ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  127.81K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

77)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

     ...ถึงจะไม่อยากจะยอมรับ แต่ไกรก็คงต้องยอมรับว่าชีวิตประจำวันของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากที่เขาได้รับโทษทัณฑ์ เพราะถึงเขาจะตื่นเช้าเป็นกิจวัตรอยู่แล้วก็จริง แต่คราวนี้เขาต้องตื่นเช้ากว่าปรกติเล็กน้อย เพราะต้องเตรียมตัวเพื่อเข้างานจริงๆจังๆเป็นครั้งแรก...ชายหนุ่มตื่นตั้งแต่เช้ามืดบนห้องของตัวเองในจวนของออกพระเพชรพิไชยเล่นเดิม เพราะโทษตะพุ่นหญ้าช้างจะไม่รวมถึงการจองจำ ทำให้เขายังสามารถอยู่ในที่ๆเขาเคยอยู่ต่อได้ และกิจวัตรแรกหลังจากที่เขาลืมตาตื่นนั่นก็คือเอื้อมมือขึ้นไปเหนือหัวเพื่อคลำหาดาบสดายุ...ดาบประจำตัวด้วยความเคยชิน และสะดุ้งพร้อมกับใจหายวาบเมื่อพบว่าดาบไม่อยู่ในที่ที่ควรอยู่...ก่อนที่เขาจะใช้เวลา ๒-๓ วินาทีต่อมาในการระลึกได้ว่าเขาได้ถวายดาบกับพระเจ้าเอกทัศน์ไปเรียบร้อยแล้ว...

 

      " ก็ตั้งหลายวันแล้วนะเนี่ย...ยังไม่ชินอีกแฮะ "  ชายหนุ่มครางออกมาเบาๆ อย่างเริ่มสร้างงัวเงีย ก่อนที่เขาจะบิดตัวลุกขึ้นจากเตียงและซูดปากเล็กน้อยเมื่อด้านหลังซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลถูกเฆี่ยนที่แม้ว่าจะเริ่มตกสะเก็ดแล้วแต่ก็ยังมีความเจ็บและแสบหลงเหลืออยู่ไม่น้อย โชคดีของเขาไม่น้อยที่ได้ยาฝรั่งอย่างดีที่บรรจงปรุงขึ้นจากมือและสรรพวิทยาความรู้จากฝั่งตะวันตกของอนาสตาเซีย ที่จัดเต็มคอมโบทั้งยาทาที่แสบจนเห็นนรก และยาหม้อที่ขมนรกแตกยิ่งกว่าบอระเพ็ดเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นไอ้ยาที่ว่ามันก็ช่วยให้บาดแผลที่เป็นลายพาดกลอนอยู่เต็มหลังสมานได้อย่างรวดเร็วชะงัดนัก จนแม้แต่คนที่มาจากอนาคตอย่างไกรยังถึงกับต้องตกใจเลยทีเดียว...

 

      ' เข้าใจแล้วล่ะ...พวกที่ตายๆกันจากโทษทัณฑ์นี้ไม่ได้ตายเพราะเจ็บแผลหรอก แต่ติดเชื้อตายเพราะบาดแผลไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี แต่รักษาแบบขอไปทีมากกว่าซะละมั้ง... '

 

     ...หลังจากสีฟันด้วยข่อยกับเกลือและล้างหน้าล้างตาจนสะอาดสะอ้าน ไกรก็ผัดเปลี่ยนชุดโดยเปลี่ยนไปสวมโจงกระเบนสีเข้มอย่างทะมัดทแมง และใช้ผ้าขาวม้าสีมอๆพาดไหล่เปลือยเปล่าไว้ ก่อนขยับตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อยเพื่อเตรียมจะลงไปทำงานที่เป็นบทลงโทษที่เขาได้รับมาทันที

 

      " ท่านไกร... "  

 

        นั่นเป็นคำทักทายเดียวที่เหล่าคนรับใช้ทุกคนที่อยู่ในจวนของออกพระเพชรพิไชยจะสามารถแสดงความเคารพแก่เขาได้โดยไม่ผิดจารีตประเพณี เพราะในเวลานี้เขาถูกถอดยศและบรรดาศักดิ์ทั้งหมดลงกลายเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง...เป็นตำแหน่งหน้าที่ที่ต่ำกว่าไพร่สมและดีไม่ดีจะมีศักดิ์ต่ำกว่าทาสเสียอีก...ซึ่งปรกติแล้วพวกเขาไม่จำเป็นต้องมาทักทายไกรด้วยซ้ำ...แต่คนรับใช้เหล่านี้ก็รู้ดีว่า ชายหนุ่มถูกถอดยศลงเพียงแค่ ๓ เดือนเท่านั้น อีกทั้งก่อนหน้านี้ระหว่างที่ไกรยังเป็นเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ เขาก็สุภาพกับเหล่าคนรับใช้จนผิดธรรมดาของคนระดับเจ้าพระยา นั่นทำให้ถึงแม้ไกรจะอยู่ในฐานะอะไร พวกเขาก็ยังคงเคารพไกรเช่นเดิม...

 

      " เฮ้อ...ที่จริงพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมาค้อมหัวทักทายเช่นนี้ก็ได้...แต่ว่าไป พวกเจ้าตื่นเช้ากันจริงๆนะ ข้านึกว่าข้าตื่นก่อนทุกคนแล้วนะเนี่ย "  ไกรครางออกมาเบาๆ ในขณะที่คนรับใช้บนเรือน (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่กำลังทำความสะอาดเรือนและจัดเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ) หันไปมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะปิดปากหัวเราะกันเบาๆทันที

 

      " พวกข้าตื่นเช่นนี้กันเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ที่น่าแปลกใจน่ะไม่ใช่พวกข้าหรอกเจ้าค่ะ แต่น่าจะเป็นคนของท่านเองมากกว่า "

 

      " เอ๋? "

 

      " ท่านอเทตยาน่ะเจ้าค่ะ...ทั้งๆที่ท่านออกไปสำรวจราชฐานชั้นในกับท่านอนาสตาเซียในยามวิกาลตั้งดึกดื่น แต่ยังอุตส่าห์ตื่นมาตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน ลงไปเป็นแม่งานที่โรงครัวเองเลยด้วยซ้ำ ทั้งหมดก็เพื่อท่านเลยนะเจ้าคะ "

 

      ' เอ่อ...ถึงจะบอกว่าเราช่วยชีวิตเธอไว้ก็เถอะ แต่อีแบบนี้มันบริการหลังการขายดีเกินไปรึเปล่าหว่า? ...ถึงการกระทำแบบนี้ของอเทตยาจะทำให้เรานึกถึงเพียงออที่ก็ตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อทำกับข้าวให้เรากับพ่อก็เถอะ...แต่แบบนี้มัน...ดีจนน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้แฮะ '  ระหว่างที่ไกรกำลังลงนั่งทำหน้าครุ่นคิดพร้อมกับรับถ้วยกาแฟควันกรุ่นๆมาดื่มให้ตาสว่าง หญิงรับใช้ที่ดูท่าจะว่างงานอยู่หลายๆคนก็กระเถิบเข้ามาใกล้ด้วยแววตาเป็นประกายพร้อมกับถามชายหนุ่มทันที

 

      " นี่ๆ ท่านไกรเจ้าคะ ช่วยไขข้อข้องใจให้พวกข้าหน่อยเถอะเจ้าค่ะ "

 

      " หืม? "

 

      " ตกลงระหว่างท่านอเทตยากับท่านอนาสตาเซีย ใครเป็นเมียกลางเมือง(ภรรยาหลวง) และใครเป็นเมียกลางนอก(อนุภรรยา) กันหรือเจ้าคะ? "

 

      " พรวด! "  กาแฟดำที่เคยร้อนกำลังดีพอจะทำให้ตาสว่างได้ อยู่ๆก็มีความร้อนพุ่งพรวดขึ้นจนลวกปากไกร จนชายหนุ่มสำลักตาเหลือกทันที แถมเขายังไม่ทันได้ตอบอะไรไปด้วยซ้ำพวกหญิงรับใช้เหล่านั้นก็หันไปซุบซิบกันอย่างออกรสโดยไม่สนใจเขาที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ทันที

 

      " นี่ๆ ข้าว่าต้องเป็นท่านอเทตยาแน่ เพราะจะมีสตรีกี่คนกันที่จะตื่นมาทำข้าวปลาอาหารให้ชายพายเรือกินตั้งแต่เช้ามืดทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่โดยตรง ทั้งเจ้าก็เห็นสายตาของท่านอเทตยาที่มองไปที่ท่านไกรไหมล่ะ...มันสายตาที่มากเกินกว่าเจ้านายและผู้ใต้บัญชาชัดๆ "

 

      " ไม่หรอกๆ ท่านออกพระฯ(พระเพชรพิไชย) เคยบอกว่าท่านไกรเป็นชาวสยามที่เกิดในเมืองของพวกฝรั่งแขนลาย... และท่านไกรดูจะสนิทสนมกับท่านอนาสตาเซียมากที่สุด คงจะรู้จักมักจี่กันตั้งแต่ก่อนมาอยู่อโยธยาแน่ ทั้งยังเป็นผู้รักษาบาดแผลให้ท่านไกรตลอดตั้งแต่คราวที่ไปได้แผลฉกรรจ์มาจากราชฐานชั้นในจวบจนถึงคราวนี้ ไม่รักใคร่ชอบพอกันถึงขั้นเป็นคู่ผัวตัวเมียไม่มีทางช่วยเหลือกันถึงขนาดนี้หรอกนะ เชื่อข้าสิ "

 

      " ไม่หรอก ลางสังหรณ์ของข้าแม่นนะ อย่างไรเสียท่านอเทตยาที่น่ารักและเป็นกันเองผู้นั้นต้องเป็นหลวงแน่ๆ "

 

      " ถ้าอย่างนั้น...ตกลงผู้ใดเป็นหลวงผู้ใดเป็นน้อยกันแน่ล่ะเจ้าคะ? "  หลังจากที่พูดคุยกันจนหนำใจ ในที่สุดพวกเธอก็หันกลับมาที่เป้าหมายหลักอย่างไกรที่นั่งปั้นสีหน้าไม่ถูกอยู่ก่อนจะถามขึ้นทันทีดั้วยแววตาเป็นประกายวิบวับอย่างอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ จนไกรต้องถอนหายใจเฮือกทันที

 

      " ไม่ใช่ทั้งคู่นั่นแหละ "

 

      " เอ๋? "

 

      " เฮ้อ...ข้าไม่รู้หรอกนะว่าพวกเจ้าไปเอาข่าวบ้าๆพวกนี้มาจากไหน แต่ข้าขอพูด ณ ตรงนี้เลยว่าข้ายังไม่มีภรรยา ไม่ว่าจะหลวงหรืออนุก็ตาม...อนาสตาเซียน่ะข้ารู้จักกันตั้งแต่ก่อนมาที่นี่ก็จริง แต่ไม่ใช่ในฐานะภรรยาหรือคนรัก เป็นสหายสนิทของข้าต่างหาก... "

 

      " สหายสนิท? "  พวกหญิงรับใช้หันไปมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาและทวนคำเสียงสูงด้วยสีหน้าและแววตาไม่เชื่อถือเต็มที่ ในขณะที่ไกรยักไหล่เล็กน้อยพร้อมกับโคลงหัวเล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อว่า

 

      " ส่วนอเทตยา... "  ...ท่านอเทตยาที่น่ารักและเป็นกันเอง...เฮ้อ...ถ้าพูดอย่างปลอดอคติก็ต้องบอกว่ายัยพวกนี้ถูกหน้ากากของอเทตยาหลอกเข้าให้เสียสนิทแล้วล่ะ...  " ...อเทตยาจะคิดอย่างไรกับข้าข้าไม่รู้หรอกนะ แต่สำหรับข้าแล้วนางเหมือนกับน้องสาวที่เกิดร่วมอุทร นางเป็นเหมือนน้องสาวที่น่ารักคนนึงเท่านั้น "

 

      " จะบอกว่าทั้งๆที่ถูกรายล้อมด้วยสาวงามถึง ๒ คน แต่ท่านก็ยังไม่คิดอะไรกับพวกนางเกินเลยไปเลยหรือเจ้าคะ? "

 

      " เออ! "

 

      " แต่ว่า--- "

 

      " ท่านไกรเจ้าคะ ข้าวเช้าของท่านข้าห่อไว้ให้แล้วนะเจ้าคะ "  ก่อนที่พวกเธอจะได้ทันไล่เบี้ยซักถามอะไรกับท่านไกรที่เวลานี้ถูกถอดยศฐาบรรดาศักดิ์จนอยู่ในฐานะที่พอจะให้พวกเธอถามได้โดยไม่ต้องกลัวถูกลงโทษ เสียงของจ่าโขลนสาวนามว่าอเทตยาที่เวลานี้กลายเป็นแม่งานในโรงครัวของจวนแห่งนี้ไปเรียบร้อยแล้วก็ดังขึ้นบอกกับไกรในขณะที่เมื่อได้ยิน ไกรก็รีบกระดกดื่มกาแฟดำที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วในมือลงคอรวดเดียวก่อนจะลุกขึ้นและหันมายิ้มมุมปากให้เหล่านางรับใช้ที่นั่งล้อมไกรอยู่เล็กน้อยพร้อมกับพูดเบาๆว่า

 

      " ใช่ว่าข้านั่งคุยกับพวกเจ้าแล้วไม่สนุกนะ แต่ว่าข้าคงจะต้องไปทำ งาน ของข้าจริงๆแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะถูกครหาเอาได้...แล้วมานั่งคุยกันใหม่ก็แล้วกันนะ "

 

      " ท่านไกรเจ้าคะ "

 

      " ได้ยินแล้วๆ อเทตยา...ข้าไปประเดี๋ยวนี้แหละ "  ชายหนุ่มพูดเสียงดังขึ้นเพื่อตอบกลับเสียงเรียกหวานๆนั่นไป ก่อนจะหันกลับมาค้อมหัวพยักหน้าให้กับเหล่าสาวใช้เล็กน้อยอีกครั้งเป็นเชิงทักทายและจากลา ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวและเตรียมจะออกไปโรงช้างหลวงทันที

 

      " ถึงจะบอกว่าเป็นพี่น้องร่วมอุทร...แต่ลักษณะเช่นนี้มัน... "

 

      " ...อย่ากับคู่ผัวตัวเมียที่ที่เมียทำกับข้าวให้ผัวนำไปทำงานเลยไม่ใช่รึอย่างไร? "

 

 

 

 

...................................................

 

 

 

 

    ...โรงช้างหลวงที่ไกรทำงาน...หมายถึงถูกลงโทษทัณฑ์เป็นตะพุ่นหญ้าช้างอยู่นั้นถือได้ว่าเป็นโรงช้างใหญ่ที่สำคัญที่สุด เพราะนอกจากจะเต็มไปด้วยช้างทรงศึกสำคัญระดับ พระ ที่เตรียมขึ้นระวางสะพัดเป็น พระยา ในการศึก ถูกฝึกฝนและเลี้ยงดูให้พร้อมสำหรับการสงครามครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเกือบ ๒๐ ช้างแล้ว...ที่นี่ยังเป็นที่อยู่ของพระเศวตกุญชร หรือช้างเผือกคู่พระบารมีถึง ๒ ช้าง ...ช้างแก้ว ตามความเชื่อในเรื่องของ แก้ว ๗ ประการแห่งพระเจ้าจักรพรรดิที่ระบุไว้ใน จักกวัตติสูตร นั่นเอง...

 

      ' แปลกจริงๆ ...ไม่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์หรือพงศาวดารใดๆเลยว่าพระเจ้าเอกทัศน์เองก็ทรงครอบครองช้างเผือกด้วย...และถ้านับกันตามตำนาน กษัตริย์ผู้ที่ครอบครองช้างเผือกเช่นนี้ได้ต้องมีบุญญาธิการในระดับนึงเลยไม่ใช่รึไง...เพราะถ้าบุญญาธิการไม่ถึงอย่างเช่นขุนวรวงศาธิราชเองก็ถึงกับสิ้นพระชนม์เพราะเหตุเกี่ยวกับช้างเผือกนี่เลยด้วยซ้ำ '  ไกรคิดในใจเล็กน้อยพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้พระเศวตกุญชรทั้ง ๒ ช้างที่อยู่ในโรงช้างแยกอันมิดชิดเพื่อเป็นศิริมงคลในชีวิต ก่อนจะเดินไปที่ศาลาเล็กๆที่ปลูกอยู่ติดคลองและข้างโรงช้างหลวง อันเป็นที่นั่งพักผ่อนของเหล่าหมอช้างรวมไปถึงข้าราชการในกรมพระคชบาลทั้งหมด พร้อมกับยกมือไหว้ทุกคนที่นั่งอยู่ทันที

 

      " ท่านสมุหคชบาล ท่านหมอช้างขอรับ... " 

 

      " อ้อ มาเช้าดีนี่ ท่านไกร กินข้าวกินปลาเสียก่อนเถอะ...พวกกล้วยพวกอ้อยมีคนของท่านหามากองไว้ตรงโน้นเรียบร้อยแล้ว...มากพอจะเลี้ยงโรงช้างหลวงของเราไปได้ตั้ง ๓-๔ วันเลยด้วยซ้ำล่ะกระมั้งนั่น "  พระสมุหคชบาล จางวางกรมพระคชบาลวัยกลางคนในชุดข้าราชการฝ่ายพลเรือนที่กำลังขยำข้าวเข้าปากพร้อมหน้าพร้อมตากับหมอช้างท่านอื่นๆหันมาบอกยิ้มๆ ในขณะที่ไกรทำหน้าพิกลเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายทันที

 

      " อ...อีกแล้วหรือขอรับ? "

 

      " อืม...มีพวกทาสหลายสิบคนขนมาให้ตั้งแต่เวลาพระออกบิณฑบาตแล้ว พอมากองไว้เสร็จก็รีบผลุนผลันกลับไปเลย พวกกระผมเองก็ไม่ทันได้ถามได้ไถ่ด้วยซ้ำว่าเป็นทาสของผู้ใด แต่ว่านะ...ท่านไกร "

 

      " ขอรับ? "

 

      " เสียงลือเสียงเล่าอ้างเขาเล่าว่าเป็นพวกทาสของท่านออกญาอนุชิตชาญไชย...รวมไปถึงของพวกคณะพราหมณ์ลูกขุนทั้ง ๑๑ ท่าน ยกเว้นท่านพระมหาราชครู ราชปุโรหิตาจารย์ ที่นำมามอบให้ราวกับเป็นสิ่งกำนัลเพื่อขอขมาลาโทษต่อท่านไม่มีผิดเพี้ยนเลยล่ะ "  ท่านออกพระสมุหคชบาลกระซิบเบาๆก่อนจะหันไปหัวเราะกับเหล่าหมอช้างเฒ่าที่นั่งตะบันหมากอยู่ดังลั่น ในขณะที่ไกรได้แต่ยิ้มแหยๆพร้อมกับฝืนหัวเราะอย่างไม่สนิทใจนักทันที

 

      ' ท...ทำเกินไปจริงๆสินะเรา...ไอ้ออกญาอนุชิตฯยังพอเข้าใจว่าเขาพยายามจะซื้อใจเรา แต่พวกคณะลูกขุนทั้ง ๑๑ ท่านนี่ความจริงต้องโกรธเราด้วยซ้ำ ค่าที่เราใช้อำนาจไปขู่พวกเขาจนไม่สามารถตัดสินคดีความอย่างยุติธรรมได้ แต่เรื่องดันกลับตาลปัตรตรงที่พวกนั้นดันกลัวเราโกรธจนต้องคอยมาพะเน้าพะนอเอาใจเราแทนซะอย่างนั้น...เฮ้อ...บ้านนี้เมืองนี้แฮะ '  ไกรคิดในใจก่อนจะหลับตาลงและถอนหายใจเฮือกอย่างทำใจปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน ก่อนที่เขาจะแกะห่อข้าวที่อเทตยาห่อทำมาให้ออกมานั่งจกทานโดยเลือกที่จะนั่งพื้นดิน แทนที่จะขึ้นไปนั่งเทียบกับพวกออกพระและหมอช้างท่านอื่นๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะคะยั้นคะยอเรียกให้ขึ้นไปนั่งด้วยกันเท่าไหร่ก็ตาม ด้วยความที่ไกรเองถือว่าตัวเขายังอยู่ในฐานะตะพุ่นหญ้าช้างที่ถูกลงทัณฑ์อยู่ (ถึงจะแทบไม่ต้องทำงานอะไรเลยก็ตามทีเถอะ) ...พวกเขากินข้าวไปสนทนาเรื่องต่างๆไป จนกระทั่งกลองบอกเวลาบนหอที่ตั้งอยู่กลางเมืองตีบอกเวลาอันสมควรแก่การทำงานแล้ว ทั้งไกรและพระสมุหคชบาลรวมไปถึงหมอช้างเฒ่าทุกคนต่างก็ลุกขึ้นและเตรียมจะไปดูแลป้อนหญ้าป้อนน้ำและฝึกช้างศึกให้พร้อมเสียที

 

      " เอ่อ...วันนี้จะให้ข้าดูแลช้างไหนหรือขอรับ? "

 

      " อืม...ที่จริงแล้วท่านไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกด้วยซ้ำไปนะ ท่านไกร...หลังจากที่ท่านมาเป็นตะพุ่นหญ้าช้างที่โรงช้างหลวงนี่ งานของพวกกระผม รวมไปถึงหมอช้าง ควาญช้าง และตะพุ่นหญ้าช้างที่ถูกโทษทัณฑ์คนอื่นๆต่างก็เบาบางลงไปชนิดเห็นได้ชัดเลย...แต่...เอาเถอะ กระผมคงจะต้องขอให้ท่านไปดูแล พ่อพลายทรงตะวัน ช้างนั้นหน่อยเถอะขอรับ... "  พระสมุหคชบาลผู้เป็นหัวหน้ากรมคชบาลได้แต่ครางออกมาเบาๆอย่างลำบากใจ แต่คำพูดอันเป็นคำสั่งเชิงขอร้องของคุณพระกลับได้รับความเห็นชอบจากหมอช้างเฒ่าและควาญช้างหลายๆคนทันที ในขณะที่ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะร้อง อ๋อ! เบาๆทันที

 

      " พ่อพลายทรงตะวัน?...อ๋อ...ช้างทรงช้างที่ใหญ่ที่สุดและงายาวเฟื้อยที่แหลมคมที่สุดที่กระผมดูแลมาตลอด ๒ วันที่แล้วนั่นน่ะหรือขอรับ? "

 

      " นั่นหล่ะขอรับ...พ่อช้างเกเรที่ไม่เคยยอมลงให้กับผู้ใดนั่นแหละ...แม้แต่พวกกระผม หรือท่านครูบาหมอช้างที่ว่าเก่งๆยังไม่กล้าเข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ...คราครั้งนึงมีหมอช้าง ฝีมือดีผู้หนึ่งเผลอหันหลังให้เพียงครู่เดียวเท่านั้น พ่อเจ้าประคุณเสยเข้าด้วยงาจนอกทะลุ ก่อนจะกระทืบเสียไม่นับจนจำหน้าแทบไม่ได้เลย...จะให้ล้มพ่อเสียก็ไม่ได้เพราะพ่อเป็นช้างในสมเด็จท่าน ขืนไปทำอะไรมีหวังได้หัวกุดกันทั้งนายทั้งบ่าวแน่  นับแต่นั้นพวกกระผมจึงได้แต่ต้องระวังตัวกันเองขณะเข้าใกล้พ่อพลายมาโดยตลอด...จะมาเชื่อง มาสงบเสงี่ยมจนยอมให้ป้อนน้ำป้อนหญ้าได้ขนาดนี้ก็เพราะมาเจอกับท่านนี่แหละ อืม...จะว่าไปท่านไกรนี่ออกจะพิลึกนะ...ทั้งๆที่พึ่งเคยพบกันครั้งแรกแต่ช้างเกกมะเหรกหลายช้างกลับยอมลงให้ท่านอย่างง่ายๆ ทำเอาพวกครูบาและควาญหลายคนตกตะลึงไปเป็นแถบๆทีเดียวเชียวล่ะ...มีของขลังอะไรรึเปล่าเนี่ยขอรับ? "

 

        คำทักของท่านออกพระทำให้ไกรรีบหัวเราะกลบเกลื่อนโดยไม่ตอบอะไรพร้อมกับลอบเอามือกุมชายพกอันเป็นที่ใส่ของขลังบางอย่างที่สิงห์ที่เวลานี้ยังคงกบดานอยู่ที่เซฟเฮาส์---หมายถึงบ้านภายในเมืองเลือกมาให้ในเวลาที่รู้ว่าไกรจะต้องมาทำงานที่โรงช้างหลวงนี้ทันที...

 

      " นี่เลย ไกร...ถ้าต้องไปคลุกคลีอยู่กับช้างล่ะก็ เอานี่ไปเลย "  สิงห์พูดขณะค้นย่ามของขลังที่เขาเป็นคนให้กับไกรเอง ก่อนจะหยิบของชิ้นเล็กๆลักษณะคล้ายกระดูกหรือเขาของสัตว์บางชนิดที่เป็นทรงตะปุ่มตะป่ำออกมายกขึ้นจบเหนือหัวก่อนจะส่งให้กับไกร ซึ่งเขาก็รับไว้พร้อมกับเลิกคิ้วและถามไปเบาๆทันที

 

      " อะไรฟะ? หินอย่างนั้นเหรอ? แต่เป็นหินที่ฉ่ำๆเย็นๆแปลกๆดีแฮะ "

 

      " ใช่ซะที่ไหนล่ะเฟ้ย! นี่เรียกว่า เขากวางคุด ต่างหากล่ะ...สิ่งที่เจ้าถืออยู่นั่นน่ะคือเขากวางคุด ๗ ยอด ซึ่งมากสุดเท่าที่ข้าจะมีบุญวาสนา มีปัญญาเสาะหามาได้แล้ว...จะว่าโอ่ตัวก็ได้นะ แต่แม้แต่พวกครูบาหมอช้างเก่งๆเสาะหามาทั้งชีวิตยังหาเครื่องรางชิ้นนี้มาครอบครองไม่ได้ง่ายๆเลยด้วยซ้ำ...เครื่องรางนี้มีสรรพคุณทั้งมหาอำนาจและเมตตามหานิยม...แต่ที่ข้าให้นี่เพราะเขากวางคุดมีฤทธิ์ข่มช้าง ให้ช้างทั้งหลายแม้ว่าจะเกเรเพียงใดก็ตามเชื่อฟัง...ซึ่งรับประกันว่าเจ้าจะไม่ถูกช้างเหยียบดับไปอย่างโง่ๆง่ายเป็นแน่ "

 

      " ไอ้คำหลังนี่แหละที่ไม่รู้ว่าจะขอบคุณหรือจะด่าดี...แต่เอาเถอะ ขอบใจเจ้ามากนะ สิงห์ "

 

      " เออๆ เวลาจะไปโรงช้างก็ให้พกติดชายพกไว้ รับรองว่าไม่มีช้างเชือก หรือช้างใดกล้าทำอันตรายเจ้าเป็นแน่ ...เออ...แล้วเขากวางคุดนี่อย่าให้ไอ้พวกหมอช้างหรือควาญผู้ใดเห็นเข้าเป็นอันขาดล่ะ "

 

      " เอ๋? ทำไมล่ะ ถ้าเป็นของที่ออกจะดีขนาดนี้คนอื่นๆก็น่าจะได้เห็นเป็นบุญตาซักหน่อยไม่ใช่รึไง? "

 

      " เออ...เป็นบุญตาพวกมัน... "  สิงห์แสยะยิ้มอย่างไม่น่าไว้วางใจพร้อมกับพูดต่อทันที 

 

      " แล้วเจ้าก็คงจะถูกพวกควาญช้างเหล่านั้นรุมสังหารเพื่อชิง เขากวางคุด นี่เป็นแน่ !! "

 

 

 

 

 

...........................................

 

 

 

 

      " ก็เข้าใจหรอกว่าเรื่องของขลังสำหรับสิงห์แล้วเชื่อถือได้ แต่ก็ไม่นึกว่าจะขลังถึงระดับนี้...ทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นควาญหรือรู้วิชาเกี่ยวกับช้างแท้ๆ แต่เขากวางคุดนี่กลับทำให้ช้างเชื่องได้ถึงขนาดนี้...มิน่าเล่า พวกหมอช้างควาญช้างถึงอยากได้นักอยากได้หนา "  ถึงจะผ่านมาหลายวัน แต่จนแล้วจนรอดไกรก็ยังแทบไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีถึงอานุภาพของของขลังที่จอมขมังเวทย์อย่างสิงห์มอบให้ พร้อมกับที่เขายื่นอ้อยลำโตส่งให้ถึงงวงช้างอันมีนามว่า พลายทรงตะวัน ช้างหนุ่มเกเรงายาวตัวเท่าตึก ที่เป็นเพราะฤทธานุภาพของ เขากวางคด ทำให้เวลานี้ช้างศึกช้างนี้ยอมเชื่องและลงให้กับเขา...ถ้าไม่นับวีรเวร-วีรกรรมของพ่อพลายที่เคยกระทืบควาญและผู้ดูแลคนก่อนๆจนต้องแซะร่างออกจากพื้น ช้างพลายทรงตะวันช้างนี้ก็น่ารักและแสนรู้ไม่ใช่น้อยๆที่เดียว

 

      " แปร๋น!"

 

      " เออๆ เข้าใจๆ ... "  ชายหนุ่มลูบงางามของพ่อพลายช้างนี้พร้อมกับพูดต่อ  " ...วัยว้าวุ่นก็งี้แหละ ฮอร์โมนมันพลุ่งพล่าน เห็นอะไรขัดใจนิดขัดใจหน่อยก็หงุดหงิดง่าย พอควาญเผลอเลยเล่นซะ...รู้ว่าท่านไม่ได้ตั้งใจ คราวหน้าคราวหลังก็ใจเย็นๆบ้างก็แล้วกัน "

 

      " อืม...ถูกลงทัณฑ์เป็นตะพุ่นหญ้าช้างแค่ไม่ถึงอาทิตย์ก็ชักพูดกับช้างรู้เรื่องแล้ว...ชักเลอะขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ เจ้าน่ะ ไกร "

 

      " ชะเฮ้ย! นาสตี้!! "

 

      " อืม...ข้าเอง "  มือสังหารสาวอันดับหนึ่งแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตที่เวลานี้อยู่ในฐานะของคุณท้าวจ่าโขลนพิเศษผู้เป็นหนึ่งในหน่วยคเณศร์เสียงา ที่โผล่มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงราวกับเงาผีทำให้ไกรสะดุ้งเล็กน้อย...ในขณะที่อนาสตาเซียถอนหายใจเฮือกก่อนจะถือวิสาสะฉวยกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำของไกรมากรอกเข้าปากแก้กระหายเสียหลายอึกทันที

 

      " ดูท่าเหนื่อยๆนะ เจ้าน่ะ "  ไกรเอ่ยทักไปเบาๆ ในขณะที่เมื่อได้ยิน หญิงสาวก็หัวเราะออกมาอย่างแกนๆก่อนจะตอบกลับมาเบาๆทันที

 

      " ข้านึกไม่ถึงจริงๆนะ ว่าไอ้งานจ่าโขลนมันจะต้องอดตาหลับขับตานอนและเหนื่อยขนาดนี้ ทั้งๆที่ข้ามีแหวนที่ช่วยแบ่งเบาภาระความเหนื่อยอ่อนให้ข้าชนิดครึ่งต่อครึ่งแล้วแท้ๆนะ...ข้าล่ะนับถือคุณท้าวศรีสัจจาที่ทำหน้าที่เช่นนี้ตั้งแต่สาวยันแก่เสียจริงๆ "

 

      " นี่ก็แปลว่าว่างแล้วเหรอ? "

 

      " คุณท้าวท่านอื่นมาเปลี่ยนเวรแล้วน่ะ...แต่ถึงอย่างนั้นประเดี๋ยวข้าก็ต้องไปถวายการอารักขาสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรต่ออยู่ดี...เพียงแต่ข้าอาศัยจังหวะที่สมเด็จเจ้าฟ้าลงสรงออกมา...เอ่อ...เยี่ยมเยียนเจ้าเท่านั้น "

 

      " เยี่ยม...เยียน? "

 

      " เออ! เยี่ยมเยียน มาดูแผลของเจ้าว่าเริ่มมีหนองหรือกำลังไข้ขึ้นเข้าขั้นตรีทูตรึยัง...อืม แต่เห็นแข็งแรงดีเช่นนี้ค่อยสบายใจหน่อยว่าการรักษาได้ผล...เห็นสลบไปในวันที่ถูกเฆี่ยนก็นึกว่าจะต้องขุดหลุมฝังกันเสียแล้ว "

 

      " ปากเจ้านี่น้า... "  ไกรครางออกมาเบาๆ ก่อนทีเขาจะเลิกคิ้วอย่างนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้...เขาจึงหันมาพูดกับอนาสตเซียที่นั่งอยู่ใกล้ๆเบาๆทันที

 

      " นี่ นาสตี้ ไหนๆก็ไหนๆ มารอกินข้าวกับพวกข้าก่อนสิ อีกประเดี๋ยวอเทตยาก็นำข้าวกลางวันมาส่งแล้ว ฝีมือของนางนี่ระดับสูสีกับศกุนตลาเลยเชียวนะ ไม่สิ...ออกจะอร่อยกว่านิดๆด้วยซ้ำไป "

 

      " เฮ้อ...ใช่สินะ...ข้ามันเรียนรู้แต่วิชามือสังหารทั้งยังกระโดกกระเดก ไม่ได้พูดเจ้าคะเจ้าขา เป็นช้างเท้าหลัง เป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างกับสาวในฝันของพวกชายพายเรือนี่เนอะ "

 

      " หือ? อ้าว...ชวนดีๆไหงมาหงุดหงิดใส่กันซะงั้นล่ะเนี่ย "

 

      " เปล่า...เจ้ากินของเจ้าให้สบายใจไปเถอะ ข้าไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น ประเดี๋ยวก็ต้องเข้าไปเขตราชฐานชั้นในแล้ว "

 

      " หา เดี๋ยวนะ นี่จะบอกว่าอุตส่าห์ออกมาถึงกำแพงราชฐานชั้นนอก เพื่อมาเยี่ยมข้าแค่นี้เนี่ยนะ? "

 

      " อืม! มีปัญหารึอย่างไร?!! "  เสียงที่เข้มขึ้นของหญิงสาวทำให้ไกรต้องยกมือเป็นเชิงยอมแพ้อย่างไม่คิดจะตอแยอะไรต่อด้วย ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเขาต้องยอมแพ้เรื่องอะไรก็ตามที

 

      " เฮ้อ...ช่วงนี้มันเป็นอะไรน้อ...รู้สึกพูดจาไม่ค่อยเข้าหูคนแปลกๆ พ่อว่าไหม? "  ชายหนุ่มครางออกมาเบาๆทันทีเมื่อมือสังหารสาวเดินจากไปโดยให้เหตุผลว่าถึงเวลาอันสมควรแล้ว ก่อนที่เขาจะหันไปพยักหน้าให้กับพ่อพลายที่เวลานี้เขยิบเข้ามาใช้งวงคว้ากล้วยคว้าอ้อยที่วางกองอยู่เข้าปากกินเองเพราะรอให้ป้อนไม่ไหวเสียแล้ว

 

     ...หลังจากกินข้าวกลางวันฝีมือกุ๊กเทวดาของอเทตยา ที่นำมาให้เขาและเผื่อเหล่าผู้ที่ทำงานอยู่ในโรงช้างหลวงเหมือนเป็นสินบนให้ดูแลชายหนุ่มให้ดีๆถ้าอยากกินอาหารอร่อยๆแบบนี้อีกเสร็จสิ้น งานหลักๆของเขาก็แทบจะหมดสิ้นไปแล้ว (ทั้งๆที่ตะพุ่นหญ้าช้างปกติคนอื่นๆก็ต้องเตรียมไปเกี่ยวหญ้าไปตักน้ำเพื่อเตรียมสำหรับวันต่อไปแล้วแท้ๆ)  หน้าที่ของไกรในเวลานี้ก็คือ ใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายไปกับการนั่งเล่นหมากรุกและพูดคุยกับควาญช้างและหมอช้างเฒ่า หรือไม่ก็ผูกเปลนอนผึ่งลมที่ร่มไม้ใกล้ๆกับโรงช้างนั้นเอง...

 

       จนกระทั่งถึงช่วงเวลาเย็นย่ำที่พวกขุนางข้าราชการส่วนใหญ่เลิกงานกันแล้ว พวกท่านอดีตพระยาเพชรบุรีเรืองและหลวงยกกระบัตรสินที่เลิกงาน(?)แล้วเช่นกันก็จะมาหาเขาที่นี่และรายงาน หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือบอกเล่าเรื่องราวต่างๆทั้งในเขตราชฐานและภายนอกทั้งหมดให้ไกรฟัง พร้อมๆกับที่ไกรเองก็กำลังพาพลายทรงตะวันไปอาบน้ำดับร้อนในคลองที่ถูกขุดขึ้นข้างๆโรงช้าง และในบางวัน สินที่นึกคันไม้คันมือก็จะขอประลองดาบกับเขาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเขาจะรู้ได้ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายแบกดาบไม้มาฝากเขาตั้งแต่ไกลเลยทีเดียว...ซึ่งถ้าให้บอกตรงๆ ฝีมือของสินก็รุดหน้าขึ้นไม่น้อยทีเดียว...อย่างน้อยๆเขาก็ไม่ใจร้อนบุ่มบ่ามบุกเข้ามาแบบไม่คิด แต่จะใช้วิธีตั้งรับดูท่าทีและคอยสวนในจังหวะที่ไกรพลาดแทน ซึ่งด้วยความที่เป็นอัจฉริยะอยู่แล้วของสิน เมื่อได้รับการสอนอย่างถูกวิธีอย่างที่ไกรเคยได้รับการสั่งสอนจากครูมืดมา ทำให้ฝีมือของสินในเวลานี้ชักทำให้ไกรรับมือได้ยากขึ้นทุกทีแล้ว...

 

     ...เขากำลังมองดูการเติบใหญ่...ของชายผู้จะก้าวขึ้นเป็นจอมกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร...ชาย...ผู้กู้เอกราช กู้ศักดิ์ศรีให้กับชาวสยามทุกคน...

 

      " ก็แปลว่าทุกอย่างยังคงปรกติ...หืม? แปลกดีแท้ๆ ทั้งที่โอกาสออกจะงามขนาดนี้แล้วแท้ๆ "  หลังจากเอาชนะสินไปได้อย่างฉิวเฉียดอีกวัน ระหว่างนั่งพักกันและฟังเรืองรายงานอยู่นั้น ในที่สุดไกรก็อดเอ่ยครางออกมาอย่างประหลาดใจไม่ได้ที่เหตุการณ์ทั้งในและนอกกำแพงวังยังคงปรกติราบคาบ ทั้งๆที่เขาและท่านผู้เฒ่าต่างก็เดาตรงกันว่าคงจะเกิดเรื่องขึ้นไม่วันก็สองวันนี้แน่ๆแท้ๆ ในขณะที่พวกสินที่ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรทวนคำอย่างงงๆว่า

 

      " โอกาสงาม? "

 

      " เอ้อ เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก...ข้าแค่บ่นของข้าไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นแหละ...ขอบใจพวกเจ้ามากนะที่อุตส่าห์มารายงาน เวลานี้กลับบ้านกลับช่องเจ้ากันไปก่อนเถอะ ประเดี๋ยวข้าต้องไปสุมไฟไล่ยุงเหลือบริ้นไรให้กับเหล่าช้างหลวง และก็จะกลับจวนออกพระเพชรพิไชยแล้วเช่นกัน "  ไกรพูดเป็นเชิงไล่กลายๆ เพราะเขาเห็นว่าเวลานี้ก็เป็นเวลาย่ำค่ำเต็มทีแล้ว เลยไม่อยากจะรั้งทั้งสองคนไว้นานกว่านี้ ซึ่งเรืองและสินก็พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะลุกขึ้นทำท่าจะบอกลา...แต่แล้วก็มีเหตุการณ์หนึ่งขัดการบอกลาของพวกเรืองและสินเสียก่อน...

 

     ...กลุ่มชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดเครื่องแบบของกรมพระตำรวจที่ไม่ควรจะเข้ามาเพ่นพ่านอยู่ในเขตพระราชฐานเพราะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ทำการกลุ่มใหญ่ ที่นำมาโดยกรมพระตำรวจยศคุณพระระดับสูงที่ไกรคุ้นหน้าว่าติดตามท่านออกญาอนุชิตฯเข้ามาด้วยในคราวที่ไกรจะถูกตัดสินโทษ...พวกเขาเดินสีหน้าขรึมเข้ามาหาไกรที่เวลานี้ยังคงนั่งใช้ผ้าขาวม้าเช็ดเหงื่อไคลนิ่งอยู่ ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะคุกเข่าและยกมือไหว้ไกรโดยพร้อมเพรียงกันทันที

 

      " ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี... "

 

        ระหว่างที่อีกฝ่ายคุกเข่าอยู่นั้น ทั้งสินและเรืองต่างก็ขยับมาด้านไกรเล็กน้อยเป็นเการอารักขาและปลดปล่อยจิตคุกคามเป็นเชิงเตือนไม่ให้อีกฝ่ายคิดทำอะไรโง่ๆทันทีอย่างไม่ไว้วางใจ ในขณะที่ไกรที่ยังคงนั่งรักษาท่าทีอยู่ถอนหายใจเฮือกเล็กน้อยก่อนจะพูดไปเบาๆว่า

 

      " เฮ้อ...ไม่ใช่แล้ว...อย่างน้อยก็อีกเกือบ ๓ เดือนล่ะ ...ท่าน...เอ่อ...คุณพระแห่งกรมพระตำรวจสินะขอรับ? "

 

      " เป็นเกียรติของกระผมยิ่งนักที่ท่านจดจำกระผมได้...ใช่แล้วล่ะขอรับ กระผมพระพิไชย แห่งกรมพระตำรวจฝ่ายขวา ผู้ใต้บัญชาแห่งท่านออกญาอนุชิตชาญไชย จางวางกรมพระตำรวจฝ่ายขวาเองขอรับ "

 

      ' ก็ต่างฝ่ายต่างก็รู้กันอยู่แล้วนี่หว่า...จะแนะนำกันด้วยยศเต็มให้เปลืองเวลาอีกทำไมกันล่ะเนี่ย... '  ไกรได้แต่คิดในใจเล็กน้อยก่อนจะพยิ้มเล็กน้อยและพูดต่อว่า

 

      " อืม...แล้วพวกท่านมีกิจธุระอันใดกันล่ะ ถึงได้ถ่อมาหาข้าในเวลาเย็นย่ำเช่นนี้? "

 

        พระพิไชยและคนอื่นๆหันไปมองหน้ากันเล็กน้อยอย่างลำบากใจ จนกระทั่งไกรต้องทวนคำถามซ้ำอีกครั้งจึงค่อยพูดออกมาเบาๆว่า

 

      " ท่านออกญาอนุชิตฯ ใช้ให้พวกกระผม...มาขอหยิบยืมพระธำมรงค์พระราชทานทองท่านน่ะขอรับ... "

 

      " ว่าอย่างไรนะ!! "  ทั้งสินและเรืองที่ไม่รู้ความนัยใดๆร้องออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายทันที!

 

 

 

 

 

...................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา