ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
81)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...ณ รังกบดานลับที่ใหญ่ที่สุดในพระนครของหมู่บ้านยุตันตวาต...ไม่ใกล้ไม่ไกลจากย่านตะแลงแกงและตลาดหน้าคุกนัก...
" เฮ้อ... "
" ข้ารู้ "
" เฮ้อออ... "
" ก็บอกว่าข้ารู้แล้วอย่างไรล่ะ "
" เฮ้ออออ! "
" สิงห์...ข้าจะขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย... "
" เฮ้อออออออออออ!! "
" ...ข้าขอสาบานต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้านับถืออยู่เลยนะ...สิงห์ " ศกุนตลาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุดแต่แฝงด้วยจิตสังหารระดับสุดยอดอันน่าขนลุก...บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าแม้แต่คนที่ใจเย็นเป็นน้ำแข็งอย่างเธอก็ถึงขีดจำกัดของมาตรความอดทนของตนเองแล้ว " ...ถ้าหากเจ้าถอนหายใจอีกแม้แต่เพียงครึ่งคำเท่านั้น...สิงห์...ครึ่งคำเท่านั้น!...ข้าเอาลูกปืนยัดหัวเจ้าแน่! "
" โธ่...ยัยโหดเอ้ย!! " สิงห์ที่เวลานี้เอาคางเกยแนวระเบียงไม้ของบ้านพักขนาดใหญ่อันมีรั้วรอบขอบชิดหนาและชัดเจนราวกับป้อมปราการแห่งนี้ พร้อมกับทำหน้าทำตาราวกับหมาหงอยที่กำลังรอคอยเจ้าของกลับมา...ยิ่งเมื่อได้เห็นพลุตะไลของหมู่บ้านเขาที่ระเบิดส่องสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้าวูบนึงยิ่งทำตาละห้อยมาเข้าไปอีก
" เจ้าเห็นพลุตะไลนั่นแล้วใช่ไหม? ศกุนตลา...พลุตะไลที่บ่งบอกว่าเรื่องเกิดขึ้นแล้ว "
" อืม...ข้าเห็นแล้ว " ศกุนตลาที่นั่งขัด ศรพลายวาต อันเป็นปืนคาบศิลากระบอกยาวท่วมหัวประจำกายอยู่ที่ระเบียงอีกมุมนึงเงียบๆรับคำเบาๆอย่างไม่ยินดียินร้ายอะไรทั้งสิ้น อันที่จริงสิงห์เองก็ไม่ค่อยแน่ใจด้วยซ้ำว่าหญิงสาวยังคงฟังเขาอยู่รึเปล่า...นั่นทำให้ชายหนุ่มส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคออย่างขัดใจทันที
" ยัยนาสตี้ ไกร...แม้กระทั่งยัยอเทตยาที่ยังพูดว่าเป็นพวกเราได้ไม่เต็มปากด้วยซ้ำว่าเป็นพวกของเรายังอุคส่าห์ได้อยู่ในแผนการอันน่าสนุกนั่นด้วย... "
" น่าสนุก? "
" แล้วดูพวกเราสิ! พวกเราคือมือสังหารระดับสูง...หน้าที่ของเราคือต่อสู้ ไม่ใช่เฝ้าบ้านเช่นนี้นะ งานนี้ต้องโทษไอ้ไกร ไอ้คนต้นคิดแผนการนี้ เพราะมันแท้ๆข้าจึงต้องานั่งจับเจ่าอยู่ที่นี่ตั้งอาทิตย์นึงเข้าไปแล้ว! ฮึ่ม! "
" หน้าที่ของเราไม่ใช่ต่อสู้ แต่ทำตามคำสั่งท่านผู้เฒ่า...และไม่ว่าคำสั่งนั้นจะเป็นให้บุกฝ่าเขาดาบทะเลเพลิง หรือนั่งเย็บปักถักร้อย ถ้าเพื่อหมู่บ้านและท่านผู้เฒ่าแล้วข้าก็พร้อมจะยอมทำ...และอีกอย่าง...หน้าที่พวกเราได้รับมอบหมายไม่ใช่เฝ้าบ้าน...แต่เป็นการถวายการอารักขาบุคคลที่สำคัญที่สุดในราชอาณาจักรแห่งนี้อย่างดีที่สุด...เป็นส่วนหนึ่งของแผนที่สำคัญที่สุดต่างหาก "
" เฮ้อ...ถ้าหากเหล่าขุนนางทั้งหมดทั้งมวลซื่อสัตย์หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้สักครึ่งหนึ่งอย่างที่เจ้าซื่อสัตย์ต่อหมู่บ้าน...ศกุนตลา...เราคงไม่จำเป็นต้องระเห็จมาอยู่ที่นี่เป็นแน่...น่าเสียดาย...น่าเสียดายจริงๆ "
" สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์? "
ศกุนตลารีบเปลี่ยนจากท่าขัดปืนของตน ลงมาหมอบทำความเคารพอย่างเรียบร้อย ก่อนที่จะหันไปสะกิดสิงห์ที่ยังคงนั่งบ่นงึมงำๆเป็นหมาหงอยอยู่ให้ลงมาถวายความเคารพด้วยให้สมพระเกียรติ แต่พระเจ้าเอกทัศน์ที่เวลานี้อยู่ในชุดทรงสบายๆ แม้ว่าจะยังคงปิดผิวและพักตร์มิดชิดด้วยแถบผ้าและหน้ากากสีขาวอยู่ก็ตาม ทรงโบกหัตถ์เล็กน้อยเป็นเชิงว่าไม่ต้องมีพิธีรีตองใดๆมาก...พระองค์ยาตรามาหยุดที่แนวระเบียงใกล้ๆกับที่สิงห์นั่งอยู่พร้อมกับใช้ดวงเรยตรเพ่งมองไปทางทิศที่พระบรมมหาราชวังตั้งตระหง่านเป็นสง่าอยู่แม้ในยามค่ำคืนเช่นนี้ ก่อนจะปัสสาสะเฮือกออกมาเล็กน้อยทันที
" เกิดเรื่องขึ้นแล้วสินะ "
" เพคะ...สมเด็จท่าน "
" ฮึ่ม...ข้าเป็นห่วงพระเจ้าอุทุมพร และสมเด็จพระพี่นางเหลือเกิน...ทั้งสองพระองค์ก็ไม่ได้รับรู้แผนการครั้งนี้เสียด้วย...ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง "
" อย่าห่วงไปเลย ท่านพระเจ้าเอกทัศน์ ถึงจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ แต่แผนของไอ้ไกรมันก็รอบคอบพอตัวทีเดียว...คนอย่างมันกับหน่วย...หน่วย...อ่า...หน่วยคะน้าเสียเงินของมันไม่น่าจะพลาดเรื่องง่ายๆแค่นั้นแน่ เชื่อข้าเถอะ " สิงห์พูดตอบกลับเนือยๆพร้อมกับอ้าปากหาวหวอดๆโดยที่ยังไม่หันไปมองด้วยซ้ำ ทำให้หญิงสาวผู้เป็นสหายที่นั่งคุกเข่าอยู่รีบขัดขึ้นทันที
" หน่วยคเณศร์เสียงา!...แล้วก็สิงห์ อย่าลืมราชาศัพท์! "
" ฮ่าๆๆ ช่างเถอะๆ...ไม่ต้องกังวลใดๆมากนักหรอก...เวลานี้ข้าเหมือนกำลังหยุดราชกรณียกิจ แปรพระราชฐานมาพักผ่อน เพราะฉะนั้นไม่ต้องเคร่งเรื่องหยุมหยิมพรรค์นั้นหรอก... " พระเจ้าเอกทัศน์ทรงตรัสเบาๆอย่างไม่คิดจะเคร่งครัดในเรื่องพรรค์นี้มากนัก ก่อนที่พระองค์จะินพระพักตร์กลับมาหามือสังหารสาวนามว่าศกุนตลาที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่พร้อมกับตรัสเบาๆว่า
" ...แล้วก็นะ ศกุนตลา...ข้ายังไม่ตัดใจเรื่องที่จะเชิญให้เจ้ามาเป็นแม่ครัวใหญ่แห่งต้นห้องครัวหลวง แทนที่แม่ครัวเก่าของราชวังหรอกนะ...เพราะอาหารที่เจ้าทำให้ข้าตลอดๆนี่ มันทำให้อาหารที่ข้ากินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันในราชวังกลายเป็นอาหารชืดๆไปเลย...และข้าพร้อมจะจ่ายเบี้ยอัฐเจ้ามากกว่าที่ท่านออกญาฯ หรือท่านผู้เฒ่าของเจ้าให้ทบเท่าทวีเลย "
" สิ่งที่ท่านผู้เฒ่ามอบให้ข้ามีค่ามากกว่าเบี้ยอัฐใดๆจะแทนที่ได้...ต้องขออภัยด้วยเพคะ...และอีกอย่าง...ข้าเองก็ยังมีสิ่งที่ถนัดมากกว่าการทำกับข้าวกับปลามากมายนัก... "
" ช่าย...อย่างเช่นพูดจาเชือดเฉือนใจ หรือไม่ก็ยิงหัวคนให้กระจายด้วยปืนคาบศิลาจากระยะ ๒๐ เส้นอย่างไรล่ะ "
" สิงห์! "
" ฮ่ะๆ ข้าต้องยอมรับจริงๆนะว่าพวกเจ้าทำให้ภาพของเหล่ามือสังหารอันน่าหวาดกลัวที่ข้าวาดไว้ตั้งแต่ยังเป็นกุมารพังไม่เป็นท่านเลยทีเดียว... " ก่อนที่พระองค์จะผินพระพักตร์กลับไปทอดพระเนตรมองด้านที่เป็นด้านของพระพบรมมหารราชวัง พร้อมกับเนตรภายใต้หน้ากากที่หรี่ลงและตรัสเบาๆปานรำพึงว่า
" ในเวลานี้ที่ข้าทำได้...ก็คงจะมีแต่ รอคอย...ให้ค่ำคืนนี้ผ่านไป และหวังว่ามันจะผ่านไปอย่างสงบเรียบร้อยที่สุดเท่านั้น... "
.............................................
...ย้อนกลับมาที่พระที่นังบรรยงก์รัตนาสน์...
" ก...ไกร!...นี่...นี่เจ้าจริงๆอย่างนั้นหรือนี่?! " หลังจาก ๕ วินาทีแห่งความตกตะลึง...ในที่สุด ผู้ที่สร้างตะลึงก่อนก็เป็นสมเด็จพระพี่นางพินทวดีที่ทรงร้องถามขึ้นอย่างไม่เข้าพระทัยในสถานการณ์ตรงหน้าทันที...ถ้าไม่ติดว่าไกร (ที่ยังคงอยู่ในชุดเครื่องทรงพระเจ้าแผ่นดินเต็มยศอีกต่างหาก) กำลังใช้ดาบสดายุในมือในการฟาดฟันกับเจ้าพระยาราชมนตรีฯ ตรงหน้าเพื่อถวายการอารักขาพวกพระองค์อยู่ล่ะก็ ป่านนี้พระองค์มีหวังได้โดดเข้าไปเค้นคอเด็กหนุ่มผู้นี้เพื่อถามคำถามไปแล้ว
...เพราะการมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ของไกรนั้น แลกมากับการหายไปของพ่ออยู่หัวผู้เป็นเสาหลักแห่งราชอาณาจักรอโยธยานั่นเอง...
" พุทธเจ้าข้า...ออกจะแปลกไปสักหน่อย แต่นี่คือข้าพุทธเจ้าเอง...และเป็นข้าพุทธเจ้ามาได้กว่า ๑ อาทิตย์แล้วล่ะพุทธเจ้าข้า " ไกรที่เวลานี้ได้จังหวะพอจะตอบคำถามได้เหลือบมามองพร้อมกับตอบไปเบาๆ ซึ่งนั่นทำให้พระเจ้าอุทุมพรและสมเด็จพระพี่นางถึงกับต้องหันพักตร์ไปสบเนตรกันโดยทันที
" กว่า ๗ ราตรี...นั่นมันช่วงที่เจ้าต้องโทษทัณฑ์ถูกลงราชอาญาเป็นหญ้าช้างนี่?! แล้วเวลานี้พ่ออยู่หัวอยู่ที่ใดกัน?! "
" ที่ปลอดภัยพุทธเจ้าข้า "
" ที่ปลอดภัย? กว่า ๗ ราตรี?...นี่เท่ากับว่าแม้แต่กับข้าหรือกับพ่ออยู่หัวอุทุมพรเจ้ายังไม่ยอมบอกแผนการเสียก่อนเลยรึนี่?! "
" ก็แหม...ท่านผู้เฒ่า...หมายถึงท่านออกญาเขาเป็นคนบอกเองนี่ครับแผนนี้ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น เพราะจะทำให้แผนรัดกุมที่สุด...ไม่เว้นแม้กับพวกพระองค์เองก็ตามที "
" แล้วตกลงพ่ออยู่หัวอยู่ที่ใดกัน?! "
" ที่ปลอดภัย...พุทธเจ้าข้า "
เคร้ง!!
" เออ! กูก็จะถามอยู่เหมือนกัน ว่ามึงเอาขุนหลวงขี้เรื้อนไว้ที่ไหน?! " ดาบเล่มเชื่องที่สะท้อนกับแสงเงาวับในมือของท่านเจ้าพระยาราชมนจรีบริรักษ์...ท่านปิ่นฟาดลงมาใส่ชายหนุ่มในชุดทรงกษัตริย์ที่บังอาจตบตาเขาจนหัวหมุนอย่างเต็มแรงชนิดหมายสะพายแล่งให้ขาดเป็น ๒ ท่อนด้วยแรงโมโห...พร้อมกับดวงตาที่เบิกโพลงวาววับอย่างอัดแน่นไปด้วยเพลิงโทสะพร้อมกับที่ปากจะตวาดถามเสียงดังลั่น...ในขณะที่ไกรยกดาบในมือขึ้นกันไว้อย่างรวดเร็วพร้อมกับแสยะยิ้มวูบและตอบกลับไปเรียบๆทันที
" ข้าก็บอกไปแล้ว...ที่ปลอดภัย...ที่ๆมือสกปรกของพวกเจ้าไม่มีวันเอื้อมไปถึงอย่างไรล่ะ! "
" ปากดีนักนะมึง! กูก็อยากรู้นักว่ามึงจะปากดีไปได้สักกี่น้ำ!! "
เคร้ง! เคร้ง!!
" พูดก็พูดเหอะนะ...ฝีมือแค่นี้อย่าว่าแต่ให้ข้าเปิดปากออกมาเลย...แค่ให้ทำให้ข้าหอบยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ "
" อ...ไอ้ระยำ! " เจ้าพระยาแห่งกลุ่มกบฏตวาดดังลั่นพร้อมกับกระโดดถอยห่างออกไป ในชั่วเสี้ยววินาทีเดียวกันกับที่ผู้เป็นหัวหน้ากระโดดถอยออกไป ลูกธนูนับยี่สิบดอกที่ออกมาจากหน้าไม้กลขนาดเล็กในมือของเหล่ามือสังหารชุดดำที่ติดตามมาด้วยนับสิบคนก็พุ่งสวนผู้เป็นหัวหน้า หมายมาที่เจ้าพระยาพิทักษ์ฯผู้ทำให้แผนการของพวกเขาผิดพลาดไปเสียหมดนี้ทันที!
" พ่ออยู่หัว พระอัครมเหสี ระวัง! "
สมเด็จพระพี่นางพินทวดีและเหล่าคุณท้าวจ่าโขลนชราพุ่งล้ำมาข้างหน้าพร้อมกับยกหัตถ์และอาวุธขึ้นเพื่อป้องกันบุคคลที่สำคัญที่สุดอย่างพระเจ้าอุทุมพรและพระอัครมเหสีกรมขุนมิมลพัตรทันที...ถึงพระองค์จะทราบดีว่าเจ้าพระยาพิทักษ์ฯมีเชิงกระบวนดาบที่เป็นเอกอุทั้งจู่โจมและป้องกัน แต่ลูกธนูจำนวนกว่ายี่สิบดอกที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นห่าธนูกลุ่มเล็กๆไม่ใช่สิ่งที่นักดาบคนใดจะสามารถป้องกัน หรือฟันให้ร่วงได้อย่างหมดจด...เพราะฉะนั้นหากมีลูกศรใดหลุดมาแม้แต่ดอกเดียว มันจะต้องผ่านพระองค์ไปก่อนเท่านั้น
" หึๆ "
แต่เจ้าพระยาหนุ่มกลับทำให้พระองค์ต้องตกตะลึงอีกครั้ง เพราะทันทีที่เห็นห่าธนูเล็กๆนั่นพุ่งตรงเข้ามา แทนที่เขาจะเรียกดาบสัมพาทีอันเป็นดาบลับออกมา หรืออย่างน้อยๆก็ควรจะยกดาบสดายุขึ้นป้องกัน...แต่ไกรกลับลดดาบลงจนปลายดาบชี้ลงพื้น ราวกับยอมแพ้และกำลังรอคอยให้มัจจุราชที่มาในรูปแบบลูกศรกว่า ๒๐ ดอกเข้ามาปลิดชีวิตไปอย่างไรอย่างนั้น!
" เจ้าพระยาพิทักษ์ฯ ไกร!! "
วูบ!
" อ...อะไรวะนั่น?!! "
แต่ก่อนที่ลูกศรอันคมกริบที่อาจจะเคลือบด้วยพิษร้ายแรงที่ปลายลูกศรด้วยจะพุ่งเข้าดื่มเลือดของไกรเพียงประมาณศอกเดียว ห่าลูกศรนับ ๒๐ กว่าดอกนั้นก็ถูกพลังอันทรงพลังของอะไรบางอย่างหยุดลงให้ค้างกลางอากาศ หมดทั้งกว่า ๒๐ ดอกนั้น โดยไม่มีดอกใดจะสามารถพุ้งฝ่ากำแพงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านี้ได้แม้แต่ดอกเดียว! ...ก่อนที่ลูกธนูทีกดอก จะค่อยๆถูกแรงโน้มถ่วงของโลกถ่วงให้ร่วงลงบนพื้นทีละดอกๆ ท่ามกลางความตกตะลึงของทั้งฝั่งของสมเด็จพระพี่นาง และทางฝั่งของเจ้าพระยาราชมนตรีฯ ที่ถึงกับต้องอ้าปากค้างอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นทันที
" นี่...ถึงข้าจะเชื่อมั่นในฝีมือของพวกเจ้า...แต่คราวหน้าช่วยจัดการกับลูกธนูตอนมันอยู่ห่างจากข้าซักสี่ห้าเมตร---หมายถึงซักวาสองวานะ...แบบนี้มันทำเอาใจแป้วได้เหมือนกันนะ...ลูกแก้ว ลูกขวัญ "
" คิกๆ เรื่องหยุดลูกธนูนี่ไปดุลูกขวัญนู่นเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่เกี่ยว "
" แหมรักกันจริงเลยนะ ก็ตกลงกันว่าจะให้ท่านไกรตกใจเล่นๆเมื่อครู่แท้ๆ ยัยลูกแก้ว "
" ร...รักยม?...ไม่สิ! กุมารทอง?!! "
ร่างของเด็กผู้หญิงในชุดตะเบงมานสีเข้มและสวมกำไลข้อมือรูปร่างแปลกๆแปลกๆสองคน...แก่นแก้วซุกซนคนหนึ่ง และเรียบร้อยน่ารักคนหนึ่งที่ที่ค่อยปรากฏร่างขึ้นโดยนั่งอยู่บนบ่าทั้งสองข้างของไกร (ซึ่งน่าจะเป็นสถานที่โปรดของเด็กทั้งสองไปแล้ว) ในขณะที่เด็กท่าทางเรียบร้อยที่ถูกเรียกว่า ลูกขวัญ กำลังชูมือเล็กๆทั้งสองขึ้นราวกับเป็นผู้ใช้พลังอะไรบางอย่างหยุดลูกธนูนั้นไว้ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวไม่มีผิด!
...ถึงจะรู้และสามารถบอกได้ทันทีว่าเด็กทั้งสองนั่นคือกุมารทอง...ทว่าเขานับตั้งแต่เกิด จนกระทั่งหัวเริ่มออกขาวรำไรนี่...เจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ ปิน...ยังไม่เคยพบกับกุมารทองตนใดที่ทรงพลังมากพอจะหยุดลูกธนูที่นับได้กว่า ๒๐ ดอก ให้ค้างอยู่กลางอากาศได้พร้อมๆกันเช่นนี้เลย!
" โห...หยุดได้จริงๆด้วย...พูดกันตรงๆนะท่านเรือง...ข้าว่ายกชื่อเสียงที่เจ้ามีให้เด็ก ๒ ตนนั่นเถอะ เพราะถ้าไม่มีเด็กนั่น ท่านมีหวังดับไปตั้งแต่ก่อนได้เป็นพระยาเพชรบุรีแล้วล่ะกระมั้ง...เหยียบบ่าเด็กดังแท้ๆ "
" เฮ้อ...ปากเจ้านี่มันน่านักน้าาาา!...สิน...ส่วนท่าน ท่านไกร...ถึงข้าจะเป็นคนในหน่วยคเณศร์เสียงาของท่าน แต่คราวนี้ข้าคงต้องข้อบ่นหน่อยเถอะนะ...ท่านเล่นส่งคำสั่งการมาอย่างปัจจุบันทันด่วนโดยไม่สนความเดือดร้อนของข้าเลยนี่...ท่านรู้ไหมว่าข้าต้องติดสินบน เซ่นสรวงสังเวยไปเท่าไหร่กว่าที่จะส่งเด็กสองคนนั้นให้เข้ามาในที่เช่นนี้ได้ "
" ฮ่ะๆ เอาเป็นว่าข้าขอบพระคุณท่านมากนะท่านเรือง สิน แล้วข้าจะสมนาคุณให้ทีหลังก็แล้วกัน "
ผู้ที่โผล่เข้ามาจากด้านประตูทวารทางเข้าพระที่นั่งไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นชายหนุ่มผู้เป็นหน่วยคเณศร์เสียงาทั้งสองอย่าง(อดีต)พระยาเพชรบุรี เรือง และหลวงยกกระบัตรเมืองตาก สิน ที่เวลานี้อยู่ในชุดเกราะรบเต็มยศ และสร้างความกดดันให้กับฝ่ายกบฏทุกคนในทันที แม้ว่าจะมีมาเพียงแค่ ๒ คนเท่านั้นแท้ๆ
...สมกับที่เขาเล่าลือกันว่า หน่วยคเณศร์เสียงา ไม่สามารถวัดความสามารถด้วยจำนวนคนได้จริงๆ...
" ท่านเรือง ช่วยสั่งให้ลูกแก้วลูกขวัญไปถวายการอารักขาพ่ออยู่หัวและพระบรมฯทั้ง ๒ พระองค์ทีนะ...ส่วนไอ้พวกชุดดำกว่า ๑๐ คนนั้น ถ้าข้าจะยกให้พวกเจ้าจัดการ พวกเจ้าจะรับมือไหวไหม? " ไกรที่เวลานี้ค่อยๆกดปุ่มกลไกในกโกร่งดาบเพื่อเรียกดาบสัมพาที ดาบลับที่ซ่อนอยู่ในดาบสดายุออกมาถือไว้อีกมือหนึ่งพูดเชิงสั่งการขึ้นเบาๆ ในขณะที่คำสั่งนั้นทำให้เรืองและสินหันไปมองหน้ากันพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆทันที
" พูดอย่างนี้มันเหมือนกับดูถูกกันนะขอรับ ท่านไกร "
" เอาเถอะ...อย่างน้อยๆภารกิจจริงจังภารกิจแรกของหน่วยก็ไม่ใช่อารักขาพระเจ้าเอกทัศน์ แต่เป็นอารักขาพ่ออยู่หัวอุทุมพร ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ...ภายใต้การอารักขาของลูกแก้วและลูกขวัญ พวกมันไม่มีทางทำร้ายทั้ง ๓ พระองค์ได้แม้แต่เท่ารอยแมวข่วนแน่นอน " เรืองพูดเบาๆและสะบัดมือวูบพร้อมๆกับที่กุมารีใต้อาณัติทั้งสองอย่างลูกแก้วและลูกขวัญจะลอยตามการสะบัดมือนั้น ถอยหลังไปหยุดลอยทำหน้าที่เป็นโล่อารักขาพระเจ้าอุทุมพร กรมขุนวิมลพัตรพระอัครมเหสี และสมเด็จพระพี่นางพินทวดีไว้ตามคำสั่งโดยทันที
" หึๆ...ทีนี้...ทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทาง...ตามอย่างที่มันควรจะเป็นแล้ว...ท่านออกญาราชมนตรี... "
" ม...มึง! ...นี่...นี่มึงวางแผนการทุกอย่างนี่ไว้แล้วอย่างนั้นรึนี่?! "
ชิ้ง!
" ที่แผนการนี้เกิดขึ้นได้ก็ต้องขอบคุณท่านนั่นแหละ...ท่านออกญาราชมนตรี...เพราะท่านนั่นแหละที่บีบให้ข้าจนตรอกเช่นนี้...ก็อย่างว่านั่นแหละนะ...คนเราเมื่อจนตรอกมันก็เหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆล่ะนะ "
" ก...กรอด! "
" ...ข้ายอมรับเลยว่าแผนการที่เล่นข้าด้วยกฎมณเฑียรบาลนั้นเล่นเอาข้าย่ำแย่จริงๆ ...แต่ว่าแผนการของท่านมันพุ่งเป้าเกินไป...ต่อให้เป็นเด็กอมมือยังรู้เลยว่าท่านประสงค์ต่อพระชนม์ของพระเจ้าเอกทัศน์...และเจ้าหญิงสิริจันทร...จากเหตุการณ์ที่วัดประดู่ฯและที่ราชอุทยานสวนองุ่นนั่น มันก็เหมือนกับที่ท่านมีปืนที่ร้ายแรงอยู่กระบอกนึง แต่ท่านเอาแต่เล็งที่จุดๆเดียว...ทางแก้มันก็แค่ปกป้องตรงจุดที่ท่านเล็งเท่านั้น "
เคร้ง! เคร้ง!!
" ไอ้เด็กเวร! "
" ท่านมันเป็นพวกที่ชอบยืนอยู่เหนือกระดาน...ต่อให้ข้าหรือคนของข้าเดินหมากเอาชนะท่านไปสักกี่สิบกี่ร้อยครั้ง ท่านก็แค่ล้างกระดานและตั้งหมากเพื่อเดินตาใหม่...ซึ่งท่านก็รู้ว่าไม่ช้าก็เร็ว สักวันพวกข้าต้องเดินหมากพลาด...และข้าก็เกือบจะพลาดไปแล้วด้วยในคราวโดนโทษทัณฑ์นั้น...มันทำให้ข้าคิดได้ว่าทางเดียวที่จะจบเรื่องนี้ได้อย่างเด็ดขาด ก็คือการลากไอ้คนที่เอาแต่เดินหมากอยู่เหนือกระดานอย่างท่าน...ให้ลงมากลายเป็นหนึ่งในตัวหมากบนกระดานให้ได้... "
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!!
" แต่ท่านมันลึกลับ ฉลาด และรอบคอบในการปิดบังตัวตนที่สุด...ก่อนหน้านี้ข้ายังเดาไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าไอ้คนที่อยู่เบื้องหลังนี่เป็นใคร...แต่คนฉลาดก็ยังเป็น คน ...คน...ที่สามารถถูกหลอกได้ ท่านรู้ไหมว่าคนฉลาดจะตกหลุมพรางเมื่อใด? "
" ไม่รู้โว้ย!! "
" ใช้สมองอันชาญฉลาดหน่อย ข้าว่าท่านรู้นะ เพราะท่านเป็นคนสอนข้าเองกับตัวเลย...คนอย่างเราจะถูกหลอก...ตกหลุมพรางก็ต่อเมื่อ เราคิดว่าทุกๆอย่างอยู่ในมือของเราอย่างปลอดภัยแล้วอย่างไรล่ะ! "
...ใช่แล้ว...เพราะความคิด...ความหลงระเริงในความเชื่อที่ว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม อยู่ในกำมือของเขา...ทั้งความปลอดภัยขององค์หญิง ทั้งพรรคพวกใหม่อย่างอเทตยา ทำให้เขาประมาทไปวูบเดียวว่าเขาคุมทุกอย่างได้ และความผิดพลาดนั้นก็เล่นงานเขาจนกระอักชนิดที่เกือบทำให้หัวของเขาต้องไปเสียบประจานเด่นเป็นสง่าที่ประตูผีเลยทีเดียว...
" ...ท่านคิดว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือแล้ว...คิดว่าท่านกำจัดข้าไปพ้นทางแล้ว คิดว่าข้าเป็นหมากที่ถูกทิ้งไปแล้ว...และนั่นแหละปัญหาของคนอย่างเราล่ะ...เพราะเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ท่านก็จะไม่สามารถกลับตัวได้อีกต่อไปแล้ว!...จุดที่ท่านมายืนอยู่กลางกระดาน รายล้อมด้วยพวกของข้าที่เตรียมจะรุกฆาตอย่างไรล่ะ! "
" น...หนวกหูโว้ย!! "
เจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ตวาดออกมาพร้อมกับตาลุกวาวและเส้นเลือดที่ขมับปูดโปนเต้นตุบๆจนแทบจะระเบิดอยู่รอมร่อ เพราะเขากำลังตกหลุมพรางและกำลังจะย่ำแย่เพราะแผนของตัวเองที่เขาเคยใช้เล่นงานเจ้าพระยาหนุ่มตรงหน้าไม่มีผิดเพี้ยนเลยทีเดียว!
" ไอ้เด็กระยำ!...ถ้าฆ่ามึงไม่ได้ กูไม่ขออยู่เป็นคน!! "
เจ้าพระยาราชมนตรีฯ ปิ่นทิ้งดาบลงและตวาดลั่นพร้อมกับที่ดวงตาส่องประกายสีเขียววูบ ก่อนที่ร่างทั้งร่างที่เวลานี้ก้มลงต่ำจะระเบิดพลังออกจนมีร่างเงาของเสือตัวขนาดมหึมาซ้อนทับอยู่กับร่างที่โป่งพองขึ้นในทันที!!
" โฮก! "
เคร้ง!
ก่อนที่ไกรจะได้ทันว่าหรือได้โต้ตอบอะไร ร่างของเจ้าพระยาราชมนตรีก็พุ่งวูบด้วยแรงดีดของขาหลังราวกับเป็นสัตว์เดรัจฉาน พร้อมกับที่มือที่เวลานี้ถูกห่อหุ้มด้วยร่างเงาของกรงเล็บขนาดมหึมาของเสือโคร่งตัวใหญ่จะตวัดวูบหมายหน้าของไกรในทันที...โชคดีที่ไกรยกดาบสัมพาทีสีตะกั่วขึ้นกันฉิวเฉียด แต่แรงปะทะที่เกิดขึ้นมือเปล่าๆนั่นทำเอาชายหนุ่มถึงกับต้องถอยไปหลายก้าวทันที
" ก...กรอด! "
" โฮก!! "
" อ้อ...ถ้านับจากข้อมูลที่สิงห์ที่เคยปะทะกับพวกแกให้มา...แกนี่เองที่เป็นผู้ที่มีกลิ่นอายที่ให้ความรู้สึกเหมือนสัตว์สมิงนั่น " ไกรที่แยกเขี้ยววับสะบัดดาบเพื่อไล่กลิ่นอายบางอย่างที่ติดมาด้วยทิ้งพร้อมกับพูดขึ้นเบาๆ ...ในขณะที่เรืองที่ร่วมกับสินรับมืออยู่กับผู้ติดตามออกญาราชมนตรีทั้งกว่าสิบคนนั่นหาช่องว่างหันมาเพ่งมองพร้อมกับตะโกนบอกไกรดังๆทันที
" ร่างทรงน่ะขอรับ...มันอัญเชิญวิญญาณของเสือสมิงเข้าสู่ร่าง ทำให้ได้พละกำลังและประสาทสัมผัสของเสือสมิงนั้นมาในระยะสั้นๆน่ะ "
" อ้อ...อย่างนี้นี่เอง " ไกรรับคำเบาๆพร้อมกับย่อตัวลงต่ำเพื่อเตรียมใช้กระบวนดาบรับมือและจู่โจมอีกครั้งอย่างไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
" โฮก!! "
" ถ้าเทียบกับจิตสังหารของยัยศกุนตลา ไอ้สิงห์ หรือแม้แต่ยัยพวกเสือสมิงฮาเร็มของมัน...ไอ้ร่างทรงกิ๊กก๊อกของท่านนี่มันของเด็กเล่นไปเลยเฟ้ย!! "
..........................................
...ในเวลาเดียวกัน...ณ พระตำหนักใหญ่อันเป็นที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร ราชธิดา...
โครม!!
ถึงแม้ว่าพระตำหนักแห่งนี้จะถูกล้อมรอบด้วยรั้วไม้อันแหลมคมโดยรอบทั้งสี่ทิศ แต่ทว่ารั้วไม้ก็ยังคงเป็นรั้วไม้...ถึงแม้ว่าพวกกลุ่มกบฏอันประกอบด้วยคนของกลุ่มบรรลัยกัลป์และทหารมหาดเล็กเวรเดชของจมื่นศรีสรรักษ์จะไม่สามารถฝ่าการประสานงานป้องกันทางเข้าเดียวของคุณท้าวศรีสัจจาและคุณท้าวพิเศษเฉพาะกิจอย่างอนาสตาเซีย ที่ประสานทั้งไม้พลองและแส้หนังป้องกันทางเข้าไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ...แต่ในที่สุด ที่รั้วไม้ด้านหนึ่งก็ถูกกำลังพลฝ่ายกบฏที่มีมากมายเกินไป ช่วยกันผลักดันจนพังล้มไปทั้งแถบ สร้างช่องว่างขนาดใหญ่ที่ทั้งคุณท้าวศรีสัจจาและอนาสตาเซียที่เวลานี้ก็กำลังรับมือกองทัพเหล่ากบฏอันมหาศาลอย่างตึงมืออยู่ไม่อาจจะแยกตัวไปป้องกันได้อีกต่อไป
" ย...แย่แล้วเจ้าค่ะ คุณท้าว! รั้วด้านทิศตะวันตกของเราแตกแล้ว! พวกมันกำลังกรูกันเข้ามาแล้วเจ้าค่ะ! "
เสียงกรีดร้องของนางจ่าโขลนหลายๆคนที่เฝ้ารั้วด้านทิศนั้นอยู่ทำให้ทั้งคุณท้าวศรีสัจจาและอนาสตาเซียชะงักไปชั่วเสี้ยววินาที และนั่นทำให้พวกเธอต้องจ่ายค่าตอบแทนทันที
เฟี้ยววว...ฉึก!
" ค...คุณท้าว?! "
" ข...ข้ายิงโดนมันแล้ว! "
ฉึก!!
นายทหารมหาดเล็กที่ถือหน้าไม้คนหนึ่งตะโกนออกมาอย่างลิงโลดเมือเห็นลูกศรที่เขายิงไปปักอย่างถนัดถนี่ที่หัวไหล่กำยำของคุณท้าวศรีสัจจา แต่นายทหารผู้นั้นก็ดีใจอยู่ได้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว เพราะลูกธนูยาวจากมุมมืดบนหลังคาจากมือของอเทตยาจะพุ่งวูบด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแลบ เจาะทะลุเบ้าตาของนายทหารผู้นั้น ก่อนที่แรงส่งธนูจะพุ่งทะลุร่างของเพื่อนทหารมหาดเล็กที่อยู่ด้านหลังอีกคนหนึ่ง ขาดใจตายโดยฉับพลันทั้งคู่ทันที!
" ก...กรอด! ไอ้พวกเวร!! "
" คุณท้าว?! เป็นอะไรมากรึเปล่าเจ้าคะ? " อนาสตาเซียที่เวลานี้ก้าวล้ำมาด้านหน้าและควงฟาดแส้หนังในมืออย่างสุดความสามารถเพื่อปกป้องทางเข้าและปกป้องคุณท้าวศรีสัจจาที่ทรุดลงไป เหลือบมาถามคุณท้าวศรีสัจจาเบาๆอย่างเป็นห่วงทันที แต่เธอก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นคุณท้าวใช้มือกำยำอีกข้างหนึ่ง คว้าจับก้านลูกศรที่ปักเกะกะอยู่และหักทิ้งในทันที ก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับควงกระบองในมืออีกครั้งและกัดฟันพูดเรียบๆทันที
" ของแค่นี้...อิฉันยังมิตายดอก! ...ท่านไปดูด้านที่รั้วแตกเถอะ...ทางด้านนี้อิฉันรับมือเอง! "
" ท่านบาดเจ็บอยู่ ถอยไปก่อนเถอะ...ลำพังท่านรับมือกองทหารเหล่านี้ไม่ไหวหรอก! "
" อย่าหมิ่นอิฉันได้ไหมคุณท้าว! อิฉันบอกให้ไปก็ไปสิ!! เวลานี้เรื่องรั้วด้านที่แตกถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไปบัดเดี๋ยวนี้!! "
" ก...กรอด! ...รักษาตัวด้วย คุณท้าว แล้วข้าจะกลับมาช่วยโดยเร็วที่สุด! " อนาสตาเซียตะโกนพร้อมกับวิ่งออกไปโดยทันที...ซึ่งเมื่อเหล่าทหารของฝ่ายกบฏเห็นว่าอนาสตาเซียพุ่งออกไปซึ่งทำให้การป้องกันส่วนของประตูทางเข้านี้มีช่องโหว่ พวกมันที่เห็นว่าได้จังหวะก็เลิกใช้อาวุธระยะไกลโดยเปลี่ยนมาเป็นดาบและหอก พุ่งกรูกันเข้าใส่ประตูทางที่เวลานี้มีเพียงคุณท้าวชราที่บาดเจ็บเฝ้าอยู่ตามลำพังอย่างบ้าเลือดโดยทันที
" อีแก่! ชดใช้ชีวิตสหายของพวกเรามาซะ!! "
ผัวะ! โครม!!
ร่างของทหารหนุ่มที่ควงดาบพุ่งกระโดดล้ำหน้าเข้ามาพร้อมกับตวาดลั่นอย่างเดือดดาล ถูกไม้พลองสีดำสนิทที่อยู่ในมือของคุณท้าวเจ้ากรมจ่าโขลนชราฟาดเข้าใส่เต็มๆสีข้าง ป่นกระดูกซี่โครงด้านนั้นให้ละเอียดเป็นผงในพริบตา พร้อมกับที่แรงปะทะจะส่งร่างที่วิญญาณหลุดลอยไปแล้ว พุ่งเป็นว่าวป่านขาดไปชนกับเพื่อนๆที่วิ่งกรูกันเข้ามา จนล้มระเนระนาดไปคนละทิศละทางในทันที!
ซู่วววว!
" ว...เหวอ?! "
" แย่จริงๆ ...ยิ่งข้าแก่ตัวลงมากเท่าไหร่...ข้าก็ยิ่งคิดว่าคำว่า อีแก่ นี่มันชักหยาบคายจนเกินให้อภัยมากขึ้นทุกที...เลยเผลอคุมสติไม่อยู่ไปซะได้...แต่เอาเถอะ "
" หนอย!..ก...แก...นังเฒ่านี่!! "
" น...นังเฒ่า?! อ...ไอ้เด็กพวกนี้!!...เฮ้อ ...เอาเถอะ...ถ้าอย่างนั้นงานนี้คงต้องปลดปล่อยทุกอย่างแบบไม่ต้องกั๊กกันแล้วล่ะ "
ครืนนนนน!
ในขณะที่ด้านของคุณท้าวศรีสัจจาน่าจะไม่มีปัญหาใดๆแล้ว...ทางด้านของอนาสตาเซียกลับกลายเป็นว่าเธอเจอปัญหาหนักซะอย่างนั้น เพราะนอกจากเธอจะต้องวิ่งหลบหลีกพวกจ่าโขลนสาวๆที่แตกฮือถอยออกมาจากรั้วด้านที่ถูกดันจนแตกแล้ว เธอยังต้องเผชิญกับการต่อต้านของเหล่าชายหญิงในชุดดำที่แฝงตัวมากับกลุ่มทหารมหาดเล็กนับ ๑๐ คนที่มีฝีมืออยู่ในระดับที่ไม่สามารถดูแคลนได้พุ่งเข้ามาขัดขวางเธอไว้ด้วยอาวุธมีคมชั้นสูงต่างๆทันที!
' การแต่งกายและรูปแบบการต่อสู้ที่ประสานกันเช่นนี้...เหนือกว่าพวกทหารมหาดเล็กธรรมดาๆ...พวกนี้มัน กลุ่มบรรลัยกัลป์อย่างนั้นรึ?! ' หญิงสาวคิดในใจพร้อมกับใช้แส้หนังในมือเพื่อฟาดรับมือกับการโถมแทงที่หมายชีวิตของกลุ่มคนเหล่านั้นโดยทันที พร้อมกับกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ...เพราะถ้าหากศาสตราที่อยู่ในมือของเธอไม่ใช่แส้หนังธรรมดาๆนี้ แต่เป็น ดาบนาคราช อันเป็นศาสตราประจำกายของเธอที่หักไปล่ะก็...ลำพังแค่พวกลิ่วล้อพวกนี้...ไม่พอมือเธอหรอก!
" อเทตยา! ข้าไม่อาจจะฝ่าเข้าไปได้เร็วๆนี้...เจ้าจัดการที! "
ในที่สุด มือสังหารสาวก็ฝืนใจเพื่อตะโกนบอกกับมือฉมังธนูสาวที่ซ่อนอยู่ที่หลังคาพระตำหนักด้านบนในทันที เพราะในเวลานี้เธอเองก็จนปัญญาแล้ว...ในขณะที่เมื่อได้ยิน...อเทตยาในชุดรัดกุมสีดำสนิทที่คุกเข่าน้าวสายธนูอยู่ที่มุมสูงก็หันขวับพร้อมกับเบนธนูที่ถูกน้าวขึ้นสายด้วยธนูกลประจำมือของเธอจนตึงเปรี๊ยะและปล่อยออกไปโดยทันที!
ฉึก!
" ระยำ! "
จมื่นศรีสรรักษ์ หัวหน้าของฝ่ายกบฏและหนึ่งในกลุ่มบรรลัยกัลป์อีกคนหนึ่งที่เวลานี้ดอดมาโผล่ทางด้านที่แตกไปเรียบร้อยแล้วถึงกับตวาดออกมาอย่างเดือดดาลในทันที เพราะธนูที่ถูกปล่อยออกมานั้นพุ่งเฉียดหัวของเขาไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด โดยที่หมวกศึกที่สวมอยู่บนหัวปลิวติดคมธนูนั้นไปทันที ชนิดที่ถ้าหากเขาไม่มีประสาทสัมผัสที่ไวพอจะก้มหลบ สิ่งที่ธนูดอกนั่นเจาะผ่านคงไม่ใช่แค่หมวกศึก แต่เป็นหน้าผากกว้างๆของเขาเป็นแน่แท้!
" ชิ! พลาดอย่างนั้นรึ! " อเทตยาครางออกมาเบาๆอย่างขัดใจพร้อมกับที่มือเรียวบางจะพุ่งไปคว้าลูกธนูที่อยู่ในซองธนูที่ตั้งอยู่ขึ้นมาน้าวสายอีกครั้งโดยที่แทบไม่มีการเคลือนไหวหรือเวลาที่เสียเปล่าเลยด้วยซ้ำ ดวงตาที่อยู่ในที่มืดของเธอวาววับราวกับอสูรร้ายที่จ้องมองเหยื่อพร้อมกับที่มือจะปล่อยสายส่งลูกธนูอีกดอกออกไปโดยทันที!
เฟี้ยวววว! ฉึก!!
ลูกธนูลูกนี้ของเธอก็ไม่อาจจะบรรลุต่อจุดมุ่งหมายของเจ้าของได้อีกครั้ง เพราะถึงแม้ว่าในเวลานี้จมื่นศรีสรรักษ์จะอยู่ในสภาพที่เป็นเป้านิ่งและไม่อาจจะโต้ตอบใดๆได้ แต่ลิ่วล้อชายฉกรรจ์ในชุดดำอันน่าจะเป็นกองอารักขาของกลุ่มบรรลัยกัลป์ ๒ คนก็พุ่งเข้ามาบังวิถีของธนูไว้ ถึงแม้ว่าลูกธนูของเธอจะมีอำนาจสูงจนพุ่งทะลุและปลิดวิญญาณของโล่มีชีวิตทั้งสองคนนั้นไปได้ แต่ก็ไม่มีอำนาจเหลือพอจะพุ่งไปปลิดชีวิตเปาหมายอย่างจมื่นศรีสรรักษ์อีกต่อไป
" ตายยากตายเย็นนักนะ...แต่ก็จบลงเท่านี้แหละ! " อเทตยาตวาดอีกครั้งเมื่อสายตาอันแหลมคมราวกับนกฮูกที่มองเห็นได้ในความมืดของเธอมองเห็นว่าโดยรอบตัวของจมื่นแห่งกลุ่มกบฏ และเป็นหนึ่งในคนชุดดำที่เคยหักหลังและเกือบจะฆ่าเธอในคราวนั้น ในเวลานี้อยู่ท่ามกลางความชุลมุนและไม่เหลือชายหญิงชุดดำคนใดที่จะมาเอาตัวปกป้องมันได้อีกต่อไป...หญิงสาวเบิกตาที่เป็นประกายวาววับและเต็มไปด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจน พร้อมกับที่มือเรียวบางจะพุ่งไปคว้าลูกธนูอีกดอกเพื่อหมายจะปลิดชีวิตของจมื่นผู้นั้นโดยทันที!
แต่ทว่า! ที่ซองธนูประจำกายของเธอกลับไม่เหลือลูกธนูให้ใช้อีกแม้แต่ดอกเดียว ซึ่งเป็นผลจากการต้องระดมยิงเพื่อรักษารั้วอย่างไม่บันยะบันยัง ทำให้เธอไม่ทันได้นับจำนวนของลูกธนูที่เหลืออยู่...และโชคร้าย...ที่ลูกธนูดอกสุดท้ายพึ่งถูกใช้ไปหมดสิ้นแล้ว!
" อนาสตาเซีย!! "
" ว่าแล้วเชียว! หวังพึ่งพาอะไรไม่ได้เล้ย! ยัยมอญนี่! " อนาสตาเซียที่เวลานี้กำลังจัดเตรียมกำลังจ่าโขลนกลุ่มเล็กๆเพื่อเตรียมบุกฝ่าการถาโถมเข้ามาของเหล่าทหารฝ่ายกบฎถึงกับบ่นออกมาอย่างขัดใจพร้อมกับประกาศสั่งให้กลุ่มจ่าโขลนสาวๆที่เธอจัดขึ้นเป็นการเฉพาะกิจอย่างฉุกละหุก บุกเข้าไปเพื่อหยุดการบุกรุกนี้โดยทันที
...แต่กว่าที่เธอและสมัครพรรคพวกเหล่าจ่าโขลนภายใต้การนำของเธอจะบุกฝ่าเข้าไป จมื่นศรีสรรักษ์และสตรีชุดดำผู้ที่พุ่งเข้าไปเป็นอารักขาอีก ๒ นางก็พุ่งขึ้นไปจนกระทั่งถึงบนเรือนชั้นสองของพระตำหนักใหญ่แห่งนี้เรียบร้อยแล้ว
" ห้องบรรทมของเจ้าหญิงอยู่ทางด้านนั้น ท่านจิม...ท่านไปกุมตัวองค์หญิงไว้เถอะ ทางนี้พวกข้าจะต้านรับเอง! " สตรีชุดดำนางหนึ่งที่ดูท่าทางจะรูจักลู่ทางและตำแหน่งของพระตำหนักแห่งนี้เป็นอย่างดีชี้ทางให้กับจมื่นศรีสรรักษ์ที่เวลานี้ชักดาบคู่ออกมาเตรียมพร้อมแล้ว ในขณะที่จมื่นแห่งกลุ่มกบฏผู้นี้จะพยักหน้าบางๆพร้อมกับพูดเรียบๆทันที
" อดทนไว้นะ...ทันทีที่ข้าจับองค์หญิงเป็นองค์ประกันได้ พวกมันจะต้องหยุดมือลงทันที และชัยชนะจะเป็นของเรา! " จมื่นแห่งกลุ่มกบฏและผู้มีตำแหน่งสูงในกลุ่มมือสังหารบรรลัยกัลป์พูดพร้อมกับกระโจนไปในทิศทางที่สตรีชุดดำผู้เป็นลูกน้องของเขาบอกทันที...ด้วยความเร็วที่เต็มฝีเท้า เพียงชั่วพริบตาเดียวเขาก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องขนาดใหญ่อันเป็นห้องบรรทมขององค์หญิงสิริจันทร ผู้ครอบครองพลังของ บุตรีแห่งสุรีย์แสง อันไร้เทียมทานนั้น...ชายหนุ่มสูดหายใจลึกก่อนจะใช้มือที่ถือดาบอยู่ทั้งคู่ผลักประตูทางเข้าตรงหน้าเข้าไปโดยทันที
แอ๊ด!
เสียงของไม้ที่ใช้สร้างบานประตูขนาดใหญ่ที่เสียดสีกันทำให้ร่างของสตรีที่อยู่ในชุดสตรีชั้นสูงที่ห่มคลุมอย่างมิดชิดสะดุ้งวรกายเล็กน้อยอย่างตกพระทัยทันที...ร่างที่หันหลังให้เท่าที่จมื่นศรีสรรักษ์มองเห็นผ่านแสงของดวงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาในห้องพระบรรทมที่มืดสนิทนี้กำลังสั่นน้อยๆอย่างตกพระทัยกลัวในการบุกรุกเข้ามาของจมื่นศรีสรรักษ์ นั่นทำให้จมื่นศรีสรรรักษ์แสยะยิ้มพร้อมกับก้าวเข้ามาในห้องอย่างมีชัยในทันที
" อย่าได้ทรงปริวิตกไปเลยพุทธเจ้าข้า...สมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทร...ข้าพุทธเจ้ามิได้คิดจะกระทำการใดๆให้พระองค์ต้องขุ่นเคืองเบื้องยุคลบาทเลยแม้แต่น้อย...ข้าฯเพียงแค่ประสงค์จะเชิญพระองค์ไปเพื่อหยุดกลียุคที่กลังเกิดขึ้นภายนอกพระตำหนักเท่านั้น...ได้โปรดเสด็จออกมาเถิดพุทธเจ้าข้า...อย่าให้การนองเลือดอันไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆดำเนินต่อไปอีกเลย... "
" ... "
" ...เชิญเถิด สมเด็จเจ้าฟ้า...ยิ่งพระองค์รอท่านานเท่าไหร่...เหล่าจ่าโขลนผู้บริสุทธ์ก็จะถูกสังหารไปเรื่อยๆ ซึ่งท่านคงจะไม่ยินดีในเรื่องนี้เป็นแน่... "
" ... "
" ท่านเจ้าหญิงสิริจันทร? "
" ... "
" อุวะ! ท่านกลายมาเป็นองค์ประกันของพวกเรากลุ่มบรรลัยกัลป์แล้ว! ทรงตรัสอะไรออกมาบ้างสิวะ!! " จมื่นศรีสรรักษ์ตวาดออกมาอย่างเหลืออดในท่าทีที่แม้จะพระวรกายสั่นอย่างตกพระทัยกลัวแต่ก็ยังคงนังหันหลังนิ่งทำทองไม่รู้ร้อนอยู่อย่างนั้น พร้อมกับตวัดดาบและก้าวเข้าไปภายในอย่างโมโห แต่เสียงที่ตอบกลับมานั้นกลับทำให้จมื่นแห่งเวรเดชผู้นี้ถึงกับต้องอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงทันที!
...เพราะมันเป็นเสียงที่ห้าวใหญ่ของบุรุษ...ไม่ใช่สตรีผู้สูงศักดิ์ืั้เขาต้องการตัวแน่ๆ!...
" ไอ้นี่มันอาจจะเป็นผู้เดียวที่จะทำให้เราสืบไปถึงต้นตอของกลุ่มบรรลัยกัลป์ได้...ฉะนั้นเอาระดับแค่หยุดการเคลื่อนที่ชั่วขณะ อย่าให้ถึงตายนะ...ฟ้าฟื้น! "
" ว...ว่าอย่างไรนะ?! "
เปรี๊ยะ! ครืนนนนน!!
ขาดคำอุทานของจมื่นศรีสรรักษ์ กระแสสายฟ้าสีขาวสว่างที่แผ่พุ่งออกมาจากร่างที่นั่งหันหลังให้อยู่กลางห้องก็พุ่งวูบราวกับมีชีวิต คล้ายกับอสรพิษที่หมายเข้าฉกเหยื่ออันไร้ทางสู้...พุ่งเข้าช๊อตและตรึงร่างภายในชุดเกราะของจมื่นศรีสรรักษ์ไว้ ด้วยความรุนแรงที่พอเหมาะของกระแสไฟฟ้าที่เหมือนจะสั่งการได้ดั่งใจนี้ ทำให้จมื่นผู้เป็นหนึ่งในชั้นบัญชาการแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ผู้นี้สิ้นสติสมประดีไปในปัจจุบันทันที!
" เฮ้อ...เวรแท้...ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ทั้งที่มันได้แต่งองค์ประดับประดาด้วยเพชรยิลจินดาเป็นถึงจอมกษัตริย์แห่งอโยธยา...แต่เรากลับต้องมาแต่งปลอมเป็นองค์หญิงสิริจันทรซะอย่างนั้น...หลังจากจบเรื่องนี้คงต้องคุยกันเรื่องแผนบ้าๆของเจ้าแล้วล่ะ ไอ้ไกร! "
...............................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ