียแล้ว... “ เธอพูดกับผม คงคิดว่าผมเองก็อยากได้ขนมปังเหมือนกัน
                   “ไม่มีอะไร ผมแค่เดินผ่านมาเห็นเท่านั้นเอง “
                   “เธอมาจากที่อื่นงั้นหรือ? “
                   “เอ๋? รู้ด้วยหรือคะ “
                   “ฉันเดินผ่านที่นี่ประจำ เป็นครั้งแรกที่เห็นคนเอาขนมปังมาแจกให้เด็กๆ แล้วจะให้คิดว่าเป็นคนในท้องถิ่นหรือไง “
                   “อีกอย่างราคาไม่ถูกนะ ใช่ว่าจะซื้อแจกให้กันได้ง่ายๆ “ เธอยิ้มเล็กน้อย
                   “ใช่คะ ฉันมาจากเมืองหลวงของไพร์ทแลนด์ เออ...” เธอขยับไปชิดม้านั่ง
                   “ถ้าไม่รังเกียจเชิญนั่งเถอะคะ ยืนพูดแบบนั้นฉันรู้สึกไม่ค่อยดี“ ผมจึงเดินเข้าไปแล้วก็นั่งลงแต่จะว่าไปม้านั่งนี่มันแคบไปหน่อยหรือตัวเราใหญ่เกินไป?
                   “จากเมืองหลวงมาชนบทแบบนี้ ทำไมกัน? “ ผมถาม
                   “ในเมืองหลวงเซนทิแนล ฉันได้ยินว่ามีทุกอย่างของความสะดวกสบายนี่นา “
                   “ก็ไม่จริงไปซะหมดหรอก ความสะดวกสบายที่คุณพูดถึง มันต้องแลกมากลับความยากลำบากหลายเท่าตัว “
                   “แต่ ละคนต้องทำงานกันหลายชั่วโมงกลับมาถึงบ้านก็แทบจะไม่มีเวลาสังสรรค์กับครอบ ครัว เพราะต้องพักผ่อนเพื่อให้มีแรงในการทำงานวันรุ่งขึ้น ชีวิตที่นั้นวุ่นวาย... “
                   “ฉันชอบข้างนอกนี้มากกว่า บรรยากาศที่บริสุทธ์แล้วก็ท้องฟ้าที่โปร่งใสได้ยินเสียงนกร้องมาแต่ไกล รู้อย่างนี้น่าจะออกมาอยู่ตั้งแต่แรก “
                   “น่า แปลกนะที่ไม่ว่าใครๆในเมืองนี้ ต่างก็บอกว่าอยากจะเข้าไปใช้ชีวิตในเมืองเซนทิแนลเพราะพวกเขาเชื่อว่าอะไรๆ มันก็ดีกว่าชนบทแบบนี้ ในขณะเดียวกันคนที่เติบโตในเมืองเซนทิแนลกลับต้องการจะออกมาอยู่ข้างนอก “
                   “แล้วสำหรับคุณละ “ เธอหันมามองผม
                   “ฉันอยู่เมืองนี้มาได้เกือบสิบแปดปีแล้ว ครอบครัวของฉันไม่ได้มีฐานะร่ำรวยเลย "
                   "พวกเราเป็นแค่เกษตรกร เมืองเซนทิแนลจึงไม่เหมาะสำหรับพวกเรา แม้มันจะดีเลิศแค่ไหนก็ตามไม่มีที่ไหนดีกว่าบ้านของเราอีกแล้ว “
                   “พ่อของฉันพูดแบบนั้นอยู่เสมอ... “ ผมหันไปมองเธอ
                   “เอ๋!? แต่ฉันคิดว่าบ้านของฉันไม่น่าอยู่เท่าที่นี้นะ “ เธอแย้งเล่นๆ
                   “ถ้าอย่างเธอก็เรียกที่นี่ว่าบ้านแทนซะสิ “  ผมและเธอต่างก็หัวเราะเบาๆ
พระ อาทิตย์ตกลับฟ้าไปพร้อมกับแสงสว่างที่เริ่มจางหาย เสียงเล่นสนุกของพวกเด็กๆก็หายไป ผู้คนที่อยู่ในสวนวอเตอร์การ์เดนทยอยกันเดินออกจากสวนกลับสู่บ้านของพวกเขา หลงเหลือเพียงแค่เสียงของน้ำพุที่ทำให้ที่นี่ไม่เงียบเหงา   เธอหันมองไปข้างนอกสวน
                   “มาแล้วสินะ “ ไม่นานก็มีรถม้าวิ่งมาจอด ณ ทางเข้าของวอเตอร์การ์เดน
                   “ขอโทษนะ ฉันต้องกลับแล้วละ.. “ เธอลุกออกจากม้านั่ง
                   “ไว้เจอกันโอกาสหน้านะ... เอ่อ ..“
                   “อารอน คาร์เตอร์ “ ผมบอกชื่อของตัวเองให้เธอได้รู้
                   “อารอน.. ฉันชื่อ เลวี่ รอเบิร์ต ยินดีที่ได้พบคุณนะ “ เธอใช้มือควานหาอะไรบางอย่างในเสื้อคลุมสีขาวของเธอ
                   “ฉันลืมไปว่าเหลือของตัวเองเอาไว้ด้วย รับไว้ทีได้ไหม? “ สิ่งที่เธอยื่นมาให้ผมคือ ขนมปังที่เธอแจกให้กับเด็กๆนี่เอง
                   “ไม่เป็นไรหรอก ทานมันเถอะ “ ผมปฏิเสธ
                   “โปรดรับไว้เถอะนะคะ “ น้ำเสียงของเธอดูหดหู่ ผมจึงคว้าขนมปังในมือเธอมา
                   “พอใจแล้วสินะ คนในเมืองนี่เห็นแก่ตัวจัง “ ผมหยอกล้อเธอ
                   “ขอบคุณมาก... “ เธอยืนยิ้มมาที่ผม
                   “ไว้พบกันวันหน้านะคะ “ เธอเดินไปขึ้นรถม้าอย่างใจเย็น ไม่นานรถม้าก็ขับออกไป
 
          ผมลุกจากม้านั่งแล้วเดินออกจากสวนวอเตอร์การ์เดนทานขนมปังไปด้วย เวลาหัวค่ำบ้านเรือนต่างก็เปิดไฟอย่างสุขสว่าง ตามท้องถนนนี้ก็มีแสงไฟตามทางด้วยเวทมนต์แสงอย่างง่าย ถ้าพูดถึงเวทมนต์ผมไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไรนักแต่มีผู้ที่สามารถเข้าใจและใช้ มันได้อยู่มากมายทั้งในมหาวิทยาลัยเกนต์วูตแห่งนี้และมหาวิทยาลัยอื่นๆก็มี หลักสูตรสอนเวทมนต์ด้วยเช่นเดียวกันแต่ผมไม่ชอบท่าไรนักจึงปฏิเสธที่จะเรียน เวทมนต์ไป                ถึงแล้ว บ้านของผมอยู่ตรงสุดมุมของถนนสายนี้ เป็นบ้านไม้สองชั้นขนาดเล็กมีพื้นที่ราวๆหกสิบสี่ตารางเมเทอร์ ล้อมรอบด้วยรั้วไม้เตี่ยๆ ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้บางส่วนของบ้านเริ่มผุพังแล้ว เมื่อผมเปิดประตูรั้วไม้แล้วเดินเข้ามา ผมเห็นแสงไฟสีเหลืองอ่อนๆส่องออกจากหน้าต่างตัดควันจางๆจากในห้องครัว ผมรู้ว่าคุณแม่กำลังทำอาหารอยู่อย่างแน่นอน
                   ก๊อก ก๊อก ผมเคาะประตูบ้านของตัวเอง “กลับมาแล้วครับ แม่ “
                   “จ้า! “ เสียงตะโกนของแม่พร้อมกับเสียงฝีเท้า เและแล้วประตูก็เปิดออกจากด้านใน
                   “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะจ่ะ “ คุณแม่เข้ากอดผมอย่างอบอุ่น
                   “ครับ ขอโทษที่กลับดึกนะครับ “
                   “ช่างมันเถอะ แม่ทำอาหารเย็นเสร็จพอดีเลย “ แม่คว้ากระเป๋าสะพายออกจากไหล่ของผม แล้วแขวนไว้กับผนัง
                   “ครับ “ ผมเดินเข้ามาในห้องครัวทันที
          ห้องครัวในนี้ไม่กว้างและก็ไม่เล็กเกินไป กลางห้องมีโต๊ะพร้อมเก้าอี้สี่ตัวตั้งอยู่กลางห้อง แสงของเทียนทำให้ห้องดูสว่างไสวและไม่คับแคบ ผมนั่งทานอาหารเย็นกับคุณแม่
                   "วันนี้ที่ห้องสมุดเป็นยังไงบ้างล่ะ? อารอน" คุณแม่ถามผม
                   "ไม่มีอะไรครับ แค่มีหนังสือเข้ามาเพิ่มอีกเหมือนเดิม "
                   "คุณรอเบิร์ตอีกแล้วสินะ ฮะๆ " คุณแม่หัวเราะ        เมื่อเราต่างทานอาหารหมดจาน แม่หันมาพูดกับผมอีกครั้ง
                   "ปีนี้เธออายุเท่าไรแล้วนะ อารอน .... สิบหกเศษๆ?"
                   "ผมใกล้จะสิบแปดแล้วครับแม่ " 
                   "โอ๋! แม่ลืมไปเสียสนิทเลย ..ถ้าใกล้จะสิบแปดแล้ว " แม่ลุกออกจากโต๊ะอาหารแล้วเดินออกไปซักพักหนึ่งแล้วจึงกลับเข้ามา พร้อมกับเสื้อผ้าที่พับไว้อย่างเรียบร้อยในมือ
                   "วันเกิดก็ต้องให้ของขวัญใช่ไหม? " แม่ยิ้ม
                   "ก่อนสมัยที่แม่กับพ่อจะแต่งงานกัน พ่อของเธอเขาใส่เสื้อตัวคลุมตัวนี้เป็นประจำ จนแม่รู้สึกคุ้นตาไปเลย "
                   "หลังจากที่เราแต่งงานกันพ่อเขาก็เลิกใส่เสื้อคลุมตัวนี้เพราะเกรงว่าแม่จะเบื่อ นั่นเอง ฮะๆ..."
                   "เขาก็บอกกับแม่อีกว่า เก็บมันเอาไว้...ให้อารอนเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ให้กับเขา "
                   "รับไปซะสิ " ผมหยิบผ้านี้แล้วค่อยๆคลี่ออก เป็นเสื้อคลุมหนาๆสีดำที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ไม่มีลวดลายสะดุดตา มีแต่รอยขาดริ่วอยู่เต็มไปหมด พ่อคงใส่มันบ่อยมากๆถึงอย่างนั้นมันก็เป็นของที่มีค่ามากสำหรับผม
                   "ลองใส่มันหน่อยสิ " คุณแม่พูด      ผมค่อยๆสอดแขนเข้าไปทั้งสองข้าง ปรากฏว่ามันพอดีตัวกับผมเลย ไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป
                   "โอ๋ เธอเหมือนกับเขามากเลยนะ คุณพ่อหนะ " คุณแม่ทักผมอีกครั้ง
                   "พวกรอยขาดนั่น เดียวแม่จะจัดการให้ทีหลังนะ "
                   "ไม่เป็นไรครับแม่ ไม่ต้องซ่อมมันหรอก .... ผมคิดว่าแบบนี้มันเหมาะดีแล้วนะครับ "
                   "จ้า จ้า ตามใจ "
          
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา