ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
97)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
" อืม...จะว่าไป ถ้าหากไม่นับที่เราปลอมเป็นพระเจ้าเอกทัศน์ในช่วงที่เราลงไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง...นี่ก็เป็นครั้งที่ ๒ เท่านั้นที่เราเข้ามาอยู่ในเขตราชฐานชั้นในแห่งนี้...แถม ทุกครั้งที่เข้ามา เราก็ได้ประสบการณ์เฉียดตายติดตัวกลับไปซะทุกครั้งเลย...เอ...จะว่าดีหรือไม่ดีดีหว่าเนี่ย? " ระหว่างที่เขากำลังเดินก้มหน้างุดไปตามเส้นทางสายอิฐแดงที่ทอดยาว และพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะควบคุมไม่ใช้สายตาอันซุกซนของเขาในการเหล่มองดูเหล่า สวรรค์น้อยๆ ที่เรียงรายอยู่ตามสวนหย่อมหรือศาลาไม้เล็กๆข้างทาง ...ซึ่งในฐานะของผู้ชายทั้งแท่ง เขาต้องขอยอมรับเลยว่ามันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน...
...ก...ก็รู้อยู่หรอกว่าที่นี่เป็นที่ๆผู้ชายเข้ามาไม่ได้นอกจากพระมหากษัตริย์ ทำให้นางกำนัลจะโป๊จะเปลือยแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น...ต...แต่ว่า พวกนี้ก็น่าจะรู้แล้วว่าเราก็เป็นอีกคนที่มีอำนาจในการเข้านอกออกในเขตราชฐานชั้นในนี่ได้ เพราะงั้น...ส่วนไหนปิดได้ก็ช่วยๆกันปิดหน่อยเท้อออ!
ไกรได้แต่บ่นในใจเบาๆพลางก้มหน้าและเดินตามเส้นทางสายอิฐแดงต่อไป...โชคดีอยู่อย่างที่เขายังมีข้อดีของผู้ชายทั่วไป คือค่อนข้างจะจำเส้นทางได้อย่างแม่นยำ ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องลำบากไปไต่ถามเส้นทางกับ นางฟ้ารายทาง ทั้งหลายให้ตะขิดตะขวงใจ...เพียงชั่วไม่นานนักหลังจากการลัดเลาะไปตามรายทาง ผ่านโรงเก็บราชยานและพระคลังมหาสมบัติ ผ่านพระที่นั่งอันวิจิตรงดงามไปไม่กี่หลัง...ในที่สุดเขาก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพระตำหนักไม้อันใหญ่โตและงดงามเกินกว่าพระตำหนักใกล้เคียง...พระตำหนักที่เวลานี้กลายเป็นพระตำหนักที่ให้บรรยากาศอันเย็นเยียบและน่าหวาดกลัวชนิดที่แม้ว่าเขาจะมาในเวลากลางวันแท้ๆ...พระตำหนักที่เวลานี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดกล้าเข้ามาอยู่อาศัยอีกต่อไปแล้ว...หลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่นับเกือบร้อยศพอันน่าหวาดสยองที่สุดในราตรีนั้น...
...พระตำหนักปลายทอง...อดีตพระตำหนักประจำเจ้าจอมเพ็งและเจ้าจอมแมนนั่นเอง...
" ท่านไกรเจ้าคะ... " เสียงทักทายอันเคารพนบน้อมของเหล่าจ่าโขลนสาวๆที่ยืนอยู่เวรยามกันโดยรอบพระตำหนักแห่งนี้ ปลุกไกรให้ตื่นจากภวังค์ความคิด พร้อมกับที่เขาหันกลับไปและก้มหัวพยักหน้าทักทายกลับเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะถามเหล่าจ่าโขลนพวกนี้เบาๆว่า
" หลังจากที่ข้าและท่านผู้---หมายถึง...เจ้าพระยาราชมนตรีฯคนใหม่มาตรวจสถานที่ครั้งสุดท้าย...มีผู้ใดมายังสถานที่แห่งนี้อีกหรือไม่? "
คำถามของชายหนุ่มทำให้เหล่าจ่าโขลนสาวที่ยืนอยู่หันไปมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะก้มหัวลงให้กับไกรพร้อมกับตอบเบาๆอีกครั้ง
" ...นอกจากคุณท้าวอนาสตาเซียและคุณท้าวอเทตยา ที่มาตรวจดูเมื่อนานมาแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นที่จะกล้าเข้าใกล้พระตำหนักแห่งนี้แล้วล่ะเจ้าค่ะ...ทุกคนต่างก็เชื่อว่าพระตำหนักแห่งนี้เต็มไปด้วยอาถรรพ์และคำสาป...ม...แม้แต่พวกอิฉันเอง...ก็... "
" อืม...ก็ว่าไม่ได้หรอก...แม้แต่ข้ายังเสียวสันหลังวูบๆเลย...นี่ขนาดมาตอนกลางวันแท้ๆนะ "
" จ...เจ้าค่ะ...ยิ่งตอนกลางคืนยิ่งแล้วใหญ่...พวกอิฉันแทบจะเกี่ยงกันเพื่อมาเดินเวรยามในละแวกนี้เลยล่ะเจ้าค่ะ "
" ฮ่ะๆ เห็นภาพเลย "
...คำพูดเชิงทีเล่นทีจริงของไกรทำให้พวกจ่าโขลนสาวๆปิดปากหัวเราะออกมาเบาๆ...ถึงจะพูดอย่างสนิทกัน แต่ดูเหมือนพวกเธอจะมีความเคารพและยำเกรงต่อเขามากกว่าเหล่าทหารมหาดเล็กอันเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาโดยตรงเสียอีก ซึ่งก็ว่าไม่ได้ เพราะหลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น ดูเหมือนพวกเธอจะเชื่อว่าพวกเธอติดหนี้ชีวิตเขาและหน่วยคเณศร์เสียงาไปเรียบร้อยแล้ว
" ท่านไกร...ท่านจะเข้าไปในพระตำหนักอย่างนั้นหรือเจ้าคะ? "
" อืม...ขออนุญาตเลยก็แล้วกันนะ "
" มี...อะไรที่พวกอิฉันต้องระวังรึเปล่าเจ้าคะ? " พวกจ่าโขลนสาวหันไปมองหน้ากันพร้อมกับรีบถามเขาทันทีด้วยสีหน้าเป็นกังวลจนปิดแทบไม่มิด นั่นทำให้ไกรถอนหายใจเฮือกทันที
' เฮ้อ...นี่ตกลงตูเหมือนแมวดำ ที่กลายเป็นตัวแทนของลางร้ายไปแล้วรึไงฟะเนี่ย? '
" ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก...ข้าเพียงแค่ต้องการมาตรวจที่เกิดเหตุ...หมายถึงที่นี่อีกครั้ง เพราะสะกิดใจอะไรบางอย่างขึ้นมาเท่านั้น "
" สะกิดใจ? "
" อืม...ก็แค่สะกิดใจนั่นแหละ " ชายหนุ่มตัดบทพร้อมกับก้าวพรวดขึ้นสู่พระตำหนักอันใหญ่โตทว่าเงียบสงัดนี้ทันทีโดยไม่ยอมให้เหล่าจ่าโขลนถามอะไรอีก...แต่พอขึ้นมาถึงบนตัวเรือน บรรยากาศทั้งหมดทั้งมวลที่พ่งมารายล้อมรอบตัวเขาก็แทบจะเปลี่ยนความคิดให้เขาอยากจะเดินกลับลงมาเลยทีเดียว
...บรรยากาศที่ข้นหนัก และหนาวเยือก...ชนิดที่ขนาดเขาที่มีพระเวทคาถาระดับสูงอย่าง ชินบัญชร คุ้มกายอยู่ยังถึงกับผงะเลยทีเดียว...
...ภายใต้ความหนาวเยือกและเงียบงันอย่างน่าขนลุกนี้ ไกรรู้ดีว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร...เพราะที่นี่คือสถานที่ที่เมื่อไม่ถึง ๑ เดือนที่แล้ว ทั้งจ่าโขลน เหล่านางกำนัล รวมไปถึงเจ้าจอมแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ที่มีจำนวนรวมกันเกินกว่าครึ่งร้อย ถูกสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยมและเลือดเย็นที่สุดภายในราตรีเดียว!...
ชายหนุ่มกลั้นใจข่มความกลัวและอาการเสียวสันหลังวูบวาบๆของตนเองพร้อมกับกระชับดาบสดายุที่อยู่ข้างลำตัวแน่นขึ้นราวกับเพื่อปลุกปลอบใจว่าอย่างน้อยเขาก็ยังมีอาวุธประจำมืออยู่ข้างกาย พร้อมกับก้าวลึกเข้าไปในเรือนอย่างช้าๆ พร้อมกับใช้สายตากวาดมองไปรอบๆทั้งพื้นเรือน ไล่ไปจนแทบจะถึงเพดานด้านบนทันที
' ถึงจะทำความสะอาดอย่างหนักแล้ว แต่รอยคราบเลือดส่วนใหญ่ก็ยังสังเกตเห็นได้อยู่...และถึงเราจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านคราบเลือด แต่...ถ้าหากให้วาดภาพ...ทั้งท่านผู้เฒ่าและเราต่างก็เห็นตรงกันเลยว่า ทุกคนต่างก็เสียชีวิตด้วยอาวุธชนิดเดียวกัน...และการลงมือที่คล้ายกัน...ไม่สิ...ต้องบอกว่าตรงกันเลยก็ว่าได้...แปลว่า...ถ้าหากไม่ใช่ฝาแฝดชนิดตัวติดกัน...การสังหารทั้งหมดก็ถูกลงมือด้วยฝีมือของคนๆเดียวเท่านั้น ' ชายหนุ่มหรี่ตาลงเพื่อเพ่งใส่คราบเลือดสีจางๆที่ยังคงเปื้อนแผ่นไม้ที่ปูเป็นพื้น พร้อมกับใช้มืออีกด้านที่ไม่ได้กุมดาบไว้ ลูบตามรอยบากที่อยู่ตามฝาผนัง ซึ่งเดาได้ไม่ยากเลยว่าน่าจะเกิดจากอาวุธของคนร้ายแน่ๆ นั่นยิ่งทำให้เขาต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับคิดในใจต่ออย่างพยายามสังเกตสังกาว่า
' ...แปลก...รอยนี่มันเป็นรอยของของมีคม...รอยดาบอย่างไม่ต้องสงสัยเลย แถมยังเป็นดาบอันคมกริบระดับที่ไม่ได้หาง่ายๆทั่วไปด้วย...ไม่ได้หาง่ายแม้แต่กับเกรดกองทัพ...มันทำให้ท่านผู้เฒ่าเชื่อมาตลอดว่านี่เป็นฝีมือของกลุ่มบรรลัยกัลป์ที่มาฆ่าปิดปากสองเจ้าจอมแน่...แต่ว่า...ยัยดารานั่น...ท่าทีเพียงเสี้ยววินาทีของเธอในเวลานั้นมันราวกับว่าเธอและกลุ่มบรรลัยกัลป์เองก็ไม่รู้เรื่องนี้...โคตรน่าแปลกเลย '
ในที่สุด ชายหนุ่มก็เดินเข้ามาถึงส่วนของหน้าห้องนอน อันเป็นสถานที่ที่เขาพบศพอันน่าทุกทเวษของเจ้าจอมทั้งสอง รวมถึงเหล่านางกำนัลชราคนสนิท ซึ่งที่นี่เป็นที่ๆบรรยากาศข้นหนักที่สุด จนแม้แต่ชายหนุ่มสุขภาพดีอย่างเขายังรู้สึกหายใจไม่ออกและตะครั้นตะครออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
...ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตายที่ข้นหนักที่สุด!...
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกพร้อมกับสะบัดตัวเล็กน้อยเพื่อไล่อาการครั่นเนื้อครั่นตัวออก ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจลึกพร้อมกับทรุดลงนั่งขัดสมาธิอย่างพยายามใช้สมอง...ชายหนุ่มค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆราวกับไม่ประสงค์ที่จะใช้สายตาในการคาดคะเนอีกต่อไป และเปิดรับสัมผัสอื่นๆแทน...
' หากว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของกลุ่มบรรลัยกัลป์ และไม่ใช่ฝีมือของหมู่บ้านยุคันตวาต...ก็แปลว่าเป็นฝีมือของกลุ่มอำนาจใหม่...กลุ่มอำนาจที่ยังคงเป็นเงามืด...และอาจจะมีจุดมุ่งหมายในการพยายามสร้างความเข้าใจผิดและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มบรรลัยกัลป์และยุคันตวาตให้ร้าวลึกขึ้น...แต่ว่า เพื่ออะไรกันล่ะ? ทั้งยุคันตวาตและบรรลัยกัลป์ต่างก็เป็นกลุ่มลับ และนอกจากขัดแย้งกันเองแล้วก็ไม่น่าจะไปขัดแย้งกับใครได้อีก...แล้ว...คนที่ทำ...ไอ้กลุ่มอำนาจใหม่ที่ว่านี่...มันต้องการอะไรกัน?...มันจะได้ประโยชน์อะไรกัน?...มัน ทำไปทั้งหมดนี่เพื่ออะไรกัน?...เพราะอะไรกัน??...ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจเลย '
ชายหนุ่มที่นั่งหลับตาอยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างใช้สมาธิและใช้ความคิดอย่างสูงสุด แต่มันก็เหมือนกับว่าสิ่งที่รออยู่ตรงหน้าของเขามีแต่ทางตันอันมืดไปทั้งแปดด้านเท่านั้น...จนกระทั่งเขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดใจที่สุดพร้อมกับเตรียมจะลืมตาและลุกขึ้นยืนอย่างตัดสินใจแล้วว่านั่งจับเจ่าอยู่ตรงนี้คงจะไม่ช่วยอะไรแน่
" โธ่เอ้ย...เสียเวลาเปล่าๆปลี้ๆ พอที! เพราะอะไรก็ช่างเถอะ "
...แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาพยายามลืมตาขึ้นเท่านั้น เสียงๆหนึ่งที่ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาและสั่นเครือทางด้านหลังและข้างๆหูของไกรก็ทำให้เขาสะดุ้งโหยงพร้อมกับขนลุกซู่ทันที
' เพราะเจ้าอย่างไรล่ะ...ไกร ! '
เสียงๆนั่น...ต่อให้ไม่อยากจะจำ แต่เขาก็สามารถจดจำได้อย่างชัดเจนไม่มีวันลืมแน่ๆ
เสียงอันเย็นเยียบ และเคียดแค้นที่สุด ของเจ้าจอมมารดาแมน...เจ้าจอมผู้น้องแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ผู้ล่วงลับไปแล้วด้วยรอยแผลอันฉกรรจ์ที่ทะลุกลางหน้าอกนั่นเอง!
วูบ!
' คิกๆ ฮ่าๆๆๆๆ '
เสี้ยววินาทีต่อมา ไกรก็ร้องเสียงหลงพร้อมกับชักดาบสดายุอันเป็นดาบประจำกายของเขาฟันไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็วพร้อมกับปล่อยจิตสังหารที่เก็บงำไว้ของเขาออกมาทั้งหมดเพื่อไล่ให้ อะไรก็ตาม ที่คุกคามเขาอยู่ถอยห่างออกไป แต่ทุกอย่างที่เขาฟาดฟันได้กลับมีเพียงอากาศธาตุ พร้อมๆกับที่อากาศรอบกายของเขาเย็นเยียบลงจนขนลุกซู่ เสียงหัวเราะอันแหบพร่าและน่าหวาดสยองราวกับเสียงกรีดร้องของคนใกล้ตายที่ดังระงมก้องไปทั่วทั้งห้อง...ต่อให้เป็นคนที่จิตแข็งและเตรียมรับทุกสถานการณฺ์แล้วอย่างไกรก็ยังไม่อาจจะเตรียมใจรับกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี่ได้...ไม่มีผู้ใดเตรียมใจรับมันมาก่อนแน่นอน!
เขากำลังถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ!
" ท่านไกรเจ้าคะ? "
เสี้ยววินาทีที่ไกรกำลังไม่อาจครองสติให้มั่นได้ตามปรกติ สัญชาตญาณ จิตสังหารและดาบของเขาจึงขึ้นมามีอำนาจแทนสติสัมปชัญญะ และพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหาเป้าหมายและกำจัดทิ้งให้ได้...และเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่เรียกชื่อของเขาจากทางด้านหลังกลายเป็นเป้าอย่างดีของเขาในทันที
วูบ!
ไกรพลิกตัวกลับไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่ดาบในมือตวัดวูบอย่างเต็มแรงไปทางต้นเสียงโดยที่สติสัมปชัญญะไม่อาจจะสั่งการหรือหยุดสัญชาตญาณได้อย่างทันท่วงที ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่ามันเป็นการกระทำที่โง่เขลาและผิดพลาดที่สุดก็ตาม...เพราะเขาจำได้ว่าเสียงที่เรียกเขานั้น คือเสียงของพวกจ่าโขลนสาวที่เฝ้าอยู่ทางด้านหน้าพระตำหนักแน่นอน!
" ว...เวรแล้ว! "
เคร้ง!
ดาบสดายุอันคมกริบที่ไกรเชื่อว่าน่าจะตัดผ่านทั้งไม้พลองสีดำสนิททั้งร่างบางๆของจ่าโขลนสาวนางนั้นอย่างไม่ยากเย็นนัก กลับถูกหยุดด้วยดาบเล่มเรียวบางสีเงินวาวเล่มหนึ่ง ที่หญิงสาวอีกคนพุ่งเข้ามาขวางนางจ่าโขลนสาวที่ยืนเงอะงะอยู่อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแล่บ ...ดาบอันตีขึ้นจากโลหะชั้นสูงของเขา เมื่อกระทบกับดาบเล่มบางตรงหน้า ก็เกิดเสียงดังกังวานราวกับตีด้วยระฆังขนาดใหญ่จนดังก้องไปทั่วทั้งห้อง สร้างคลื่นเสียงที่ปัดเป่าเอาอาถรรพ์และกลิ่นอายอันน่าขนลุกทุกอย่างในห้องให้สลายหายไปทั้งหมดทั้งสิ้น!
" ด...ดาบนี่มัน ...นาคราช?! "
เคร้ง!
อนาสตาเซียผู้ถือดาบนาคราชอยู่กัดฟันกรอดเพื่อรับกัมปนาทของเสียงสะท้อนพร้อมกับใช้แรงทั้งหมดของเธอตวัดดาบเพื่อดันให้ไกรถอยกลับไปพร้อมกับตวาดลั่นเพื่อเรียกสติสตังค์ชายหนุ่มดังลั่น
" ไกร! "
" น...นาสตี้? "
" เป็นบ้าใบ้อะไรของเจ้ากัน เจ้าไม่ใช่คนขวัญอ่อนเช่นนี้นี่! " อนาสตาเซียตวาดออกมาพร้อมกับก้มลงดูจ่าโขลนสาวที่ถูกจิตสังหารของไกรคุกคามจนทรุดลงไปนั่งตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ โดยยังไม่ยอมลดดาบนาคราชเล่มใหม่ของตนที่มีลักษณะไม่ต่างจากนาคราชเล่มเดิมที่ถูกทำลายไปทุกประการ...ในขณะที่ไกรใช้มือตบหน้าผากอย่างแรงเพื่อเรียกสติอันไม่มั่นคงของตนพร้อมกับทรุดลงนั่งและครางออกมาเบาๆทันที
" ข...ขอบใจเจ้านะ นาสตี้...ถ้าไม่ได้เจ้าข้าคงทำเรื่องแย่ๆไปแล้ว "
" หา? เพ้ออะไรของเจ้า นี่ตกลงเจ้าเป็นอะไรกันแน่? แอบไปสูบฝิ่นที่โรงฝิ่นพวกจีนต้าฉิงมารึเปล่าเนี่ย? "
" ท่านไกร? " คราวนี้คนพูดเป็นอเทตยาที่ตามเข้ามาทีหลัง เธอกระพริบตาปริบๆพร้อมกับเดินเข้ามาค่อยๆประคองไกรที่ยังคงีสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวให้ลุกขึ้น พร้อมกับใช้ดวงตากลมโตสำรวจทั่วร่างกายและใบหน้าอันซีดขาวของไกร ก่อนที่ในที่สุดเธอจะพูดออกมาเบาๆว่า
" ท่านไกร...หน้าซีดเชียว ไม่สบายรึเปล่าเจ้าคะ? หรือว่า...ถูกผีหลอกเอาเสียแล้ว? " ประโยคท้ายหญิงสาวพูดพลางกลั้วหัวเราะเป็นเชิงหยอกล้อ แต่ไกรกลับหันไปมองหน้าหญิงสาววูบพร้อมกับคิดในใจด้วยสติสตังค์ที่เริ่มกลับมาบริบูรณ์อีกครั้งทันที
' ผีหลอก...อย่างนั้นหรือ? ...ไม่สิ...เราสวดพระเวทคาถา ชินบัญชร ทุกคืนตามคำแนะนำของท่านอรัญญิกาเทวีแล้ว...คาถาระดับนั้นจะสร้างตบะญาณให้แก่เรามากพอที่จะไม่โดนวิญญาณสัมภเวสีอะไรพวกนี้หลอกหลอนเอาได้...ยิ่งเป็นสัมภเวสีที่มีจิตมุ่งร้ายยิ่งไม่น่าจะเข้าถึงตัวเราได้ใหญ่...เอ๋...จิตมุ่งร้าย? '
" ไกร / ท่านไกร? "
" วิญญาณของเจ้าจอมแมนไม่ได้มีจิตมุ่งร้าย...หรือว่า? "
...นางมาเพื่อเตือนอะไรบางอย่าง?...กับเรา??
" ท่านไกร ท่านเป็นอะไรมากรึเปล่าเจ้าคะ? ข้าชักเป็นห่วงท่านจริงๆแล้วนะ " อเทตยาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพร้อมกับใช้หลังมืออันเนียนนุ่มแตะที่หน้าผากที่ซึมชื้นไปด้วยเหงื่อเม็ดโป้งๆของไกร นั่นทำให้ไกรสะดุ้งตื่นจากภวังค์พร้อมทั้งหันไปมองเรอบๆอย่างเริ่มรู้ตัวว่าเขาทำตัวแปลกๆไปแล้ว นั่นทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกออกมาพร้อมกับค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆจนยืนเต็มสัดส่วน ก่อนที่เขาจะกระแอมไอและพูดเบาๆว่า
" ข้า...เอ่อ...แค่หน้ามืดไประหว่างที่เข้ามาตรวจในนี้เท่านั้น "
" หน้ามืด? " อนาสตาเซียที่ยังคงนั่งปลอบขวัญจ่าโขลนสาวที่ยังคงขวัญหนีดีฝ่ออยู่ทวนคำเสียงสูงปรี๊ด พร้อมกับหันไปสบตาอเทตยาที่หันมามองด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ไม่แพ้กัน
...คนอย่างไกรเนี่ยนะ? หน้ามืด เป็นลม...
" ท่านไกร... "
" ข้าออกไปก่อนดีกว่า...ขืนช้าประเดี๋ยวลมจะจับได้อีก... " ไกรเก็บดาบเข้าสู่ฝักพร้อมกับพูดตัดบทเบาๆเพื่อหนีออกจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดตรงหน้านี้ ก่อนที่เขาจะก้มลงขอโทษขอโพยจ่าโขลนสาวโชคร้ายที่เกือบจะขาดเป็นสองท่อนเพราะฤทธิ์ดาบสดายุของเขาด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดเต็มที่ ...และเมื่อเห็นว่าจ่าโขลนสาวผู้นั้นให้อภัยเขาแล้ว เขาก็รีบผลุนผลันออกไปโดยทันทีโดยไม่รอฟังอนาสตาเซียหรืออเทตยาอีกแม้แต่คำเดียว
" พิลึกคน... " อนาสตาเซียที่เก็บดาบนาคราชเล่มใหม่เข้าสู่ฝักพร้อมกับค่อยๆประคองจ่าโขลนสาวให้ลุกขึ้นครางออกมาเบาๆอย่างงงงวยจับต้นชนปลายไม่ถูก ซึ่งคำครางของเธอก็ทำให้อเทตยาปิดปากพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆทันที
" คิกๆ นั่นสินะเจ้าคะ "
" เฮ้อ...เอาเถอะ อย่างไรเสียเขาก็แปลกๆเช่นนี้มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว...พวกเราก็ออกไปกันบ้างเถอะ ข้าอยู่ตรงนี้ก็พาลจะครั่นเนื้อครั่นตัวเสียเปล่าๆเหมือนกัน " อนาสตาเซียโคลงหัวพร้อมกับลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวจะเดินออกไปเช่นเดียวกับไกร แต่เธอก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอเทตยายังคงยืนนิ่งอยู่ ในขณะที่อเทตยาเหลือบมองมาที่เธอพร้อมกับให้เหตุผลเบาๆว่า
" ข้าขออยู่ตรงนี้สักครู่นะ จะสำรวจดูว่าท่านไกรทำสิ่งใดตกไว้รึเปล่า เพราะเมื่อครู่ท่านไกรดูท่าทีลนลานออกไป น่าจะไม่ได้สำรวจตัวเองมากนัก...ปะเหมาะเคราะห์หามเกิดทำพระธำมรงค์พระราชทานตกหาย ท่านอาจจะถูกลงราชอาญาเอาได้ "
" อืม มีเหตุผลแฮะ...ถ้าอย่างนั้นข้าช่วยหานะ " อนาสตาเซียเสนอตัวจะช่วย แต่มือฉมังธนูสาวชาวมอญส่ายหน้าช้าๆพร้อมกับพูดเบาๆว่า
" เจ้าพานางจ่าโขลนผู้นี้ออกไปเถอะ ที่นี่ไม่ได้กว้างขวางอะไรมาก ข้าดูแค่ชั่วครู่เดียวก็คงจะตามเจ้าออกไปแล้วล่ะ "
" อ...อืม " อนาสตาเซียได้แต่พยักหน้าเบาๆอย่างจำนนต่อเหตุผลของอเทตยาและไม่อยากจะพูดอะไรต่อ เธอจึงประคองจ่าโขลนสาวที่ยังขาสั่นๆอยู่ออกไปทันที
อเทตยาทอดถอนใจพร้อมกับยืนทิ้งจังหวะรออยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งเธอจับกระแสสัมผัสของทั้งจ่าโขลนสาวและอนาสตาเซียได้ว่าออกไปไกลมากพอแล้ว เธอจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแช่มช้า พร้อมกับแบมือเล็กเรียวข้างหนึ่งขึ้น เผยให้เห็นพระธำมรงค์พระราชทานที่เธอแอบนำออกมาจากคอของไกรระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ซึ่งเธอเห็นว่าเป็นโอกาสของเธอที่จะสร้างบุญคุณหรือสร้างความประทับใจให้กับชายหนุ่ม...ก่อนที่เธอจะเหลือบดวงตากลมโตมองไปรอบๆห้องที่เวลานี้ยังคงเห็นรอยเลือดที่สาดกระจายอยู่จางๆ...บรรยากาศที่เย็นเยียบลงอย่างกะทันหันทำให้เธอหัวเราะในลำคอเบาๆทันที
" หึๆ ขนาดกลายเป็นสัมภเวสี เป็นผีสางไปแล้วก็ยังอุตส่าห์จะหาทางมาทำลายข้าได้อีกนะ "
' เจ้า !...ข้าไม่ยินยอมพร้อมใจ...ข้าไม่ยินยอมพร้อมใจ ! ' เสียงสะท้อนที่น่าขนพองสยองเกล้าที่สุดอันไร้ที่มาที่ดังระงมขึ้นไปทั่วทั้งห้องอย่างกะทันหันคงจะเป็นเสียงที่ทำให้คนอื่นๆขวัญบินจนจับไข้หัวโกร๋นได้อย่างง่ายๆ แม้ว่าจะมีจิตแข็งแต่ไหนก็ตาม...แต่สำหรับผู้ที่พังทลายจนเหลือแต่ เปลือก อย่างอเทตยาแล้ว...เสียงที่แผ่วเบาอันน่าขนลุกนี้กลับทำได้เพียงทำให้เธอตาลุกวาว พร้อมกับปิดปากหัวเราะเบาๆเท่านั้น
" คิกๆ ข้าของบอกอีกครั้ง...ข้าไม่ยอมให้ท่านมาทำลายข้าได้หรอก...ท่านเจ้าจอมแมน! "
...............................................
...อเทตยาทิ้งจังหวะระยะเวลาอีกเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ทุกคนสงสัยอีกเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะค่อยๆเดินออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับกำพระธำมรงค์พระราชทานที่เธอลอบเอามาแน่น และนึกถึงเรื่องดีๆที่เธอจะทำให้กับชายหนุ่มที่เธอจะทำให้กับชายหนุ่มผู้ที่เธอเทิดทูนบูชาหมดหัวใจได้ ถึงจะรู้สึกผิดเล็กน้อยที่คราวนี้เธอไม่ได้ทำอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่เธอก็คิดอย่างเข้าข้างตนเองว่าอย่างไรเสียนี่ก็ถือเป็นการทำประโยชน์ให้กับไกรและเพิ่มคะแนนให้กับเธอได้ ทั้งอย่างน้อยในเวลานี้เธอก็ได้รู้แล้วว่าเธอไม่ควรจะให้ไกรเข้ามาในที่แห่งนี้ตามลำพังอีกต่อไป...
' หี...แทนที่จะลงนรกไปให้พ้นๆ กลับกลายมาเป็นวิญญาณติดที่...แล้วยังเกือบจะสร้างความลำบากให้เราอีก ...แต่ก็อย่างว่าแหละนะ เพราะเป็นการตายโหงไม่ใช่ตายปรกติ...คิกๆ ว่าไปก็ตลกดีนะ ผู้บงการวิญญาณสัมภเวสีกลายมาเป็นสัมภเวสีเสียเองเช่นนี้ น่าหัวร่อให้งอหายจริงๆ '
หญิงสาวเดินพลางหัวเราะออกมาเบาๆให้กับความคิดของตนเอง ก่อนที่ที่จะชะงักเล็กน้อยเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอนาสตาเซียที่เวลานี้กำลังยืนหลบมุมแอบอยู่ตรงด้านหลังเสาที่เป็นเสาพระตำหนักขนาดใหญ่พร้อมกับเม้มริมฝีปากและกลั้นหายใจราวกับกำลังหลบซ่อนจากอะไรบางอย่าง หรือใครบางคนอยู่ พร้อมกับใช้สายตามองไปที่บริเวณด้านล่างพระตำหนักแห่งนี้อยู่ ...นั่นทำให้เธอต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างผิดสังเกต ก่อนจะปิดบังจิตของตนพร้อมกับค่อยๆย่องเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบราวกับแมวเดิน จนกระทั่งในที่สุด เธอก็มายืนหมอบอยู่ข้างๆอนาสตาเซียโดยที่อนาสตาเซียไม่รู้ และไม่ทันได้สังเกตถึงเธอเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ด้านล่างดึงดูดสายตาจนเธอไม่ทันได้สังเกตถึงอเทตยาที่หมอบอยู่เลยด้วยซ้ำ
" แฮ่! "
" ว้าย! แม่หก! "
" ม...แม่หก? อุ้บ! คิกๆๆ เจ้าอุทานออกมาได้น่ารักดีแท้เชียวนะ แม่หนูน้อยอนาสตาเซีย " อเทตยาที่ทรุดลงไปกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่อนาสตาเซียที่ตกใจจนเผลออุทานออกมาจนกระทั่งเสียมาดรองหัวหน้าแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตหันกลับมามองมือฉมังธนูสาวพร้อมกับทำตาลุกวาวใส่เป็นเชิงดุ แต่เพราะคำอุทานอันแสนน่ารักของเธอ ทำให้สายตาดุๆของเธอได้ผลน้อยเสียเหลือเกิน
" ฝากไว้ก่อนเถอะ อเทตยา "
" คิกๆ โอย ปวดท้องเลย...ว่าแต่เจ้ากำลังทำอะไรอย่เนี่ย อย่างกับแอบใครอยู่อย่างนั้น? "
มือสังหารที่เวลานี้กลายมาเป็นจ่าโขลนสาวชาวตะวันตกกัดฟันกรอด ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาเบาๆอย่างถอนฉิว พร้อมกับพูดด้วยหางเสียงสะบัดๆเบาๆตอบกลับไปว่า
" ไม่มีอะไรหรอก! "
" เห? เสียงแบบนี้มันบ่งบอกว่าเจ้ากำลังปิดบังอะไรข้าอยู่นะ "
" อืม...ปิดบังจริงๆนั่นแหละ เอาเป็นว่าเพื่อตัวเจ้าเอง เจ้าอย่ารู้เลยดีกว่า "
" เอ๋? ยิ่งพูดยิ่งน่าสงสัยแฮะ...ตกลงเจ้าปิดบังอะไรข้าอยู่กันแน่--- " มือฉมังธนูสาวพูดพลางกลั้วหัวเราะเบาๆพลางค่อยๆลุกขึ้นยืนเพื่อให้เห็นว่าอนาสตาเซียกำลังซ่อนตัวและแอบดูใครหรืออะไรอยู่ แต่เมื่อภาพที่อยู่ตรงหน้าเข้าสู่คลองจักษุของเธอเท่านั้น คำพูดที่เธอกำลังพูดอยู่ก็หยุดค้างอยู่เพียงแค่กลางประโยคเพราะเจ้าตัวตกอยู่ในความตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกทันที
...ภาพของเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี หรือท่านไกรของเธอ ที่เวลานี้กำลังนั่งคุกเข่าสนทนาอยู่กับผู้ที่เธอได้รับมอบหมายจากท่านไกรเองให้ถวายการอารักขาด้วยชีวิต อย่างสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรเทวี ผู้บัดนี้อยู่ใต้เงาร่มกระดาษสาของทางเหนือที่ถืออยู่ พร้อมกับประทับยืนดำรัสสนทนาพลางแย้มพระสรวลอย่างแจ่มใสที่สุด ...ซึ่งไม่ว่าจะมองอย่างไร...การสนทนาของทั้งสองก็สนิทสนมกันมากเกินกว่าสมเด็จเจ้าฟ้าผู้เป็นนาย และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่สนทนากันแน่ๆ
" คิกๆ ทำหน้าราวกับถูกผีหลอกเชียว...ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่อยากดูหรอก มันจะทำร้ายจิตใจเจ้าเสียเปล่าๆ " อนาสตาเซียเอ่ยหยอกเย้าหญิงสาวทีเล่นทีจริง เพราะไม่ได้รู้ถึงความนัยใดๆ ...แต่พอเธอเหลือบไปมองดวงตาของอีกฝ่าย เธอก็ถึงกับชะงักกึกพร้อมกับเย็นสันหลังวาบทันที
...ดวงตาที่เย็นเยียบที่สุด จนทำให้อากาศเย็นๆในฤดูหนาวเช่นนี้กลายเป็นเยือกแข็งไปเลย...
...แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเดียว ดวงตาอันเย็นเยียบนั้นก็สลายหายไปราวกับว่าเธอตาฝาด พร้อมกับที่อเทตยาจะยิ้มหวานและส่ายหน้าอย่างแช่มช้า...
" ท่านไกรน่ะรู้จักที่สูงที่ต่ำดี ท่านไม่บังอาจทำอะไรจาบจ้วงอย่างน่าละอายใดๆหรอก "
" อเทตยา... "
" เชื่อข้าสิ อนาสตาเซีย...เพราะข้าคนนี้เป็นผู้ที่เชื่อใจท่านไกรอย่างที่สุดเหนือกว่าทุกๆคนแล้วอย่างไรล่ะ! "
..............................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ