โลกใบสุดท้าย
เขียนโดย xoxo
วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 08.45 น.
แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 08.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) เกสรน้ำตาดอกไม้จันทร์ทรา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความโลกใบสุดท้าย (เบญจภาคี)
บทที่ 7
เกสรน้ำตาดอกไม้จันทร์ทรา
ท่ามกลางความมืดมิดมีหมอกจางๆลงมาปกคลุมทั่วอาณาบริเวณต้นไม้ใหญ่ขึ้นเรียงรายเป็นทิวแถวเหมือนมีใครมาปลูกมันไว้
“ต้นยางพารา” กาญรำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะเพ่งมองออกไปเบื้องหน้าก็เห็นแสงไฟรำไรเขาเดินตามทางเข้าหาแสงไฟนั้นทันทีและเมื่อก้าวเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น
“ปัง!” กาญรีบหาที่กำบังตามต้นไม้ด้านหน้าทันที ด้วยความอยากรู้ว่าเบื้องหน้านั้นคืออะไรและกำลังเกิดอะไรขึ้น กาญจึงหมอบคลานต่ำเข้าไปใกล้ๆอย่างเงียบกริบจนกระทั่งเขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างเบื้องหน้าได้ และสิ่งที่เขาเห็นอยู่เบื้องหน้าก็คือ ภาพของกองกำลังกลุ่มหนึ่งซึ่งใช้ผ้าโพกใบหน้าอำพรางตัวเอง ลักษณะการแต่งกายอย่างนี้เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นใคร
“พวกผู้ก่อการร้ายนี่” กาญอุทานออกมาเบาๆ พวกมันกำลังยืนโอบล้อมอะไรบางอย่างอยู่ และเมื่อเพ่งมองเข้าไปก็ทำให้กาญเห็นชายคนหนึ่งนั่งคลุกเข่ามือไพล่หลังมีเชือกมัดอยู่ ด้านข้างของชายผู้นั้นมีคนนอนกองอยู่สามถึงสี่คน ลักษณะการแต่งกายของชายที่โดนล้อมอยู่นั้นเป็นลักษณะของทหารหรือตำรวจอย่างแน่นอน และกาญก็ต้องตาโตอีกครั้งเมื่อชายที่คุกเข่าอยู่นั่นก็คือ
“พ่อ!” กาญอุทานออกมา พอเห็นว่าเป็นใครเขาผุดลุกออกจากที่ซ่อนวิ่งเต็มกำลังเข้าไปเพื่อหวังจะช่วยพ่อของเขาทันที แต่ดูเหมือนมันจะสายไปเสียแล้ว
“ปัง!” เสียงปืนดังขึ้นร่างของพ่อเขาทรุดฮวบลงทันที
“พ่อ!” กาญตะโกนออกมาสุดเสียง พร้อมกับการสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นจากที่นอน หัวใจเต้นเป็นกองรัวเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
“ฝัน...ฝัน...” กาญอุทานออกมาเบาๆ ฉับพลันสายตาของเขาสอดส่ายไปรอบๆข้าง
“นี่เรากลับมาแล้ว” กาญลืมเรื่องความฝันเมื่อสักครู่ไปอย่างสิ้นเชิง เขาแบมือที่กำแน่นออกมา
“เกสรน้ำตาฯ...มันเป็นเรื่องจริงหรือนี่” กาญอุทานออกมาอีกครั้ง เมื่อพบขวดเกสรน้ำตาดอกไม้จันทร์ทรา เขารีบลุกออกมาจากที่นอนเดินตรงมาที่กระจกมองตัวเองอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง ซึ่งบัดนี้เขาอยู่ในชุดเดิมที่เขาสวมก่อนนอน กาญค่อยๆเปิดเสื้อออกเพื่อจะดูอะไรบางอย่างที่ไหล่ซ้าย
“แผลเป็น!” เมื่อเปิดเสื้อออกมากาญก็พบกับแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากดาวกระจายของนินจา
“นี่มันไม่ใช่ความฝัน” กาญหลับตาใช้มือซ้ายขยี้ขมับตัวเองไปมา และหายใจแรงๆ
“เอาวะ...จะเกิดอะไรก็ให้มันเกิด” กาญอุทานออกมาและเหลือบมองไปที่นาฬิกาข้างฝา
“ตีห้าครึ่ง...นี่เราไปตั้งนานกลับมาพึ่งจะตีห้าครึ่งเองหรอ...แปลกจริง...ไม่คิดไม่คิด..ไปช่วยแม่เราก่อนดีกว่า...”
เมื่อคิดอยู่ในใจอย่างนั้น เขาก็รีบอาบน้ำและแต่งตัวเตรียมออกไปหาแม่ของเขาที่โรง พยาบาลทันทีแต่ในขณะที่กาญกำลังจะสวมเสื้อสายตาก็พลันเห็นอะไรบางอย่าง
“พระของเราที่หายไป...กลับมาได้ยังไง...” กาญคิดอยู่ในใจก่อนหยิบสร้อยพระที่คอมาดูและทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิมเขายกมือขึ้นพนมเหนือหัวโดยมีองค์พระอยู่ในมือและพูดขึ้น
“ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธ์คุ้มครองพ่อกับแม่ของลูกช้างด้วยเถิด” และเมื่อจัดการทุกภารกิจส่วนตัวเสร็จสิ้น เขาจึงนำสิ่งของที่จำเป็นใส่กระเป๋าสะพายก่อนจะวิ่งจ้ำอ้าวออกจากรั้วบ้านตรงดิ่งไปยังป้ายรถเมล์ทันที
แสงอาทิตย์สีทองของวันใหม่เริ่มทาบจับขอบท้องฟ้า กาญยืนเบียดกับผู้คนบนรถเมล์หัวใจจดจ่ออยู่ที่โรงพยาบาลชานเมืองแถวรังสิต เพราะแม่ของเขาได้สิทธิ์รักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลของรัฐย่านชานเมือง ทั้งที่ตัวเขาเองอาศัยอยู่ในเมืองหลวงจะด้วยเหตุผลใดกาญก็ไม่อาจทราบได้ และไม่นานนักรถเมล์ก็พากาญมาถึงหน้าโรงพยาบาลที่แม่เขารักษาตัวอยู่ เขาเบียดเสียดผู้คนออกมา ก่อนจะรีบกระโดดตัวปลิววิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลทันที
ไม่นานนักสองขาของกาญก็พาเขามายืนที่หน้าห้องไอซียูภายในโรงพยาบาลแห่งนั้น แต่กาญก็ไม่สามารถเข้าไปภายในได้ เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเยี่ยมของคนไข้ในห้องไอซียู กาญได้แต่เดินวนไปวนมาก่อนจะตัดสินใจเดินไปถามนางพยาบาลที่เคาน์เตอร์
“เอ่อ...คุณพยาบาลครับ” นางพยาบาลเข้าเวรเงยหน้าขึ้น
“มีอะไรหรือจ๊ะ”
“เอ่อ...ผมจะขออนุญาตเข้าเยี่ยมแม่ของผมหน่อยได้ไหมครับ” นางพยาบาลแหงนมองดูนาฬิกา
“ยังไม่ถึงเวลาเยี่ยมนะจ๊ะ...นี่มันยังไม่เจ็ดโมงเช้าเลย...เวลาเยี่ยมเก้าโมงเช้านะ...เดี๋ยวเธอค่อยมาใหม่ก็แล้วกัน...” เมื่อพยาบาลพูดจบก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ กาญถึงกับหน้าละห้อย และก่อนที่เขาจะเดินจากไปอย่างผิดหวัง
“เอ๊ะ! เดี๋ยวน้อง” นางพยาบาลเอ่ยขึ้น กาญรีบหันกลับมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียก
“น้องใช่ลูกป้าจันทร์ฉายที่ถูกยิงมาเมื่อวานหรือเปล่าจ๊ะ”
“ใช่ครับ...แม่ผมเองครับ” กาญรีบพยักหน้ารับ และใจจดใจจ่ออยู่ว่านางพยาบาลจะพูดอะไรต่อ
“เอ่อ...” นางพยาบาลทำท่าอ้ำอึ้ง กาญเห็นนางพยาบาลทำท่าอย่างนั้นก็รีบเอ่ยถามทันที
“มีอะไรหรือครับคุณพยาบาล...แม่ผมเป็นอะไร” กาญพยายามคาดคั้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
“เอ่อ...คืออย่างนี้นะ...ตอนนี้แม่ของเธอไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว” นางพยาบาลพูดจบกาญทำท่าตกใจ
“อ้าว! ทำไมล่ะครับ”
“เมื่อคืนนี้แม่ของเธออยู่ๆก็หยุดหายใจ”
“หา!” คำพูดของนางพยาบาลทำเอากาญแสดงอาการตกใจสุดขีด ดวงตาของเขากระพริบไม่เป็นจังหวะน้ำตาเริ่มซึมออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวมือเท้าชาไปหมด
“ทางโรงพยาบาลพยายามช่วยชีวิตอย่างเต็มที่แล้ว” นางพยาบาลพูดต่อ
“มะ...มะ...แม่ผมตายแล้วหรือครับ” สายตาของกาญเลื่อนลอยพูดแทบไม่เป็นภาษา
“เอ่อ...ยังนะ...แม่ของเธอยังไม่สิ้นลม...คุณหมอใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจให้แม่เธอฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง...แต่...” คำพูดของนางพยาบาลทำเอากาญหายใจคล่องมาอีกหน่อย
“ แต่อะไรหรือครับ”
“หมอบอกว่าโรงพยาบาลของเราไม่สามารถจะช่วยแม่ของเธอได้อีกแล้วเพราะแม่ของเธอมีอาการแทรกซ้อน...หมอจึงตัดสินใจส่งแม่ของเธอไปโรงพยาบาลจุฬาฯศูนย์หัวใจ...ที่นั่นมีเครื่องมือที่ดีกว่า” นางพยาบาลมองกาญด้วยสายตาที่แสนจะกดหู่เมื่อเห็นน้ำตาของกาญไหลนองหน้าอย่างนั้น
“แม่ของผมยังไม่ตายแน่นะครับ” กาญยกมือเช็ดน้ำตาตัวเองและถามย้ำเพื่อความมั่นใจ นางพยาบาลถอนหายใจเบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เรื่องนี้...พี่ยืนยันกับเธอไม่ได้...ถ้าอย่างไรเธอลองติดต่อกับโรงพยาบาลจุฬาฯดูนะแม่ของเธออยู่ที่นั่นแล้ว”
“ครับ” กาญตอบสั้นๆพร้อมกับหันหลังเดินจากไป
“เดี๋ยว!” เสียงเรียกของนางพยาบาลดังขึ้นจนกาญต้องหันกลับมาตามเสียงเรียกของนางพยาบาลอีกครั้ง
“ทางโรงพยาบาลพยายามติดต่อเธอแล้วนะแต่ติดต่อไม่ได้เลย...เธอไม่มีโทรศัพท์หรือ...”
“ครับ...ผมไม่มีโทรศัพท์” กาญตอบซื่อๆ
“เธอควรจะมีไว้บ้างนะ...อย่างน้อยๆเกิดอะไรขึ้นจะได้ติดต่อเธอได้ง่ายๆ...เพราะแม่เธออยู่ในอาการที่ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่” นางพยาบาลพูดเรียบๆและมองกาญด้วยสายตาเวทนา
“ครับ...ขอบคุณครับที่แนะนำครับ”
“อือ...ขอให้แม่เธอปลอดภัยนะ” นางพยาบาลพูดจบกาญก็ยกมือไหว้เป็นการขอบคุณก่อนที่จะเดินจ้ำอ้าวจากไปจุดมุ่งหมายคือโรงพยาบาลจุฬาฯที่แม่ของเขาถูกส่งตัวไป ขณะที่เขาจะวิ่งไปขึ้นรถเมล์แวบหนึ่งในสมองก็คิดอะไรขึ้นมาได้
“เร!” กาญอุทานออกมาและหยุดกึกลงกลับที่
“ไหนๆก็มาแล้วไปหาเรก่อนแล้วกัน แม่อยู่กับหมอแล้วคงยังไม่เป็นอะไรไปในตอนนี้..” กาญคิดได้อย่างนั้นก็เดินจ้ำอ้าวขึ้นไปบนโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อเยี่ยมอาการเพื่อนของเขา ไม่นานนักกาญก็มายืนอยู่ข้างๆเตียงเพื่อนของเขา ซึ่งบัดนี้นอนซมอยู่ด้วยพิษจากบาดแผลบวกกับอาการเป็นไข้ร่วมด้วยจึงทำให้เรนอนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม กาญเห็นเพื่อนเป็นอย่างนั้นถึงกับรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูกเขาใช้มือสัมผัสที่หน้าผากของเรเพื่อดูว่าตัวร้อนหรือเปล่า
“อื้อหือ...ตัวร้อนขนาดนี้เลยหรือ” กาญรำพึงออกมาเบาๆ ขณะที่เรค่อยๆลืมตาขึ้น
“อ้าว!กาญ...มาตั้งแต่เมื่อไหร่” เรพยายามปล่งเสียงออกมาและพยายามชันตัวลุกขึ้นนั่ง
“ไม่ต้องลุก นอนพักก่อน...เดี๋ยวเราไปขอยาลดไข้มาให้ตัวนายร้อนมากเลย” กาญพูดขึ้นพร้อมกับจับตัวเรให้นอนลง
“ไม่ต้องกาญ...นางพยาบาลเพิ่งเอายามาให้เรากินเมื่อครู่นี้เอง”
“แต่ตัวนายยังไม่หายร้อนเลยนี่”
“ไม่เป็นไรหรอกยาคงยังไม่ออกฤทธิ์น่ะ” กาญถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องบาดแผล
“แล้วแผลนายเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็รู้สึกเจ็บอยู่ว่ะ...มันคงระบม” เรพูดพร้อมกับเอามือมากุมที่บาดแผลตัวเองเบาๆ
“ว่าแต่ว่าแม่นายเถิด...เป็นอย่างไรบ้าง” เรพูดจบกาญถึงกับถอนหายใจยาวๆ
“แม่เราถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลจุฬาฯแล้ว...นี่เราว่ากำลังจะตามไปหลังจากที่มาดูนายก่อนนี่แหละ” เรเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อกาญพูดจบ
“อ้าว!เหรอ” กาญพยักรับ
“กาญ นายรีบไปเถิดไม่ต้องเป็นห่วงเรา...เราอยู่ได้...คนอย่างเราไม่ตายง่ายๆหรอก” เรพูดจบก็ยิ้มที่มุมปากน้อยๆ กาญมองดูบาดแผลของเรที่ยังคงมีเลือดซึมออกมาจากผ้าปิดแผลน้อยๆ และฉับพลันทันใดกาญก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“เฮ้ย! เรามีเกสรน้ำตาดอกไม้จันทร์ทราที่คุณตาให้ไว้นี่หว่า...มันน่าจะใช้กับเรได้นะ”กาญคิดได้อย่างนั้นก็มองซ้ายมองขวาพร้อมกับดึงผ้ากั้นคนไข้ล้อมเตียงก่อนจะเข้ามาใกล้เรเอามือเอื้อมไปที่ผ้าปิดแผล
“กาญนายจะทำอะไรปิดผ้าม่านทำไมวะ?” เรมองกาญด้วยความสงสัย
“เร...เราขอดูแผลนายหน่อยสิ”
“ฮึ้ย!ไม่ได้กาญหมอบอกว่าอย่าดึงผ้าปิดแผลออกเดี๋ยวมันติดเชื้อ”
“เออน่า...เราขอดูนิดเดียว...ไม่เป็นอะไรหรอก”
“เฮ้ย! ไม่ได้มันเจ็บ” เรพยายามเอามือปัดป้อง
“ไม่เจ็บหรอกเราแค่ดูเฉยๆ” เมื่อกาญดึงดันจะดูให้ได้เรจึงต้องปล่อยเลยตามเลย
“เออ...จะทำอะไรก็ทำแต่เบาๆหน่อยก็แล้วกัน” กาญค่อยๆเปิดผ้าปิดแผลออกดูก็พบว่ามันบวมเป่งและดูเหมือนจะมีอาการอักเสบร่วมด้วย
“มันอักเสบนี่เองจึงทำให้นายเป็นไข้ตัวร้อนขนาดนี้” เรพยักหน้าน้อยๆตามที่กาญพูด กาญไม่พูดพล่ามทำเพลงล้วงขวดเกสรน้ำตาดอกไม้จันทร์ทราออกมาจากกระเป๋าสะพายและหยิบขึ้นมาดู
“หวังว่าคงจะได้ผลนะคุณตา” กาญรำพึงออกมาเบาๆก่อนจะบรรจงหยดเกสรน้ำตาดอกไม้จันทร์ทราลงบนบาดแผลของเรทันที
“นายจะทำอะไรน่ะ เดี๋ยวก็อักเสบไปกันใหญ่ อย่านะ” เรเห็นกาญหยดอะไรบางอย่างลงบนบาดแผลของเขาก็ร้องห้ามแต่มันก็สายไปเสียแล้วเมื่อหยดน้ำนั้นร่วงลงใส่แผลของเขาไปแล้ว และความรู้สึกเย็นวูบเหมือนใครเอาน้ำแข็งมาถูที่บาดแผลก็เริ่มขึ้นมันซาบซ่านไปทั่วบาดแผลของเขา
และไม่กี่อึดใจต่อมาก็ดูเหมือนแผลนั้นมันแห้งลงอาการบวมแดงและอักเสบดูเหมือนมันจะหายไปอย่างกับปลิดทิ้ง กาญมองดูบาดแผลของเรด้วยอาการตื่นตะลึงในความอัศจรรย์ที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้น ในขณะที่เรหลับตาปี๋อยู่นั้นเขาก็รู้สึกแปลกประหลาดที่บาดแผลอย่างบอกไม่ถูกแต่ก็ไม่กล้าลืมตาขึ้นดูจนกระทั่งกาญเอ่ยขึ้น
“มันได้ผลด้วยแฮะ” กาญรำพึงออกมาเบาๆพร้อมกับยิ้มร่า
“เร...เป็นอย่างไรบ้างวะ?” กาญรีบถามอาการของเรเมื่อเห็นว่ามันใช้ได้ผล เรลืมตาขึ้นมาและก้มมองดูที่บาดแผลตัวเองก็ต้องแปลกใจ
“แปลกว่ะกาญ...เราไม่รู้สึกเจ็บแผลอีกแล้ว” เรเอามือมาลูบที่แผลก็พบว่ามันแห้งสนิทและตกสะเก็ดกลายเป็นแผลเป็นไปแล้ว
“จะเจ็บได้อย่างไรวะ..ก็แผลนายหายแล้วนี่ไง...ไม่เห็นรึ” กาญชี้ให้เรดูที่บาดแผลของเขาที่เหลือเพียงรอยแผลเป็นเท่านั้น
“เป็นไปได้อย่างไรวะ?” เรออกอาการประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาอย่างมาก
“เออ..เป็นไปแล้ว...ไอ้เพื่อนยาก” กาญเอามือไปสัมผัสที่หน้าผากเรอีกครั้ง
“แต่ตัวนายยังร้อนอยู่เลย” เรยิ้มออกมาน้อยๆและเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไร...แค่แผลหายก็ดีใจแล้ว...กาญ” กาญยกขวดเกสรน้ำตาฯขึ้นดูอีกครั้งและพบว่ามันยังพอเหลืออยู่อีกหลายหยด
“ยังเหลืออีกหลายหยด...น่าจะพอใช้กับแม่เรา...” กาญคิดอยู่ในใจก่อนจะมองมาที่เรอีกครั้ง
“เรนายต้องดื่มน้ำในขวดนี้อีกหยดหนึ่ง...แล้วนายจะหายจากอาการเป็นไข้” กาญยกขวดน้ำเล็กๆให้เรดู
“น้ำอะไรวะ?” เร เลิกคิ้วขึ้นสูงและถามอย่างสงสัย
“เอออย่าเพิ่งถามตอนนี้เลย...เอาเป็นว่ามันช่วยนายได้ก็แล้วกัน...เชื่อเราสิ” กาญยืนยันตามที่เขาบอก
“จะให้เรากินจริงเหรอ?”
“เออสิ...มาอ้าปากเราจะหยดให้” พูดจบกาญก็บรรจงหยดเกสรน้ำตาดอกไม้จันทร์ทรา ใส่ปากเรโดยที่เรก็อ้าปากรับอย่างว่าง่าย เพราะเขาเองก็เห็นความอัศจรรย์ของเกสรน้ำตาดอกไม้
จันทร์ทรานี้มาแล้วและเมื่อหยดน้ำลงไปในปากเร กาญปล่อยให้เกสรน้ำตาฯซึมเข้าไปในปากของเขาสักพัก
“เป็นไงบ้างเร” กาญเอ่ยถามและพร้อมกับยื่นมือไปสัมผัสที่หน้าผากเรอีกครั้ง
“เป็นไปได้อย่างไร...ตัวนายหายร้อนแล้ว” กาญอุทานออกมา
“เออ...จริงด้วย...เมื่อกี้เรายังรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวปวดหัวอยู่เลย...แต่ตอนนี้อาการเหล่านั้นมันหายไปหมดแล้วว่ะกาญ...แถมยังรู้สึกสดชื่นมีกำลังวังชาอย่างบอกไม่ถูก” เรพูดจบก็สะบัดแขนสะบัดขาอย่างคนมีกำลังวังชา กาญถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจเพราะเขามั่นใจว่าเกสรน้ำตาฯในขวดนี้จะสามารถช่วยชีวิตแม่ของเขาได้
“เออ...หายก็ดีแล้ว” พูดจบกาญมองมาที่ขวดเกสรน้ำตาฯอย่างมั่นใจก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าสะพายและหยิบเงินที่ผู้กำกับโกวิทให้ไว้นำมาให้เร
“เอานี่ไปเร” กาญหยิบเงินปึกนั้นใส่มือเร
“อะไรวะ” เรทำหน้างงๆ
“ก็เงินนะสิ”
“ไม่กาญ...นายเก็บเอาไว้รักษาแม่นายเถิด” เรหยิบเงินคืนให้กาญทันทีเพราะรู้ว่ากาญต้องการใช้เงินค่ารักษาแม่ของเขาอีกจำนวนมาก
“ไม่จำเป็นแล้วเร...เรามีของวิเศษนายก็เห็นแล้วนี่..เอาเงินนี่ไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลส่วนที่เหลือนายช่วยไปหาซื้อโทรศัพท์ให้เราด้วย..ของนายด้วยนะ” เรจำใจรับเงินมาอย่างปฏิเสธไม่ได้เมื่อกาญให้เหตุผลอย่างนั้น
“เออๆได้..เราจะทำตามที่นายบอก” เรพยักหน้าให้กาญและยิ้มออกมา
“ดี..เพื่อนว่าง่ายๆจะได้โตเร็วๆ..เราช้าไม่ได้แล้วล่ะ...เราไปหาแม่เราก่อนตอนนี้นายพักผ่อนไปก่อนนะเดี๋ยวเสร็จเรื่องแล้วเราจะมาหา” พูดจบกาญขยี้หัวเรเบาๆก่อนจะเดินจ้ำอ้าวออกไปทันที
“เดี๋ยวกาญ” เรพยายามเรียกกาญไล่หลังไปแต่ว่ากาญดูเหมือนจะไม่ได้ยินที่เรเรียกแล้วเพราะเมื่อพ้นเคาน์เตอร์พยาบาลกาญก็วิ่งจ้ำอ้าวไปอย่างรวดเร็ว เรยังคงติดใจกับขวดน้ำศักดิ์สิทธิ์ขวดนั้นเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ทันที่จะได้ถามอะไรกาญอีกแล้ว
“โห..ไวฉิบ...” เรอุทานออกมาเบาๆ และก็นั่งยิ้มแป้นอย่างมีความสุขบนเตียงคนไข้เมื่อกาญจะได้รักษาแม่ของเขาให้หายจากพิษบาดแผลเสียที
ในเวลาต่อมากาญก็ปรากฏกายบนรถเมล์สายหนึ่งที่มุ่งหน้าไปโรงพยาบาลจุฬาฯ ด้วยสภาพอากาศที่เริ่มร้อนอบอ้าวบวกกับสภาพการจราจรที่แสนจะติดขัดทำเอากาญเองรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
“โอย...มันจะติดกันไปขนาดไหนวะ” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดชะเง้อมองไปที่ด้านหน้ารออย่างร้อนรน
“สงสัย...ม็อบประท้วงรัฐบาลมันจะปิดถนนอีกแล้ว...” กระเป๋ารถเมล์เอ่ยขึ้นในขณะที่ชะโงกหน้าออกไปดูเบื้องหน้า
“มันจะอะไรกันนักหนาวะประเทศนี้...เดือดร้อนจริงๆ...โคตรเบื่อเลยว่ะ” คนขับรถเมล์ตะโกนออกมา และเมื่อเห็นว่ารถเมล์ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนไปข้างหน้าได้ กาญจึงตัดสินใจลงจากรถเมล์ทันทีเพื่อหาการเดินทางในช่องทางอื่นเขามองขึ้นไปบนรถไฟฟ้า
“รถไฟฟ้านี่แหละ รถไม่ติดด้วย” คิดได้ดังนั้นกาญก็รีบวิ่งหาทางขึ้นทันที และเมื่อกำลังจะก้าวขึ้นบันไดกาญก็ต้องหยุดกึกเมื่อได้ยินคนที่เดินสวนลงมา
“อะไรกันวะข้างล่างรถก็ติด...รถไฟฟ้าก็ใช้ไม่ได้อีก...โอ่...เมืองไทย...กูหนีไปอยู่ลาวดีกว่า” ชายคนหนึ่งเดินบ่นลงมาอย่างกับหมีกินผึ้ง กาญมองขึ้นไปก็เห็นผู้คนพากันเดินลงมาเป็นแถว
“เกิดอะไรขึ้นวะ...ยิ่งรีบอยู่ด้วย” กาญรำพึงออกมาและถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะมองหาทางที่จะไปโรงพยาบาลจุฬาฯ และเมื่อไม่มีทางที่จะไปได้ กาญจึงตัดสินใจออกวิ่งทันที เขาตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปบนทางเท้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในขณะที่บนถนนมีรถติดยาวเหยียดชนิดที่ว่าเคลื่อนไปไหนไม่ได้กันเลยทีเดียว หลายคนออกมายืนชะเง้อคอยาวดูว่าข้างหน้ามันเกิดอะไรขึ้น
และเมื่อกาญวิ่งเข้าไปเรื่อยๆตึกรามบ้านช่องต่างพากันปิดร้านรวงทั้งๆที่ยังเช้าอยู่แท้ๆความผิดปกติเริ่มเกิดขึ้นกาญเห็นผู้คนหลายคนต่างพากันวิ่งสวนมาทางเขา และสีหน้าแต่ละคนดูแตกตื่นเหมือนวิ่งหนีอะไรมา และเมื่อกาญมองไปเบื้องหน้าท่ามกลางตึกสูงเขาก็ปรากฏควันสีดำลอยฟุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ
“เดี๋ยว! ไอ้น้องจะไปไหนน่ะ” ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นในขณะที่กาญกำลังยืนมองกลุ่มควันที่คละคลุ้งอยู่เบื้องหน้า
“ครับพี่...ผมจะไปหาแม่ผมที่โรงพยาบาลจุฬาฯครับ” กาญตอบออกไป
“เฮ้ย!จะไปได้อย่างไรข้างหน้าพวกทหารยึดพื้นที่ไว้หมดแล้ว...ห้ามใครเข้าออกเอ็งเข้าไปอาจโดนยิงตายเอาได้นะ...กลับบ้านไปก่อนเถิดข้างหน้ามันอันตราย” พูดจบชายคนนั้นก็วิ่งจ้ำอ้าวไปโดยทันที
“ดะ..เดี๋ยวพี่ชาย” ปล่อยให้กาญอ้าปากค้างจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น กาญยืนทำหน้างงๆอยู่สักพักก่อนจะตัดสินในออกวิ่งต่อโดยไม่ฟังคำทักท้วงใดๆของชายผู้นั้น เขาวิ่งเข้าใกล้กลุ่มควันไฟเข้าไปทุกขณะและเมื่อเขายิ่งวิ่งเขาไปใกล้มากเท่าใดความเงียบวังเวงก็บังเกิดขึ้นบวกกับรถราที่เคยอัดแน่นบนท้องถนนก็เริ่มจางลง จนกระทั่งไม่ไม่มีรถบนถนนแม้แต่คันเดียวแล้วในเวลานี้เขาได้ยินแต่เสียงไซเรนดังแว่วเข้ามา
“ใครมาจุดไฟทำอะไรกลางเมืองอย่างนี้วะ...เอ...หรือว่าไฟไหม้!” การอุทานออกขณะที่เท้าก็ก้าววิ่งไปจนกระทั่ง
“ปังๆๆ” เสียงปืนดังขึ้นกาญหยุดกึกทันทีเขามองไปด้านหน้าเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังหมอบคลานหลบอะไรบางอย่างอยู่ตามมุมตึกบ้างต้นไม้บ้าง กาญค่อยๆวิ่งเหยาะๆเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย
“เฮ้ย!มันอยู่บนตึก...มันอยู่บนตึก...หมอบลงต่ำๆ....หมอบลงต่ำๆ” สิ้นเสียงชายฉกรรจ์เจ้าของเสียงก็ต้องล้มลงทันที เมื่อมีวัตถุสิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาชนที่ไหล่ขวาของเขา
“โอ๊ย!” ชายฉกรรจ์เจ้าของเสียงร้องเสียงหลง ในขณะที่เขากำลังโดนพวกเดียวกันลากเข้าไปในมุมตึก
“โดนยิงอีกแล้ว..โดนยิงอีกแล้ว” ชายในกลุ่มตะโกนขึ้น
กาญเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าถึงกับตกตะลึงและก่อนที่เขาจะคิดทำอะไรก็ต้องเซถลาไปเมื่อมีใครคนหนึ่งดึงแขนของเขาอย่างแรงและพาวิ่งเข้าในมุมตึก
“เฮ้ย! ยืนล่อเป้าอย่างนี้อยากตายหรือไงวะ” เสียงของชายฉกรรจ์ตะโกนขึ้น
“อะไรกันครับพี่...เกิดอะไรขึ้นครับ” กาญเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“มึงไม่เห็นหรือไง...พวกทหารมันใช้ปืนสไนเปอร์ซุ่มยิงพวกเราอยู่บนตึกสูงนั้น” พูดจบชายฉกรรจ์ก็ชี้มือให้กาญดูบนตึกสูงฝั่งตรงข้าม
“สไนเปอร์!” กาญอุทานออกมาเบาๆพร้อมกับเหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งนอนร้องโอดโอยเนื่องจากพิษบาดแผลอยู่ในซอกตึกเล็กๆที่เขาโดนฉุดมือเข้ามานั่นเอง กาญตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้า เขาพยายามรวบรวมสติก่อนจะเดินเข้าไปดูคนบาดเจ็บที่โดนยิงนอนซมอยู่
“พี่เป็นอย่างไรบ้าง” กาญเข้าไปดูอาการของชายคนหนึ่งที่โดนยิงเพื่อหวังจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง
“โอย...น้องรถพยาบาลเมื่อไหร่จะมา” กาญไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร แต่เมื่อเห็นอาการของชายคนผู้เคราะห์ร้ายเขาก็ต้องร้องถามไปยังชายฉกรรจ์อีกคนที่ดูต้นทางอยู่มุมตึก
“พี่...เมื่อไหร่รถพยาบาลจะมา”
“รถยังเข้ามาไม่ได้...รอก่อน” ชายคนนั้นตะโกนกลับมา กาญหันกลับมาดูชายเคราะห์ร้ายที่บาดเจ็บก็ดูเหมือนเลือดของเขาจะไหลไม่หยุด และดูสีหน้าเขาเริ่มซีดลงไปทุกขณะ
“ขืนปล่อยไว้อย่างนี้...เขาเสียเลือดตายแน่พี่”กาญตะโกนออกไปอีกครั้งและดูเหมือนตอนนี้กาญจะเข้าไปอยู่ในสถานการณ์โดยไม่รู้ตัวแล้ว
“เฮ้ย! ไอ้หนุ่ม...ห้ามเลือดมันไปก่อนเดี๋ยวรถพยาบาลก็มาแล้ว...ปัดโธ่โว้ยไอ้พวกบ้านี่มันก็ไม่หยุดยิงเสียที” ชายคนนั้นตะโกนกลับมา กาญหันมามองชายคนที่โดนยิง เขาฉีกเสื้อผู้บาดเจ็บทันทีและก็เอาเสื้อนั้นกดลงที่บาดแผลเพื่อห้ามเลือด
“ทนหน่อยนะพี่” กาญพูดอกมาเบาๆแต่ชายคนนั้นบัดนี้เขาเหมือนจะไม่รู้สึกตัวอีกต่อไปแล้ว กาญเห็นดังนั้นจึงรีบคลำดูชีพจรทันทีและชีพจรนั้นก็เต้นอ่อนลงจนแทบจับไม่เจอ
“ขืนปล่อยไว้อย่างนี้...ตายแน่” กาญรำพึงออกมาเบาๆและออกอาการร้อนรนอย่างคนทำอะไรไม่ถูก
“พี่รถมายัง?” กาญตะโกนออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กับไม่มีเสียงตอบกลับมาเขาหันไปอีกครั้งก็พบว่าชายคนนั้นล้มลงกับพื้นเสียแล้ว กาญรีบวิ่งไปดู และยังไม่ทันที่ได้จับตัวชายคนนั้นกาญก็ต้องผงะออกมาทันที เมื่อภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้ามันน่าสยดสยองยิ่งนัก ศีรษะของชายคนนั้นโดนอะไรบางอย่างเข้าอย่างจังจนกะโหลกและสมองกระจายเกลื่อน เลือดสดๆไหลเต็มไปหมด กาญตาโตตกใจอย่างบอกไม่ถูก
“เฮ้ย! .นี่มันอะไรกันวะทำไมต้องฆ่ากันโหดเหี้ยมขนาดนี้ด้วย...” กาญคิดอยู่ในใจและต้องปล่อยชายโชคร้ายผู้นั้นนอนตายอยู่ตรงนั้นก่อนจะย้อนกลับมาดูชายที่โดนยิงและหมดสติอยู่
“เอาไงดีวะ...ปล่อยไว้อย่างนี้ตายแน่...รถพยาบาลก็ไม่มาสักที” กาญรำพึงออกมาเบาๆก่อนจะตัดสินใจล้วงเอาขวดเกสรน้ำตาฯออกมาเพ่งดู กาญถอนหายใจลึกๆ
“ขออีกสักหยดช่วยเขาก่อนแล้วกัน...”เมื่อกาญคิดได้อย่างนั้นก็เปิดปากแผลออกบรรจงหยดน้ำตาเกสรฯลงไปทันที และเมื่อมันสัมผัสกับบาดแผลก็เกิดปาฏิหารย์อย่างที่กาญเคยเห็นมา
เลือดที่ไหลไม่หยุดบัดนี้มันหยุดไหลอย่างสิ้นเชิง บาดแผลค่อยๆประสานเข้าหากันจนแห้งสนิท กาญรีบจับชีพจรปรากฏว่ามันเริ่มเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง เขาถอนหายใจเข้าอย่างเบาๆ และยกขวดเกสรน้ำตาฯขึ้นดู
“ยังพออยู่น่า” กาญรำพึงออกมาเบาๆและไม่กี่วินาทีจากนั้นเสียงหวอรถพยาบาลก็แว่วเข้ามาใกล้จนกระทั่งมาจอดที่หน้าซอกตึกที่เขาอยู่นั่นเอง
“เร็วๆ...มีคนตายคนเจ็บอยู่ทางนี้” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับการกรูลงมาจากรถของหน่วยกู้ชีพ ทุกคนต่างทำหน้าที่กันอย่างเร่งรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับผู้ที่บาดเจ็บรวมทั้งชายคนที่กาญช่วยชีวิตไว้ด้วย ส่วนชายที่เสียชีวิตจากการถูกยิงที่ศีรษะก็ถูกห่อร่างลงผ้าขาวมัดเอาไว้และยกขึ้นรถไป
“ไอ้น้องเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับจับมาที่หัวไหล่ของกาญจากด้านหลัง กาญสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมาหาเจ้าของเสียงซึ่งก็คือหน่วยกู้ชีพนายหนึ่งนั่นเอง
“ครับ...ผมไม่เป็นอะไรครับ” กาญหันกลับมาตอบ หน่วยกู้ชีพนายนั้นมองมาที่มือและตัวของกาญที่มีเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ทั่วไป ก่อนจะถามขึ้นต่อ
“แล้วนี่น้องยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ...แกนนำการชุมนุมเขาประกาศยุติการชุมนุมแล้วนะ” หน่วยกู้ชีพนายนั้นเลิกคิ้วถามกาญด้วยความสงสัย
“ผมจะไปหาแม่ครับ...ผมไม่ได้มาชุมนุมกับเขาหรอกครับ” กาญตอบซื่อๆ
“อ้าว! เหรอ”
“ครับ...เอ่อ...แล้วทำไมอยู่ๆเขาจึงประกาศยุติการชุมนุมเสียล่ะครับ” กาญถามด้วยความสงสัย
“เห็นว่าทหารที่เข้ามาสลายการชุมนุมมันดาหน้ายิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมไม่เลือกหน้า....คนตายและบาดเจ็บเยอะมาก...น่าจะเป็นสาเหตุให้เขาเลิกชุมนุม...น้องก็ควรรีบหาทางกลับบ้านเถิด เดี๋ยวจะโดนสไนเปอร์ส่องเอาได้นะ” กาญขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แค่ต้องการให้เลิกชุมนุมฯ...ทำไมต้องเข่นฆ่ากันอย่างนี้ด้วยครับคนไทยด้วยกันทั้งนั้น...นี่ผมเห็นบาดเจ็บล้มตายไปหลายคนแล้ว” กาญพูดพร้อมกับมองไปที่ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตที่อยู่บนรถพยาบาล
“ไอ้น้องที่เอ็งเห็นนี่แค่นิดเดียว...วันนี้พี่เก็บไปหลายศพแล้วถ้านับคนบาดเจ็บก็นับไม่ถ้วนเลยล่ะ...ส่วนคนตายเพียบ” คำตอบสั้นๆของหน่วยกู้ชีพทำเอากาญถอนหายใจยาว
“เอ...นี่น้องจะนั่งรถออกไปกับพี่หรือเปล่า...พี่จะรีบไปส่งคนบาดเจ็บ”
“ไป...ไปครับพี่...แต่ว่าพี่ไปโรงพยาบาลไหนครับ...จุฬาฯหรือเปล่าครับ”
“ฮึ่ย! น้อง...จะเข้าไปได้ยังไง...โรงพยาบาลจุฬาฯทหารปิดเส้นทางนั้นไว้หมดแล้ว เข้าไปตอนนี้พรุนแน่...ตรงนั้นเป็นพื้นที่ใช้กระสุนจริง...ใครวิ่งเพ่นพ่านบริเวณนั้นเป็นโดนส่องทุกราย...พี่ว่าน้องอย่าเสี่ยงดีกว่า” พูดจบเสียงแตรรถก็ดังขึ้นหลายครั้งเป็นสื่อว่ารถต้องออกแล้ว
“ตกลงน้องจะไปกับพี่หรือเปล่า” หน่วยกู้ชีพนายนั้นถามย้ำอีกครั้ง
“ไม่ดีกว่าครับ...ผมจะไปโรงพยาบาลจุฬาฯ” กาญยืนยันที่จะทำตามเดิม
“งั้นก็ตามใจ...พี่ไปก่อนนะ..ขอให้โชคดีหวังว่าพี่คงไม่ต้องไปเก็บศพน้องนะ” พูดจบหน่วยกู้ชีพนายนั้นก็วิ่งจ้ำอ้าวกระโดดขึ้นรถพยาบาลไปทันที
“โห..พี่..แรงว่ะ” กาญอุทานออกมาและเข้าใจในความหวังดีของหน่วยกู้ชีพนายนั้น ก่อนจะกัดริมฝีปากตัวเองครุ่นคิดอยู่สักพัก
“...ยังไงก็ต้องไปให้ได้...”กาญคิดได้ดังนั้นจึงชะโงกหน้าออกไปดูด้านนอก ก็พบควันไปจากการเผายางรถยนต์คละคลุ้งเต็มไปหมด เสียงหวอรถพยาบาลคละเคล้ากับเสียงปืนดังระคนไปทั่ว กาญมองเห็นการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมที่ยังปักหลักกันอยู่ด้านหลังแท่นแบริเออร์และตามมุมตึก พวกเขาวิ่งวนไปวนมาบางคนถืออาวุธที่เรียกว่าหนังสติ๊กบรรจุประทัดยิงใส่แนวทหารที่อยู่เบื้องหน้า และทหารก็ตอบโต้กลับด้วยปืนเอ็มสิบหก ดูมันช่างเป็นการต่อสู้ที่ม่สมน้ำสมเนื้อกันเสียเหลือเลย
“โอโห!...หนังสติ๊กกับเอ็มสิบหก” กาญอุทานออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปดูบนยอดตึกที่ชายผู้เสียชีวิตไปแล้ว ชี้ให้เขาดู กาญพยายามเพ่งมองอยู่นานก็เห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่บนนั้นพร้อมกับแสงแว๊บจากปลายกระบอกปืนที่ส่องลงมา
“นี่คงเรียกว่าสไนเปอร์สินะ...ถ้าขืนมันยังยิงอยู่อย่างนี้...พวกข้างล่างตายกันหมดแน่” กาญลืมเรื่องไปโรงพยาบาลไปชั่วขณะ เขาตัดสินใจวิ่งออกจากซอกตึกวิ่งวนสลับฟันปลาเข้าหาที่กำบังตามต้นไม้บ้างซอกตึกบ้าง แต่กระนั้นก็ไม่รอดสายตาของหน่วยสไนเปอร์ไปได้ กระสุนจากพลซุ่มยิงพุ่งเฉียดหัวหาญไปตกกระทบพื้นฟุตบาทไปลูกแล้วลูกเล่าจนกระทั่งกาญเข้ามาอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมที่ยังปักหลักต่อสู้อยู่
“เฮ้ย!...ไอ้หนุ่มเอ็งเข้ามาทำไมวะ...เดี๋ยวก็ตายห่าหรอก”ชายสูงวัยคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาลในขณะที่กาญวิ่งเข้าหาแนวกำบังของแท่นแบริเออร์
“ผมจะไปโรงพยาบาลจุฬาฯครับลุง” กาญเอ่ยขึ้นในขณะที่หมอบอยู่
“มึงจะไปอะไรตอนนี้วะ...ไม่เห็นรึไงว่าทางข้างหน้ามีแต่พวกทหารทั้งนั้น...กลับบ้านไปก่อนไป” พูดจบชายสูงวัยคนนั้นก็ลุกขึ้นและง้างหนังสติ๊กในมือยิงใส่กลุ่มทหาร แต่ทันทีที่ชายสูงวัยลุกขึ้นเขาก็ต้องกระเด็นหงายหลังด้วยแรงปะทะของกระสุนปืนที่พุ่งเข้าลำคอพอดี
“ฟุ๊บ!” ร่างของชายสูงวัยคนนั้นนอนหงายหลังลงกับพื้นทันที
“ลุงแก้ว!” หนึ่งในผู้ชุมนุมตะโกนลั่นเมื่อเห็นชายสูงวัยโดนยิงต่อหน้าต่อตา เลือดของลุงแก้วกระเด็นสาดเข้าหน้าของกาญเต็มไปหมด บัดนี้ลุงแก้วนอนดิ้นพล่านมือทั้งสองข้างกุมอยู่ที่ลำคอตาเหลือกลนลาน ไม่มีเวลาให้กาญได้ตกอกตกใจอีกต่อไปแล้วเขาลุกผุดขึ้นเข้าหาลุงแก้วผู้โชคร้าย
กาญใช้มือทั้งสองข้างโอบตัวลุงแก้วขึ้นวิ่งเข้าซอกตึกอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาผู้ชุมนุมรอบๆข้าง และภายในซอกตึกนั้นเองไม่มีเวลาให้กาญได้ไต่ถามอาการของลุงแก้วที่ยังดิ้นลนลานตาเหลือกอยู่ กาญล้วงเอาเกสรน้ำตาดอกไม้จันทร์ทราออกมาทันที กาญพยายามดึงมือลุงแก้วออกจากลำคอแต่ก็เป็นไปด้วยความลำบาก
“พี่ช่วยจับลุงให้นิ่งๆหน่อย”กาญเรียกสติชายคนหนึ่งที่ยืนตาโตดูอาการลุงแก้วอยู่ด้วยความตกใจ
“ดะ...ดะ...ได้” ชายคนนั้นตื่นจากภวังค์และช่วยกาญจับลุงแก้วให้อยู่นิ่งๆและเมื่อกาญแกะมือลุงแก้วออกมาได้เลือดสดๆก็พุ่งกระฉูดออกมา กาญใช้มือกดและคัดเลือดก่อนจะบรรจงหยดเกสรน้ำตาดอกไม้จันทร์ทราลงไปบนบาดแผลทันที และเมื่อเกสรน้ำตาฯ สัมผัสกับบาดแผลและแทรกซึมลงไปแค่ชั่วพริบตาเลือดที่ไหลเป็นท่อประปาแตกก็ได้หยุดลงราวกับใครปิดก๊อกมันไว้บาดแผลเหวอะหวะบัดนี้ค่อยๆปิดสนิทจนเหลือแต่รอยแผลเป็น ลุงแก้วหยุดการดิ้นทุรนทุรายนอนสงบนิ่งประหนึ่งคนนอนหลับ
กาญใช้มือสัมผัสไปที่ชีพจรก็พบว่ามันปกติดี สร้างความประหลาดใจชายหนุ่มที่ช่วยกาญจับลุงแก้วเป็นอย่างมาก
“เฮ้ย!...มันเป็นไปได้ยังไง” ชายคนนั้นอุทานออกมาพร้อมกับจ้องมาที่กาญเขม็ง และเมื่อเห็นใบหน้าของกาญเต็มๆเขาก็ต้องร้องออกมาอีกครั้ง
“อ้าว!...กาญ...นายเอ็งเหรอ”
“สุชาติ!...มาทำอะไรที่นี่วะ” กาญเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่ร้องทักเขาคือเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขานั่นเอง
“เรามากับพ่อเรา” สุชาติเอ่ยอย่างเรียบๆในขณะที่สายตาก็เพ่งมองร่างลุงแก้วอย่างไม่ลดละ
“แล้วพ่อนายอยู่ไหน” กาญพูดจบสุชาติก็ส่งสายตามายังลุงแก้วเป็นนัย
“พ่อเรานอนอยู่นี่ไง”
“ฮึ่ย!...จริงเหรอ...” กาญถามย้ำ สุชาติพยักหน้ารับก่อนจะใช้มือลูบคลำไปที่ไปหน้าของพ่อเขา
“ขอบใจนายมากเลยนะ...ที่ช่วยชีวิตพ่อของเราไว้” สุชาติมองหน้ากาญด้วยความซาบซึ้งใจ
“อือ...ไม่เป็นไรหรอกสุชาติ” กาญยิ้มออกมาก่อนจะเอื้อมมือมาจับไหล่ของสุชาติ
“แต่พ่อเรายังไม่ฟื้นเลย...เป็นอะไรหรือเปล่าวะกาญ” สุชาติมองมาที่ร่างของพ่อเขาอย่างห่วงใย
“พ่อนายไม่เป็นอะไรแล้ว...อีกสักพักคงฟื้น....ว่าแต่ว่านายหาทางพาพ่อนายกลับบ้านก่อนดีกว่า” สุชาติพยักหน้ารับ
“เออ...ถามอะไรหน่อยสิ...สุชาติ”
“อะไรหรือ...กาญ”
“นายกับพ่อนายมาทำอะไรที่นี่...มันอันตรายมากเลยนะ...เห็นว่าพวกทหารข้างหน้ายิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมฯไม่เลือกหน้าเลยนี่” สุชาติถอนหายใจยาวๆก่อนจะพูดขึ้น
“เราตามพ่อเรามาชุมนุมประท้วงต่อต้านการรัฐประหาร” พูดจบสุชาติก็เหม่อมองออกไปด้านนอก
“รัฐประหาร! ทำไมวะสุชาติ...เกิดอะไรขึ้นทำไมคนต้องออกมาชุมนุมประท้วงกันด้วย” กาญขมวดคิ้วเข้าหากันและเอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างหนัก
“อ้าว!..นี่นายไม่รู้เรื่องอะไรเลยหรอ?” กาญส่ายหน้าน้อยๆ สุชาติถอนหายใจแรงๆ
“นี่ถ้าประเทศนี้มีคนอย่างนายสักครึ่งประเทศพวกเผด็จการคงไม่ต้องออกแรงมากอย่างนี้” สุชาติพูดจบก็มองมาที่กาญ กาญเลิกคิ้วขึ้นเหมือนยังไม่เข้าใจที่สุชาติพูด สุชาติจึงเอ่ยขึ้นต่อ
“พ่อเราออกมาต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร...หรือพวกเผด็จการนั่นแหละ” กาญทำท่าครุ่นคิดในประโยคที่สุชาติพูด เพราะเขาเองก็เคยเรียนเรื่องพวกนี้ในชั้นเรียนมาเหมือนกันแต่ไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะต้องมาเจอกับตัวเองในวันนี้
“รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร...เผด็จการ!” กาญอุทานออกมาเบาๆ
“นี่ประเทศเรามีเผด็จการด้วยหรือสุชาติ?” กาญถามต่ออย่างซื่อๆ
“อือ...นี่นายไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมาวะ...ถึงไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย” กาญทำหน้างงๆ
“นายไม่รู้หรือว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดนทำรัฐประหารไปแล้วโดยพวกทหารและพวกเผด็จการ และตอนนี้ก็มีการตั้งรัฐบาลจากพวกทหารแล้ว...และก็มีผู้ที่ออกมาต่อต้านเป็นจำนวนมากอย่างที่นายเห็นนี่แหละ....พ่อเราบอกว่าจะไม่ยอมให้มีเผด็จการมาปกครองประเทศโดยเด็ดขาด...และพ่อเราก็ออกมาชุมนุมกับเขานี่ไง” กาญพยักหน้ารับน้อยๆอย่างเข้าใจ
“เราเข้าใจแล้วสุชาติ” ในสายตาของกาญก็พลอยครุ่นคิดตามที่สุชาติพูดไปด้วย
“สุชาติมีคนบอกเราว่าพวกทหารเข้าสลายการชุมนุมฯ แล้วแกนนำเขาสั่งยุติการชุมนุมฯไปแล้วไม่ใช่หรือ...แล้วทำไมพ่อนายยังไม่กลับบ้านอีกล่ะ” สุชาติถอนหายใจแรงๆก่อนจะพูดขึ้น
“ยังกลับไม่ได้หรอกกาญ...พวกทหารยังไม่ยอมหยุดยิงเลย...นายก็เห็นนี่...แล้วอีกอย่างยังมีผู้ชุมนุมฯถูกล้อมปราบอยู่ด้านในอีกจำนวนมากยังออกมากันไม่ได้เลยพ่อเราเลยต้องอยู่ช่วยผู้ชุมนุมต้านพวกทหารไว้...ก็อย่างที่นายเห็นนี่แหละกาญ”
“หนังสติ๊กเนี่ยนะ...จะต้านปืนกลได้” กาญพูดจบสุชาติยักไหล่
“เราคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้อยู่...ต้องมีคนตายเป็นร้อยเป็นพันหรืออาจจะมากกว่านั้นแน่” สุชาติพูดจบกาญถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับกัดกรามแน่น
“แล้วเราจะช่วยพวกชุมนุมฯได้อย่างไร” กาญเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เราก็ไม่รู้เหมือนกันกาญ...คงต้องให้ทหารพวกนั้นหยุดยิง...ถึงจะหยุดการตายได้...หรือว่าพวกมันจะฆ่าผู้ชุมนุมให้หมดทุกคนก็ไม่รู้สิ” สุชาติพูดจบกาญก็เพ่งมองออกไปด้านนอกเหมือนคิดอะไรบ้างอย่างอยู่
“แล้วนายล่ะกาญ...นายเข้ามาทำไมวะ” กาญหลุดจากภวังค์ความคิดเมื่อสุชาติเอ่ยถาม
“เราจะไปโรงพยาบาลจุฬาฯ...ไปหาแม่เรา”
“ในหัวนายคงมีแต่เรื่องเรียนกับแม่นายสินะ...ถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย” กาญยักไหล่น้อยๆ
ก่อนจะตอบ
“ไม่รู้สิ...เราคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่นะ“ สุชาติหลับตาและพยักหน้าน้อยๆอย่างคนปลงก่อนจะถามกาญอีกครั้ง
“แม่นายไม่สบายหรือ?” กาญพยักหน้าโดยไม่ตอบอะไรต่อ
“ว่าแต่ว่านายจะเข้าไปได้อย่างไรวะโรงพยาบาลจุฬาฯ...ทหารเต็มไปหมดอย่างนี้...และตรงที่นายจะผ่านเข้าไปเป็นเขตพื้นที่ใช้กระสุนจริง...เกรงว่านายจะได้ไปรถมูลนิธิฯก่อนถึงโรงพยาบาลว่ะ”
“เออ...ขอบใจที่พูดให้กำลังใจ” กาญมองหน้าสุชาติแบบเซ็งๆ
“ฮึ่ย...เราแค่อยากให้นายหาทางไปทางอื่นเท่านั้นกาญตรงนั้นมันอันตรายมาก” สุชาติพูดจบกาญกัดกรามและทำท่าครุ่นคิด
“เราจะลองหาทางดู...นายดูแลพ่อนายไปก่อนเถิด...พอฟื้นขึ้นมาก็ค่อยหาทางกลับบ้านกัน” พูดจบกาญก็ลุกขึ้นเดินไปแอบอยู่มุมตึกสอดส่ายสายตาออกไปรอบๆ
“เดี๋ยว! กาญ...” กาญหันมาหาทันทีเมื่อสุชาติเอ่ยเรียกเขา
“มีอะไรหรือ..สุชาติ”
“นายไปเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นมาจากไหนหรือ?” กาญยิ้มที่มุมปากก่อนจะจับไหล่สุชาติเบาๆ
“เราบอกนายไม่ได้จริงๆว่ะเพื่อน” สุชาติยิ้มน้อยๆอย่างเข้าใจก่อนจะพูดต่อ
“เออ...ไม่เป็นไร แต่ถึงอย่างไรเรากับพ่อก็เป็นหนี้บุญคุณนายนะกาญ...ขอบใจนายมาก” สุชาติยกมือขึ้นจับไหล่กาญทั้งสองข้างและบีบแน่น
“ไม่เป็นไรเพื่อน” สุชาติยื่นมือทั้งสองมาจับมือกาญ
“เราต้องไปแล้ว...สุชาติ” สุชาติพยักหน้า และก่อนที่กาญจะออกวิ่งไป
“เดี๋ยว! กาญ...รอแป๊ปนึง” กาญหยุดกึกเมื่อเสียงทักดังขึ้น และหันไปหาสุชาติซึ่งขณะนี้เขากำลังถอดเสื้อเกราะสีดำจากพ่อของเขาออกมาก่อนจะยื่นให้กาญ
“นายใส่เสื้อเกราะนี่ไปด้วยดีกว่า...เรากับพ่อเราไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้ว...อย่างน้อยๆมันอาจจะป้องกันชีวิตนายได้” กาญอ้ำอึ้งทำท่าจะปฏิเสธ
“รับไปเถิดกาญเพื่อความสบายใจของเรากับพ่อ” กาญเหลือบตามามองที่เสื้อเกราะก่อนจะตัดสินใจรับมาอย่างเสียไม่ได้
“ขอบใจนายมากสุชาติ” กาญสวมเสื้อเกราะสีดำที่เขียนคำว่าโปลิสไว้ทั้งด้านหน้าและหลังและเต็มไปด้วยคราบเลือด
“เราไปล่ะ”พูดจบกาญก็วิ่งออกจากมุมตึกนั้นหายลับไปทันที สุชาติมองตามหลังกาญไปก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ
“นายบ้าไม่ใช่น้อยที่จะเข้าไปทางนั้นให้ได้ แต่อย่างไรก็ขอให้นายปลอดภัย...กาญ...”
............................................................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ