The Revenge ความแค้นที่หอมหวาน

9.2

เขียนโดย MeTang

วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 04.06 น.

  36 ตอน
  10 วิจารณ์
  43.37K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 15.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

36) ตอนที่ 36 Finale

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               แท็กซี่แล่นมาจอดยังสถานที่ปอนด์คุ้นเคยดี เขานั่งร้อนรนในใจอยู่ตลอดระยะเวลาที่กว่าจะมาถึง ปอนด์ไม่รู้ว่าข่าวลงนานขนาดนี้แล้วริวกิจะรู้เรื่องแล้วหรือยัง ปอนด์อยากรู้ใจจะขาดว่ารูปนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆเขาอยากจะร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้เห็นอะไรเลยก็ตาม เขาก็ไม่อยากปล่อยให้ริวกิยืนโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว

                ปอนด์ใช้ลิฟท์ตัวเดิมขึ้นไปยังห้องทำงานของริวกิ โดยมีโจ๊กติดตามอยู่อย่างเงียบเชียบ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนจะช้ากว่าใจเขามาก

                โชคดีที่ตอนนี้เป็นช่วงพักเที่ยงจึงไม่เหลือพนักงานบนออฟฟิศให้เป็นที่ระแวงสงสัยเพิ่ม ปอนด์รีบตรงปรี่ไปยังหน้าห้องทำงานของริวกิที่ปราศจากเลขาเฝ้าอย่างรวดเร็ว เขาผลักประตูไม้บานใหญ่ออกด้วยความเคยชิน แม้ว่าจะถูกริวกิด่าที่โผล่พรวดพราดเข้ามาแบบนี้ปอนด์ก็ยอม

                “ริวกิ” ปอนด์ร้องเรียกชื่อทันทีที่ประตูบานใหญ่เปิดออก

                ความประหลาดใจผุดขึ้นบนใบหน้าของทุกคนที่อยู่ในห้อง ปอนด์อ้าปากค้างทันทีเมื่อพบว่าผู้ชายที่นั่งอยู่ในห้องนี้ไม่ใช่ริวกิ แต่เป็นชายหนุ่มอีกคนในชุดสูท ผมของเขาสั้นและสีดำสนิท ปอนด์เห็นว่าผู้ชายคนนั้นก็มีสีหน้าตกใจไม่ต่างจากเขาและโจ๊ก

                “มาหาใคร” ชายหนุ่มคนที่นั่งอยู่ตรงที่ที่ควรจะเป็นริวกิทักขึ้น เขาวางแฟ้มเอกสารในมือลงบนโต๊ะอย่างช้าๆ ที่หน้าอกข้างซ้ายของเขามีป้ายสีทองเช่นเดียวกับของริวกิติดอยู่

                “ผ… ผมมาหาริวกิ ค… ครับ”

                “ถ้าเมื่อเช้าคงเจอ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ

                “หมายความว่าอะไรครับ”

                “ก็หมายความตามที่บอกนายไม่เข้าใจเหรอ ที่นี่ไม่มีคนชื่อริวกิอีกต่อไปแล้ว”

                “คุณเสี่ยวหลงคะ” รุ่งรัตน์ถลาตัวแทรกตัวเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน “คุณใช้ห้องนี้ไม่ได้นะคะ ห้องนี้เป็นห้องทำงานของคุณริวกิ”

                “ฉันอยากจะได้ห้องไหนมันก็เป็นสิทธิ์ของฉัน เพราะต่อจากนี้ไปฉันจะมาดูแลที่นี่ และฉันก็มีอำนาจที่สุดนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ขอให้พนักงานทุกคนรับทราบตามนี้”

                “แต่คุณก็เข้ามาทำหน้าที่รักษาการณ์นะคะ ไม่ใช่ตำแหน่งประธาน ฉันเองก็ยังไม่ได้รับคำสั่งจากทางญี่ปุ่นให้โยกย้ายสิ่งของหรือหน้าที่ต่างๆของคุณริวกิ” รุ่งรัตน์กระแทกเสียง “เพียงแต่ได้รับแจ้งมาแค่ว่าคุณเสี่ยวหลงจะเข้ามาดูที่นี่ในช่วงที่คุณริวกิกลับไปประชุมผู้บริหารใหญ่เท่านั้นค่ะ เท่ากับว่าทุกสิ่งทุกอย่างของคุณริวกิจะยังไม่ถูกโยกย้ายหรือปรับเปลี่ยน”

                “เธอคิดว่าโดนเรียกตัวกลับไปไต่สวนจากผู้บริหารใหญ่ทั้งหมดแบบนั้น มันยังมีหน้าได้กลับมาทำงานที่นี่อีกเหรอ ขาดคุณสมบัติของความเป็นผู้นำขนาดนั้นคงโดนลอยแพอยู่ที่โน่นไม่ได้กลับมาแล้วล่ะ” เสี่ยวหลงยิ้มดีใจ

                “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอให้มีประกาศจากทางญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการมาก่อนเถอะค่ะ ฉันเป็นเลขาของที่นี่ คอยดูแลพนักงานและความสงบเรียบร้อยภายในบริษัท ฉันไม่อยากให้คนอื่นๆต้องมาแตกตื่น แค่คุณริวกิโดนเรียกตัวกลับแล้วส่งคุณมากแทน คนที่นี่ก็ตกอกตกใจกันหมดแล้ว นี่คุณจะให้ย้ายของๆคุณริวกิออกอีก พนักงานก็เสียขวัญและกำลังใจกันหมดสิคะ”

                “ก็ถ้าใครเกะกะหรือทำตัวไร้ประโยชน์เหมือนพวกวัชพืช ฉันก็จะกำจัดมันทิ้งไป” เสี่ยวหลงวางมือลงพนักพิงเก้าอี้อย่างวางอำนาจ “สำหรับคนที่ทำตัวดีและตั้งใจทำงาน ฉันก็จะเพิ่มเงินเดือนรวมกับสวัสดิการอื่นๆ ขอแค่อย่าทำตัวขวางหูขวางตาฉันก็พอ”

                “คุณคิดจะไล่ใครออกหรือเพิ่มเงินเดือนให้ใครมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ ของแบบนี้มันต้องค่อยๆปรับ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลเสียต่อตัวบริษัทเอง”

                “เธอเอาเวลามาสั่งสอนฉันไปปรับปรุงนิสัยตัวเองก่อนดีกว่านะ ฉันรู้ตัวว่าฉันทำอะไร” เสี่ยวหลงแผดเสียงให้ดังก้อง “พ่อฉันเคี่ยวเข็ญวิชาความรู้ให้มาตั้งแต่เด็ก เธอคงไม่คิดใช่มั้ยว่าที่ฉันพูดภาษาไทยมาได้นี่มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ฉันเตรียมพร้อมที่จะเข้ามาดูแลที่นี่ตั้งนานแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเธอทำให้ฉันหงุดหงิด เธอจะเป็นคนแรกที่ต้องหอบข้าวของตามริวกิออกไป”

                “คงภูมิใจมากสินะครับที่ใช้ความผิดพลาดของคนอื่น ดันตัวเองให้สูงขึ้นมาขนาดนี้ได้” เจสันเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่เอาเรื่อง “นิสัยไม่ค่อยเปลี่ยนเลยนะครับท่านเสี่ยวหลง”

                “ปากดีเหมือนเดิมเลยนะเจสัน” เสี่ยวหลงหัวเราะ “แกมันก็เป็นพวกหมาหัวเน่าเหมือนเจ้านายของแกนั่นแหละ ทำตัวทุเรศน่าอัปยศกันเอง แล้วจะมาโทษใครได้”

                “ต้องขอประทานโทษนะครับท่านเสี่ยวหลง เพราะเท่าที่ผมทราบมา” เจสันโค้งคำนับเสี่ยวหลงช้า “คนที่ไม่มีใครต้องการตั้งแต่เด็กน่าจะเป็นท่านเสี่ยวหลงนะครับ ในขณะที่ท่านพ่อและท่านพี่ของท่านเสี่ยวหลงช่วยกันดูแลธุรกิจอยู่ที่ญี่ปุ่นกับจีน ดูเหมือนว่าท่านเสี่ยวหลงจะเป็นคนเดียวที่ตระกูลหยางพยายามให้มาอยู่ที่ไทย”

                “ฉันก็ยังดีกว่าแกกับริวกินะ ที่พ่อแม่พี่น้องพากันชิงตายกันไปก่อน” เสี่ยวหลงยิ้มเยาะอย่างได้ใจ “ส่วนของริวกิถึงพ่อมันจะยังอยู่ แต่อยู่ไปก็ไม่ต่างจากตายอยู่ดี ทอดทิ้งให้มันอยู่บนโลกนี้ไปวัน”

                “จะพูดอะไรก็ขอให้ระวังปากบ้างก็ดีนะครับท่านเสี่ยวหลง เพราะถึงอย่างไรก็ตามตระกูลมิยากาว่าก็ยังคงถือหุ้นส่วนใหญ่ที่สุดของที่นี่ หากความประพฤติไม่ดีของท่านเสี่ยวหลงถูกรายงานถึงหูท่านพ่อของท่านริวกิ ผมว่าเด็กทดลองงานมือใหม่อย่างท่านเสี่ยวหลง อาจจะถูกลบชื่อออกจากตระกูลหยางได้นะครับ” เจสันยิ้มอย่างท้าทาย “ได้ข่าวว่าท่านพี่ของท่านเสี่ยวหลงดูแลบริษัทที่จีนได้กำไรดีจนท่านพ่อภูมิใจมาก ท่านเสี่ยวหลงเองก็ต้องระวังตัวนะครับ ประสบการณ์กับบทเรียนมันต่างกัน รู้สึกว่าท่านพ่อยิ่งไม่ชอบคนขี้แพ้อยู่ไม่ใช่เหรอครับ”

                “ไอ้เจสัน” เสี่ยวหลงลุกขึ้นทุบโต๊ะอย่างโมโห “แกมันก็แค่หมาที่ตระกูลมิยากาว่าเก็บมาเลี้ยงเท่านั้นแหละ อย่าสะเออะทำตัวเหมือนเป็นลูกหลานเขาแท้ กำพืดแกมันก็แค่เด็กกำพร้าริอาจชูคอจองหองกับฉันเหรอ”

                “น้อมรับคำสั่งสอนทุกอย่างครับ เพียงแต่ตอนนี้ท่านเสี่ยวหลงคงต้องออกไปจากห้องของท่านริวกิแล้วนะครับ คุณรุ่งรัตน์เลขาของที่นี่จัดห้องทำงานรอให้แล้ว ส่วนเรื่องที่พักก็ให้พักที่โรงแรมแถวนี้ครับ ถ้าหากไม่สะดวกหรือต้องการอะไรเพิ่มเติมกรุณาแจ้งคุณรุ่งรัตน์นะครับ อย่าทำอะไรโดยพละการ”

                “แก…” เสี่ยวหลงกัดฟันพูดด้วยความโกรธแค้น “ฉันจะรอดูวันที่ห้องนี้จะมีชื่อของฉันติดไว้หน้าห้อง หวังว่าแกจะได้อยู่จนถึงวันนั้นนะ”

                “ครับ” เจสันโค้งคำนับ “ผมจะรอ”

                “เชิญค่ะคุณเสี่ยวหลง” รุ่งรัตน์คำรับพร้อมผายมือออกไปทางประตู “ไปดีๆตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องแล้ว”

                “เธอว่าอะไรนะ”

                “อ๋อเปล่าค่ะ” รุ่งรัตน์ทำหน้าทะเล้น “ฉันบอกว่าเดินดีๆนะคะ ที่นี่กระเบื้องมันลื่นค่ะ”

                รุ่งรัตน์เดินนำหน้าเสี่ยวหลงทีมีท่าทีไม่พอใจนักออกไป ท่าทีที่หยิ่งผยองของเสี่ยวหลงทำให้ปอนด์นึกถึงริวกิขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าคนใหญ่คนโตจากญี่ปุ่นจะต้องทำท่าทางอวดดีแบบนี้ทุกคนเลยหรือไม่

                “ต้องขออภัยคุณปอนด์กับคุณโจ๊กด้วยนะครับ ที่ต้องมาเจอเรื่องวุ่นวายแบบนี้” เจสันทักทายทั้งสองคนที่ยืนนิ่งเงียบราวกับไม่มีตัวตน

                “ไม่หรอกครับผมต่างหากที่ต้องขอโทษเจสัน เรื่องที่พวดคุณคุยกันมันเป็นเรื่องภายใน คนนอกอย่างผมไม่ควรรับฟังด้วยซ้ำ”

                “ว่าแต่คุณปอนด์มาหาท่านริวกิเหรอครับ”

                “เมื่อเช้าผมเพิ่งเห็นข่าวที่ลงเมื่อวาน เรื่องมันเป็นมาอย่างไรหรอครับ” ปอนด์ถามอย่างใจร้อน

                “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมทราบแค่ว่าหลังจากข่าวนั้นตีพิมพ์ที่ประเทศไทยไม่นาน ก็มีคนรายงานท่านพ่อของท่านริวกิ ท่านก็เลยเรียกตัวท่านริวกิกลับญี่ปุ่นเพื่อเข้าที่ไต่สวนของผู้บริหารใหญ่ครับ”

                “แล้วริวกิเขาจะได้กลับมามั้ยครับ”

                “ผมก็ไม่แน่ใจครับคุณปอนด์ ดูเหมือนท่านพ่อของท่านริวกิจะโกรธมากที่ทำให้ท่านขายหน้า และพวกบรรดาหุ้นส่วนทั้งหลายต่างก็พยายามล้มตระกูลมิยากาว่าที่เป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ที่สุด เรื่องนี้จึงค่อนข้างหนักมากครับ”

                “แล้วริวกิตอนนี้อยู่ไหนครับ ผมอยากเจอเขา ผมอยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

                “ท่านริวกิจิตใจค่อนข้างเข้มแข็งครับ เมื่อเช้าท่านริวกิเพิ่งไปให้ปากคำตำรวจคดีของป้องศักดิ์และซินดี้ครับ ตอนนี้ก็น่าจะออกเดินทางไปสนามบินแล้วครับ”

                “ริวกิไม่ใช่คนเข้มแข็งขนาดนั้นหรอกครับ เขาแค่เก็บความทุกข์ใจไว้ไม่ให้แสดงออกมา เขาไม่อยากให้คุณเป็นห่วงเวลาเห็นเขาอ่อนแอ” ปอนด์ก้มหน้า

                “คุณปอนด์ลองตามไปที่สนามบินสิครับ กว่าเที่ยวบินที่ท่านริวกิโดยสารจะออกเดินทางก็อีกตั้งสี่ชั่วโมง เดี๋ยวผมโทรถ่วงเวลาท่านให้ ท่านริวกิจะไปที่ทางเข้าสิบสอง คุณปอนด์ไปเจอท่านที่นั่นเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้เอง”

                “ค… ครับ” ปอนด์เงยหน้ามองเจสันอย่างมีความหวัง

                “คงจะจริงอย่างที่คุณปอนด์พูด คนที่น่าจะทำให้ท่านริวกิดีขึ้นได้คงจะมีคุณปอนด์คนเดียวเท่านั้นครับ”

                “ขอบคุณครับเจสัน” ปอนด์พูดจบก็รีบเดินออกจากห้องไป

                “คุณโจ๊กครับ” เจสันตะโกนเรียกโจ๊กที่กำลังจะตามปอนด์ออกไป “คำพูดของคุณวันก่อนทำร้ายจิตใจท่านริวกิได้อย่างเลือดเย็นเลยนะครับ ผมขอโอกาสให้สองคนนั้นได้พูดคุยกันหน่อยนะครับ อย่างน้อยที่สุด… มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เจอกัน”

                “ผมจะเชื่อคุณ ไม่ใช่เพราะเจ้านายคุณ แต่เป็นเพราะปอนด์”

                เจสันยิ้มให้โจ๊กด้วยมิตรภาพที่ดี เช่นเดียวกับโจ๊กที่ยิ้มให้เพราะเขาไม่อยากซ้ำเติมคนที่มีปัญหา ทั้งคู่ต่างก็เป็นห่วงคนที่ตัวเองรัก และไม่อยากทำลายโอกาสที่เหลือน้อยนิดของทั้งปอนด์และริวกิ

 

 

                เกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าที่ปอนด์จะเดินทางมาถึงสนามบิน ในใจของเขาครุ่นคิดถึงคำถามนับร้อยที่อยากจะถามริวกิ ปอนด์ภาวนาให้การถ่วงเวลาของเจสันประสบความสำเร็จ และเมื่อขาของเขาก้าวลงจากแท็กซี่ ปอนด์ก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังประตูสิบสองที่เจสันนัดแนะไว้ให้ในทันที

                เมื่อมาถึงทางเข้าที่สิบสอง ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เจสันบอกไว้ ปอนด์มองเห็นผู้ชายในชุดสูทยืนอยู่ข้างกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เขาสวมแว่นตาดำปกปิดใบหน้าเอาไว้ แต่ปอนด์มั่นใจได้ว่าผู้ชายคนนั้นต้องใช่ริวกิอย่างแน่นอน

                “ริวกิ” ปอนด์เรียกชื่อทันทีที่เข้าประชิดตัวผู้ชายคนนั้นได้

                “นายเองหรอกเหรอธุระสำคัญที่เจสันบอกให้ฉันรอ” ริวกิขยับแว่นตา

                “นายจะไปไหน”

                “ท่านประธานใหญ่เรียกตัวฉันกลับไปญี่ปุ่น”

                “เพราะเรื่องข่าวนั่นใช่มั้ย?”

                “ใช่”

                “แล้วจะกลับมาอีกเมื่อไหร่?”

                “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะได้กลับมาที่ไทยอีกหรือเปล่า บางทีอาจจะไม่ได้กลับมาเลยก็ได้”

                “ไม่ได้นะ” ปอนด์ส่งน้ำเสียงอ้อนวอน

                “ทำไมล่ะ”

                “ผม… ผมอยากให้คุณอยู่ที่นี่ เอ่อ…” ปอนด์พยายามเลี่ยงที่จะบอกความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองไว้ เขากลัวว่าริวกิจะรังเกียจความจริงจากเขา “มีอีกตั้งหลายอย่างที่คุณยังต้องทำที่นี่ไม่ใช่เหรอครับ งานของคุณล่ะ ไหนจะเรื่องคดีที่ยังไม่จบอีก”

                “มันก็ไม่ใช่เรื่องที่นายควรจะเข้ามายุ่ง” ริวกิล้วงกระเป๋ากางเกงเหมือนคนไม่มั่นใจในตัวเอง “ฉันให้เจสันอยู่จัดการเรื่องที่นี่จนกว่าจะเสร็จเรื่องทั้งหมดแล้ว”

                “แล้วคุณไม่คิดจะตามสืบเรื่องภาพที่หลุดมาเหรอครับว่าเป็นฝีมือใคร คุณจะปล่อยให้เขาทำลายชื่อเสียงของคุณไปง่ายๆแบบนี้เหรอครับ”

                “ไม่จำเป็น” ริวกิหยิบเมมโมรี่การ์ดจากในกระเป๋ากางเกงยื่นให้ปอนด์ “เรื่องภาพที่เป็นข่าวฉันเป็นคนส่งให้หนังสือพิมพ์ลงเอง”

                “อะ… อะไรนะ” ปอนด์รับสิ่งที่ริวกิยื่นให้ด้วยท่าทีมึนงง เขารู้สึกชาไปทั้งร่างกาย ในหัวหนักอึ้งราวกับมีคนยัดก้อนหินเข้าไปแทนสมอง “ทำไมกัน… นายทำแบบนี้ทำไม”

                “ฉันอยากจะคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะเป็นของนาย”

                “หมายความว่าอะไร นายพูดออกมาสิริวกิ พูดให้ฉันเข้าใจ” ปอนด์พยายามควบคุมอารมณ์

                “นายอยากแบล็กเมลล์ฉันไม่ใช่เหรอ ถ้าฉันไม่ขัดขวางนายไปเมื่อคราวก่อนนายก็คงทำสำเร็จ ฉันเลยอยากจะคืนสิ่งที่นายควรจะได้ เพราะฉันไม่อยากรู้สึกติดค้างอะไรนาย”

                “ติดค้างอะไรกัน! นายพูดเรื่องอะไร! นายมันบ้าไปแล้ว!” ใบหน้าของปอนด์เริ่มแดงด้วยความโมโห “ฉันไม่ได้ต้องการให้นายแก้ไขความผิดพลาดด้วยการทำแบบนี้เลย”

                “ใช่ฉันคิดว่าฉันเองน่าจะบ้าอยู่เหมือนกัน” ริวกิถอดแว่นตาดำออก เขาอยากจะส่งความรู้สึกภายในให้ปอนด์รับรู้จากสายตาของเขา “ตั้งแต่ที่นายเริ่มเข้ามาวุ่นวายในชีวิตฉัน ตั้งแต่ที่นายต้องไปรับอันตรายเพราะฉัน ฉันก็รู้สึกเหมือนคนบ้าอย่างที่นายพูด ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร อารมณ์และความคิดของฉันมันเริ่มไม่เหมือนเดิม ฉันต้องมาสับสนปรวนแปรเพราะนาย ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมนายถึงมีอิทธิพลต่อฉันได้มากมายขนาดนั้น”

                “มันไม่ใช่แค่นายหรอกริวกิที่ต้องผ่านพ้นความรู้สึกเหล่านั้นไปให้ได้ ฉันเองก็ไม่ได้ต่างจากนาย”

                “นอกจากนั้นสิ่งต่างๆที่ฉันทำไม่ดีกับนายยังคงตามหลอกหลอนฉัน ทุกครั้งที่ฉันมองไปยังแววตาของนาย ภาพใบหน้าของนายที่โกรธแค้นฉันในวันนั้นมันยังติดอยู่ในหัว ฉันไม่อยากรู้สึกค้างคาใจ” ริวกิส่งแววตาที่เจ็บปวดให้ปอนด์รับรู้ “ฉันอยากจะชดใช้เพื่อปลดปล่อยความรู้สึกในใจให้เป็นอิสระ”

                “แล้วทำไมถึงเลือกวิธีนี้ ทำไมนายต้องทำร้ายตัวเอง นายแก้ไขด้วยการเดินหนีจากฉันไปอย่างนั้นเหรอ” ใบหน้าของปอนด์เริ่มฉ่ำวาวไปด้วยน้ำตาอุ่นๆที่คลออยู่ที่เบ้าตา

                “มันอาจจะดูงี่เง่า แต่ฉันคงยังไม่สบายใจถ้าหากฉันยังไม่ได้ทำ”

                “นายใจร้ายมากริวกิ” หยดน้ำตาของปอนด์ที่พยายามอดกลั้นอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่อล้นออกมาอย่างไม่อาจกล้ำกลืน “วิธีที่นายทำมันก็แค่การหนีปัญหา มันไม่ได้เป็นการชดใช้ให้กับฉัน มันไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่มันจะแย่ลงมากไปกว่าเดิม”

                “ฉันไม่สนหรอกว่านายกับเพื่อน” ริวกิเลื่อนสายตาจากปอนด์มองไปยังโจ๊กที่ยืนอยู่ข้างหลัง “จะคิดอย่างไร ฉันแค่ต้องการกำจัดเรื่องที่กวนใจฉันให้มันหมดไปก็เท่านั้น”

                “นายอยากจะกำจัดฉันสินะ”

                “ก็ถ้ามันทำให้ฉันรู้สึกดี ฉันก็จะทำ”

                “ฉันเข้าใจแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาทั้งๆที่ฉันรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ฉันก็…” ปอนด์กลืนคำพูดของตัวเองลงท้องเข้าไป “นายกลับไปเดินบนเส้นทางของนายที่ควรจะเป็นเถอะ ฉันมันก็แค่เสี้ยนหนามที่ดันมาอยู่ผิดที่ผิดทางจนตำเท้านายเข้า ให้ทุกอย่างมันจบลงตอนนี้ก็ยังดีกว่าปล่อยให้มันนานไปกว่านี้”

                “หมดธุระของนายแล้วหรือยัง ถ้าจะมัวพร่ำเพ้อพรรณนาแต่เรื่องของตัวเอง ฝากข้อความไว้กับเจสันก็ได้”

                “ไม่ล่ะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ฉันไม่รู้ว่านายรู้สึกอย่างไรกับฉัน แต่สำหรับฉันมันเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ต่อให้ย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องในอดีตได้ ฉันก็ยังเลือกที่จะทำแบบเดิมเพื่อให้ได้เจอนาย”

                “ฉันไม่อยากย้อนเวลา” ริวกิมองใบหน้าปอนด์ด้วยท่าทางสับสน“ฉันอยากขอเวลาให้ฉันค้นพบตัวเองว่าที่แท้จริงแล้วฉันต้องการอะไร ฉันอยากจะมองหน้านายโดยที่ตัวเองไม่รู้สึกผิด และถ้าวันนั้นมีจริงฉันจะกลับมาเอาของๆฉันคืน”

                “ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่นายต้องการจะบอกฉันแท้จริงแล้วคืออะไร แต่ฉันก็ไม่อยากสนใจต่อไปแล้วล่ะ ฉันคงส่งนายได้แค่เท่านี้” ปอนด์ปาดน้ำตาด้วยมือของตัวเอง แม้ในใจเขาอยากจะให้เป็นมือที่เรียวงามของริวกิคอยเช็ดน้ำตาให้ แต่เขาก็ได้เพียงแค่หวังไว้ในใจ “ถ้าหากนายยังยืนกรานจะไปให้ได้จริงๆ ฉันอยากจะบอกนายให้รู้ไว้อย่าง ฉันเคยเกลียดนายและอยากให้นายพบจุดจบอย่างที่นายเจอมันตอนนี้ แต่หลังจากที่ฉันค้นพบความจริงในตัวเอง หลังจากที่เราฝ่าฟันปัญหาต่างๆมาด้วยกัน ความคิดฉันก็เปลี่ยนไป ฉันอาจจะคิดไปเองฝ่ายเดียว” ปอนด์ก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาของริวกิ “ฉันอายมากนะนายรู้มั้ยที่ต้องมาสารภาพรักกับผู้ชายด้วยกันเอง แต่เมื่อฉันพบว่าฉันกำลังจะสูญเสียสิ่งที่รักไป มันทำให้ฉันกล้าที่จะเผชิญทุกอย่าง ฉันไม่กลัวอีกต่อไปใครจะว่าอะไร ใครจะพูดอย่างไร ฉันไม่สนใจพวกเขาเหล่านั้นอีกต่อไป เพราะคนที่ฉันแคร์ที่สุดก็คือนาย”

                “ฉันอยากจะจบบัญชีความแค้นทุกอย่างลง เพื่อจะเริ่มอะไรใหม่ๆ ทุกๆครั้งที่ฉันมองหน้านายฉันเห็นแต่ความผิดพลาดของตัวเอง ฉันอยากจะชดใช้ในสิ่งที่ฉันทำไม่ดีกับนายลงไป เพื่อที่ในสักวันหนึ่งฉันจะสามารถรักนายได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจตัวเอง” ริวกิก้มลงดึงหูกระเป๋าลากของเขาขึ้นมา “นี่ไม่ใช่จุดจบของเราปอนด์ มันแค่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”

                “นาย ร… รักฉันเหรอริวกิ” ปอนด์ทวนคำด้วยความตกใจ

                “ฉันเองก็ยังพูดคำนั้นได้ไม่เต็มปากหรอกนะ ขอให้ฉันได้ใช้เวลากับตัวเอง ฉันเองก็ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ ฉันก็สับสนและวุ่นวายไม่ต่างจากนายหรอก ขอให้นายเข้าใจฉัน และรู้ว่าฉันรู้สึกดีกับนาย นายทำให้ฉันรู้ว่ามนุษย์เราควรมีสิ่งที่รักเพื่อให้ชีวิตเรามีความหมาย”

                “แค่นี้ฉันก็พอใจแล้วล่ะ” ปอนด์เงยหน้ามองริวกิทั้งน้ำตา “ฉันขอให้คำตอบในใจนายคือฉันนะ”

                “ฉันก็อยากให้เป็นเช่นนั้น”

                ใบหน้าของริวกิในสายตาของปอนด์เริ่มเลือนรางลงไปด้วยน้ำตา เขาทองแทบจะไม่เห็นร่างสูงยาวในชุดสูทนั้น แต่เขาก็รู้ได้ว่าริวกิกำลังเดินหันหลังจากเขาไป มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก หากน้ำตาของเขาสามารถบอกความรู้สึกเป็นรสชาติได้ เขาคิดว่าน้ำตาของเขาคงเป็นรสฝาดๆ ที่จะสุขก็ไม่สุข จะเศร้าก็ไม่เศร้า

                ปอนด์ยิ้มให้กับร่างของริวกิที่อยู่เบื้องหน้า แม้จะรู้สึกโมโหตัวเองที่ไม่สามารถคว้าริวกิไว้ข้างตัวได้ แต่อย่างน้อยเขาก็มีความสุขที่รู้ว่าริวกิเองก็มีความรู้สึกดีๆแบบเดียวกันมอบให้เขา

                ริวกิเดินตรงเข้าประตูไปด้วยความมุ่งมั่น เขารู้สึกว่าการกระทำของเขาทำร้ายตัวเองและปอนด์ แต่สิ่งที่จะช่วยล้างความรู้สึกผิดที่มีอยู่ในใจของเขาได้ได้ ก็คงมีเพียงแต่วิธีนี้เท่านั้น สำหรับริวกิแล้วบางครั้งการปกป้องก็หมายถึงการเสียสละ ปอนด์อาจจะโกรธหรือเกลียดเขา แต่นั่นจะทำให้ปอนด์สามารถอยู่ต่อไปได้โดยปลอดภัย ริวกิเลือกที่จะเสียปอนด์ไปในแบบนี้ ดีกว่าต้องจากกันโดยไร้ลมหายใจ

                “กลับกันเถอะปอนด์” โจ๊กที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดเดินเข้ามาโอบไหล่ปอนด์อย่างเบาๆ แม้ว่าเขาจะรู้สึกแย่ที่ต้องทำให้ปอนด์เสียใจ แต่โจ๊กก็คิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

                “อื้อ” ปอนด์เช็ดน้ำตาหยดสุดท้ายที่หยดลงมา

                ปอนด์ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เขาจะได้เจอริวกิอีกหรือไม่ แต่ปอนด์ก็จะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด หากวันหนึ่งริวกิไม่ได้กลับมา เขาก็จะตั้งใจเรียนและไปหางานทำที่ญี่ปุ่น เขาจะเป็นฝ่ายไล่ล่าและทำให้ริวกิชดใช้ที่ทำให้เขาต้องรอด้วยตัวของเขาเอง แม้ตอนนี้ปอนด์จะยังไม่เข้าใจสิ่งที่ริวกิทำลงไปทั้งหมด แต่เขาก็เคารพในการตัดสินใจของริวกิ

                ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับปอนด์มันเริ่มต้นจากความแค้น แต่มันกลับจบลงด้วยความรัก มันอาจดูแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่เรื่องของความรู้สึกมันก็ยากจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจหมดได้ ปอนด์เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในอีกมุมมองหนึ่งที่อาจจะไม่ได้สวยสดงดงาม เช่นเดียวกับเหรียญที่ย่อมมีสองด้าน โลกของปอนด์อาจจะเป็นด้านสว่างที่อบอุ่น แต่โลกของริวกิที่มืดมิดและเหน็บหนาวกลับสอนให้เขาเข้มแข็งและฉลาดที่จะต่อสู้กับความโหดร้าย  ปอนด์สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและมีความสุขที่ แม้ว่าริวกิจะยืนอยู่ข้างๆเขาหรือไม่ก็ตาม

… The End …

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา