ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  132.14K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

76)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

      ...ท่ามกบางกระแสแห่งความตกตะลึงและเสียงพึมพำกระซิบกระซาบฟังไม่ได้ศัพท์ของเหล่าขุนนางที่ยังคงหมอบคลานอยู่ทุกคน ...แม้แต่สมเด็จพระพี่นางพินทวดีที่ควบคุมพระวรกายได้อย่างดีที่สุดยังถึงกับต้องศอแข็งอึ้งไปอย่างอับจนต่อถ้อยคำ ไม่อาจจะตรัสคำใดออกมาได้...ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าที่หมอบอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์หรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับคิดในใจทันที

 

       ' รอดจริงๆดัวย...ถึงจะบอกว่าต้องโทษ แต่ก็เป็นโทษโบยในระดับเทียบเท่ากับที่นางกำนัลกระทำผิดในราชวัง...ไม่ใช่โทษระดับขุนนางผิดราชมณเฑียรบาล ทั้งการถอดลงตะพุ่นหญ้าช้างก็ถูกกำหนดระยะเวลาพ้นโทษที่แน่นอนตายตัวไว้แล้วคือ ๓ เดือน...ทั้งๆที่ปรกติแล้วจะไม่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน...ต้องรอให้พ่ออยู่หัวโปรดอภัยโทษแท้ๆ...แผนการของไอ้เด็กนี่...สำคัญจริงๆ... '

 

       " ท่านออกญา... "

 

       " อย่าแสดงอะไรกระโตกกระตากออกไปเป็นเด็ดขาด...ท่านหญิง...ถึงจะอยู่ในภาวะตกตะลึงแต่ขุนนางหลายคนก็ยังจ้องมาที่พวกพระองค์อยู่...ท่านต้องวางอุเบกขา นิ่งเฉยไม่ยินดียินร้ายต่อคำตัดสินเสีย พระองค์ต้องวางพระองค์ให้เป็นกลาง ไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าพระองค์และพ่ออยู่หัวทรงเข้าข้างไกรและพวกเรา... "

 

       " การตัดสินคดีความครั้งนี้มัน...บ้าชัดๆ...แม้แต่เด็กอมมือยังรู้เลยว่าอำนาจของคณะลูกขุนถูกกดโดยอำนาจเถื่อนของเด็กนั่น...แม้แต่ท่านพระมหาราชครูผู้เที่ยงธรรมที่สุดยังถูกกีดกันจากคณะลูกขุนคนอื่นๆจนไม่สามารถตัดสินอรรถคดีอย่างเที่ยงตรงได้...เด็กนั่นมัน... "       

 

       " ข้าพุทธเจ้าเห็นดีเห็นงามกับแผนการนี้ก็จริง แต่ข้าพุทธเจ้าเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่ารูปการณ์จะออกมาได้อย่างน่ากลัวเช่นนี้... "  ท่านผู้เฒ่าทูลพร้อมกับหัวเราะออกมาน้อยๆ แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีของสมเด็จพระพี่นางที่นิ่งไป จนชายหนุ่มต้องเลิกคิ้วอย่างงงๆทันที

 

       " สมเด็จพระพี่นาง? "

 

       " หนุ่มเกินไป...ฉลาดหลักแหลมเกินไป...สำเร็จเร็วเกินไป... "

 

       " พุทธเจ้าข้า? "

 

       " เด็กนั่น...เจ้าพระยาพิทักษ์ฯผู้นั้นสามารถแก้ปัญหาที่ยากยิ่ง และขมวดปมเป็นเงื่อนรัดคอของเขาอย่างรวดเร็วยิ่งได้อย่างงดงาม...เขาสามารถดึงผู้ที่ไม่มีความเข้ากันเลยแม้แต่น้อย...หรือผู้ที่แทบไม่เคยย่างกรายเข้ามาในเขตราชฐานให้มาหนุนหลังพวกเขาได้...จากการซื้อใจ...ทั้งด้วยความเป็นผู้นำหรือด้วยอามิสสินจ้างผลตอบแทน เขาฉลาดและไม่ยึดติดกับกรอบของศีลธรรม สามารถใช้ทุกอย่างที่เขาเอื้อมถึงมาเป็นประโยชน์ได้โดยโดยไม่สนว่าเป็นขาว หรือดำ...แต่นั่นแหละที่จะกลายเป็นจุดอ่อนของเขา "

 

         คำตรัสอย่างรอบรู้และเต็มไปด้วยสุขุมภีรภาพอย่างผู้ที่ผ่านการอาบน้ำร้อนมาก่อนจากโอษฐ์ของสมเด็จพระพี่นางพินทวดีทำให้ท่านผู้เฒ่าชะงักกึกทันที เขามัวแต่ดีใจในการเอาตัวรอดอย่างงดงามของไกรในฐานะผู้ที่สนิทกว่าและเอาใจช่วยอยู่จนกระทั่งลืมมองถึงสิ่งที่กำลังจะตามมา และต่อให้เป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า ผ่านโลก ผ่านผู้คนมามากกว่าอิสตรีผู้มีฐานันดรศักดิ์เป็นเชษฐภคิณีของพ่ออยู่หัวผู้นี้ชนิดเทียบกันไม่ได้ แต่เขาก็ต้องยอมรับอย่างไร้ข้อกังขาว่าสมเด็จพระพี่นางตรัสออกมาได้อย่างถูกต้องชนิดเขาต้องอับจนถ้อยคำไปเลย...

 

      ...ตลอดชีวิตที่ผ่านมาอย่างยาวนานของเขา ชายหนุ่มเดินทางไปมากกว่าทุกๆคน...เผชิญปัญหาและวิกฤตที่อันตรายมากกว่าทุกๆคนที่นั่งอยู่ที่นี่รวมกันเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้น ในช่วงแรก...ช่วงที่อายุเขายังอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับไกร เขาก็ผ่านการตกหลุมพราง ผ่านโทษทัณฑ์ ผ่านการร่วงหล่น ผ่านความผิดพลาดมานับครั้งไม่ถ้วน...แต่สิ่งเหล่านั้นนี่แหละ ที่หล่อหลอมให้เขาเติบใหญ่มาอย่างเข้มแข็ง อย่างรอบคอบ...กลายเป็นผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของหมู่บ้านมือสังหารอย่างในปัจจุบันนี้...

 

         แต่เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านล่างนั้นกลับไม่ยอมร่วงหล่น ไม่ยอมรับโทษทัณฑ์หรือหนี ทั้งๆที่เขาก้าวพลาดและกำลังเอาคอยาวๆผูกเข้ากับหลักประหารไปแล้วแท้ๆ...เด็กหนุ่มแก้มัน และสามารถแก้ได้อย่างงดงามที่สุดด้วย...

 

         นับจากระยะเวลาเท่าที่เขารู้จักกับไกรมา เด็กคนนั้นผ่านช่วงเวลาวิกฤต ผ่านสิ่งที่เสี่ยงผิดพลาดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ทุกครั้งนั้นช่วยพิสูจน์ให้เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ฉลาดและกล้าหาญที่สุดหนึ่งในหลายๆคนที่เขาได้รู้จักมาในชีวิต...

 

       " แต่...เขาชนะมามากเกินไป เร็วเกินไป...และเขาจะเก่งกาจขึ้นไม่ได้หากเขาไม่รู้จักความพ่ายแพ้ "

 

       " อย่าพึ่งห่วงความเก่งกาจ ความยิ่งใหญ่ของเขาเลย...ทุกบ่วงเงื่อนที่เขาแก้ไขไปได้อย่างงดงามจะส่งให้เขาขึ้นไปสูงขึ้นเรื่อยๆ ...เมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่เด็กนั่นแพ้...เขาอาจจะอยู่สูงจนความพ่ายแพ้นั่นอาจจะฆ่าเขาแทนที่จะสอนเขาก็ได้...ท่านออกญา... "

 

       " พ...พุทธเจ้าข้า? "

 

 

       " ...นี่อาจจะไม่ใช่กงการของข้านะ...แต่ว่าถ้าหากท่านยังคงอยากจะเก็บเด็กนั่นไว้ใช้ประโยชน์...ท่านควรจะสอนให้เขารู้จักความพ่ายแพ้เสียแต่เนิ่นๆ ...ก่อนที่เขาจะร่วงหล่นลงมาจากจุดที่สูงเกินไปเช่นวิหคที่ปีกหัก...หรือไม่...เขาก็อยู่สูงจนท่านไม่อาจจะสอนความพ่ายแพ้ให้กับเขาได้อีกต่อไป! "

 

 

      ...ย้อนกลับมาที่เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีหรือไกร ในเวลาเดียวกัน...

 

         หลังจากได้ยินราชโองการอันเป็นพระราชอาญาที่ประกาศออกมาจากโอษฐ์ของพ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์โดยตรง ไกรก้มหน้าลงด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น...เขายังคงนิ่งต่อไปอีกเล็กน้อยจนกระทั่ง ราชมัลตัวใหญ่ๆ ๓-๔ คนค่อยๆเดินเข้ามาหาชายหนุ่มเพื่อนำตัวของเขาไปรับโทษทัณฑ์ ชายหนุ่มก็ขยับลุกขึ้นยืนเต็มสัดส่วนจนกระทั่งราชมัลทุกคนชะงักกึกและถอยออกไปอย่างขวัญหนีดีฝ่อทันที

 

       " โปรดรอก่อนพุทธเจ้าข้า...พ่ออยู่หัว "

 

       " หืม? "  คำเรียกขานของเจ้าพระยาหนุ่มทำให้พระเจ้าเอกทัศน์ชะงักพระวรกายไปเล็กน้อย ก่อนที่พระองค์จะผินพักตร์ที่ยังคงอยู่ภายใต้หน้ากากสีขาวนั้นกลับมา ในขณะที่ไกรปลดดาบประจำกายของเขาที่ห้อยโดยมีลักษณะห้อยกระบี่อยู่ด้านข้างลำตัวออกและใช้สองมือยกขึ้นเหนือหัวในลักษณะยกขึ้นถวายอย่างช้าๆ พร้อมกับก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆและมั่นคงราวกับผู้ที่ไม่ถูกต้องโทษเลยด้วยซ้ำ...จนกระทั่งในที่สุด ชายหนุ่มก็มาหยุดยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าพระพักตร์ของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์แล้ว

 

       " พ่ออยู่หัวพุทธเจ้าข้า "

 

       " หืม? มีอะไร...ไม่พอใจในคำตัดสินของเราอย่างนั้นรึ? "  แม้ว่าจะอยู่ภายใต้หน้ากากจนไม่สามารถเห็นพระพักตร์ที่แท้จริง แต่ไกรก็พอจะเดาได้ว่าพระองค์ทรงหยอกเล่นมากกว่าจะเป็นคำตรัสอย่างจริงจัง...นั่นทำให้เขาลอบยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับทูลตอบกลับไปช้าๆว่า

 

       " หามิได้พุทธเจ้าข้า...ข้าพุทธเจ้าเพียงแต่จะทูลขออะไรเพียงอย่างหนึ่งเท่านั้น "

 

       " ??? "

 

       " ดาบประจำกายเล่มนี้ของข้าพุทธเจ้ามีนามว่าสดายุ...ถึงจะเป็นดาบประจำกายของข้าพุทธเจ้ามาได้ไม่นาน แต่มันก็เป็นดาบที่ดีที่สุดที่ข้าพุทธเจ้าเคยกุมมา...การถูกถอดลงเป็นตะพุ่นหญ้าช้างคงจะทำให้ข้าพุทธเจ้าไม่ได้ใช้ดาบเล่มนี้ไปสักระยะนึง...แต่ดาบเล่มนี้ไม่ใช่ดาบที่ถูกสร้างจากโลหะธรรมดา...ดาบคงไม่ชอบแน่ที่จะไปอยู่ในที่เช่นนั้น... "

 

       ' ดาบ...ไม่ชอบ?...เด็กนี่บ้ารึเปล่า? '  คำพูดแปลกๆของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯที่ทูลบอกพ่ออยู่หัว ราวกับว่าดาบสีเงินเล่มนั้นมีชีวิตจิตใจทำให้ข้าราชการที่ส่วนใหญ่อยู่ทางฝ่ายพลเรือนหลายคนหันไปมองหน้ากันอย่างนึกคลางแคลงในสติของชายหนุ่มจนกระทั่งหลายคนแอบหัวเราะออกมาเบาๆ ...แต่สำหรับขุนนางฝ่ายกลาโหมหรือขุนนางฝ่ายพลเรือนที่มีฝีมือหลายๆคนกลับไม่ค่วมขำด้วย พวกเขามองมาไปที่ไกรและดาบสีเงินรูปร่างเรียวทว่ามีสันดาบใหญ่กว่าปรกติเล็กน้อยแม้จะอยู่ในฝักดาบนั้นอย่างประเมินและคร้ามครันขึ้นทันที...เพราะพวกเขาทราบถึงสิ่งที่เรียกว่า โลหะศักดิ์สิทธิ์ และออกจะทึ่งไปเล็กน้อยที่ชายที่หนุ่มเช่นนั้นจะสามารถครอบครองโลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงจนสามารถเอามาตีดาบได้...ในขณะที่ผู้ที่ฉลาดมากพอก็จะทราบได้ทันทีว่าคำทูลของไกรพยายามจะสื่อถึงอะไร

 

       " เขาจะฝากดาบกับพ่ออยู่หัว? "

 

       " พุทธเจ้าข้า เขาจะฝากดาบไว้กับพ่ออยู่หัว... "

 

       " เด็กนั่นบ้ารึเปล่า? ท่านออกญา "  ในที่สุดสมเด็จพระพี่นางก็ตรัสถามขึ้นลอยๆ ในขณะที่เมื่อได้ยิน ชายหนุ่มที่หมอบอยู่เบื้องหลังก็ได้แต่ฝืนหัวเราะออกมาเบาๆทันที

 

       " พูดกันตามตรง เวลานี้ข้าพุทธเจ้าชักไม่แน่ใจแล้วพระพุทธเจ้าข้า "

 

       " นี่ไม่อยู่ในแผนการอันชาญฉลาดของท่านสินะ ท่านออกญานอกราชการ "

 

       " พุทธเจ้าข้า "  ท่านผู้เฒ่ายอมรับไปตามความจริง เพราะในเวลานี้แม้แต่เขาเองก็ยังเดาการกระทำของเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเพื่อจุดประสงค์ใด

 

       ' ...ว่ากันตามจริงเราเองก็เริ่มจะเอนเอียงไปในความคิดแบบเดียวกับพระพี่นางด้วยซ้ำว่าไกรมันบ้าไปแล้ว...เพราะไม่มีนักดาบสติดีๆคนไหนจะยอมทิ้งดาบของตนในช่วงเวลาที่อาจจะอันตรายที่สุดเช่นนี้...เจ้าคิดอะไรกันแน่นะ ไกร ' 

 

       " คิกๆๆๆ ลูกชายตัวน้อยในปกครองเริ่มปีกกล้าขาแข็งจนจะสยายปีกและบินด้วยตนเองแล้วสินะ "  สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดียกพัดจีนในหัตถ์ขึ้นปิดโอษฐ์พร้อมกับสรวลเบาๆ ในขณะที่ชายหนุ่มผู้หมอบก้มอยู่ขมวดคิ้ววูบทันที

 

       ' ...อยู่นอกเหนือกำหนดล่วงหน้าที่ไกรได้บอกไว้...แปลว่านี่เป็นแผนที่ถูกด้นสดและเจ้าก็คิดอะไรบางอย่างได้...เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่...คนที่มาจากอนาคต ผู้ที่มีวิสัยทัศน์ต่างจากเราโดยสิ้นเชิงอย่างเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่...ไกร '

 

 

         ในขณะที่ภายใต้หน้ากากสีขาวบริสุทธิ์ พ่ออยู่หัวเอกทัศน์แย้มพระสรวลเล็กน้อยพร้อมกับตรัสออกมาเรียบๆ หลังจากได้ยินคำทูลของไกรครบถ้วนแล้วว่า

 

       " เข้าใจล่ะ...เจ้าอยากจะฝากดาบเล่มนั้นไว้กับข้าสินะ? หึๆ ตัวข้าในเวลานี้มีท่าทางเหมือนกับท้องพระคลัง หรือโรงเก็บศาสตรารึอย่างไร? "

 

       " หามิได้พุทธเจ้าข้า... "  ไกรรีบคุกเข่าลงทันทีโดยที่ยังใช้มือทั้งสองข้างชูดาบขึ้นเหนือหัวพร้อมกับทูลต่อว่า  " ...ตัวของข้าพุทธเจ้านั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่ข้าพุทธเจ้ามีหน้าที่ที่ข้าพุทธเจ้าภูมิใจ นั่นคือพิทักษ์รักษาพระสวัสดิภาพแห่งพ่ออยู่หัว...สิ่งเดียวที่ข้าพุทธเจ้าห่วงคือหน้าที่นั้นจะขาดไป ซึ่งข้าพุทธเจ้ายอมไม่ได้... "

 

       " หืม? "

 

       " ถึงข้าพุทธเจ้าจะไม่อยู่ แต่อย่างน้อย ก็ขอให้ดาบของข้าพุทธเจ้าคงอยู่เพื่อพิทักษ์พระองค์ แทนตัวข้าพุทธเจ้าด้วยเถิด...นี่เป็นคำขอชั่วชีวิตของข้า พระพุทธเจ้าข้า "

 

       ' ไอ้เด็กนี่...คำพูดทุกคำของมันล้วนแล้วแต่โปรยด้วยคำหวานรื่นหู แต่กลับค้นไม่พบร่องรอยของความเสแสร้งให้ตรวจจับได้...ที่ยุคของมัน มันคงจะเป็นที่รักของพ่อแก่แม่เฒ่าและผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าแน่ๆ '  ท่านผู้เฒ่าคิดในใจอย่างขำๆ ในขณะที่ไม่บอกก็รู้ว่าพ่ออยู่หัวพอพระทัยในคำหวานของไกรอย่างยิ่งจนกระทั่งพระองค์เอนพระวรกายไปด้านหน้าอย่างสนพระทัยพร้อมกับตรัสช้าๆทันที

 

       " เอ้า...ก็ถ้านี่เป็นคำขอชั่วชีวิตของเจ้าจริงๆ เราเองก็คงจะไม่ติดขัดอะไร "  พระองค์ตรัสพร้อมกับโบกหัตถ์เล็กน้อย ก่อนที่นางกำนัลน้อยๆ ๒ นางจะออกมาจากมุมมืดด้านหนึ่ง เตรียมจะลงไปรับดาบที่ไกรถวายมา ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรที่ยังคงนั่งอยู่บนพระที่นั่งตรัสบอกนางกำนัลทั้งสองเรียบๆว่า

 

       " อย่ารับศาสตรานั่นด้วยมือเปล่า แต่ให้ใช้พานรับแทน...ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะทำให้ศาสตราเสื่อมอำนาจได้...หรือไม่ ศาสตราก็จะต่อต้านเจ้าจนต้องบาดเจ็บแน่ "

 

       " เอ้อ ข้าลืมเลือนไปเลย...ขอบน้ำใจท่านที่เตือนนะ "  พระเจ้าเอกทัศนฺ์หันกลับไปพยักพระพักตร์เล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ ในขณะที่เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางกำนัลก็รีบไปหยิบพานทองฉลุลายมาเพื่อรับดาบของไกรทันที ก่อนจะนำดาบมาวางไว้ตรงตำแหน่งที่อยู่ต่ำกว่าตำแหน่งวางเครื่องราชกกุธภัณฑ์...ในขณะที่พระเจ้าเอกทัศน์ที่กลับมาประทับอยู่บนพระที่นั่งของตนเหลือบมองดาบสดายุสีเงินวาววับที่ส่องประกายจรัสราวกับจะยั่วยวนให้พระองค์หยิบมันขึ้นมากวัดแกว่งในฐานะผู้ที่เคยเป็นนักดาบผู้เก่งกาจ...แต่แล้วพระองค์ก็ตัดพระทัยพร้อมกับส่ายพระพักตร์ช้าๆ

 

     ...ฐานะจอมดาบของพระองค์จบลงไปแล้ว...เวลานี้มีอยู่เพียงฐานะเดียวที่พระองค์สามารถทำได้ และต้องทำให้ได้อย่างดีที่สุด...

 

     ...ฐานะของพ่ออยู่หัวแห่งราชอาณาจักรอโยธยา ศรีรามเทพนคร...

 

      "ข้าจะรอคอยวันที่ข้าจะคืนศาสตราเล่มนี้กลับสู่มือของเจ้า...พร้อมกับบรรดาศักดิ์ของเจ้านะ...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี "

 

       " ขอบพระทัยพระพุทธเจ้าข้า "

 

       " เอาล่ะ...ในเมื่อจบเรื่องที่เจ้าร้องขอแล้ว...ไกร...ถอดชุดเครื่องแบบนั่นเสีย...และเตรียมรับโทษทัณฑ์ของเจ้าได้แล้ว! "

 

 

 

 

.......................................................

 

 

 

 

 

       " เจ้าพระยาพิทักษ์ฯไม่ได้เลือกที่จะหนี... "

 

       " อืม...ข้ารู้แล้ว "

 

       " ทั้งเขายังสามารถผ่อนโทษตายอันถูกกำหนดไว้อย่างแน่นอนแล้ว ให้กลายเป็นโทษเด็กเล่น เพียงแค่ถูกเฆี่ยนและถูกถอดบรรดาศักดิ์ลงเป็นหญ้าช้างชั่วคราวเท่านั้น "

 

       " อืม...ข้ารู้แล้ว "

 

       " ทั้งหน่วยคเณศร์เสียงาก้างขวางคอชิ้นเขื่องที่เราลงทุนลงแรง จนมั่นใจหนักหนาว่าสามารถทำให้แตกเป็นเสี่ยงๆได้แล้วกลับทำได้เพียงทำให้พวกมันกลมเกลียวกันแนบแน่นขึ้นเท่านั้น น่าหัวเราะสิ้นดี... "

 

      " เรื่องนั้น...ข้าก็รู้แล้วเช่นกัน ได้โปรดเถอะ น้องชายที่รัก...ช่วยบอกเรื่องที่เจ้าที่อยู่ ณ ศาลาลูกขุนในเวลานั้นรู้ ในขณะที่ข้ายังไม่รู้ออกมาเสียทีเถอะ "

 

       " เฮ้อ...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯแก้ทุกอย่างได้อย่างลื่นไหลจนน่ากลัวทีเดียว...เหมือนกับทุกอย่างเข้าข้างเขาไปหมด...ไม่สิ เหมือนทุกอย่างอยู่ในมือของเขามาตั้งแต่แรกแล้ว...สิ่งเดียวที่แปลกที่สุดสำหรับงานนี้ก็คือการปรากฏตัวของออกญาอนุชิตฯที่ก้าวมาหนุนหลังเขาในเสี้ยววินาทีสุดท้ายนั่นแหละ "

 

       " ออกญาอนุชิตฯ? เจ้าหมายถึงออกญาอนุชิตชาญไชย...จางวางกรมพระตำรวจฝ่ายขวาน่ะหรือ? "

 

       " ใช่...มันแปลกมากเพราะการข่าวของบรรลัยกัลป์ไม่มีวันผิดพลาด...และพวกมันแน่ใจว่าออกญาอนุชิตฯเหม็นหน้าเจ้าพระยาพิทักษ์ฯอยู่มาก...เจ้าอ้วนนั่นไม่น่าจะยอมลำบากเอาคอมาร่วมพาดเขียงกับเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ... "

 

       " ก็แปลว่ามันต้องมีค่าตอบแทนที่คุ้มค่ามากพอจะทำให้คนโลภโมโทสันอย่างออกญาอนุชิตฯ ยอมย้ายก้นหนาๆของมันมาช่วยเจ้าพระยาพิทักษ์ได้... "

 

       " คิดว่าอย่างไร? พี่ "

 

       " ที่ข้าไม่ได้ไปในการฟังคำตัดสินพิพากษาคดีเพราะข้าพึ่งไปพบกับ ท่านหญิง มา...ท่านหญิงทรงทำนายในเรื่องนี้ไว้แล้ว... "

 

       " หืม? ...แล้วท่านหญิงทำนายเรื่องใดไว้บ้างหรือ? "

 

       " ทุกเรื่อง... "

 

       " ??? "

 

       " ...ทุกเรื่อง...ตั้งแต่การที่ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯเลือกที่จะสู้คดี การกลับมาหนุนหลังท่านของอดีตพระยาเพชรบุรีและหลวงยกกระบัตรเมืองตาก...และผู้ที่คาดไม่ถึงอย่างออกญาอนุชิตฯ... ทุกเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อถูกท่านหญิงทำนายไว้หมด...ราวกับพวกมันกำลังเต้นอยู่บนหัตถ์ของท่านหญิงไม่มีผิดเพี้ยน... "

 

       " ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า "

 

       " ใช่...ถึงเวลาที่เราจะขยับม้าไปรุกฆาตแล้ว! ...น้องพี่ ท่านจมื่นศรีสรรักษ์ "

 

       " ฮ่าๆๆๆ ข้าเริ่มเฝ้ารอที่จะได้เห็นสีหน้าของพวกมันเมื่อรู้ตัวว่าทุกอย่างเข้ามาอยู่ในมือของพวกเราไม่ไหวเสียแล้ว... ท่านกับท่านหญิงนี่มันจ้าวแผนการเสียจริงๆ...ท่านเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์! "

 

 

 

 

.........................................................

 

 

 

 

 

      ...ไม่กี่วันต่อมา...โรงเลี้ยงช้างหลวง...เขตพระราชฐานชั้นนอกด้านที่ติดกับคลองเล็กๆสายหนึ่ง...

 

       " เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ไกร "

 

       " ยังระบมอยู่เลยน่ะสิขอรับ "

 

       " หา? "

 

       " ก็ไอ้รอยเฆี่ยนทั้ง ๒๐ รอยที่ยังแดงเถือกอยู่เต็มหลังของข้านี่อย่างไรล่ะ...ยังระบมจนนอนหงายไม่ได้อยู่เลยเนี่ย! "  ไกรที่เวลานี้อยู่ในโจงกระเบนสีเข้มๆเพียงผืนเดียวโดยเปลือยร่างท่อนบนอันกำยำสีแทน(ที่ก็ยังขาวกว่าคนทั่วไปในสมัยนี้) หันหลังกลับเพื่อให้ท่านผู้เฒ่าได้เห็นร่องรอยแผลถูกไม้หวายเฆี่ยนจนเห็นเป็นแนวช้ำอย่างชัดเจน แม้ว่าการตัดสินพิพสกษาคดีและการลงโทษทัณฑ์จะผ่านไปตั้งหลายวันแล้วแท้ๆ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าที่นั่งอยู่อีกฝั่งหัวเราะออกมาเบาๆอย่างไร้ซึ่งความเห็นใจในน้ำเสียงนั้นเลยแม้แต่น้อยทันที

 

       " ฮ่าๆๆๆ โถๆ น่าสงสารเสียจริงนะ...มันจะทำให้เจ้าสบายใจขึ้นรึเปล่าหากเจ้ารู้ว่าโทษเฆี่ยนที่เจ้าได้รับน่ะ ไอ้ราชมัลที่เฆี่ยนมันเกรงบรรดาศักดิ์เจ้าพระยาของเจ้าอยู่ไม่น้อย จึงลงไม้แต่ละครั้งด้วยความรุนแรงเท่ากับที่เขาใช้โบยนางในที่ทำผิดในข้อหากระทำเสียงดังอันไม่สมควรในยามวิกาลเท่านั้น ถ้าเอาเข้าจริงรอยแผลของเจ้าควรจะลึกถึงกระดูก และเจ็บปวดจนหลับไม่ลงเลยด้วยซ้ำ...พูดกันตามตรงแม้แต่นางในน้อยๆที่ถูกเฆี่ยน เต็มที่ก็แค่ร้องไห้เป็นเผาเต่าแต่ไม่เคยมีผู้ใดสลบเหมือดไปหลังจากถูกโบยเสร็จเช่นเจ้าเลยนะ...ดีที่มาสลบไปตอนกลับถึงที่พักแล้ว...ถ้าสลบไปตอนถูกเฆี่ยนมีหวังได้อายกันไปทั้งบางแน่ๆ "

 

       " อ๋อ ใช่ซี้! ยุคสมัยที่ข้าจากมาข้าเองก็ไม่เคยได้ฝึกฝนเอาหลังไปรับไม้หวายบ้องโตนั่นบ่อยๆนี่ "  ไกรบ่นเบาๆอย่างหงุดหงิดขณะยื่นลำอ้อยเข้าปากช้างหลวงงางามช้างหนึ่งเข้าไปเคี้ยวหยับๆ ในนขณะที่ท่านผู้เฒ่าหัวเราะก๊ากออกมาทันที

 

       " ฮ่าๆๆๆ เรื่องนั้นช่างเถอะ...ที่ข้าถามว่าเป็นอย่างไรบ้างน่ะ ข้าพูดถึงเรื่องที่เจ้าต้องตกระกำลำบาก ต้องตกอับกลายลงมาเป็นตะพุ่นหญ้าช้างนี่ต่างหาก "

 

         ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อยให้กับคำถามของอีกฝ่าย เขาเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะตัดอ้อยข้อเล็กๆในมือออกมาปอกเปลือกและเคี้ยวเอาน้ำหวานตุ้ยๆ ในขณะที่อ้อยลำยาวที่เหลือส่งไปให้งวงของช้างหลวงที่ร้องเบาๆและรอรับอยู่แล้ว...ก่อนที่เขาจะยักไหลและยิ้มบางๆทันที

 

       " จากที่อ่านมา ข้าเคยคิดเสมอว่าโทษตะพุ่นหญ้าต้องเป็นโทษทัณฑ์ชนิดที่หนักหนาสาหัสไม่ต่างจากตายทั้งเป็น แต่ข้าว่าข้าคงคิดผิดเสียแล้วล่ะ...ถึงจะต้องทำงานฟรี---หมายถึงทำงานเปล่าๆโดยไม่ได้รับเบี้ยหวัดค่าจ้างใดๆก็จริง แต่งานก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรมาก แค่ป้อนน้ำป้อนหญ้า ป้อนผลไม้ช้างหลวง...แล้วก็พาไปอาบน้ำที่คลอง ตกดึกก็สุมไฟไล่ยุงเหลือบให้เท่านั้นก็หมดวันแล้ว...ช้างทรงเหล่านี้ฉลาด ไม่ดื้อเลยซักนิด...กรมพระคชบาลคนอื่นๆ ตั้งแต่พระสมุหคชบาลไล่ลงมาถืงหมอช้างต่างก็เป็นคนอัธยาสัยดีทั้งสิ้น...พวกเขาแทบไม่ใช้งานอะไรข้าเลย จนข้าเสียอีกที่ต้องไปของานเขาทำด้วยซ้ำ... "

 

       " ...เฮ้อ...ปกติแล้วถ้าเป็นการลงโทษจริงๆ ป่านนี้เจ้าคงร้องไห้จะกลับหมู่บ้านตั้งแต่วันแรกแล้ว เพราะเจ้าจะต้องไปหาพวกหญ้าพวกน้ำมาเองโดยไม่มีผู้ใดช่วย...ทั้งยังต้องถูกคุมแจจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้แน่....แต่ก็นั่นน่ะสินะ...ใคร้...มันจะกล้าไปใช้เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี พระยาพานทอง จางวางเจ้ากรมทหารมหาดเล็กทั้งปวงกันได้ลงล่ะ...เพราะถ้าขืนใช้ คงใช้ได้อย่างเต็มที่แค่ ๓ ขวบเดือนเท่านั้น ก่อนจะมีหวังถูกระเห็ดให้ไปนั่งเก็บขี้ช้างอยู่ที่ เพนียดทุ่งทะเลหญ้า ที่ด้านเหนือแน่ๆ... "

 

       " เฮ้อ...เข้าใจหรอกน่า...ข้ารู้ว่าข้าทำเลยเถิดไป แต่ทำอย่างไรได้ล่ะ ช่วงนั้นคว้าอะไรได้ก็ต้องเอาไว้ก่อน เพราะข้าถือคติว่าเหลือดีกว่าขาด...และไอ้เรื่องนี้ถ้าเกิดขาดไปแม้เพียงนิดเดียว มันอาจจะลามมาขาดถึงคอข้าเลยก็ได้เชียวนะ "

 

       " เจ้านี่มัน--- "

 

       " ท่านไกรเจ้าคะ...ข้านำ...เอ่อ...ข้าวมาให้แล้วเจ้าค่ะ "

 

       " โอ้...กำลังรออยู่เลย อเทตยา "  ไกรร้องออกมาเบาๆอย่างยินดีเมื่อเห็นหญิงสาวผู้เป็นหนึ่งในหน่วยคเณศร์เสียงาของเขาที่อยู่ในชุดนางกำนัลในราชวัง เดินถือตะกร้าสานที่ใส่ไว้ด้วยข้าวปลาอาหารจนเต็มตะกร้ายิ้มหวานมาแต่ไกล ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปตะโกนบอกเหล่าควาญช้างและคชบาลที่ดูแลช้างหลวงช้างอื่นๆอยู่บริเวณนั้นทันที

 

       " ท่านสมุหคชบาล ท่านหมอช้าง...ท่านอื่นๆด้วย เชิญมากินข้าวด้วยกันเถอะ ...อเทตยาทำมาเผื่อท่านทุกคนเช่นเคยอยู่แล้ว...อ้อ...ท่านก็มากินด้วยกันสิท่านผู้เฒ่า...เห็นอย่างนี้แต่อเทตยา น่ะทำอาหารได้อร่อยเลิศยิ่งกว่าแม่ครัวหลวงที่ต้นครัวของวังเสียอีกนะ...ชนิดที่คุณต๋อยต้องพูดว่า ใครไม่กินถือว่าผิด เชียวนะเอ้อ! "

 

       " แล้วคุณต๋อยที่เจ้าว่านี่มันใครกันล่ะฟะนั่น?! "

 

       " ฮ่าๆๆๆ ช่างเถอะๆ มากินข้าวดีกว่าๆ "  ไกรหัวเราะร่าพร้อมกับเดินไปรวมกลุ่มกับเหล่าคชบาลและหมอช้างเฒ่าคนอื่นๆที่ยิ้มหน้าบานเพราะกำลังจะได้กินอาหารระดับชาววังอร่อยๆ ฝีมือเสน่ห์ปลายจวักของ หญิงรับใช้ของตะพุ่นหญ้าช้างบรรดาศักดิ์ อย่างท่านไกรแบบเปล่าๆอีกแล้วและเตรียมนั่งล้อมวงกันใต้ร่มไม้ใหญ่ข้างๆโรงช้างหลวงนั้นทันที...ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆและคิดในใจทันที

 

       ' เฮ้อ...ไอ้ไกรเอ้ย...เจ้าจะรู้ตัวไหมนะว่าเจ้าเป็นตะพุ่นหญ้าช้างที่สุขสบายที่สุดเท่าที่เคยมีมาไปเสียแล้ว! '

 

 

 

 

 ................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา